ข้ามไปเนื้อหา

การลอบสังหารคิม จ็อง-นัม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การลอบสังหารคิม จ็อง-นัม
ล็อบบี้หลักของอาคาร 2 ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KLIA2) ประเทศมาเลเซีย (ภาพถ่ายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016)
สถานที่อาคาร 2 ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พิกัด2°44′35″N 101°41′10″E / 2.74306°N 101.68611°E / 2.74306; 101.68611
วันที่13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017
เป้าหมายคิม จ็อง-นัม
ประเภทการวางยาพิษด้วยสารทำลายประสาท
อาวุธสารทำลายประสาทวีเอ็กซ์
ผู้ก่อเหตุเกาหลีเหนือ (ถูกกล่าวหา)
ซีตี ไอชะฮ์
ดว่าน ถิ เฮือง
เหตุจูงใจไม่ทราบ
ผู้ต้องหาเกาหลีเหนือ
การลงโทษหนึ่งคนถูกตัดสินว่า "ทำร้ายร่างกายโดยสมัครใจด้วยอาวุธหรือวิธีการอันตราย"
ค่าภาระติดพันN/A

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 คิม จ็อง-นัม พี่ชายต่างมารดาของคิม จ็อง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ถูกลอบสังหารที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ในประเทศมาเลเซีย เขาอาศัยอยู่ต่างประเทศนับตั้งแต่ถูกเนรเทศออกจากเกาหลีเหนือใน ค.ศ. 2003

หลังเดินทางไปเยือนเกาะลังกาวี คิม จ็อง-นัมเดินทางมาถึงอาคารผู้โดยสาร 2 ก่อนเวลา 9:00 น. เล็กน้อยเพื่อขึ้นเครื่องบินแอร์เอเชียเที่ยวบินเวลา 10:50 น. ไปยังมาเก๊า ประมาณ 9:00 น. หญิงสองคนพ่นสารทำลายประสาทวีเอ็กซ์ใส่คิม จ็อง-นัม เขาเสียชีวิตประมาณ 15 ถึง 20 นาทีต่อมาขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

หญิงทั้งสองถูกระบุตัวตนว่าคือ ซีตี ไอชะฮ์จากอินโดนีเซีย และดว่าน ถิ เฮืองจากเวียดนาม ทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมคิม จ็อง-นัม ท้ายที่สุดข้อหาฆาตกรรมก็ถูกยกเลิกเมื่อพบว่าพวกเธอถูกใช้ในการลอบสังหารโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม เฮืองรับสารภาพในข้อหาที่เบากว่าคือ "ทำร้ายร่างกายโดยสมัครใจด้วยอาวุธหรือวิธีการเป็นอันตราย" และได้รับโทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน เธอได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 2019

เป็นที่เชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าคิม จ็อง-นัมถูกสังหารตามคำสั่งของคิม จ็อง-อึน[1][2] ผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือสี่คน ภายหลังได้รับการยืนยันว่าเป็นสายลับ ออกจากสนามบินหลังเหตุลอบสังหารไม่นานและเดินทางถึงเปียงยางโดยไม่ถูกจับกุม ชาวเกาหลีเหนือคนอื่น ๆ ถูกจับกุมแต่ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีการตั้งข้อหา

การโจมตี

[แก้]

คิม จ็อง-นัมเดินทางถึงมาเลเซียในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 และเดินทางต่อไปยังเกาะลังกาวีซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวในวันที่ 8 กุมภาพันธ์[3][4] วันที่ 13 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 9.00 น.[5] เขาถูกหญิงสองคนเข้าประชิดตัว คนหนึ่งเป็นชาวเวียดนามและอีกคนหนึ่งเป็นชาวอินโดนีเซีย[6] และถูกโจมตีด้วยสารทำลายประสาทวีเอ็กซ์ใกล้กับตู้เช็กอินด้วยตัวเองที่ชั้น 3 ของโถงผู้โดยสารขาออกในอาคาร 2 อาคารผู้โดยสารสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำของท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์[7] ขณะกำลังรอเที่ยวบินของสายการบินแอร์เอเชียไปยังมาเก๊าในเวลา 10:50 น.[8] สารวีเอ็กซ์เป็นอาวุธเคมีที่ถูกห้ามโดย อนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี ค.ศ. 1993 เกาหลีเหนือซึ่งยังไม่ได้ให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาดังกล่าวถูกสงสัยว่าครอบครองอาวุธชนิดนี้อยู่[9][10][11][12]

ตำรวจมาเลเซียกล่าวว่าคิมได้แจ้งพนักงานต้อนรับที่สนามบิน โดยบอกว่า "มีคนจับเขาจากด้านหลังแล้วสาดของเหลวใส่หน้าเขา" และหญิงคนหนึ่ง "เอาผ้าชุบของเหลวมาคลุมหน้าเขา"[13][5]

มีการรัดอุปกรณ์ช่วยหายใจไว้ที่ใบหน้าของคิม และเขาก็ถูกนำตัวขึ้นเปลหามผ่านสนามบินเพื่อขึ้นรถพยาบาล[14] เขาได้รับการปฐมพยาบาลที่คลินิกเมนาราเมดิคัลภายในสนามบินโดยพยาบาลราบีอาตุล อาดาวิยะฮ์ โมฮัมหมัด โซฟี และนายแพทย์นิก โมฮัมหมัด อัดซรูล อาริฟ ราจา อาซลัน ซึ่งต่อมาให้การว่าเขามีเหงื่อออก ปวดและไม่ตอบสนอง[13][15] ที่คลินิก คิมได้รับยาอะโทรพีน 1 มิลลิกรัม และอะดรีนาลีนด้วย[16] เขาได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ เขาเสียชีวิตประมาณ 15 ถึง 20 นาทีหลังการโจมตี ระหว่างที่กำลังถูกส่งตัวจากสนามบินไปยังโรงพยาบาลปุตราจายา[17][6][18][19]

เนื่องจากคิม จ็อง-นัมเดินทางภายใต้นามแฝงว่า "คิม ช็อล" ทางการมาเลเซียจึงยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการในทันทีว่าชายที่เสียชีวิตคือคิม จ็อง-นัม[12][20] การที่คิมใช้เฟซบุ๊กอย่างกว้างขวางภายใต้นามแฝงนี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 2010 เป็นอย่างน้อย และการใช้บริการอีเมลเชิงพาณิชย์ในการสื่อสาร อาจทำให้สายลับเกาหลีเหนือสามารถสืบหาที่อยู่และติดตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ง่ายขึ้น[21] ขณะที่เขาเสียชีวิต กระเป๋าเป้ของคิมมีเงินสดอยู่ประมาณ 100,000 ดอลลาร์และเขากำลังถือหนังสือเดินทางเกาหลีเหนือสี่เล่ม ทั้งหมดระบุชื่อว่าคิม ช็อล[22][23]

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ตำรวจมาเลเซียจับกุมดว่าน ถิ เฮือง หญิงชาวเวียดนามวัย 28 ปีที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้[24][20] เฮืองถูกระบุตัวตนจากภาพวงจรปิด[25] วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ซีตี ไอชะฮ์ หญิงชาวอินโดนีเซียวัย 25 ปีถูกจับกุมและถูกระบุว่าเป็นผู้ต้องสงสัยหญิงคนที่สอง[26] มูฮัมหมัด ฟาริด บิน ญะลาลุดดีน แฟนหนุ่มชาวมาเลเซียวัย 26 ปีของไอชะฮ์[nb 1]ก็ถูกจับกุมในวันที่ 16 กุมภาพันธ์เพื่อช่วยในการสอบสวนเช่นกัน[22][27]

เฮืองให้การกับตำรวจว่าเธอได้รับคำสั่งจากชายสี่คนซึ่งเดินทางมาพร้อมกับพวกเธอให้พ่นของเหลวบางอย่างที่ยังไม่ระบุชนิดใส่คิมขณะที่ไอชะฮ์จับและเอาผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าของเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงแกล้งคน[28] ภาพวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าเฮืองและไอชะฮ์รีบวิ่งไปยังห้องน้ำแยกกันหลังก่อเหตุ และพวกเธอมุ่งหน้าไปยังจุดจอดแท็กซี่ของสนามบินหลังออกจากห้องน้ำ[29] พบว่าเฮืองขึ้นแท็กซี่ออกจากสนามบินประมาณ 9:30 น.[8] เฮืองอ้างว่าหลังจากเธอกลับไปมองหาคนอื่น ๆ พวกเขาก็หายไปและดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับมาที่สนามบิน[28]

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ตำรวจจับกุมชายชาวเกาหลีเหนือวัย 46 ปีชื่อรี จ็อง-ช็อล[30][31] เขาถูกระบุว่าเป็นพนักงานไอทีของบริษัททอมโบเอ็นเตอร์ไพรส์ (Tombo Enterprise) ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย[32]

ปฏิกิริยาจากนานาชาติ

[แก้]

เกาหลีใต้

[แก้]

คิม มย็อง-ย็อน โฆษกพรรคเสรีเกาหลีของเกาหลีใต้ กล่าวถึงการสังหารครั้งนี้ว่าเป็น "ตัวอย่างที่ชัดเจนของการปกครองแบบก่อการร้ายของคิม จ็อง-อึน"[33] รัฐบาลเกาหลีใต้เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับการประหารชีวิตอาของคิม จ็อง-อึนและคนอื่น ๆ[34][35] ฮวัง กโย-อัน รักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวว่า หากได้รับการยืนยันว่าการฆาตกรรมครั้งนี้ถูกบงการโดยเกาหลีเหนือ นั่นจะแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของระบอบอย่างชัดเจน[36]

สหรัฐ

[แก้]

