กาลักมุล

พิกัด: 18°06′18.5″N 89°48′35.8″W / 18.105139°N 89.809944°W / 18.105139; -89.809944
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นครมายาโบราณและป่าเขตร้อนคุ้มครองแห่งกาลักมุล กัมเปเช *
  แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก
พีระมิดหมายเลข 2 แห่งกาลักมุล
พิกัด18°06′18.5″N 89°48′35.8″W / 18.105139°N 89.809944°W / 18.105139; -89.809944
ประเทศ เม็กซิโก
ภูมิภาค **ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน
ประเภทมรดกแบบผสม
เกณฑ์พิจารณา(i), (ii), (iii), (iv), (ix), (x)
อ้างอิง1061
ประวัติการขึ้นทะเบียน
ขึ้นทะเบียน2002 (คณะกรรมการสมัยที่ 26)
เพิ่มเติม2014
พื้นที่331,397 ha (818,900 เอเคอร์)
พื้นที่กันชน391,788 ha (968,130 เอเคอร์)
กาลักมุลตั้งอยู่ในเม็กซิโก
กาลักมุล
ที่ตั้งของกาลักมุลในเม็กซิโกและมีโซอเมริกา
กาลักมุลตั้งอยู่ในมีโซอเมริกา
กาลักมุล
กาลักมุล (มีโซอเมริกา)
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก
** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก

กาลักมุล (สเปน: Calakmul) เป็นแหล่งโบราณคดีอารยธรรมมายาแห่งหนึ่งในรัฐกัมเปเช ประเทศเม็กซิโก ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าดิบของภูมิภาคแอ่งเปเตน ห่างจากชายแดนประเทศกัวเตมาลาราว 35 กิโลเมตร[1] กาลักมุลเป็นหนึ่งในนครโบราณที่ใหญ่ที่สุดและเคยมีอำนาจมากที่สุดเท่าที่ค้นพบในที่ลุ่มมายา

กาลักมุลเป็นศูนย์กลางของหน่วยทางการเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าอาณาจักรแห่งงู[2] อาณาจักรแห่งงูนี้มีอำนาจในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของสมัยคลาสสิกและได้ปกครองพื้นที่กว้างใหญ่ มีการใช้ตราสัญลักษณ์รูปหัวงูซึ่งอ่านว่า กาน เป็นเสมือนหลักเขตกระจายทั่วอาณาเขต คาดว่าในสมัยนั้นตัวเมืองกาลักมุลมีประชากร 50,000 คนและปกครองท้องที่ต่าง ๆ ภายในระยะ 150 กิโลเมตรในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน[3] โดยมีคู่แข่งสำคัญคือเมืองติกัลซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้[4] มีโครงสร้างโบราณ 6,750 โครงสร้างที่ได้รับการพิสูจน์ระบุที่กาลักมุล โครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในจำนวนนั้นคือพีระมิด พีระมิดหมายเลข 2 มีความสูงกว่า 45 เมตร[5] และเป็นหนึ่งในพีระมิดมายาที่สูงที่สุด มีสุสาน 4 สุสานอยู่ภายในพีระมิดนั้น พีระมิดที่กาลักมุลได้รับการเพิ่มขนาดด้วยการสร้างทับตัววิหารที่มีอยู่ก่อนเช่นเดียวกับวิหารหรือพีระมิดอีกหลายแห่งในมีโซอเมริกา[6]

กาลักมุลได้รับการค้นพบในสมัยใหม่เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1931[3] โดยไซรัส แอล. ลันเดลล์ นักชีววิทยาที่กำลังวิจัยเกี่ยวกับการนำยางละมุดจากอเมริกากลางมาทำหมากฝรั่ง เขารายงานการค้นพบไปยังซิลเวนัส จี. มอร์ลีย์ นักวิชาการอารยธรรมมายาจากสถาบันคาร์เนกีที่ชิเชนอิตซาใน ค.ศ. 1932[3] การสำรวจค้นคว้าหยุดชะงักใน ค.ศ. 1938 และบรรดานักโบราณคดีไม่ได้กลับมายังแหล่งดังกล่าวอีกจนกระทั่ง ค.ศ. 1982 เมื่อวิลเลียม เจ. โฟลัน ดำเนินโครงการขุดค้นที่กาลักมุลจนถึง ค.ศ. 1994 ในนามของมหาวิทยาลัยอิสระแห่งกัมเปเช[7] ในปัจจุบันแหล่งโบราณคดีนี้รวมอยู่ในโครงการขนาดใหญ่ของสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโก[7]

อ้างอิง[แก้]

  1. Sharer & Traxler 2006, p.356. Folan et al. 1995a, p.310.
  2. Martin & Grube 2000, pp.101, 104.
  3. 3.0 3.1 3.2 Sharer and Traxler 2006, p.356.
  4. Webster 2002, pp.168-169.
  5. Martin & Grube 2000, p.107.
  6. Folan et al. 1995a, p.316.
  7. 7.0 7.1 Sharer & Traxler 2006, p.356. Martin & Grube 2000, p.101.

บรรณานุกรม[แก้]

  • Folan, William S.; Joyce Marcus; Sophia Pincemin; Maria del Rosario Dominguez Carrasco; Loraine Fletcher; Abel Morales Lopez (December 1995a). "Calakmul: New Data from an Ancient Maya Capitol in Campeche, Mexico". Latin American Antiquity. 6 (4): 310–334. doi:10.2307/971834. JSTOR 971834.
  • Martin, Simon; Nikolai Grube (2000). Chronicle of the Maya Kings and Queens: Deciphering the Dynasties of the Ancient Maya. London and New York: Thames & Hudson. ISBN 0-500-05103-8. OCLC 47358325.
  • Sharer, Robert J.; Loa P. Traxler (2006). The Ancient Maya (6th (fully revised) ed.). Stanford, CA: Stanford University Press. ISBN 0-8047-4817-9. OCLC 57577446.
  • Webster, David L. (2002). The Fall of the Ancient Maya: Solving the Mystery of the Maya Collapse. London: Thames & Hudson. ISBN 0-500-05113-5. OCLC 48753878.