ข้ามไปเนื้อหา

การเป็นเชลยของบาบิโลน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การกวาดต้อนนักโทษ (ค.ศ. 1896) โดยเจมส์ ทิซโซต์ แสดงเหตุการณ์การพลัดถิ่นของชาวยิวจากคานาอันไปยังบาบิโลน
เศรุบบาเบลและไซรัส (คริสต์ทศวรรษ 1650) โดย Jacob van Loo แสดงเหตุการณ์ที่เศรุบบาเบลผู้ว่าราชการชาวยิวให้พระเจ้าไซรัสมหาราชทอดพระเนตรโครงการบูรณะเยรูซาเล็ม

การเป็นเชลยของบาบิโลน[1] (อังกฤษ: Babylonian captivity) หรือ การพลัดถิ่นไปบาบิโลน (อังกฤษ: Babylonian exile) เป็นช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของชาวยิวซึ่งชาวยูเดียจำนวนมากจากราชอาณาจักรยูดาห์โบราณถูกจักรวรรดิบาบิโลนใหม่บังคับให้ย้ายถิ่นฐาน[2] การกวาดต้อนเกิดขึ้นเป็นหลายระลอก ได้แก่ หลังการล้อมเยรูซาเล็มเมื่อ 597 ปีก่อนคริสตกาล มีคนประมาณ 7,000 คนที่ถูกกวาดต้อนไปยังเมโสโปเตเมีย การกวาดต้อนเพิ่มเติมเกิดขึ้นหลังการทำลายเยรูซาเล็มและพระวิหารของซาโลมอนเมื่อ 587 ปีก่อนคริสตกาล[2]

คัมภีร์ไบเบิลบันทึกว่าหลังยุทธการที่คารเคมิชเมื่อ 605 ปีก่อนคริสตกาล เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์บาบิโลนทรงยกทัพล้อมเยรูซาเล็ม ทำให้เยโฮยาคิมกษัตริย์ยูดาห์ทรงจำต้องถวายบรรณาการ[3] ในปีที่ 4 ของรัชสมัยเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 เยโฮยาคิมทรงปฏิเสธที่จะถวายบรรณาการเพิ่มเติม นำไปสู่การล้อมเยรูซาเล็มอีกครั้งในปีที่ 7 ของรัชสมัยเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (598/597 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการสิ้นพระชนม์ของเยโฮยาคิม และการตกเป็นเชลยในบาบิโลนของเยโคนิยาห์พระโอรสและผู้สืบราชบัลลังก์ของเยโคยาคิม ข้าราชสำนักของพระองค์ รวมถึงคนอื่น ๆ อีกหลายคน เศเดคียาห์ผู้สืบราชบัลลังก์ถัดจากเยโคนิยาห์และคนอื่น ๆ ตกไปเป็นเชลยเมื่อเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์บาบิโลนทรงทำลายเยรูซาเล็มในปีที่ 18 ของรัชสมัยพระองค์ (587 ปีก่อนคริสตกาล) และการกวาดต้อนในภายหลังเกิดขึ้นในปีที่ 23 ของรัชสมัยเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (582 ปีก่อนคริสตกาล) อย่างไรก็ตาม วันที่กวาดต้อน จำนวนการกวาดต้อน และจำนวนผู้ถูกกวาดต้อนมีความแตกต่างกันไปในหลายบันทึกของคัมภีร์ไบเบิล[4][5]

คัมภีร์ไบเบิลระบุว่าหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิบาบิโลนใหม่ให้กับจักรวรรดิอะคีเมนิด (จักรวรรดิเปอร์เซีย) หลังยุทธการที่โอพิสเมื่อ 539 ปีก่อนคริสตกาล ชาวยูเดียที่เป็นเชลยได้รับการอนุญาตจากเปอร์เซียให้กลับไปยังยูดาห์ได้[6][7] หนังสือเอสราในคัมภีร์ไบเบิลระบุว่าการก่อสร้างพระวิหารที่สองในเยรูซาเล็มเริ่มต้นเมื่อประมาณ 537 ปีก่อนคริสตกาลในแคว้น Yehud Medinata ที่จัดตั้งใหม่ของเปอร์เซีย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวยิว และท้ายที่สุดก็ส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อพัฒนาการของศาสนายูดาห์[2]

การศึกษาทางโบราณคดีเผยว่าแม้ว่าเมืองเยรูซาเล็มจะถูกทำลายจนสิ้น แต่ส่วนอื่น ๆ ของยูดาห์ยังคงมีผู้อยู่อาศัยในช่วงของการตกไปเป็นเชลย บันทึกทางประวัติศาสตร์จากเมโสโปเตเมียและแหล่งข้อมูลของชางยิวบ่งชี้ว่าประชากรชาวยิวจำนวนมากเลือกที่จะยังอยู่ในเมโสโปเตเมีย การตัดสินใจนี้ส่งผลทำให้มีการก่อตั้งชุมชนชาวยิวขนาดใหญ่ในเมโสโปเตเมียที่รู้จักในคำเรียกว่า โกลาห์ (golah; การกระจัดกระจาย) ซึ่งดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน[2] เชื่อกันว่าชุมชนชาวยิวอิรัก, ชาวยิวเปอร์เซีย, ชาวยิวจอร์เจีย, ชาวยิวบูฆอรอ และชาวยิวภูเขามีบรรพบุรุษส่วนใหญ่ที่มาจากผู้ตกเป็นเชลยเหล่านี้ ปัจจุบันชุมชนเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ย้ายถิ่นฐานมายังประเทศอิสราเอล[8][9]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 86
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 Lemche, Niels Peter (2004). Historical dictionary of ancient Israel. Historical dictionaries of ancient civilizations and historical eras. Lanham, Md.: Scarecrow Press. pp. 73. ISBN 978-0-8108-4848-1.
  3. Coogan, Michael (2009). A Brief Introduction to the Old Testament. Oxford: Oxford University Press.
  4. Moore, Megan Bishop; Kelle, Brad E. (2011). Biblical History and Israel S Past: The Changing Study of the Bible and History. Wm. B. Eerdmans Publishing. pp. 357–58. ISBN 978-0802862600. สืบค้นเมื่อ 11 June 2015. Overall, the difficulty in calculation arises because the biblical texts provide varying numbers for the different deportations. The HB/OT’s conflicting figures for the dates, number and victims of the Babylonian deportations become even more of a problem for historical reconstruction because, other than the brief reference to the first capture of Jerusalem (597) in the Babylonian Chronicle, historians have only the biblical sources with which to work.
  5. Dunn, James G.; Rogerston, John William (2003). Eerdmans Commentary on the Bible. Wm. B. Eerdmans Publishing. p. 545. ISBN 978-0-8028-3711-0.
  6. Jonathan Stökl, Caroline Waerzegger (2015). Exile and Return: The Babylonian Context. Walter de Gruyter GmbH & Co. pp. 7–11, 30, 226.
  7. Encyclopaedia Judaica. Vol. 3 (2nd ed.). p. 27.
  8. The Wellspring of Georgian Historiography: The Early Medieval Historical Chronicle The Conversion of Katli and The Life of St. Nino, Constantine B. Lerner, England: Bennett and Bloom, London, 2004, p. 60
  9. Dekel, Mikhal (19 October 2019). "When Iran Welcomed Jewish Refugees". Foreign Policy.

อ่านเพิ่มเติม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]