เกาหลีเหนือถูกจัดให้เป็นรัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้ายอีกครั้งโดยสหรัฐในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 โดยการลอบสังหารนี้ถูกอ้างถึงว่าเป็นหนึ่งในเหตุผล[37]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อเกาหลีเหนือ โดยยืนยันว่าเกาหลีเหนือใช้สารทำลายประสาทวีเอ็กซ์ในการลอบสังหารคิม จ็อง-นัม[38][39]

วันที่ 10 มิถุนายน 2019 หลังการพิจารณาคดี เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่าอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่าคิมเคยเป็นแหล่งข่าวของซีไอเอ หนังสือของแอนนา ฟิฟีลด์ หัวหน้าสำนัก เดอะวอชิงตันโพสต์ ประจำปักกิ่ง เคยรายงานเรื่องนี้มาก่อน โดยระบุว่าเขาเคยถูกบันทึกภาพในต่างประเทศกับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐและได้สะพายกระเป๋าเป้ที่มีเงินสด 120,000 ดอลลาร์[40][41][42]

คำขอโทษจากเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือถึงเวียดนาม

[แก้]

วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2018 มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือได้แสดงการขอโทษอย่างไม่เป็นทางการต่อเวียดนามกรณีที่มีหญิงชาวเวียดนามเข้าไปพัวพันกับการลอบสังหารหลังเวียดนามเรียกร้องให้มีการขอโทษอย่างเป็นทางการและขู่จะตัดความสัมพันธ์ทางการทูต[43]

ปฏิกิริยาอื่น ๆ

[แก้]

คณะมนตรีบริหารขององค์การห้ามอาวุธเคมี (OPCW) แสดง "ความกังวลอย่างยิ่ง" ต่อเหตุการณ์ดังกล่าวและเรียกร้องให้ผู้ที่รับผิดชอบในการใช้อาวุธเคมีต้องถูกนำตัวมาลงโทษ[44]

การชันสูตรพลิกศพ

[แก้]

มีการดำเนินการชันสูตรพลิกศพแม้นักการทูตเกาหลีเหนือจะคัดค้านขั้นตอนดังกล่าวกับร่างของคิม[25] เจ้าหน้าที่มาเลเซียให้ความเห็นในภายหลังว่า การชันสูตรดำเนินไปได้เนื่องจากนักการทูตเกาหลีเหนือไม่ได้ยื่นเรื่องประท้วงอย่างเป็นทางการ[27] การชันสูตรพลิกศพของคิมดำเนินการในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลกัวลาลัมเปอร์โดยมีเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือหลายคนอยู่ด้วย[45] และเสร็จสิ้นในวันถัดมาโดยมีการยืนยันตัวตนของร่างคิมอย่างเป็นทางการ[27] การชันสูตรดำเนินการโดยพยาธิแพทย์โมฮาหมัด ชะฮ์ มะฮ์มูดจากโรงพยาบาลกัวลาลัมเปอร์ ผู้ซึ่งให้การว่าปอด สมอง ตับและม้ามของคิมได้รับผลกระทบจากพิษ[46] นูร์ อาชิกิน อุษมาน นักเคมีพยาธิวิทยา ให้การว่าปัสสาวะของคิมแสดงผลของการได้รับสารพิษ[46] ระดับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสที่ต่ำบ่งชี้ว่าจ็อง-นัมได้รับสารฆ่าแมลงหรือสารทำลายประสาท[16][47] ดร. นูร์ลิซา บิน อับดุลละฮ์ ที่ปรึกษาด้านนิติเวช ให้การว่าอาการม่านตาหดตัวของจ็อง-นัมและอุจจาระในกางเกงชั้นในของเขาบ่งชี้ว่าเขาถูกวางยาพิษ[48][49]

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ คาลิด อาบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย ประกาศว่ารายงานผลการชันสูตรพลิกศพทางพิษวิทยาพบร่องรอยของสารทำลายประสาทวีเอ็กซ์บนใบหน้าของคิม[10] ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการใช้สารวีเอ็กซ์อาจอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีผู้ก่อเหตุสองคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากผู้ก่อเหตุ "อาจปาดสารตั้งต้นสองชนิดหรือมากกว่านั้น" บนใบหน้าของคิม[9] ซึ่งวิธีนี้เรียกว่าอาวุธเคมีฐานสอง (binary chemical weapon)[50][51] วิธีการนี้สามารถช่วยให้ผู้ก่อเหตุไม่เสียชีวิตจากยาพิษด้วยตัวเอง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในปริมาณที่น้อยมาก นอกจากนี้ การลักลอบนำส่วนประกอบทางเคมีเข้าสู่มาเลเซียแยกกันอาจช่วยเลี่ยงการตรวจจับได้[9][50][52] ไอชะฮ์รายงานว่าเธออาเจียนในแท็กซี่หลังจากนั้นและยังคงรู้สึกไม่สบาย[18]

ฌอน-ปาสกาล แซนเดอส์ และริชาร์ด กูทรี ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมี ตั้งข้อสังเกตว่าผลกระทบที่รายงานไม่สอดคล้องกับประสิทธิภาพของสารวีเอ็กซ์อย่างสมบูรณ์ นั่นคือคิมสามารถเดินไปที่ห้องพยาบาลได้โดยไม่เป็นตะคริว เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินไม่ได้รับผลกระทบ ผู้ก่อเหตุรอดชีวิตและไม่มีรายงานการบาดเจ็บอื่น ๆ เลยแม้สถานที่เกิดเหตุจะยังไม่ได้รับการทำความสะอาดนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ สารวีเอ็กซ์เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วเมื่อเก็บไว้นานและเชื่อกันว่าสารเคมีที่เกาหลีเหนือมีนั้นมีอายุหลายปีแล้ว ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าทำไมสารเคมีนั้นจึงดูเหมือนมีฤทธิ์อ่อนกว่าควรจะเป็น[53]

วันที่ 10 มีนาคม ตำรวจดำเนินการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นโดยยืนยันว่าผู้เสียชีวิตคือคิม จ็อง-นัมจากดีเอ็นเอที่ได้รับจากคิม ฮัน-ซล บุตรชายของเขา[54] และส่งมอบศพให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไป[55] กระทรวงสาธารณสุขระบุว่าจะให้เวลาครอบครัวของคิมสองถึงสามสัปดาห์ในการมารับศพ[56] โดยศพถูกดองเพื่อรักษาสภาพไว้ในช่วงเวลานั้น[57] อย่างไรก็ตาม ครอบครัวปฏิเสธจะรับศพและอนุญาตให้ทางการมาเลเซียจัดการกับร่างที่เหลือ[58] แม้จะมีการคัดค้านจากคิม ฮัน-ซล แต่ศพก็ถูกส่งไปเปียงยางในวันที่ 31 มีนาคม[59] เสื้อเบลเซอร์ กระเป๋าเป้ และนาฬิกาของคิม จ็อง-นัมในตอนแรกได้ถูกส่งไปยังแผนกเคมีของตำรวจเพื่อทำการวิเคราะห์ แต่ต่อมาถูกส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเกาหลีเหนือ[23]

การประท้วงทางการทูต

[แก้]

หลังการที่มาเลเซียปฏิเสธจะส่งมอบศพทันที คัง ชล เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือ กล่าวหามาเลเซียว่าร่วมมือกับศัตรูของประเทศในการลอบสังหารคิม จ็อง-นัม[60] เอกอัครราชทูตกล่าวว่าพวกเขาจะปฏิเสธผลการชันสูตรพลิกศพที่ดำเนินการกับ "พลเมืองของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต" และมองว่าการตัดสินใจนี้เป็นการ "ละเมิดสิทธิมนุษยชน" และดังนั้นจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)[30] รัฐบาลมาเลเซียเรียกตัวเอกอัครราชทูตไปชี้แจงใยวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ขณะที่เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำเกาหลีเหนือถูกเรียกตัวกลับประเทศ[61]

จากนั้นเอกอัครราชทูตตอบกลับว่าพวกเขาไม่สามารถไว้วางใจการสอบสวนที่ดำเนินการโดยตำรวจมาเลเซียได้ โดยชี้ให้เห็นว่าไม่มีหลักฐานสาเหตุการเสียชีวิตเลยแม้จะผ่านไปหนึ่งสัปดาห์หลังการโจมตีแล้วก็ตาม เขายังเสนอให้เกาหลีเหนือและมาเลเซียเปิดการสอบสวนร่วมกันเพื่อป้องกันอิทธิพลจากเกาหลีใต้ ซึ่งเขากล่าวว่ากำลังพยายามบิดเบือนข้อมูลให้เกาหลีเหนือเป็นผู้รับผิดชอบการสังหาร[62] นาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตอบกลับเอกอัครราชทูตว่าประเทศของตนจะเป็นกลางระหว่างการสอบสวน โดยปฏิเสธคำขอสอบสวนร่วม[63][64] วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ตำรวจมาเลเซียกล่าวว่ามีหลักฐานความพยายามบุกรุกห้องเก็บศพที่เก็บร่างของคิมไว้[65]

รัฐบาลเกาหลีเหนือปฏิเสธผลการสอบสวนทั้งหมด โดยกล่าวหาว่าตำรวจมาเลเซียสร้างหลักฐานเท็จสมคบคิดกับเกาหลีใต้และเรียกร้องให้ปล่อยตัวบุคคลสามคนที่ถูกควบคุมตัวในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตดังกล่าว[66]

ข้อพิพาทเกาหลีเหนือ–มาเลเซีย

[แก้]

