คริสตินาแห่งซัคเซิน
คริสตินาแห่งซัคเซิน | |||||
---|---|---|---|---|---|
สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ | |||||
![]() ประติมากรรมของสมเด็จพระราชินีคริสตินาแห่งเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน โดยเคลาส์ เบิร์ก ประมาณปี ค.ศ. 1530 | |||||
สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก | |||||
ครองราชย์ | 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1481– 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1513 | ||||
ราชาภิเษก | 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1483 โบสถ์พระนางมารี, โคเปนเฮเกน | ||||
ก่อนหน้า | โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค | ||||
ถัดไป | อิซาเบลลาแห่งออสเตรีย | ||||
สมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์ | |||||
ครองราชย์ | ค.ศ. 1483– 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1513 | ||||
ก่อนหน้า | โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค | ||||
ถัดไป | อิซาเบลลาแห่งออสเตรีย | ||||
สมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดน | |||||
ครองราชย์ | 6 ตุลาคม ค.ศ. 1497– สิงหาคม ค.ศ. 1501 | ||||
ราชาภิเษก | 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1499 | ||||
ก่อนหน้า | คริสตินา อับราฮัมสด็อทเทอ | ||||
ถัดไป | อิซาเบลลาแห่งออสเตรีย | ||||
พระราชสมภพ | 25 ธันวาคม ค.ศ. 1461 ทอร์เกา, รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน | ||||
สวรรคต | 8 ธันวาคม ค.ศ. 1521 (พระชนมายุ 59 พรรษา) โอเดนเซ[1], เดนมาร์ก | ||||
ฝังพระศพ | มหาวิหารนักบุญคนุต | ||||
คู่อภิเษก | พระเจ้าฮันส์แห่งเดนมาร์ก (แต่ง 1449, ตาย 1513) | ||||
พระราชบุตร |
| ||||
| |||||
ราชวงศ์ | เว็ททีน(โดยประสูติ) อ็อลเดินบวร์ค (โดยเสกสมรส) | ||||
พระราชบิดา | แอ็นสท์ อีเล็คเตอร์แห่งซัคเซิน | ||||
พระราชมารดา | เอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย อีเล็คเตรสแห่งซัคเซิน | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
คริสตินาแห่งซัคเซิน (25 ธันวาคม ค.ศ. 1461 - 8 ธันวาคม ค.ศ. 1521) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก, นอร์เวย์ และสวีเดน จากการอภิเษกสมรสกับพระเจ้าฮันส์แห่งเดนมาร์ก
พระชนม์ชีพ
[แก้]ช่วงต้นพระชนม์ชีพ
[แก้]ประสูติในปี 1461 เป็นธิดาในแอ็นสท์ อีเล็คเตอร์แห่งซัคเซินกับเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย อีเล็คเตรสแห่งซัคเซิน คริสตินาได้หมั้นหมายกับเจ้าชายฮันส์แห่งเดนมาร์ก พระราชโอรสในพระเจ้าคริสเตียนที่ 1 แห่งเดนมาร์ก ในค.ศ. 1477 ขณะมีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ในปีถัดมาคริสตินาเสด็จไปพร้อมขบวนขนาดใหญ่ไปยังเมืองวอร์เนอมุนเดอ ซึ่งทรงได้รับการต้อนรับจากข้าราชบริพารชาวเดนมาร์กจำนวนมาก[2] ทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสที่ปราสาทโคเปนเฮเกน วันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1478[2] พระราชพิธีอภิเษกสมรสนี้เป็นที่กล่าวขานว่ามีความยิ่งใหญ่มาก มีขบวนอัศวิน และเจ้าสาวทรงฉลองพระองค์ชุดลายปักทองสีแดง เสด็จในรถม้าพระที่นั่งทองคำ[3]
สัญญาการอภิเษกสมรสระบุว่า พระนางคริสตินาจะต้องได้รับรายได้ประจำปี 4,000 กิลเดอร์ รวมถึงสิทธิในการใช้ปราสาทและที่ดินศักดินาบางส่วนพร้อมทั้งเรื่องการทำธุรกิจและภาษี "โดยที่ทรงดำรงเป็นเจ้าผู้ครองนคร" มีการเขียนระบุไว้ว่า ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากกษัตริย์ฮันส์จะสามารถซื้อสิทธิ์เหล่านั้นจากพระนางได้ในมูลค่า 40,000 กิลเดอร์[4]
ในค.ศ. 1481 หลังการสวรรคตของพระเจ้าคริสเตียนที่ 1 คริสตินาทรงได้เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก ตามพระราชสวามีที่ได้สืบราชบัลลังก์ต่อ พระนางไม่ทรงได้รับการสวมมงกุฎจนกระทั่งมีการประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในค.ศ. 1483 ณ โบสถ์พระนางมารี เมืองโคเปนเฮเกน และทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์ด้วยเช่นกัน
