การแพร่เชื้อทางอากาศ
การแพร่เชื้อทางอากาศ (อังกฤษ: airborne transmission) คือการแพร่เชื้อของโรคติดต่อผ่านละอองธุลีที่สามารถอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานานและสามารถถูกเคลื่อนย้ายไปตำแหน่งอื่นได้[2] โรคที่สามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้มีหลายโรค ทั้งที่พบในมนุษย์และในสัตว์ เชื้อก่อโรคนั้น ๆ อาจเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา สามารถแพร่ผ่านการหายใจ การพูด การไอ จาม การปัดฝุ่น การพ่นสเปรย์ การกดน้ำที่โถชำระ และกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เกิดอนุภาคละอองลอย (aerosol) หรือละอองฝอย (droplets) โดยทั่วไปแล้วโรคติดต่อที่แพร่เชื้อทางอากาศจะไม่นับรวมโรคที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ เช่น สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย แก๊สที่มีพิษต่อร่างกาย หรือฝุ่นอนุภาคอื่น ๆ
แต่เดิมแล้วทางการแพทย์จะถือว่าการแพร่เชื้อทางอากาศเป็นคนละอย่างกับการแพร่เชื้อผ่านละอองฝอย ซึ่งมีที่มาจากความเข้าใจผิดในพฤติกรรมทางกายภาพของอนุภาคขนาดต่าง ๆ[3] โดยเคยเชื่อกันว่าละอองฝอยของสารคัดหลั่งระบบหายใจจะมีขนาดใหญ่มากพอที่จะตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วหลังจากถูกปลดปล่อยออกมา[4] อย่างไรก็ดีตามนิยามใหม่มองว่า อนุภาคขนาดใด ๆ ที่สามารถถูกสูดหายใจเข้าไปได้ ถือว่ามีศักยภาพที่จะเป็นอนุภาคที่ก่อให้เกิดการแพร่เชื้อทางอากาศได้ทั้งสิ้น[3]
คนแต่ละคนสามารถแพร่ละอองลอยและละอองฝอยได้หลายขนาด หลายปริมาณ และมีความเข้มข้นของเชื้อโรคแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละคนและกิจกรรมที่ทำ[5] ละอองฝอยที่มีขนาดใหญ่กว่า 100 ไมโครเมตรมักตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วในระยะไม่เกิน 2 เมตร จากจุดกำเนิด[5][4] และอาจมีอนุภาคละอองลอยที่มีเชื้อก่อโรคตกค้างอยู่ในอากาศบริเวณนั้นได้อีกระยะเวลาหนึ่ง โดยจะมีความเข้มข้นของเชื้อก่อโรคสูงสุดภายในรัศมี 2 เมตร แต่ก็สามารถเดินทางไปตำแหน่งอื่น และอาจไปสะสมเพิ่มความเข้มข้นในตำแหน่งอื่นของห้องได้อีกด้วย
จุดตัด 5 ไมโครเมตรที่เดิมเคยใช้กันแพร่หลายในการแบ่งแยกว่าอนุภาคใดเป็นอนุภาคที่สามารถทำให้เกิดการแพร่เชื้อทางอากาศได้หรือไม่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นทวิภาคลวงที่ไม่มีที่มาทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากอนุภาคที่ออกมากับลมหายใจมักมีขนาดหลากหลายออกมาพร้อม ๆ กัน และจะล่องลอยไปหรือตกลงสู่พื้นขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมอีกหลายอย่าง ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเฉพาะขนาดแรกเริ่มของมันเท่านั้น อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคในโรงพยาบาลมานานหลายทศวรรษ[5] ข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับการแพร่กระจายในอาคารของสารคัดหลั่งระบบหายใจทำให้เชื่อว่าอนุภาคขนาด 20 ไมโครเมตร ในระยะแรกที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะลอยไปตามกระแสอากาศในช่วงแรก ซึ่งอาจเป็นกระแสอากาศจากการไอจามหรือจากลมเครื่องปรับอากาศก็ได้ แต่เมื่อเดินทางไปไกลขึ้นก็จะค่อย ๆ ตกลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง[6] มีการพบว่าอนุภาคที่มีขนาดดังกล่าวเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดักจับที่เยื่อเมือกของโพรงจมูกมากที่สุด[7] และเนื่องจากตำแหน่งนี้มักเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19[8] จึงเป็นเหตุผลให้น่าเชื่อว่าอนุภาคขนาดดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดการระบาดทั่วของโควิด-19
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Transmission-Based Precautions". U.S. Centers for Disease Control and Prevention (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2016-01-07. สืบค้นเมื่อ 2020-03-31.
- ↑ Siegel JD, Rhinehart E, Jackson M, Chiarello L, Healthcare Infection Control Practices Advisory Committee. "2007 Guideline for Isolation Precautions: Preventing Transmission of Infectious Agents in Healthcare Settings" (PDF). CDC. p. 19. สืบค้นเมื่อ 2019-02-07.
Airborne transmission occurs by dissemination of either airborne droplet nuclei or small particles in the respirable size range containing infectious agents that remain infective over time and distance
- ↑ 3.0 3.1 Tang, Julian W.; Marr, Linsey C.; Li, Yuguo; Dancer, Stephanie J. (2021-04-14). "Covid-19 has redefined airborne transmission". BMJ (ภาษาอังกฤษ). 373: n913. doi:10.1136/bmj.n913. ISSN 1756-1833. PMID 33853842.
- ↑ 4.0 4.1 Zhang N, Chen W, Chan PT, Yen HL, Tang JW, Li Y (July 2020). "Close contact behavior in indoor environment and transmission of respiratory infection". Indoor Air. 30 (4): 645–661. doi:10.1111/ina.12673. PMID 32259319.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Staudt A, Saunders J, Pavlin J, Shelton-Davenport M, และคณะ (Environmental Health Matters Initiative, National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine) (2020-10-22). Shelton-Davenport M, Pavlin J, Saunders J, Staudt A (บ.ก.). Airborne Transmission of SARS-CoV-2: Proceedings of a Workshop in Brief. Washington, D.C.: National Academies Press. doi:10.17226/25958. ISBN 978-0-309-68408-8. PMID 33119244.
- ↑ Hunziker P (2020-12-16). "Minimizing exposure to respiratory droplets, 'jet riders' and aerosols in air-conditioned hospital rooms by a 'Shield-and-Sink' strategy" (PDF). medrxiv.org. doi:10.1101/2020.12.08.20233056. S2CID 229291099.
- ↑ Kesavanathan J, Swift DL (January 1998). "Human Nasal Passage Particle Deposition: The Effect of Particle Size, Flow Rate, and Anatomical Factors". Aerosol Science and Technology. 28 (5): 457–463. Bibcode:1998AerST..28..457K. doi:10.1080/02786829808965537. ISSN 0278-6826.
- ↑ Adlish, John I.; Neuhold, Piero; Surrente, Riccardo; Tagliapietra, Luca J. (18 June 2021). "RNA Identification and Detection of Nucleic Acids as Aerosols in Air Samples by Means of Photon and Electron Interactions". Instruments (ภาษาอังกฤษ). 5 (2): 23. doi:10.3390/instruments5020023.