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ รัฐบาลเกาหลีเหนือส่งคณะผู้แทนระดับสูงมายังมาเลเซีย[67] เกาหลีเหนือกล่าวว่าข้ออ้างที่ว่ามีการใช้สารประสาทวีเอ็กซ์ในการสังหารพลเมืองของตนนั้นเป็นเรื่องไร้สาระและขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยมองว่าเป็นข้อกล่าวหาที่สหรัฐและเกาหลีใต้ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อทำให้ภาพลักษณ์ของตนเสียหาย[68] พร้อมเสริมว่าการเสียชีวิตเกิดจาก "อาการหัวใจวาย" เนื่องจากคิม จ็อง-นัมมีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจ เกาหลีเหนือย้ำว่าหากสาเหตุมาจากสารเคมีจริง ควรได้รับการพิสูจน์โดยองค์การห้ามอาวุธเคมี[69] ตำรวจมาเลเซียปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของเกาหลีเหนือทันที[70] อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ระบุว่าประเทศได้ให้ความร่วมมือกับองค์การฯ แล้ว[71][12]

มาเลเซียประกาศในวันที่ 6 มีนาคมว่าจะยกเลิกการยกเว้นวีซ่าสำหรับพลเมืองเกาหลีเหนือ โดยอ้างถึง "ปัญหาด้านความมั่นคง"[72] ก่อนหน้านั้นเพียงสองวัน คือในวันที่ 4 มีนาคม คัง ชล เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือ ถูกประกาศให้เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาและได้รับแจ้งให้เดินทางออกนอกประเทศภายใน 48 ชั่วโมง[73] ซึ่งเป็นมาตรการที่เกาหลีเหนือเองก็ได้ตอบโต้ด้วยการดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับเอกอัครราชทูตมาเลเซียเช่นกัน[74] ทางด้านทางการเกาหลีเหนือก็ตอบโต้ในวันที่ 7 มีนาคมด้วยการห้ามพลเมืองมาเลเซียทุกคนที่อยู่ในเกาหลีเหนือเดินทางออกนอกประเทศ[75] ทางการมาเลเซียจึงออกมาตรการตอบโต้เช่นกันโดยห้ามพลเมืองเกาหลีเหนือเดินทางออกนอกประเทศมาเลเซีย[76]

วันที่ 30 มีนาคม นาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่าชาวมาเลเซียทุกคนในเกาหลีเหนือ รวมถึงชาวเกาหลีเหนือในมาเลเซียจะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับประเทศบ้านเกิดของตนได้หลังได้รับจดหมายจากครอบครัวของคิมที่ร้องขอให้นำร่างของเขากลับไปเกาหลีเหนือ[77]

ความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต

[แก้]

หลังการประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-สหรัฐ ค.ศ. 2018 ที่จัดขึ้นในสิงคโปร์ในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2018 รัฐบาลมาเลเซียชุดใหม่ที่นำโดยพรรคปากาตันฮาราปันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีมาฮาดีร์ โมฮามัดกล่าวว่า:

"โลกไม่ควรมองผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จ็อง-อึน ด้วยความสงสัย แต่ควรเรียนรู้จากทัศนคติใหม่ของเขาในการนำมาซึ่งสันติภาพ"[78]

ในการแถลงข่าวร่วมกันในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เขากล่าวว่า: "เราหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จจากการประชุมครั้งประวัติศาสตร์"[79] พร้อมเสริมว่า "มาเลเซียจะเปิดสถานทูตในเกาหลีเหนืออีกครั้งเพื่อยุติข้อพิพาททางการทูตเกี่ยวกับการลอบสังหารคิม จ็อง-นัม"[80] วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 มาฮาดีร์กล่าวว่ามาเลเซียจะยุติปัญหากับเกาหลีเหนือในไม่ช้าหลังการประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-สหรัฐ ค.ศ. 2019 ซึ่งจัดขึ้นในฮานอย ประเทศเวียดนาม ในวันที่ 27–28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 แต่หลังการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ก็ไม่มีแถลงการณ์สำคัญใด ๆ ออกมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[81][82]

การสืบสวนเพิ่มเติม

[แก้]

จากข้อมูลของวัน อาซิรุล นิซาม เช วัน อาซิส หัวหน้าพนักงานสอบสวนตำรวจ คิม จ็อง-นัมเคยบอกกับเพื่อนว่าเขากลัวว่าชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตรายหกเดือนก่อนการลอบสังหาร[83]

ซีตี ไอชะฮ์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัย อยู่ในมาเลเซียอย่างน้อยหนึ่งวันก่อนการโจมตี มีรายงานว่าเธอมาฉลองวันเกิดกับเพื่อน ๆ[84] ไอชะฮ์เป็นแม่หย่าร้างที่ทำงานเป็นพนักงานนวดสปาในกัวลาลัมเปอร์ เธอเดินทางกลับอินโดนีเซียเป็นประจำเพื่อพบมารดาและบุตรชายของเธอ เธอเคยบอกมารดาว่าเธอได้งานที่ดีขึ้นในฐานะนักแสดงในวิดีโอแกล้งคนสำหรับตลาดจีน[85] หลังเฮืองและไอชะฮ์ถูกจับกุม พวกเขากล่าวอ้างว่าคิดว่าพวกเขากำลังเข้าร่วมการแสดงแกล้งคน[86] ตามคำให้การของผู้ต้องสงสัยทั้งสองคน พวกเขาได้รับคำสั่งให้แกล้งคนที่ไม่เป็นอันตรายในบริเวณใกล้เคียงสำหรับรายการโทรทัศน์แกล้งคน โดยหนึ่งในเป้าหมายคือคิม จ็อง-นัม[87] พวกเขากล่าวว่าพวกเขาได้รับคำสัญญาว่าจะได้รับเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หลังขาดการติดต่อกับผู้บงการ พวกเขาก็ไม่ได้รับเงินเลย[88]

ตามที่ทนายความของพวกเธอกล่าว เฮืองถูกชักชวนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2016 ในฮานอย ประเทศเวียดนาม ขณะที่ไอชะฮ์ถูกชักชวนในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017 โดยแมวมองชาวมาเลเซียที่ทำงานให้กับเกาหลีเหนือ หญิงทั้งสองถูกจัดการโดยทีมชายชาวเกาหลีเหนือที่แยกจากกัน ซึ่งแอบอ้างว่าเป็นชาวญี่ปุ่นและชาวจีน โดยหนึ่งในผู้ชักชวนคือรี จี-อู[88] ตั้งแต่ถูกชักชวน ไอชะฮ์ได้แสดงการแกล้งอย่างน้อย 10 ครั้ง เธอถูกส่งตัวไปพนมเปญเพื่อแสดงการแกล้งสามครั้ง โดยมีข้อเสนอ 200 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เฮืองแสดงสี่ครั้งในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงอาคารผู้โดยสารของสนามบินและโรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ลในกัวลาลัมเปอร์[88] การแกล้งเกี่ยวข้องกับการเข้าใกล้ผู้ชายที่ไม่สงสัยและใช้มือแตะใบหน้าหรือจูบแก้ม จากนั้นก็ขอโทษก่อนจะวิ่งหนีไป จากนั้นรี จี-อูกล่าวว่าจะมีนักแสดงหญิงและชายคนใหม่เข้าร่วมการเล่นตลกที่สนามบิน เขาบรรยายถึงนักแสดงชายว่าเป็นชายอ้วนและศีรษะล้าน มี "กระเป๋าและแจ็กเกตสีดำ" ตรงกับลักษณะของคิมในวันที่เขาเสียชีวิต[89] ตำรวจมาเลเซียได้รูปภาพของ "เจมส์" จากโทรศัพท์ของซีตี ไอชะฮ์ ซึ่งต่อมาถูกระบุว่าเป็นรี จี-อู[90] ตำรวจพยายามค้นหาเขาแต่เขาไปอยู่ที่สถานทูตเกาหลีเหนือแล้ว[85]

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ตำรวจมาเลเซียระบุตัวผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือเพิ่มอีก 4 คน[91] พวกเขาถูกระบุว่าคือรี จี-ฮย็อน (อายุ 33 ปี) ฮง ซ็อง-ฮัก (34 ปี) โอ จ็อง-กิล (55 ปี) และรี แจ-นัม (57 ปี) ทั้งหมดเดินทางออกจากมาเลเซียหลังการโจมตี และตำรวจมาเลเซียได้ขอความช่วยเหลือจากตำรวจสากลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในการติดตามตัวพวกเขา[92] ตามแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ผู้ต้องสงสัยทั้งสี่คนเดินทางไปจาการ์ตา ดูไบ และวลาดีวอสตอคก่อนจะไปถึงเปียงยาง[93][94] ผู้ต้องสงสัยชายชาวเกาหลีเหนืออีกสามคนยังคงอยู่ในมาเลเซีย ได้แก่ รี จี-อู ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในมาเลเซียมาสามปี คิม อุก-อิล พนักงานสายการบินแอร์โครยอ และฮย็อน กวัง-ซ็อง เลขานุการหมายเลขสองของสถานทูตเกาหลีเหนือ[95][96] ผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ได้ลี้ภัยอยู่ในสถานทูตเกาหลีเหนือ[97][98]

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ คาลิด อาบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย กล่าวว่าการสังหารครั้งนี้เป็น "ความพยายามที่วางแผนไว้ล่วงหน้า" และหญิงสองคนที่ถูกจับกุมได้รับการฝึกฝนให้ก่อเหตุและมีการซ้อมการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่พาวิลเลียนกัวลาลัมเปอร์และกัวลาลัมเปอร์ซิตีเซ็นเตอร์ (KLCC)[96] คาลิดยังอ้างด้วยว่าหญิงทั้งสองน่าจะรู้ว่าพวกเธอกำลังใช้สารพิษ[96] ในวันเดียวกันนั้น ชายชาวมาเลเซียที่ไม่เปิดเผยชื่อซึ่งเชื่อว่าเป็นนักเคมีถูกตำรวจจับกุมระหว่างการบุกค้นคอนโดมิเนียมซึ่งเขานำตำรวจไปยังคอนโดมิเนียมอีกแห่งที่ยึดสารเคมีต่าง ๆ ได้[99]