ช่วง 20 ปีแรกของการอภิเษกสมรส มีข้อมูลบันทึกถึงสมเด็จพระราชินีคริสตินาน้อยมาก และเชื่อว่าพระนางทรงอุทิศพระองค์เพื่อครอบครัวของพระนาง ทรงมีพระโอรสธิดารวม 6 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายฮันส์, เจ้าชายแอร์นสท์, เจ้าชายคริสเตียน, เจ้าชายยาค็อบ, เจ้าหญิงเอลิซาเบธ และเจ้าชายฟรันซ์ เจ้าชายฟรันซ์นั้นตั้งพระนามตามนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี เจ้าชายฮันส์นั้นสิ้นพระชนม์เมื่อยังเป็นทารก ส่วนเจ้าชายแอร์นสท์และเจ้าชายฟรันซ์นั้นสิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์[5] ส่วนเจ้าหญิงเอลิซาเบธต่อมาได้อภิเษกสมรสกับโยอาคิมที่ 1 เนสทอร์ อีเล็คเตอร์แห่งบรันเดินบวร์ค และทั้งสองพระองค์อาจทรงเป็นพระราชชนกและพระราชชนนีในนักบวชชื่อ ยาค็อบเดอะดาเชียน ทั้งสองพระองค์ไม่ประทับในโคเปนเฮเกนมากนัก แต่ทรงโปรดเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่ปราสาทนุเคอปิง ในเกาะฟึน ซึ่งเป็นสถานที่ประทับที่พระราชินีคริสตินาทรงโปรด ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าพระนางทรงเข้าไปเกี่ยวข้องในการเมืองเดนมาร์กในช่วงต้นที่ดำรงเป็นสมเด็จพระราชินี[3]
สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงได้รับการกล่าวขานว่าทรงเคร่งศาสนา และจะทรงพระกันแสงทุกครั้งในคราวที่พระนางไม่สามารถเสด็จไปร่วมพิธีมิสซาได้ ในค.ศ. 1497 พระเจ้าฮันส์และสมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงก่อตั้งโบสถ์นักบุญแคลร์, โคเปนเฮเกน
"ของขวัญตอนเช้า" และ/หรือ "พันเทลเลน"
[แก้]
เมื่อคริสตินาทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก ในช่วงนั้นราชอาณาจักรตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดทางการเมือง สหภาพคาลมาร์กำลังจะล่มสลายด้วยความแตกแยกภายในสหภาพ จนกระทั่งค.ศ. 1483 พระเจ้าฮันส์ทรงได้รับการยอมรับให้เป็นพระมหากษัตริย์แห่งนอร์เวย์ แต่สวีเดนนั้นไม่ยอมรับพระองค์ในตอนแรก พระองค์จึงทำการปราบปรามชาวสวีเดนด้วยการเข้ายึดครองเกาะก็อตลันด์[5] ในค.ศ. 1490 พระองค์ต้องทรงแบ่งอาณาเขตดัชชีให้กับเจ้าชายเฟรเดอริก พระราชอนุชา[6] ในค.ศ. 1497 พระเจ้าฮันส์ทรงร่วมมือกับกลุ่มขุนนางสวีเดนกลุ่มหนึ่งเพื่อยึดอำนาจในสวีเดน และทำให้ทรงได้รับการยอมรับในฐานะพระมหากษัตริย์สวีเดน[7] นอกจากนี้พระองค์ยังทรงพระราชทานที่ดินศักดินาจำนวนหนึ่งเป็น "ของขวัญตอนเช้า" (Morgengave [มอร์เกินเกล];) แก่สมเด็จพระราชินีคริสตินา (เป็นอสังหาริมทรัพย์ตลอดชีพ) ในความหมายของ "ของขวัญตอนเช้า" ในยุโรปสมัยกลางคือ สินสอดทองหมั้นที่จะมอบให้ในวันถัดจากวันแต่งงาน ในสมัยก่อน เจ้าสาวเท่านั้นที่จะได้รับสินสอดทองหมั้น ซึ่งเป็นเงินที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าเพื่อประกันทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่ายหญิงในกรณีที่เธอไม่มีลูกและไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมายในการสืบทอดมรดกจากสามี พระราชินีทรงได้รับ "ปราสาทเออเรอบรูและที่ดินศักดินาเออเรอบรู พร้อมอาคารสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ติดกัน จากนั้นทรงได้ที่ดินนาร์เก, นอร์ดันสโคห์, แวร์มลันด์ และดัลลันด์" เป็นไปได้ว่าของขวัญตอนเช้านี้ตั้งใจให้พระราชินีเพื่อแน่ใจว่าสวีเดนจะยังคงรวมในสหภาพคาลมาร์ต่อไป[7] พระนางยังทรงได้รับพระราชทานที่ดินศักดินาในเดนมาร์กด้วย ได้แก่ ที่ดินเนสบีโฮเวิดและที่ดินทรานแคร์[8] และตั้งแต่ค.ศ. 1501 พระนางยังทรงได้รับที่ดินในเมืองรีเบ, คอเลงและแอสเซินส์อีกด้วย[9]
อย่างไรก็ตามในกรณีเหล่านี้อาจเป็นเรื่องของ "พันเทลเลน" (pantelen; ภาษานอร์เวย์) ซึ่งก็คือ พันเทลเลนเป็นทรัพย์สินที่ผู้ถือครองมีไว้เป็นหลักประกันหลังจากให้พระมหากษัตริย์กู้ยืมเงินในช่วงยุคศักดินาในสแกนดิเนเวีย นั่นก็คือ แม้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวจะเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ แต่ผู้ถือครองเป็นผู้ได้รับรายได้ เช่น ค่าปรับ ค่าเช่าที่ดิน และภาษีจากทรัพย์สินดังกล่าว จนกว่าพระมหากษัตริย์จะไถ่ถอนหลักประกันนั้น พันเทลมีกำหนดระยะเวลาเสมอ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่า สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงให้พระราชสวามีกู้ยืมพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อใช้ในการสงครามในสวีเดน แต่เมื่อการสงครามไม่สำเร็จ พระมหากษัตริย์ทรงต้องชดใช้เงินคืนพระราชินีสำหรับ "ของขวัญตอนเช้า" ที่ถูกข้าศึกยึดไปและต้องชดใช้คืนเงินกู้ และทรัพย์สินที่พระมหากษัตริย์ถือครองในเดนมาร์กจะต้องถูกจัดสรรให้พระราชินีแทน[9]
