การสักยันต์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยันต์แปดทิศ เชื่อว่ามีคุณทางด้านเมตตา อยู่ยงคงกระพัน คุ้มครองทิศทั้งแปด
การสักยันต์ลงบนแผ่นหลัง

การสักยันต์ เป็นการสักที่ต่างจากการสักทั่วไปที่มุ่งเน้นเรื่องความสวยงามหรือเพื่องานศิลปะ แต่การสักยันต์มีจุดประสงค์หลักในเรื่องของความเชื่อทางไสยศาสตร์ เช่น จะทำให้มีโชค แคล้วคลาด ปลอดภัย อยู่ยงคงกระพัน และพ้นจากอันตรายต่าง ๆ โดยมีความเชื่อว่า รูปแบบลายสักหรือยันต์แต่ละชนิดจะให้คุณที่ต่างกัน[1] และผู้ที่ได้รับการสักยันต์จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่แต่ละสำนักกำหนดไว้ เช่น ห้ามด่าบิดามารดา ห้ามลบหลู่ครูอาจารย์ เป็นต้น[2]

การสัก คือ การเอาเหล็กแหลมแทงลงด้วยวิธี การหรือเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ กัน ใช้เหล็กแหลมจุ้มหมึกหรือน้ำมันแทงที่ผิวหนังให้เป็นอักขระ เครื่องหมายหรือลวดลาย ถ้าใช้หมึกเรียกว่าสักหมึก ถ้าใช้น้ำมันเรียกว่าสักน้ำมัน[1] ส่วนคำว่า "ยันต์" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า ยันต์คือตารางหรือลายเส้นเป็นตัวเลข อักขระหรือรูปภาพที่เขียน สัก หรือแกะสลักลงบนแผ่นผ้า ผิวหนัง ไม้ โลหะ เป็นต้น ถือว่าเป็นของขลัง เช่น ยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ เรียกเสื้อหรือผ้าเป็นต้นที่มีลวดลายเช่นนั้นว่า เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ เรียกกิริยาที่ทำเช่นนั้นว่า ลงเลข ลงยันต์[3]

ประวัติ[แก้]

การสักยันต์มีมาก่อนอาณาจักรสุโขทัย โดยต้นแบบน่าจะมาจากขอมในขณะที่ขอมยังครอบครองดินแดนสุวรรณภูมิเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว เพราะอักขระและลวดลายที่ใช้สักกันนั้นเป็นแบบอักษรขอม และใช้ภาษาบาลีเป็นส่วนใหญ่[4]

ส่วนในประเทศไทยการสักสืบทอดกันมาแต่โบราณ ในอดีตข้าราชการของไทยจะทำตำหนิที่ข้อมือคนในบังคับซึ่งเป็นหน้าที่ของแผนกทะเบียนเป็นผู้บันทึกและรวบรวมสถิติชาย สันนิษฐานว่า การทำเครื่องหมายลงบนร่างกายนี้อาจมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ[1][5]

แม้ว่าการสักยันต์ในประเทศไทยจะมีมาแต่โบราณ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนนัก จะมีก็แต่หลักฐานที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน" และวรรณกรรมอื่น ๆ โดยเชื่อมโยงกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ ทำให้แคล้วคลาดต่ออันตรายต่าง ๆ เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจมีความมั่นคง ซึ่งการสักยันต์เพื่อหวังผลทางไสยศาสตร์จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เพื่อผลทางเมตตามหานิยม และคงกระพันชาตรี[1]

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดความนิยมเรื่องการสักยันต์ เพราะมีพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในการสักยันต์ในยุคนั้นได้แก่ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น[6]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 ประวัติความเป็นมาในการสักยันต์ของไทย เก็บถาวร 2013-09-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ไทย)
  2. การสักยันต์มีหลายสำนักที่มีกฏมีระเบียบว่าควรถืออะไรบ้างเมื่อสักยันต์ที่สำนักนั้นแล้ว เก็บถาวร 2013-12-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ไทย)
  3. พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
  4. ความเป็นมาของการสักยันต์[ลิงก์เสีย]
  5. พระปลัดระพิน พุทธิสาโร. (2561). รหัสพุทธธรรม : ยันต์โสฬสที่วัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา Code of Buddhadahmma : Yantra Solasa in Wat Na Phra Meru in Ayutthaya http://gps.mcu.ac.th/wp-content/uploads/2016/09/Yantra-12-6-63-1-1.pdf
  6. เอก นาครทรรพ. "การศึกษาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในเลขยันต์ไทย" (PDF). มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

ดูเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]