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ หญิงทั้งสองถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม ซึ่งมีโทษประหารชีวิตภาคบังคับ[87][86] ทนายความของเฮืองได้เรียกร้องให้มีการชันสูตรพลิกศพครั้งที่สอง เนื่องจากเขาสงสัยในความเชี่ยวชาญของมาเลเซีย และเรียกร้องให้ผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นและอิรักรวมถึงนักพยาธิวิทยาจากเกาหลีเหนือเองเข้ามาเกี่ยวข้อง[100] ตำรวจมาเลเซียตอบกลับโดยบอกให้ทนายความยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูง[101]

วันที่ 3 มีนาคม รี จ็อง-ชอล ผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือเพียงคนเดียวที่ถูกควบคุมตัว ได้รับการปล่อยตัวและถูกเนรเทศออกนอกประเทศเนื่องจากขาดหลักฐาน[102] ขณะเดินทางผ่านประเทศจีน เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าตำรวจมาเลเซียข่มขู่จะทำร้ายครอบครัวของเขาหากเขาไม่สารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและกล่าวว่าการจับกุมเขาเป็นส่วนหนึ่งของ "การสมคบคิด"[103][104] ตำรวจมาเลเซีย ปฏิเสธข้อกล่าวหาของเขาอย่างหนักแน่น[105][106]

วันที่ 16 มีนาคม ตำรวจสากลออกหมายแดง (red notice) สำหรับผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือสี่คนที่หลบหนีไปยังเปียงยาง[107] ผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือสามคนคือ รี จี-อู คิม อุก-อิลและฮยอน ควัง-ซ็อง ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในสถานทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศมาเลเซีย ได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 30 มีนาคมและได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับประเทศหลังพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำและพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่มีความผิด[108]

วันที่ 22 มีนาคม สำนักข่าวย็อนฮับเผยแพร่ข้อมูลระบุว่ารี จี-ฮย็อน หนึ่งในผู้ต้องสงสัยสี่คนที่เดินทางออกจากมาเลเซียหลังการโจมตี (ชายสวมหมวกในภาพจากกล้องวงจรปิดของสนามบิน) เป็นบุตรชายของรี ฮง อดีตเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศเวียดนาม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 เขาเคยทำงานเป็นนักการทูตฝึกหัดในฮานอยเป็นเวลากว่าหนึ่งปีก่อนจะทำหน้าที่ล่ามอีกหลายปี ด้วยความสามารถในการสนทนาภาษาเวียดนามได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้เขาถูกสงสัยว่าหลอกล่อและชักจูงเฮือง ชาวเวียดนาม ให้เชื่อว่าเขาเป็นเศรษฐีชาวเกาหลีใต้ และทำให้เธอเข้าร่วมการแกล้งทางโทรทัศน์ปลอม ๆ[109][110] ตามคำร้องขอของหน่วยงานยุติธรรมของมาเลเซีย ตำรวจสากลได้ประกาศหมายแดงสำหรับรี จี-ฮย็อนในข้อหาพัวพันกับการวางแผนฆาตกรรม[111]

จากการสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์พบว่า คิมมีแล็ปท็อปเดลล์ซึ่งเคยเข้าถึงข้อมูลที่เก็บอยู่ใน USB แฟลชไดรฟ์ขณะอยู่ในลังกาวี แม้ USB แฟลชไดรฟ์นั้นจะไม่ได้อยู่กับเขาในขณะเสียชีวิตก็ตาม[112]

การพิจารณาคดีฆาตกรรม

[แก้]

การพิจารณาคดีฆาตกรรมของซีตี ไอชะฮ์และดว่าน ถิ เฮืองเริ่มขึ้นในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ที่ศาลสูงในชะฮ์อาลัม รัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซีย โดยทั้งสองคนให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา[113][114] ผู้พิพากษาดาตุก อัซมี อาริฟินเป็นประธานผู้พิพากษา[115]

นักเคมีของรัฐบาลมาเลเซียให้การต่อศาลว่าพบผลิตภัณฑ์จากการเสื่อมสภาพของสารวีเอ็กซ์บนตัวหญิงทั้งสองคน[116][117] นี่ถือเป็นหลักฐานแรกที่เชื่อมโยงจำเลยเข้ากับสารทำลายประสาทวีเอ็กซ์[116] ส่วนคำกล่าวอ้างของทางการเกาหลีเหนือที่ว่าคิม จ็อง-นัมเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายนั้นถูกปฏิเสธโดยพยาธิแพทย์โมฮาหมัด ชะฮ์ มะฮ์มูด โดยเขาให้การต่อศาลว่า ไม่มีหลักฐานของอาการหัวใจวายจากการชันสูตรพลิกศพและรายงานพิษวิทยาหลังการเสียชีวิตแสดงให้เห็นว่าสารวีเอ็กซ์เป็นสาเหตุเดียวของการเสียชีวิต[118] อย่างไรก็ตาม ภายใต้การซักค้านของทนายความฝ่ายจำเลยทั้งสอง โมฮาหมัดยอมรับว่าเขามีความรู้จำกัดเกี่ยวกับสารทำลายประสาทโดยทั่วไปและกล่าวว่าเขาไม่ทราบปริมาณของยาพิษที่ใช้ไป[118]

นูร์ อาชิกิน อุษมาน นักพยาธิวิทยาเคมีอีกคนหนึ่ง ให้การต่อศาลว่าคิมมีระดับเอนไซม์โคลิเนสเตอเรสในเลือดต่ำมาก ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ถูกยับยั้งโดยสารต่อต้านโคลิเนสเตอเรส เช่น สารวีเอ็กซ์ เธอยังระบุว่าระดับโคลิเนสเตอเรสของจำเลยทั้งสองอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยสัมผัสกับสารวีเอ็กซ์[119] แพทย์หญิงรันจินี ศิวากานาบาลัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาจากโรงพยาบาลเติงกู อัมปวน ราฮิมะฮ์ ให้การว่าสารวีเอ็กซ์อาจไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตในปริมาณที่ต่ำมากและไม่เห็นด้วยกับข้อกล่าวอ้างที่ว่าสารวีเอกซ์เพียง 10 มิลลิกรัมก็สามารถทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้ เธอยังอ้างว่าผู้ที่สัมผัสสารวีเอ็กซ์ด้วยมืออาจไม่ได้รับการล้างสารออกจนหมดจดด้วยสบู่และน้ำ[118][120] เค. ชาร์มิละฮ์ นักพิษวิทยา ให้การว่ามีการพบขวดยาอะโทรพีน ยาที่ใช้เป็นยาแก้พิษสำหรับสารทำลายประสาท เช่น วีเอ็กซ์ ในกระเป๋าของคิม จ็อง-นัม[121][122] วันที่ 8 ตุลาคม การพิจารณาคดีต้องย้ายไปยังห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากอันตรายที่เกิดจากเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารทำลายประสาทซึ่งถูกนำมาใช้เป็นหลักฐาน[14]

วัน อาซิรุล ตำรวจสอบสวน ระบุผู้ต้องสงสัย 4 คนจากภาพกล้องวงจรปิด ได้แก่ มร. ชัง (ระบุตัวตนคือฮง ซ็อง-ฮัก) มร. วาย (รี จี-ฮย็อน) เจมส์ (โอ จ็อง-กิล) และฮานาโมริ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ "คุณปู่" และ "คุณลุง") (รี แจ-นัม)[123] ชายเหล่านี้ไม่ถูกจับกุมเนื่องจากเจ้าหน้าที่สอบสวนวัน อาซิรุลและรองอัยการวัน ชาฮารุดดิน วัน ลาดินระบุว่าตำรวจมาเลเซียไม่มีข้อมูลเพียงพอจะระบุตัวตนหรือระบุตำแหน่งของผู้ต้องสงสัย[124]

เมื่อการพิจารณาคดีกลับมาดำเนินต่อในเดือนมกราคม ค.ศ. 2018 ผู้พิพากษาอัซมี อาริฟินตัดสินว่าบันทึกจากวงจรปิดบางส่วนไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้[125][126] วันที่ 14 มีนาคม ฮิชาม เตะฮ์ โปะฮ์ เต็ก ทนายความของเฮือง นำเสนอคำให้การที่บันทึกไว้ของเหงียน บิ๊ก ถวี่ เจ้าของบาร์และเพื่อนของเฮือง ต่อตำรวจเวียดนามในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2017 โดยให้รายละเอียดว่าเฮืองถูกชายที่ชื่อ "ลี" (ระบุว่าเป็นรี จี-ฮย็อน) ชักชวนได้อย่างไร ในคำให้การนั้น ถวี่กล่าวว่า:

ฉันกับเฮืองเคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟด้วยกันที่บาร์เซเว่นทีนในฮานอยตั้งแต่ปี 2014 ถึงพฤษภาคม 2016 วันที่ 27 ธันวาคม 2016 หลี่ (รี จี-ฮย็อน) มาที่เฮย์บาร์ในฮานอยที่ฉันกับสามีเป็นคนดูแล หลี่อ้างว่าเขามีพ่อเป็นชาวเกาหลีและแม่เป็นชาวเวียดนาม และเขาแต่งงานแล้วแต่หย่าร้าง ไม่มีลูก เขาเสนอให้ฉันทำงานเป็นนักแสดง แต่ฉันปฏิเสธเพราะต้องดูแลลูกชายตัวเล็กของฉัน จากนั้นหลี่ก็ขอให้ฉันแนะนำเพื่อนของฉันให้เขา ฉันจำได้ว่าเฮืองชอบการแสดง เลยติดต่อไปหาเธอ เมื่อเฮืองมาที่บาร์เพื่อพบหลี่ ฉันได้ยินเขาบอกเฮืองว่าทีมของเขากำลังทำวิดีโอแกล้งคนที่สนามบินและเธอจะต้อง "แต่งตัวให้ดูดี เดินผ่านคนอื่น และเทของเหลวหนึ่งถ้วยรดศีรษะของเขา/เธอ"[127]