สมเด็จพระราชินีภายใต้การคุมขังของสวีเดน
[แก้]
ในค.ศ. 1497 พระเจ้าฮันส์ได้ถูกเลือกให้เป็นพระมหากษัตริย์สวีเดน สองปีถัดมา สมเด็จพระราชินีคริสตินาได้ตามเสด็จพระองค์ไปยังสวีเดน และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1499 ทั้งสองพระองค์ได้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีแห่งสวีเดนที่เมืองอุปซอลา อย่างไรก็ตาม พระเจ้าฮันส์ไม่ทรงสามารถปราบปรามขบวนการต่อต้านพระองค์ในสวีเดนได้ในค.ศ. 1500 และในค.ศ. 1501 สมเด็จพระราชินีทรงตามเสด็จไปยังสวีเดนอีกเพื่อร่วมหารือถึงแผนการป้องกันชายแดนฟินแลนด์จากการรุกรานของรัสเซีย ในการเสด็จเยือน ค.ศ. 1501 พระนางทรงพบว่า กษัตริย์ทรงมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับเอเดล ยันสเคก หนึ่งในนางสนองพระโอษฐ์ของพระนาง ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวใหญ่โต และพระนางทรงจบความสัมพันธ์กับพระราชสวามีโดยพฤตินัย แต่ยังคงอภิเษกสมรสกันในนาม
นอกจากปัญหาส่วนพระองค์ ยังเกิดปัญหาทางการเมือง เมื่อการที่พระเจ้าฮันส์และพระราชินีทรงพำนักในสวีเดน ก่อให้เกิดความหวาดระแวงของชาวสวีเดนฝ่ายต่อต้านสหภาพคาลมาร์ เมื่อสมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงประกาศว่า พระนางจะทรงเข้าร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์สตูร์ชีร์กานเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในสต็อกโฮล์ม แต่พระเจ้าฮันส์ทรงปฏิเสธคำขอของพระราชินี จนมีบันทึกว่าพระราชินีทรงพระกันแสงอ้อนวอน เมื่อพระเจ้าฮันส์ทรงสังเกตเห็นว่า พระราชินีและข้าราชบริพารเสด็จมาเข้าเฝ้าพระองค์พร้อมกลุ่มชาวสวีเดน ทหารรักษาพระองคืกลับยิงปืนเข้าใส่กลุ่มชาวสวีเดนเพราะพวกเขาเชื่อว่า พวกขุนนางสวีเดนจับองค์พระราชินีเป็นองค์ประกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วชาวสวีเดนกลุ่มนั้นเพียงต้องการคุ้มกันพระราชินีให้เสด็จกลับปราสาทเพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดีต่อพระนางเท่านั้น[3] เหตุนี้ทำให้พระเจ้าฮันส์ยิ่งไม่กลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาวสวีเดน
ซึ่งสภาราชอาณาจักรสวีเดนลงมติเป็นเอกฉันท์วิพากษ์วิจารณ์การปกครองของกษัตริย์ฮันส์อย่างรุนแรง และตำหนิพฤติกรรมของเจ้าพนักงานที่ดินชาวเดนมาร์กในสวีเดน พระมหากษัตริย์และพระราชินีเดนมาร์กต้องทรงตกตะลึงเมื่อคณะผู้แทนพระองค์จากรัสเซียของอีวานที่ 3 แห่งรัสเซีย เจ้าชายแห่งมอสโกเดินทางมาเข้าเฝ้าอย่างไม่คาดคิด พวกเขาร้องขอให้พระเจ้าฮันส์ทรงกระทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับเจ้าชายอีวานที่ 3 และคณะทูตได้เปิดเผยต่อขุนนางสวีเดนว่า การโจมตีฟินแลนด์โดยกองทัพชาวรัสเซียนั้นอยู่ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันนี้ นั่นคือเพื่อช่วยเหลือให้พระเจ้าฮันส์แห่งเดนมาร์กได้ครองราชบัลลังก์สวีเดน[10]
เมื่อทราบถึงข้อตกลงที่ไม่ชอบมาพากลของรัสเซียนี้ทำให้ชาวนาและขุนนางสวีเดนลุกฮือก่อกบฏต่อพระเจ้าฮันส์ ซึ่งยังคงประทับอยู่ในสต็อกโฮล์ม เรียกว่า สงครามการปลดกษัตริย์ฮันส์และสงครามเดนมาร์ก-สวีเดน (1501-1512) ในขณะที่ขุนนางใหญ่อย่าง สเตียน สตูเร อดีตผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสวีเดน ได้ถอนความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ฮันส์เช่นกัน 2 วันต่อมา คือ วันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1501 กษัตริย์เสด็จขึ้นเรือพระที่นั่งและเสด็จหนีออกจากเมืองไปพร้อมเอเดล ยันสเคก พระสนม ปล่อยให้สมเด็จพระราชินีคริสตินาบัญชาการกองทัพป้องกันพื้นที่พระราชวังสต็อกโฮล์ม หรือปราสาทเทรียครูนูร์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เนื่องจากทรงพระประชวรเกินกว่าจะเสด็จหนีได้ พระราชินีทรงได้รับการช่วยเหลือจากทูเร ยอนสัน[11] ในขณะที่น้องชายของเขาคือ อีริค ยอนสัน ไปเข้าร่วมฝ่ายกบฏ[12] โดยได้ทำการล้อมที่เทรียครูนูร์ วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1501 ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงเจรจากับฝ่ายกบฏ แต่ระหว่างเจรจาได้เกิดเพลิงไหม้ในเมือง พื้นที่ของสต็อกโฮล์ม 1 ใน 4 ถูกเพลิงไหม้ ท่ามกลางความโกลาหลในช่วงที่ชาวเมืองดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตและทรัพยืสินของตน พวกกบฏจึงใช้โอกาสนี้เข้ายึดเมือง ในเอกสารของผู้นำกบฏ 17 คน กล่าวหาว่า คนของสมเด็จพระราชินีคริสตินาเป็นผู้ยุยงให้เกิดการเผาเมือง และสมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงออกประกาศตอบโต้ว่า พวกกบฏกลุ่มนี้วางเพลิงเผาเมือง โดยทรงแจ้งว่า พระนางไม่ได้ประโยชน์อะไรถ้าทรงเผาเมืองที่พระนางยังคงประทับและถูกปิดล้อมอยู่[13]
สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงถูกกองทัพกบฏปิดล้อมปราสาท ซึ่งพระนางทรงมีพระชนมายุครบ 40 พรรษาในวันคริสต์มาสอีฟ ชาวสวีเดนออกมาถากถางว่า กษัตริย์ฮันส์หลบหนีไปกับนางสนมโดยทิ้งพระราชินีไว้เพียงลำพัง พวกเขาจึงเสนอให้สมเด็จพระราชินีเสด็จหนีออกไปพร้อมเหล่าพระและขุนนางทั้งหมด โดยจะเปิดทางให้เสด็จออกไป แต่พระราชินีปฏิเสธ พระนางทรงคาดการณ์ว่าทรงมีทหารราว 1,000 นายในปราสาท เพียงพอที่จะฝ่าวงล้อมและยึดเมืองสต็อกโฮล์มคืนได้ และพระนาง-ทรงพยายามดำเนินการตามแผนการอยู่หนึ่งครั้ง โดยทรงบัญชาให้ยิงปืนใหญ่และบุกออกไปทางประตูปราสาทในคืนฤดูหนาว แต่ก็ถูกบีบให้ถอยร่นกลับเข้าไป เหตุการณ์นี้ทำให้มีกองทัพขนาดใหญ่ต้องเข้ามาควบคุมในสต็อกโฮล์ม โดยบิชอปชาวสวีเดน เฮมมิง กาด[14] มีทหารติดอาวุธประจำการ 4,000 นาย โดยได้รับการสนับสนันจากประชาชนสต็อกโฮล์มบางส่วน ซึ่งประชาชนมีเพียง 7,000 คน ในขณะนั้น และประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้สนับสนุนกองทัพกบฏเท่าไร จึงทำให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดกันระหว่างกองทัพของกาด และประชาชนสต็อกโฮล์ม และหลายครั้งที่เรือประมงฝ่ายเดนมาร์กสามารถแอบออกมาจากปราสาทและกลับไปพร้อมปลาที่จับได้ หลังจากนั้น ชาวเมืองก็ถูกกาดกล่าวหาว่าช่วยเหลือพรรคพวกพระราชินี ในเดือนธันวาคม เทศมนตรีเมืองคนหนึ่งจากทั้งหมดมีสองคน กระทำการเกินขอบเขต โดยสั่งหักแขนของชาวนาคนหนึ่ง ก่นด่าชาวบ้านและสั่งให้พวกเขาเก็บข้าวของและออกไป กลุ่มชาวนาได้เดินทางไปฟ้องสภาราชอาณาจักรและขู่ว่าจะทำตามคำพูดของเทศมนตรีคนนั้น โดยจะรวมพลออกจากสต็อกโฮล์มให้หมด ให้พวกขุนนางป้องกันเมืองจากพวกเดนมาร์กเอาเอง ขณะนั้นพวกเขายังไม่แน่ใจว่า พระเจ้าฮันส์จะทรงรวบรวมกำลังมาโจมตีได้มากน้อยเพียงใด ทั้งฝ่ายที่ล้อมและฝ่ายที่ถูกล้อมต่างก็มีปืนใหญ่ แต่ไม่ทรงพลังพอที่จะทำลายกำแพงปราสาทได้ ในวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1501 พระราชินีทรงบัญชาให้ยืงปืนใส่ฝ่ายสวีเดน ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโบสถ์สตูร์ชีร์กาน ชาวสวีเดนได้สร้าง "ฉากกั้น" ซึ่งน่าจะทำเป็นกำแพงไม้ แต่กระสุนปืนใหญ่กลับทะลุเข้ามาและสังหารคนไป 2 คน ทำให้การยิงปืนใหญ่เป็นที่น่าหวาดกลัวในหมู่ประชาชนมากขึ้น กระสุนปืนใหญ่ในสมัยนั้นมีขนาดใหญ่มาก ไม่ระเบิด แต่เมื่อกระทบกับใคร เศษกระดูกของเหยื่อจะกระเด็นออกไปทุกทิศทุกทางด้วยแรงที่มากพอ ที่เศษกระดูกเหล่านั้นจะฆ่าหรือทำร้ายผู้อื่นได้ กระสุนลูกหนึ่งถูกแปลงเป็นสะเก็ดระเบิดมนุษย์[15]
หลังจากผ่านไปหกเดือน ผู้ที่ถูกปิดล้อมก็คงยังไม่หมดเสบียงอาหาร แต่ดลับเกิดโรคระบาดได้แพร่กระจายไปในปราสาท สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงบันทึกรายงานว่า เหงือกของทหารบวมขึ้น ฟันของพวกเขาหลวม พวกเขาเคี้ยวอาหารไม่ได้ มีอาการตะคริว และไม่สามารถเดินได้ พระนางทรงคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากอาหารรสเค็มและบูด แต่ความจริงแล้วเป็นอาการของโรคลักปิดลักเปิด นั่นคือ การขาดวิตามินซี แม้ว่าพระราชินีจะทรงคาดการผิด แต่พระนางและเหล่าผู้นำสามารถรับมือได้ และมีการรับประทานอาหารที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากอาหารรสเค็มอย่างเดียว[16]
วันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1502 กองทัพสวีเดนได้เข้าโจมตีครั้งสุดท้ายและบุกไปถึงกำแพงปราสาทชั้นใน ที่นั่นมีการต่อต้านอย่างรุนแรงจนทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องเจรจากันแทน ฝ่ายที่ถูกปิดล้อมไม่ทราบว่ากองทัพของพระเจ้าฮันส์กำลังจะเสด็จมา ตามบันทึกของสต็อกโฮล์ม มีผู้รอดชีวิตเพียง 70 คนจากจำนวนพันคน และมีเพียง 10 คนเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย[17] สมเด็จพระราชินีคริสตินาประกาศยอมจำนนวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1502 สงครามครั้งนี้เป็นการปิดล้อมที่ยากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์สหภาพคาลมาร์ วันที่ 12 พฤษภาคม กองทัพเรือของพระเจ้าฮันส์ได้ขึ้นบกที่นอกเมือง ปัจจุบันคือ เกาะยูร์กอร์เดน หลังจากถูกล้อมอยู่นานถึง 7 เดือน พระองค์เสด็จมาถึงช้ากว่ากำหนดสามวัน เมื่อปราสาทพังลง พระองค์ก็หันหลังกลับและล่องเรือกลับเดนมาร์ก ทรงสูญเสียราชบัลลังก์สวีเดนไปโดยปริยาย[17]
สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงสละพระราชอำนาจการปกครองปราสาทเพื่อแลกกลับการเสด็จกลับเดนมาร์กพร้อมข้าราชบริพารโดยสวัสดิภาพ พระนางเสด็จไปมอบพระองค์แก่ท่านผู้หญิงอิงเงอบอร์ก ท็อท ภริยาของสเตียน สตูเร ซึ่งมาเข้าเฝ้าพระนางที่ปราสาทและติดตามพระนางไปประทับที่คอนแวนต์ แต่ผู้สำเร็จราชการ สเตียน สตูเร ผู้อาวุโสกลับละเมิดสนธิสัญญาและจับสมเด็จพระราชินีคริสตินาไปคุมขัง ซึ่งการกระทำของเขาถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไร้เกียรติ พระราชินีถูกคุมขังเป๋นนักโทษเวลา 1 ปีครึ่ง ครั้งแรกทรงถูกคุมขังที่โบสถ์ไฟรเออร์ดำ ต่อมาย้ายไปคุมขังที่โบสถ์ไฟร์เออร์เทา และสุดท้ายคุมขังที่โบสถ์วัดสเตนา การคุมขังพระราชินีนั้นค่อนข้างโหร้ายมากจนพระนางไม่สามารถเสวยอะไรได้ การปฏิบัติของชาวสวีเดนต่อพระราชินีคริสตินาอย่างโหดร้าย ทำให้พระเจ้าคริสเตียนที่ 2 แห่งเดนมาร์ก กษัตริย์เดนมาร์กองค์ต่อมาที่เป็นพระราชโอรส กระทำการที่โหดร้ายต่อชาวสวีเดนเช่นกัน สภาราชอาณาจักรเดนมาร์กประณามการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อพระราชินีคริสตินาในขณะถูกจองจำ ชาวสวีเดนต้องการจะปล่อยตัวพระนางเพื่อแลกกับการที่กษัตริย์ฮันส์ต้องคืนปราสาทและป้อมปราการที่ยังทรงยึดครองอยู่ในสวีเดน พระคาร์ดินัลเรย์มงด์ เปโรลต์ ซึ่งทำการค้าผ่อนปรนในกลุ่มนอร์ดิก สั่งให้ปล่อยองค์ราชินีด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มพ่อค้าชาวลือเบ็ค ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1503 พระนางทรงได้รับการต้อนรับอย่างเคร่งขรึมจากพระราชโอรสองค์ใหญ่และขุนนางเดนมาร์ก หลังจากออกจากราชอาณาจักรไปสามปี ผู้สำเร็จราชการสเตียน สตูเร นำเสด็จพระนางมายังชายแดน ซึ่งเจ้าชายคริสเตียนทรงรับพระนางที่เมืองฮัล์มสตา[18]
การสร้างสถานะพระราชอำนาจของสมเด็จพระราชินี
[แก้]ไม่นานหลังเสด็จกลับมา สมเด็จพระราชินีทรงก่อตั้งโบสถ์นักบุญคลารา, โคเปนเฮเกน สำหรับแม่ชีคณะฟรันซิสกัน และทรงก่อตั้งอีกแห่งหนึ่งในโอเดนเซ[2]
ในปีต่อมา สมเด็จพระราชินีทรงแยกกันประทับกับกษัตริย์ เป็นการแยกกันโดยพฤตินัย สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงได้รับอิสรภาพในค.ศ. 1504 พระนางสามารถเสด็จไปเยี่ยมพระราชธิดาคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งได้เสกสมรสกับโยอาคิมที่ 1 เนสทอร์ อีเล็คเตอร์แห่งบรันเดินบวร์ค[2] พระนางเสด็จไปเยี่ยมมาร์กาเรเทอแห่งซัคเซิน ดัชเชสแห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค พระขนิษฐา และเสด็จการจาริกแสวงบุญที่สแตร์นแบร์คและบัดวิลสแน็ค เมื่อเสด็จกลับเดนมาร์ก พระนางทรงประทับที่โอเดนเซ เพื่อให้ไกลจากพระมหากษัตริย์[19] และเป็นการแสดงให้เห็นว่าราชสำนักเดนมาร์กขณะนั้นเกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินี ซึ่งเป็นการช่วงชิงอำนาจอย่างลับๆ[20]