ระหว่างการซักค้าน ทนายฝ่ายจำเลยยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรที่ถวี่ได้ทำขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน ซึ่งมีบันทึกคำให้การต่อตำรวจของเธอรวมอยู่ด้วย[127][128] จากนั้นวัน อาซิรุล สารวัตรนำการสอบสวนของตำรวจมาเลเซีย ก็ถูกทนายความซักฟอกอย่างหนัก หลังเขายอมรับว่าไม่ได้ติดตามหาถงี่แม้จำเลย (เฮือง) ได้กล่าวถึงเธอในคำให้การของเธอ โดยทนายความกล่าวว่า "ในการสืบสวน คุณควรจะแสวงหาความจริง แต่การสอบสวนของคุณมุ่งเน้นไปที่ภาพจากวงจรปิดเท่านั้น ความจริงอยู่ที่นั่น (ในเวียดนาม) แต่ไม่มีใครในมาเลเซียสนใจ"[127][128][129] ทนายความยังกล่าวด้วยว่าในเดือนพฤศจิกายนเขาขอความช่วยเหลือจาก สำนักงานอัยการสูงสุดมาเลเซียเพื่อโน้มน้าวให้ถวี่เดินทางมายังมาเลเซียเพื่อเป็นพยานเกี่ยวกับบทบาทของเธอในการแนะนำเฮืองให้รู้จักกับชายชาวเกาหลีเหนือ แต่คำขอถูกปฏิเสธเมื่อซาลิม บาชีร์ ทนายความอีกคนที่เป็นตัวแทนของเฮือง กล่าวว่า "น่าเสียดายที่อัยการสูงสุดปฏิเสธจะใช้อำนาจของเขาในการทำเช่นนี้ และในการกระทำนั้น ทำให้เราพลาดโอกาสที่ตำรวจจะไปเวียดนามเพื่อสอบสวน"[128] ซาลิมเสริมว่าข้อเท็จจริงที่วิดีโอจากวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าเฮืองแตะผมของเธอครู่หนึ่งหลังเข้าหาคิมและเดินไปห้องน้ำที่อยู่ไกลออกไปเพื่อล้างมือแสดงให้เห็น "ความคิดที่ไร้เดียงสา" และไม่ใช่พฤติกรรมของคนที่รู้ว่ามีพิษติดมือ[130] ตามที่ทนายความฮิชามกล่าว ถวี่ยังปฏิเสธความพยายามของตำรวจเวียดนามและทนายฝ่ายจำเลยที่จะเดินทางมายังมาเลเซียเพื่อเป็นพยานให้เฮือง โดยอ้างถึงความรับผิดชอบในการดูแลบาร์กับสามีและดูแลลูกเล็กของเธอ[128]

ขณะเดียวกัน ในส่วนของซีตี ไอชะฮ์ กุย ซุน เซ็งทนายความของเธอ ได้โจมตีผู้สอบสวนชาวมาเลเซียที่ไม่ยอมให้เขาเข้าพบไอชะฮ์ระหว่างที่เธอถูกควบคุมตัว 14 วันและไม่ยอมเปิดเผยส่วนหนึ่งของวิดีโอที่เชื่อมโยงกับการโจมตีรวมถึงความล้มเหลวของทางการในการคัดลอกภาพทั้งหมดจากเซิร์ฟเวอร์วงจรปิดของสนามบินซึ่งทำให้การต่อสู้คดีของไอชะฮ์เสียหาย[128][129] ทนายความตำหนิตำรวจที่ไม่เผยแพร่เหตุการณ์ทั้งหมดในวิดีโอระหว่างการโจมตีเนื่องจากในระหว่างการพิจารณาคดีพบว่าตำรวจได้จงใจตัดช่วงเวลาสำคัญของการสังหารออกจากวิดีโอที่เป็นช่วงที่จำเลย (ไอชะฮ์) กำลังปรับแว่นตาหลังโจมตีเหยื่อ (ซึ่งภาพของไอชะฮ์ที่สวมแว่นกันแดดถูกตัดออกเนื่องจากไม่เหมาะสมจะเป็นหลักฐานเมื่อตำรวจพยายามตัดสินว่าลูกความของเขาฆ่าคน)[131][132][133] ทนายความกล่าวเพิ่มเติมว่าตำรวจล้มเหลวในการสอบสวนหลักฐานสำคัญ เช่น กางเกงยีนส์และแว่นตาของไอชะฮ์ที่ไม่ได้ถูกส่งไปตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้ ผลการทดสอบจากแผนกเคมีก็แสดงให้เห็นว่าไม่พบร่องรอยของสารวีเอ็กซ์ในตัวอย่างเล็บ เศษเล็บและเลือดของไอชะฮ์[128][129]

ทนายความของจำเลยทั้งสองต่างเห็นด้วยว่าลูกความของพวกเขาไม่ทราบว่าพวกเขากำลังจับต้องยาพิษและถูกใช้เป็นแพะรับบาป ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ไม่มีผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือทั้งสี่คนอยู่ด้วย[130][89] ระหว่างการพิจารณาคดีตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม ฮิชามฉายวิดีโอจากวงจรปิดที่บันทึกไว้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่ายในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกความของเธอกำลังแกล้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลเวียดนามชื่อจิ่ญ หง็อก ลิญในฮานอยไม่ถึงสองสัปดาห์ก่อนการโจมตี โดยแสดงให้เห็นว่าเธอเดินเข้าไปหาชายคนนั้นจากด้านหลังและโอบแขนรอบคอของเขา[89][134] วิดีโออีกชุดหนึ่งที่ทนายความนำมาฉายแสดงให้เห็นเฮืองกำลังแสดงเป็นเหยื่อของการแกล้งโดยเหงียน หมั่ญ กวาง (หรือที่รู้จักกันในชื่อกวาง เบก) ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวเวียดนาม[135] จากคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของกวาง เขาบอกว่าเขาได้จ้างเฮือง ให้แสดงในวิดีโอที่บันทึกไว้ใน ค.ศ. 2016[89] ทนายความจึงอธิบายว่า "วิดีโอเหล่านี้อธิบายได้ว่าทำไมจำเลยถึงระบุว่าตัวเองเป็นนักแสดง" และตั้งคำถามกับวัน อาซิรุล พนักงานสอบสวนของตำรวจว่าเขา "ได้พยายามติดตามกวางหลังได้รับคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่และถามว่างานนี้สำคัญหรือไม่ หรือเป็นการเสียเวลาเปล่า" ซึ่งได้รับคำตอบว่า "ไม่ได้พยายามและเห็นด้วยกับคำถามหลัง"[136] อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนของตำรวจมาเลเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการที่ไม่มีผู้ต้องสงสัยชาวเกาหลีเหนือสี่คนนั้นทำให้การสอบสวนของพวกเขาเกิดความลำเอียง โดยยืนยันว่า "สำหรับคดีนี้ ผู้กระทำผิดหลักที่ก่อเหตุฆาตกรรมคือจำเลยทั้งสอง" และปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าตำรวจมาเลเซียไม่ได้ดำเนินมาตรการที่เพียงพอในการติดตามชายสี่คนนั้น โดยเน้นย้ำว่าตำรวจสากลได้ออกการแจ้งเตือนให้จับกุมชายสี่คนนั้นตามคำขอของมาเลเซีย[130] หลังถูกซักถามโดยนารัน ซิงห์ ทนายความของเฮืองอีกคนหนึ่งในระหว่างการพิจารณาคดี พนักงานสอบสวนของตำรวจยอมรับว่ามีความผิดพลาดในการสอบสวนของเขาเนื่องจากแรงกดดันจากอดีตผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซียคาลิด แม้อาซิรุลจะยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการสอบสวนของเขาถูกควบคุมโดยผู้บังคับบัญชาของเขา[137][138]

การพิจารณาคดีเริ่มการแถลงปิดคดีในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2018[139] วันที่ 16 สิงหาคม ศาลมาเลเซียตัดสินใจพิจารณาคดีต่อในวันที่ 1 พฤศจิกายนไปจนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 2019[140] โดยผู้พิพากษากล่าวว่า "ไม่สามารถตัดประเด็นการลอบสังหารทางการเมืองออกไปได้" แม้จะไม่มีหลักฐานเพียงพอจะกล่าวเช่นนั้นก็ตาม พร้อมเสริมว่าภาพจากวงจรปิด "แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทราบว่าของเหลวในมือเป็นพิษและไม่มีทีมงานที่ซ่อนอยู่และไม่มีความพยายามดึงบุคคลนั้นเข้ามาในเรื่องตลกหลังจากนั้น เหมือนที่มักเกิดขึ้นในรายการโทรทัศน์แนวแกล้งคน"[141] ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจึงถูกเรียกให้เข้าสู่กระบวนการสืบพยานฝ่ายจำเลยเนื่องจากคดีจะใช้เวลาอีกหลายเดือนก่อนจะมีการตัดสินขั้นสุดท้าย[142] วันที่ 1 กันยายน ตำรวจมาเลเซียกำลังติดตามหญิงชาวอินโดนีเซียสองคนที่เต็มใจจะให้การในคดีนี้[143][144]

วันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2019 การพิจารณาคดีถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนมีนาคม[145]

การยกฟ้องข้อหาฆาตกรรม

[แก้]

การปล่อยตัวซีตี ไอชะฮ์

[แก้]
Indonesian Government Letter to Malaysian Government for the Release of Siti Aisyah
จดหมายขอความร่วมมือลงนามโดยยาโซนนา ลาโอลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกฎหมายและสิทธิมนุษยชนของอินโดนีเซีย ส่งถึงอัยการสูงสุดของมาเลเซียเพื่อขอให้ปล่อยตัวซีตี ไอชะฮ์

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 ซีตี ไอชะฮ์ถูกปล่อยตัวหลังข้อหาฆาตกรรมของเธอถูกยกฟ้อง[146] ต่อมาทั้งสื่ออินโดนีเซียและเวียดนามเปิดเผยว่าการปล่อยตัวเธอเป็นผลมาจากจดหมายร้องขอที่ส่งมาจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับการตอบรับจากทอมมี ทอมัส อัยการสูงสุดของมาเลเซีย[147][148][149] สิ่งนี้ได้รับการยอมรับในภายหลังโดยทอมัสและได้รับการยืนยันโดยรอยเตอร์ส[150] แม้ทอมัสจะปฏิเสธการตอบคำถามจากแหล่งข่าวอื่น ๆ เมื่อถูกขอให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าว[151][152]

วันที่ 13 มีนาคม เหลียว เหว่ย์เฉียง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อธิบายเพิ่มเติมว่าอำนาจในการยกเลิกข้อกล่าวหาต่อบุคคลใด ๆ ในมาเลเซียนั้นขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดของประเทศตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ[153] แม้จะมีการเรียกร้องที่คล้ายกันจากรัฐบาลเวียดนามให้ปล่อยตัวดว่าน ถิ เฮืองในลักษณะเดียวกับผู้ต้องสงสัยชาวอินโดนีเซีย[154] แต่อัยการมาเลเซียปฏิเสธคำขอนั้นและกล่าวว่าการพิจารณาคดีจะดำเนินต่อไปโดยมีการเลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 1 เมษายนเนื่องจากเฮืองมีสุขภาพและสภาพจิตใจไม่ดี เธอไม่ได้นอนมาสามคืนหลังอัยการสูงสุดมาเลเซียตัดสินใจยกเลิกข้อกล่าวหาต่อไอชะฮ์[155][156]

ปฏิกิริยา

[แก้]

ทนายความฝ่ายจำเลยของเฮืองรู้สึกว่ารัฐบาลมาเลเซียกำลังเลือกปฏิบัติในระบบตุลาการเนื่องจากก่อนหน้านี้ศาลได้แถลงว่าพบว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอจะดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยทั้งสองแต่กลับปล่อยตัวเพียงคนเดียว พวกเขาได้ให้เหตุผลในการทำเช่นนั้น เช่น "การพิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย จึงตกลงที่จะดำเนินการไม่ฟ้องร้องต่อไอชะฮ์" ซึ่งเป็นหลักฐานที่พบจากการค้นพบจดหมายลับที่ส่งโดยอัยการสูงสุดของมาเลเซียไปยังกระทรวงกฎหมายและสิทธิมนุษยชนของอินโดนีเซียเพื่อตอบสนองต่อคำขออุทธรณ์ของพวกเขา[155][157] การปฏิบัติที่แตกต่างกันของอัยการสูงสุดมาเลเซียต่อผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนดึงดูดคำวิพากษ์วิจารณ์จากรามการ์ปาล ซิงห์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียจากเขตบูกิตเกอลูกอร์ รามการ์ปาลรู้สึกว่าการที่ทอมัสปฏิเสธการถอนข้อหาฆาตกรรมกับผู้ต้องสงสัยคนที่สองนั้นเป็นเรื่องที่ "น่าประหลาดใจและทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอำนาจของอัยการสูงสุดในประเทศ"[158][159] เขากล่าวเพิ่มเติมว่า:

ผมมีความเห็นว่าข้อหาที่ตั้งกับเฮืองควรจะถูกยกฟ้องในลักษณะเดียวกับที่ยกฟ้องซีตี ไอชะฮ์ หากอัยการสูงสุด (AG) เห็นว่าเกาหลีเหนือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมคิม การดำเนินคดีกับเฮืองต่อไปและไม่ใช่ผู้ต้องหาร่วมของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอจะดำเนินคดีกับทั้งคู่ ถือเป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและน่าเสียดายนัก ด้วยความเคารพ เนื่องจากทั้งเฮืองและซีตี ไอชะฮ์ถูกตั้งข้อหาพร้อมกัน เฮืองจึงมีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับซีตี ไอชะฮ์ เนื่องจากเธอมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน เฮืองจะไม่มีทางรู้เลยว่าเหตุใดเธอจึงได้รับการปฏิบัติที่ต่างจากซีตี ไอชะฮ์ หากเธอถูกตัดสินว่ามีความผิด เธอจะสงสัยอยู่เสมอว่าซีตี ไอชะฮ์ ก็มีความผิดเท่ากันหรือไม่ ในกรณีเช่นนี้ การใช้ดุลยพินิจของอัยการสูงสุดควรถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตของบุคคลตกอยู่ในอันตราย[158][159]

เล ถิ ทู ฮัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม แสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของอัยการสูงสุดมาเลเซียและเรียกร้องให้มีการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม[160] ถ้อยแถลงของเธอได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีเวียดนามคนอื่น ๆ รวมฝ่าม บิ่ญ มิญ ถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ เหงียน ก๊วก หยุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ และเล กวี่ กวิ่ญ เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำมาเลเซีย[161][162] การปล่อยตัวซีตี ไอชะฮ์ "จุดประกายความโกรธเคืองในมาเลเซีย" โดยมีแหล่งข่าวชี้ว่าการปล่อยตัวครั้งนี้เป็นผลมาจากการวิ่งเต้นทางการเมืองและ "แรงกดดันทางการทูต" จากรัฐบาลอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม มาฮาดีร์ โมฮามัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย "ปฏิเสธว่ารัฐบาลมาเลเซียยอมจำนนต่อแรงกดดันทางการทูต" โดยอ้างว่าเขา "ไม่มีข้อมูล" เกี่ยวกับการลอบสังหาร และการปล่อยตัวเป็นไปตาม "นิติธรรม"[163][164][165]

บริดเจ็ต เวลช์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมหาวิทยาลัยจอห์น คาบอต คาดการณ์ว่าการตัดสินใจจะเสี่ยงต่อ "ปัญหาระดับทวิภาคีที่ยุ่งยากกับเวียดนามหากไม่มีการปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันกับพลเมืองของพวกเขา"[166] เว่ย์ เจียเสียง ประธานสมาคมชาวจีนมาเลเซีย (MCA) แสดงความกังวลเกี่ยวกับการ แทรกแซงที่เป็นไปได้ในผลการพิจารณาคดี ตามคำกล่าวของเว่ย์ เขาได้รับคำตอบจากคำถามที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการประชุมรัฐสภาของมาเลเซีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาฮาดีร์กล่าวว่าอัยการสูงสุดยังคงสามารถปฏิบัติตามคำสั่งของเขาได้แม้อัยการสูงสุดจะมีดุลยพินิจตัดสินใจเรื่องกรอบเวลาสำหรับขั้นตอนการดำเนินคดีอาญา[167] คำกล่าวของเขาได้รับการสนับสนุนจากเฉิน จฺวินเออร์ โฆษกหญิงของสมาคมฯ ซึ่งสะท้อนคำกล่าวของรามปาร์กาลและเน้นย้ำว่า "กฎหมายมาเลเซียไม่ควรเลือกปฏิบัติ" และทุกคน "มีความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย[168]

จอร์จ วารุงีส ประธานสภาทนายความมาเลเซียที่กำลังจะพ้นตำแหน่งแสดงความเห็นว่า "อัยการสูงสุดมีดุลยพินิจยกเลิกข้อกล่าวหาได้" แต่ "จะเป็นการดีหากอัยการสูงสุดสามารถให้เหตุผลในการยกเลิกข้อกล่าวหา" เพื่อเลี่ยงการคาดเดา[169] ทนายความชาวมาเลเซียคนอื่น ๆ มองว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติต่อเฮือง ไม่ใช่แค่ในแง่ของระบบตุลาการของมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต่อสาธารณชน (ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการการพิจารณาคดีที่ยุติธรรมและโปร่งใส) ดังที่ทนายความนูร์ ฮันนาน อิซักกล่าวไว้[170]

การตัดสินโทษและการปล่อยตัวของดว่าน ถิ เฮือง

[แก้]

วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2019 ข้อหาฆาตกรรมที่ถูกตั้งกับเฮืองถูกถอนออกไปและเธอยอมรับสารภาพในข้อหาที่เบากว่าคือ "การทำร้ายร่างกายโดยสมัครใจด้วยอาวุธหรือวิธีการอันตราย"[171][172] เธอถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน แต่ได้รับการลดโทษ 1 ใน 3 ของระยะเวลาจำคุก และได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 3 พฤษภาคม[173][174]

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. หรือทับศัพท์ว่า มูฮัมหมัด ฟาริด ญะลาลุดดิน[22]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Pak, Jung H. (February 2018). "The education of Kim Jong-un". Brookings Institution. Kim ordered the deadly attack using the outlawed nerve agent VX—one of the most toxic chemical warfare agents. against Jong-Nam, his half-brother and erstwhile competitor for the position of the supreme leader of North Korea.
  2. Jackson, Van (2018). On the Brink: Trump, Kim, and the Threat of Nuclear War (1 ed.). Cambridge University Press. pp. 98–99. doi:10.1017/9781108562225.006. ISBN 9781108562225.
  3. Latiff, Rozanna (29 January 2018). Fernandez, Clarence (บ.ก.). "Kim Jong Nam met U.S. national on Malaysian island before he was killed, police say". Reuters. สืบค้นเมื่อ 30 January 2018.
  4. Kyodo News (29 January 2018). "Police: Kim Jong Nam met American days before murder". The Bangkok Post. In his cross-examination, he grilled Mr Azirul about Kim's Langkawi meeting with a Korean-American man based in Bangkok, which was first reported by Japan's Asahi Shimbun last year. While Mr Azirul confirmed that the meeting took place at a hotel, he said the police have been unable to identify the man, who the Asahi said was a US intelligence officer.
  5. 1 2 "North Korean leader's brother Kim Jong-nam 'killed' in Malaysia'". BBC News. 14 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2017. สืบค้นเมื่อ 14 February 2017.
  6. 1 2 McCurry, Justin (14 February 2017). "Kim Jong-un's half-brother dies after 'attack' at airport in Malaysia". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2017. สืบค้นเมื่อ 14 February 2017.
  7. Osborne, Samuel (14 February 2017). "Kim Jong-un's half-brother 'assassinated with poisoned needles at airport'". The Independent.
  8. 1 2 Otto, Ben; Ngui, Yantoultra (23 October 2017). they did not get arrestedo-north-korean-plot-in-scions-killing-1487787023 "How the Hit Team Came Together to Kill Kim Jong Nam". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 1 October 2019. {{cite web}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  9. 1 2 3 Borger, Julian (24 February 2017). "North Korea's use of nerve agent in murder sends a deliberate signal to foes". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 February 2017. สืบค้นเมื่อ 11 April 2023.
  10. 1 2 "Kim Jong-nam killing: VX nerve agent 'found on his face'". BBC News. 24 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 February 2017. สืบค้นเมื่อ 24 February 2017.
  11. Paddock, Richard C.; Sang-Hun, Choe (23 February 2017). "Kim Jong-nam Was Killed by VX Nerve Agent, Malaysians Say". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2017.
  12. 1 2 3 "Report on the use of a chemical weapon in the death of a DPRK national" (PDF). Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons. 7 March 2017. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 April 2017. สืบค้นเมื่อ 9 March 2017.
  13. 1 2 Ng, Eileen (2 October 2017). "Witnesses recount N. Korean leader's brother's last moments". The Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2017. สืบค้นเมื่อ 3 October 2017.
  14. 1 2 "Video shows North Korean motionless on gurney after attack". The National Post. 9 October 2017. สืบค้นเมื่อ 9 October 2017.
  15. Leong, Trinna (4 October 2017). "Kim Jong Nam murder trial: Victim showed signs of poisoning, says doctor". The Straits Times. สืบค้นเมื่อ 12 October 2017.
  16. 1 2 Leong, Trinna (3 October 2017). "Kim Jong Nam had 'constricted, pinpoint pupils' and other symptoms of VX poisoning, court hears". The Straits Times. สืบค้นเมื่อ 3 October 2017.
  17. Dewan, Angela (17 February 2017). "Kim Jong Nam died within 20 minutes, autopsy shows". CNN. สืบค้นเมื่อ 20 March 2022.
  18. 1 2 Fifield, Anna (26 February 2017). "North Korean leader's half brother suffered a 'very painful death,' Malaysian officials say". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2017. สืบค้นเมื่อ 26 February 2017.
  19. Menon, Praveen; Chow, Emily (16 February 2017). "Murder at the airport: the brazen attack on North Korean leader's half brother". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2017. สืบค้นเมื่อ 16 February 2017.
  20. 1 2 "Kim Jong-nam death: Malaysia police hold female suspect". BBC News. 15 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 February 2017. สืบค้นเมื่อ 15 February 2017.
  21. Ryall, Julian (16 February 2017). "Did Kim Jong-nam's Facebook fixation lead to his death?". The Telegraph. Tokyo, Japan. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2017. สืบค้นเมื่อ 2 March 2017.
  22. 1 2 3 Hong, Bede (25 October 2017). "Jong-nam trial told police found no footage of practice runs". The Malaysian Insight. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2017.
  23. 1 2 "Murdered North Korean Kim Jong Nam had $100,000 in backpack, police witness says". The Japan Times. Reuters. 12 October 2017.
  24. "Doan Thi Huong, Vietnamese woman linked to Kim Jong-nam murder, to be freed on May 3". South China Morning Post. 13 April 2019. สืบค้นเมื่อ 1 October 2019. High Court judge Azmi Ariffin sentenced Huong to three years and four months in jail, running from the date of her arrest on February 15, 2017
  25. 1 2 Holmes, Oliver (15 February 2017). "Kim Jong-nam death: Malaysian police arrest female suspect". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 February 2017. สืบค้นเมื่อ 15 February 2017.
  26. McGuinness, Alan (16 February 2017). "Kim Jong-Nam killing: Second woman arrested in Malaysia". Sky News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2017. สืบค้นเมื่อ 16 February 2017.
  27. 1 2 3 Kim, Stella; Bell, Chapman (16 February 2017). "Kim Jong Nam's Death: 3rd Arrest in Dictator's Half-Brother Case". NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2017. สืบค้นเมื่อ 16 February 2017.
  28. 1 2 "Killing of North Korean: Suspect thought she was playing a prank". Free Malaysia Today. 15 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 February 2017. สืบค้นเมื่อ 16 February 2017.
  29. Eileen Ng (11 October 2017). "Video of fatal attack on Kim Jong Nam shown at women's trial". Associated Press News. สืบค้นเมื่อ 1 October 2019.
  30. 1 2 Ryall, Julian (18 February 2017). "North Korean man arrested in Malaysia over killing of Kim Jong-nam as second autopsy to be conducted". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 February 2017. สืบค้นเมื่อ 18 February 2017.
  31. Zolkepli, Farik (18 February 2017). "Fourth person arrested in Jong-nam murder probe". The Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 February 2017. สืบค้นเมื่อ 18 February 2017.
  32. Park, Su-ji (21 February 2017). "One suspect in Kim Jong-nam's killing was middleman buying commodities in Malaysia". The Hankyoreh. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2017. สืบค้นเมื่อ 22 February 2017.
  33. Sang-hun, Choe (14 February 2017). "Kim Jong-un's Half Brother Is Reported Assassinated in Malaysia". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2017. สืบค้นเมื่อ 14 February 2017.
  34. Choe, Sang-hun; Paddock, Richard C. (15 February 2017). "Kim Jong-nam, the Hunted Heir to a Dictator Who Met Death in Exile". The New York Times. New York. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2017. สืบค้นเมื่อ 25 February 2017. "there has been a standing order" to assassinate his half brother, Lee Byung-ho, the director of the South's National Intelligence Service, said during a closed-door briefing at the National Assembly, according to lawmakers who attended it."This is not a calculated action to remove Kim Jong-nam because he was a challenge to power per se, but rather reflected Kim Jong-un's paranoia," Mr. Lee was quoted as saying. Kim Jong-un wanted his half brother killed, Mr. Lee said, and there was an assassination attempt against him in 2012. Mr. Kim was so afraid of assassins that he begged for his life in a letter to his half brother in 2012. "Please withdraw the order to punish me and my family," Mr. Kim was quoted as saying in the letter. "We have nowhere to hide. The only way to escape is to choose suicide." (...)
  35. Paddock, Richard C.; Mullany, Gerry (21 February 2017). "Kim Jong-nam Investigators Seek to Question North Korean Embassy Officer". The New York Times. New York. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2017. สืบค้นเมื่อ 25 February 2017.
  36. Holmes, Oliver. "Kim Jong-nam was assassinated, say US and South Korean officials". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 March 2017. สืบค้นเมื่อ 9 March 2017.
  37. Michael D. Shear; David E. Sanger (20 November 2017). "Trump Returns North Korea to List of State Sponsors of Terrorism". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 21 November 2017.
  38. "U.S. sanctions North Korea for killing of leader's half-brother". Reuters. 7 March 2018. สืบค้นเมื่อ 7 March 2018.
  39. Nauert, Heather (6 March 2018). "Imposition of Chemical and Biological Weapons Control and Warfare Elimination Act Sanctions on North Korea". United States Department of State. On February 22, 2018, the United States determined under the Chemical and Biological Weapons Control and Warfare Elimination Act of 1991 (CBW Act) that the Government of North Korea used the chemical warfare agent VX to assassinate Kim Jong Nam, in the Kuala Lumpur airport.
  40. McCurry, Justin (11 June 2019). "Kim Jong-nam, half-brother of North Korean leader, 'was a CIA informant'". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 11 June 2019.
  41. Warren P. Strobel (10 June 2019). "North Korean Leader's Slain Half Brother Was a CIA Source". Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 11 June 2019.
  42. Fifield, Anna (2019) [2019]. "Chapter 13 The unwanted brother". The Great Successor: The secret rise and rule of Kim Jong Un (eBook) (ภาษาอังกฤษ) (First ed.). John Murray. ISBN 978-1-529-38724-7.
  43. Ahn Jun-yong (12 December 2018). "N.Korea 'Apologized to Vietnam Over Kim Jong-nam Killing'". The Chosun Ilbo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 December 2018. สืบค้นเมื่อ 16 December 2018.
  44. "OPCW Executive Council Condemns Chemical Weapons Use in Fatal Incident in Malaysia". สืบค้นเมื่อ 9 May 2019.