สมเด็จพระราชินีทรงผูกมิตรกับขุนนางจำนวนหนึ่งที่สามารถสนับสนุนพระนางได้ คือ ตระกูลรอนโนว์, กูลเดินสเตียร์เนอ, บีลเลอ และมาร์ซวิน[21] พระนางยังคงมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าชายเฟรเดอริก ดยุคแห่งฮ็อลชไตน์ พระราชอนุชาของกษัตริย์[22] ราชินีทรงใช้ทั้งขุนนางและผู้ที่ไม่ใช่ขุนนางในการบริหารทรัพย์สินและที่ดินของพระองค์ พระนางจึงได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา[23] เบื้องหลังเครือข่ายสมเด็จพระราชินีคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้การอุปถัมภ์กับลูกค้าในสมัยนั้น สมเด็จพระราชินีจะทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สำคัญซึ่งห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่เป็นเสมือนลูกค้าที่ได้ประโยชน์จากพระนางจำนวนมาก และพระนางก็จะให้ลูกค้าเหล่านั้นบริหารทรัพย์สินจำนวนมากของพระนาง และจะเป็นการแสดงพระราชอำนาจทางเศรษฐกิจ[24] พระนางแสดงสถานะของความเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์นี้หลากหลายวิธี เช่น พระนางทรงซื้อผ้าราคาแพงเพื่อนำมาตัดเย็บเครื่องแบบข้าราชบริพารของพระนางเอง พระนางทรงซื้ออาหารมากมายและหรูหรา และทรงจ้างเคลาส์ เบิร์กให้สร้างฉากประดับแท่นบูชาในวิหารนักบุญคนุต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในศาสนาของพระนาง[25] และแสดงสถานะพระราชอำนาจของสมเด็จพระราชินี[26] พระนางทรงเป็นพระมารดาอุปถัมภ์แก่เหล่าลูกค้าและลูกๆ ของพวกเขา และยังทรงช่วยจัดงานแต่งงานให้แก่ลูกค้าหลายรายอีกด้วย[27] พระนางทรงจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายของแพทย์ให้กับลูกค้าของพระนาง[28] และทรงพระราชทานค่าใช้จ่ายการทำศพ (รวมถึงพิธีศพ) แก่ลูกค้าเหล่านั้น[29] และในส่วนของขุนนางและกลุ่มไม่ใช่ขุนนางที่เป็นลูกค้านั้น ก็มองพระนางเสมือนบุคคลสำคัญสำหรับความก้าวหน้าในอาชีพของพวกเขา[30] ที่พวกเขาสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ซึ่งพระนางอาจทรงได้รับประโยชน์ในภายหลัง
ราชสำนักของพระนางแยกเป็นเอกเทศมี แอนเนอ ไมน์สทอร์ฟ นางสนองพระโอษฐ์ของพระนางเป็นหัวหน้าผู้ดูแล และตั้งอยู่ในที่ดินพระราชมรดกของพระนางคือ ปราสาทเนสบีโฮเวิดในโอเดนเซ และพระราชินีทรงประทับร่วมกับพระราชโอรสองค์เล็ก คือ เจ้าชายฟรันซ์ พระนางทรงจัดราชสำนักใหญ่โตพร้อมแขกเหรื่อมากมาย แต่แทบไม่มีการเสด็จเยือนของกษัตริย์มายังราชสำนักนี้เลย[3]
การฆาตกรรมที่ไม่คลี่คลาย
[แก้]ค.ศ. 1504 เลนส์มานด์ (ตำแหน่ง เจ้าพนักงานจัดการที่ดิน) ของสมเด็จพระราชินีคริสตินาในเขตศักดินาเนสบีโฮเวิด ชื่อ อ็อทโท พอร์สเฟลด์ ถูกสังหารอย่างเป็นปริศนา[19] เรื่องราวที่เล่าดูเหมือนว่า ระหว่างที่เขาไปพักกับพลเมืองคนหนึ่งในโอเดนเซ ชื่อ ฮันส์ เครมเมอร์ เขาถูกทำให้บาดเจ็บสาหัสโดย คนุต เคเยลด์เซน ซึ่งเป็นพ่อครัวประจำตัวบิชอป ในทำนองเดียวกันกับคนุต ฟรีส สมาชิกสภาเมือง ก็ถูกทำให้บาดเจ็บโดยสเตฟเฟน ทึสเก[31] ซึ่งทั้งสเตฟเฟน ทึสเก, คนุต เคเยลต์เซน และบิชอปเยนส์ แอนเดอเซน เบลเดนัคล้วนเป็นคนของพระเจ้าฮันส์[21] ในตอนแรกไม่มีการพิจารณาคดีใดๆ แต่ดูเหมือนว่าพระมหากษัตริย์จะทรงปกป้องคนของพระองค์จากการสืบสวนของพระราชินี โดยสมเด็จพระราชินีทรงจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่พอร์สเฟลด์เพื่อแสดงพระราชอำนาจของพระนางและท้าทายบิชอปเบลเดนัค โดยมีขบวนแห่ศพขนาดใหญ่ผ่านกลางเมืองโอเดนเซและมีม้านำเข้าไปยังโบสถ์ สามเดือนต่อมา สมเด็จพระราชินีทรงนำศพของคนของพระนางออกมาแห่ขบวนอีกครั้ง เพื่อให้พระมหากษัตริย์ได้ทอดพระเนตรขบวนแห่ศพอีกครั้งผ่านหน้าต่างห้องประทับของพระองค์[32]
ฉากประดับแท่นบูชาในโอเดนเซ
[แก้]
สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงมีความสนพระทัยในงานศิลปะและการดนตรี พระนางทรงอุปถัมภ์เหล่านักดนตรี นักเขียนและจิตรกร ในโบสถ์เกรย์เฟรียร์ส (โอเดนเซ) พระนางทรงมีพระบัญชาให้ตกแต่งหลุมฝังศพซึ่งปัจจุบันยังคงมีการอนุรักษ์ไว้ โดยทรงให้สร้างประติมากรรมพระเจ้าฮันส์และตัวพระนางเองประดับอยู่ ภายใต้การดูแลของเคลาส์ เบิร์ก มีการสร้างฉากประดับแท่นบูชาที่แสดงรูปของพระราชวงศ์ทั้งหมด[33] นอกจากนี้เมื่อคราวเสด็จกลับเดนมาร์กพระนางทรงก่อตั้งคอนแวนต์คณะกลาริสในโคเปนเฮเกนและโอเดนเซ[34] พระนางยังทรงอุปถัมภ์งานเขียนของพระไมเคิลแห่งโอเดนเซ[34] พระนางทรงเป็นคาทอลิกสายวิพากษ์ ทรงปรารถนาให้เกิดการปฏิรูปศาสนจักรโรมันคาทอลิก และทรงอุปถัมภ์คณะภราดานักบุญกลาราแห่งมอนเตฟาลโกและนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี และยังทรงสนับสนุนลอริดส์ บรานด์เซน ผู้ทำงานเพื่อปฏิรูปวินัยของสำนักคอนแวนต์ในเดนมาร์ก[34] พระนางทรงยังเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ทำการกุศลมากมาย
การชดเชยทรัพย์สินที่สูญเสียไป
[แก้]สมเด็จพระราชินีคริสตินาทรงตามเสด็จพระราชสวามีไปยังคาบสมุทรจัตแลนด์ ซึ่งเป็นการเสด็จเยือนครั้งสุดท้ายในรัชกาล[35]
หลังจากพระเจ้าฮันส์เสด็จสวรรคตในค.ศ. 1513 พระนางทรงดำรงเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงและประทับที่ปราสาทเนสบีโฮเวิดใกล้เมืองโอเดนเซ ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์[35] ซึ่งมีคำถามเกิดขึ้นว่า พระนางทรงได้รับค่าชดเชย "ของขวัญตอนเช้า" และค่าใช้จ่ายที่ทรงต้องเสียให้แก่สงครามของพระราชสวามีอย่างครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งพระนางไม่ทรงเคยได้รับการชดเชยในส่วนนี้เลย ในค.ศ. 1517 ที่ดินศักดินารูกอร์ดถูกโอนให้แก่สมเด็จพระพันปีหลวง การโอนทรัพย์สินเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่พระเจ้าคริสเตียนที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงพยายามยึดคืนพระราชอำนาจในสวีเดน จึงอาจเป็นเพราะสมเด็จพระพันปีหลวงเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่สงครามของพระราชโอรส พระนางก็จะทรงได้รับการชดเชยทรัพย์สินนี้คืนมาได้ในที่สุด[36]
บั้นปลายพระชนม์ชีพและคดีความ
[แก้]หลังพระราชสวามีสวรรคต พระนางคริสตินาทรงเริ่มแสดงพระราชอำนาจหลังจากทรงถูกพระราชสวามีขัดขวางมาเป็นระยะเวลานาน อดีตกษัตริย์ฮันส์ทรงแต่งตั้งเยนส์ แอนเดอเซน เบลเดนัค คนสนิทเป็นบิชอปแห่งฟึนสืบต่อจากบิชอปคาร์ล รอนโนว์[37] ในค.ศ. 1517 พระเจ้าคริสเตียนที่ 2 พระราชโอรสของพระนางได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ เบลเดนัคและคนอีกหลายคนถูกราชสำนักกล่าวหาในวันแฮร์เดว่า ติดหนี้ค้างชำระต่อพระมหากษัตริย์หลายรายการ และตามความในพงศาวดารสกิบบี้ ที่ว่า "เขายังแสดงความไม่เคารพต่อสมเด็จพระราชินีคริสตินา พระราชชนนีของพระมหากษัตริย์ และทำให้พระนางพิโรธยิ่งนักที่เขาสังหาร อ็อทโท พอร์สเฟลด์ ขุนนางซึ่งเป็นมหาดเล็กของพระนาง" บิชอปเยนส์ แอนเดอเซนจึงถูกจับกุมในค.ศ. 1517[38] และสภาเมืองโอเดนเซได้พิพากษาให้ปรับคนุต เคเยลด์เซน ซึ่งเป็นพ่อครัวประจำตัวบิชอป การพิจารณาคดีบิชอปแห่งโอเดนเซและฟึนนี้เป็นแผนการทางการเมืองที่นำโดยสมเด็จพระพันปีหลวงคริสตินา พระราชโอรสของพระนาง อดีตเสนาบดีของพระนางและบุตรชายของเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่จงรักภักดีต่อพระนางในเมืองคอเดง[39] ได้มีการแต่งตั้งพระฟรันซิสกันชาวดัตช์ชื่อ วินเซนส์ เคมเป เป็นบิชอปแทนที่เบลเดนัค[40]
หลังจากพระนางสวรรคต พระบรมศพได้ถูกฝังที่โบสถ์เกรย์เฟรียร์ส (โอเดนเซ) โดยฝังอยู่ในเขตแม่ชีคณะฟรันซิสกัน เมื่อโบสถ์เกรย์เฟรียร์สถูกทำลาย มีการเคลื่อนย้ายพระบรมศพและสิ่งของมาฝังที่มหาวิหารนักบุญคนุต ในค.ศ. 1805[35] ปลายรัชสมัยพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก
พระราชโอรสธิดา
[แก้]พระเจ้าฮันส์และพระราชินีคริสตินา ทรงมีพระราชโอรสธิดาร่วมกัน 6 พระองค์ ได้แก่
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
เจ้าชายฮันส์ | ค.ศ. 1479 | ค.ศ. 1480 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ |
เจ้าชายแอร์นสท์ | ค.ศ. 1480 | ค.ศ. 1480 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ |
พระเจ้าคริสเตียนที่ 2 แห่งเดนมาร์ก | 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1481 | 25 มกราคม ค.ศ. 1559 | พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก สวีเดนและนอร์เวย์ ทรงมีทายาท |
เจ้าชายยาค็อบ | ค.ศ. 1484 | ค.ศ. 1566 | อาจเป็นพระองค์เดียวกับยาค็อบเดอะดาเชียน |
เจ้าหญิงเอลิซาเบธ | 24 มิถุนายน ค.ศ. 1485 | 10 มิถุนายน ค.ศ. 1555 | อภิเษกสมรสกับโยอาคิมที่ 1 เนสทอร์ อีเล็คเตอร์แห่งบรันเดินบวร์ค ในปีค.ศ. 1502 ทรงมีทายาท |
เจ้าชายฟรันซ์ | 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1497 | 1 เมษายน ค.ศ. 1511 |
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ Heise, s. 571
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Heise, s. 572
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Jorgensen, Ellen; Skovgaard, Johanne (1910). Danske dronniger; fortaellinger og karakteristikker af Ellen Jorgensen og Johanne Skovgaard. Robarts - University of Toronto. Kobenhavn H. Hagerup.
- ↑ Jespersen 2006, p. 12f. sfn error: multiple targets (2×): CITEREFJespersen2006 (help)
- ↑ 5.0 5.1 Jespersen 2006, p. 11. sfn error: multiple targets (2×): CITEREFJespersen2006 (help)
- ↑ Jespersen, s. 11f
- ↑ 7.0 7.1 Jespersen, s. 12
- ↑ Jespersen, s. 14
- ↑ 9.0 9.1 Jespersen, s. 15
- ↑ Øystein Hellesøe Brekke: Knut Alvssons krig (s. 90-92), forlaget Vigmostad Bjørke, Bergen 2017, ISBN 978-82-419-1453-8 ข้อผิดพลาดพารามิเตอร์ใน {{ISBN}}: checksum
- ↑ https://www.geni.com/people/Ture-Jönsson-Tre-rosor/6000000001230082152
- ↑ Øystein Hellesøe Brekke: Knut Alvssons krig (s. 101)
- ↑ Øystein Hellesøe Brekke: Knut Alvssons krig (s. 130)
- ↑ Hemming Gadh – Store norske leksikon
- ↑ Øystein Hellesøe Brekke: Knut Alvssons krig (s. 131-34)
- ↑ Øystein Hellesøe Brekke: Knut Alvssons krig (s. 172)
- ↑ 17.0 17.1 Øystein Hellesøe Brekke: Knut Alvssons krig (s. 173)
- ↑ Christine Av Sachsen – Norsk biografisk leksikon
- ↑ 19.0 19.1 Jespersen, s. 18
- ↑ Jespersen, s. 18ff
- ↑ 21.0 21.1 Jespersen, s. 20
- ↑ Jespersen, s. 24
- ↑ Jespersen, s. 25f
- ↑ Jespersen, s. 114
- ↑ Jespersen, s. 116
- ↑ Jespersen, s. 27
- ↑ Jespersen, s. 117
- ↑ Jespersen, s. 118
- ↑ Jespersen, s. 121
- ↑ Jespersen, s. 122
- ↑ Jespersen, s. 18f
- ↑ Jannie Iwankow Søgaard: "På historisk vandring i byen", Kristeligt Dagblad 30. august 2019
- ↑ Jespersen, s. 26f
- ↑ 34.0 34.1 34.2 Dansk Biografisk Leksikon
- ↑ 35.0 35.1 35.2 Heise, s. 573
- ↑ Jespersen, s. 17
- ↑ 719 (Salmonsens konversationsleksikon / Anden Udgave / Bind I: A—Arbejdergilder)
- ↑ Jespersen, s. 28
- ↑ Jespersen, s. 29
- ↑ Jespersen, s. 30
อ้างอิง
[แก้]- Dahlerup, Troels (1989). De fire stænder. 1400-1500. Gyldendal og Politikens Danmarkshistorie. Vol. bind 6. København: Gyldendal & Politikens Forlag. ISBN 87-89068-08-4.
- Heise, Arnold: แม่แบบ:Runeberg.org
- Jespersen, Mikkel Leth (2006). "Dronning Christine og kong Hans. Len, magt og fromhed i dansk senmiddelalder" (PDF). Historisk Tidsskrift. København: Den danske historiske Forening. 106 (1): 10–32.
- Jespersen, Mikkel Leth (juni 2006). "Patron-klientforhold i dansk senmiddelalder". Fortid og Nutid: 107–126.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - Langhoff Koch, Louise (2021). Kongernes kvinder : dronninger, elskerinder, friller og maitresser i den danske kongerække fra Christian 1. til i dag. Muusmanns forlag. ISBN 9788794155564.
- Wittendorf, Alex (1989). På Guds og Herskabs nåde. 1500-1600. Gyldendal og Politikens Danmarkshistorie. Vol. bind 7. København: Gyldendal & Politikens Forlag. ISBN 87-89068-09-2.
ก่อนหน้า | คริสตินาแห่งซัคเซิน | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค | ![]() |
![]() สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก (ราชวงศ์โอลเดนบวร์ก) (ค.ศ. 1481 – 1513) |
![]() |
ว่าง ลำดับถัดไป อิซาเบลลาแห่งออสเตรีย |
ว่าง ลำดับก่อนหน้า โดโรเธียแห่งบรันเดินบวร์ค |
![]() |
![]() สมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์ (ราชวงศ์โอลเดนบวร์ก) (ค.ศ. 1483 – 1513)
| ||
ว่าง ลำดับก่อนหน้า คริสตินา อับราฮัมสด็อทเทอร์ |
![]() |
![]() สมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดน (ราชวงศ์โอลเดนบวร์ก) (ค.ศ. 1497 – 1501) |