  45. "North Korean embassy cars seen at KL hospital mortuary". The Star. 15 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 February 2017. สืบค้นเมื่อ 15 February 2017.
  46. 1 2 Agence France-Presse (3 October 2017). "Kim Jong-Nam suffered extensive organ damage, trial hears". The Hindustan Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2017. สืบค้นเมื่อ 3 October 2017.
  47. Shim, Elizabeth (3 October 2017). "Kim Jong Nam 'red' and 'sweating' after attack, witnesses say". UPI. สืบค้นเมื่อ 6 October 2017. Nur Asyikin Osman, a chemical pathologist with the Malaysian government, said in her court testimony a blood analysis of Kim indicated the enzyme cholinesterase was at a very low level of 344 units per liter, when the normal level is 5,300 units per liter, according to South Korean news agency Yonhap.
  48. The Associated Press (27 November 2017). "Doctor: Kim Jong Nam's underwear soiled, pupils contracted". Yahoo News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 September 2018. สืบค้นเมื่อ 27 November 2017. Nurliza Abdullah, a government doctor who conducted the autopsy on Kim's body, told the court Monday that the pupil constriction and the large excrement found in Kim's underwear both pointed to poisoning.
  49. "Kim Jong-nam's underwear soiled with faeces, trial told". The Star. 27 November 2017. Kuala Lumpur Hospital (HKL) medical forensic consultant, Dr Nurliza Abdullah, 52, who did a post mortem on Kim Chol's body, said the large amount of faeces found on Kim Chol's underwear was sign of poisoning. [...] Questioned by DPP Wan Shaharuddin Wan Ladin during examination-in-chief, Dr Nurliza said there was also contraction of the victim's pupils, which was also a sign of poisoning.
  50. 1 2 McCurry, Justin (20 February 2017). "What is the VX nerve agent that killed North Korean Kim Jong-nam?". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 February 2017. สืบค้นเมื่อ 24 February 2017.
  51. Bradley, David (24 February 2017). "VX Nerve Agent in North Korean's Murder: How Does It Work?". Scientific American (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2017. สืบค้นเมื่อ 19 April 2023.
  52. Paddock, Richard C.; Choe, Sang-Hun; Wade, Nicholas (24 February 2017). "In Kim Jong-nam's Death, North Korea Lets Loose a Weapon of Mass Destruction". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2017. สืบค้นเมื่อ 19 April 2023.
  53. Mackenzie, Debora (24 February 2017). "Was Kim Jong-nam killed by VX nerve gas? Doesn't look like it". New Scientist. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2017. สืบค้นเมื่อ 27 February 2017.
  54. Goldman, Russell (15 March 2017). "DNA Confirms Assassination Victim Was Half Brother of Kim Jong-un, Malaysia Says". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2017. สืบค้นเมื่อ 19 April 2023.
  55. "Malaysia confirms 'Kim Chol' is Kim Jong Nam: IGP Khalid". Channel NewsAsia. 10 March 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2017. สืบค้นเมื่อ 10 March 2017.
  56. Ng, Eileen (13 March 2017). "Malaysia says it will give Kim's family time to claim body". ABC News. Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 March 2017. สืบค้นเมื่อ 13 March 2017.
  57. "Malaysia says body of North Korean Kim Jong-nam embalmed to 'preserve' it". The Telegraph. Associated Press. 14 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2017. สืบค้นเมื่อ 16 March 2017.
  58. Zolkepli, Farik (16 March 2017). "'Jong-nam's family has given Malaysia permission to manage his remains'". The Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2017. สืบค้นเมื่อ 16 March 2017.
  59. Norikyo, Masatomo (2 July 2017). "Kim Jong Nam's son did not want body handed over to N. Korea". The Asahi Shimbun. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 July 2017. สืบค้นเมื่อ 5 July 2017.
  60. Kumar, M (18 February 2017). "North Korea will reject autopsy report, says ambassador". The Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 February 2017. สืบค้นเมื่อ 18 February 2017.
  61. "Malaysia-North Korea row escalates over Kim Jong-nam". Al Jazeera. 20 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2017. สืบค้นเมื่อ 20 February 2017.
  62. Fifield, Anna (20 February 2017). "North Korea says Malaysia can't be trusted to investigate the killing of leader's half brother". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 February 2017. สืบค้นเมื่อ 20 February 2017.
  63. Latiff, Rozanna; Sipalan, Joseph (20 February 2017). "Malaysian PM says probe into airport killing will be fair". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 June 2017.
  64. Lai, Adrian (20 February 2017). "Jong-nam assassination: Najib says 'no' to N. Korea demand for joint investigation". New Straits Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2017. สืบค้นเมื่อ 20 February 2017.
  65. Kumar, Kamles (22 February 2017). "Cops say detected bids to break into mortuary holding Kim Jong-nam body". Malay Mail. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2017. สืบค้นเมื่อ 24 February 2017.
  66. Choe, Sang-hun; Paddock, Richard C.; Doan, Chau; Abdurachman, Fira (23 February 2017). "Kim Jong-nam Evidence Being Fabricated by Malaysia, North Korea Says". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2017.
  67. "North Korea sends high powered envoy to solve issues with Malaysia". The Sun (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 19 April 2023.
  68. Kim, Jack (1 March 2017). Fernandez, Clarence (บ.ก.). "North Korea says claim its citizen killed in Malaysia by VX agent 'absurd'". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2017. สืบค้นเมื่อ 1 March 2017.
  69. Smith, Alexander (2 March 2017). "North Korea Says Kim Jong Nam Likely Died of a Heart Attack". NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2017. สืบค้นเมื่อ 2 March 2017.
  70. "IGP Dismisses Claim That Kim Chol Died of a Heart Attack". Bernama. 2 March 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2017. สืบค้นเมื่อ 2 March 2017.
  71. "The use of a chemical weapon in the death of a DPRK national". Ministry of Foreign Affairs, Malaysia. 3 March 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2017. สืบค้นเมื่อ 3 March 2017.
  72. "Kim Jong-nam death: Malaysia scraps visa-free entry for North Koreans". The Guardian. Associated Press. 2 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2017. สืบค้นเมื่อ 2 March 2017.
  73. Kumar, Ashwin (4 March 2017). "N. Korean ambassador given 48 hours to leave Malaysia". The Sun. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2017. สืบค้นเมื่อ 4 March 2017.
  74. "North Korea Has Expelled Malaysia's Ambassador as Tensions Over Kim Jong Nam's Death Mount". Time. Associated Press. 6 March 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2017. สืบค้นเมื่อ 7 March 2017.
  75. "Pyongyang bans Malaysians from leaving N. Korea". Agence France-Presse. The Star. 7 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2017. สืบค้นเมื่อ 7 March 2017.
  76. "Kim Jong-nam death: Malaysia and N Korea in tit-for-tat exit bans". BBC. 7 March 2017. สืบค้นเมื่อ 7 March 2017.
  77. "Kim body to be sent to Pyongyang, Malaysians freed: Najib". Agence France-Presse. Business Times. 30 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2017. สืบค้นเมื่อ 31 March 2017.
  78. Loh, Jonathan (12 June 2018). "Malaysia PM Mahathir says the world can learn from Kim Jong Un's 'new attitude' and decision to meet Trump". Business Insider. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2018. สืบค้นเมื่อ 13 February 2019.
  79. "Malaysia, Japan hope for successful US – North Korea summit". New Straits Times. 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 13 February 2019.
  80. Menon, Praveen; Schuettler, Darren (12 June 2018). "Malaysia to reopen embassy in North Korea: Mahathir". Reuters. สืบค้นเมื่อ 13 February 2019.
  81. "Malaysia to settle its problem with North Korea – Dr M". The Borneo Post. 13 February 2019. สืบค้นเมื่อ 13 February 2019.
  82. Nanako, Takashi (13 February 2019). "North Korea and ASEAN heal ties torn by Kim brother's murder". Nikkei Asia. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2019. สืบค้นเมื่อ 13 February 2019.
  83. Latiff, Rozanna (27 February 2018). Macfie, Nick (บ.ก.). "'My life is in danger,' North Korea leader's half-brother quoted as saying months before poisoning". Reuters. Kim arrived in Malaysia on Feb. 6 last year and was picked up at the airport by the driver of friend Tomie Yoshio, lead police investigator Wan Azirul Nizam Che Wan Aziz said. The driver was instructed to take Kim to his lodgings and other places he wanted to go after Kim told Yoshio his "life was in danger" during a prior visit to Malaysia.
  84. Sidhu, Sandi; Westcott, Ben (28 February 2017). "Indonesian suspect partied night before Kim Jong Nam murder". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2017. สืบค้นเมื่อ 4 March 2017.
  85. 1 2 Goh, Melissa (19 March 2017). "Pranks, stardom, money: How a woman was allegedly coaxed into killing Kim Jong". Channel News Asia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2017. สืบค้นเมื่อ 15 April 2017.
  86. 1 2 "Malaysia to charge women with murder of Kim Jong-nam". Al Jazeera. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2017. สืบค้นเมื่อ 1 March 2017.
  87. 1 2 Ng, Eileen (28 February 2017). "Malaysia charges two women in death of Kim Jong-nam". The Globe and Mail. Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2017. สืบค้นเมื่อ 6 March 2017.
  88. 1 2 3 Paddock, Richard C.; Choe, Sang-hun (13 April 2017). "Lawyers for Women in Kim Jong-nam Case Say They Were Scapegoated". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2017.
  89. 1 2 3 4 "Woman accused in Kim Jong Nam killing played prank on Vietnamese official, lawyer says". Business Insider. Reuters. 21 March 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2018. สืบค้นเมื่อ 21 March 2018.
  90. Yen, Ho Kit (6 November 2017). "Jong Nam murder: Cop reveals identity of 5th N Korean suspect". Free Malaysia Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 November 2017. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018. Azirul added that the information he was provided gave the name of the four men as Hong Song Hac, 34 (who was known as Chang); Ri Ji Hyon, 33 (Mr Y); Ri Jae Nam, 57 (Hanamori), and O Jong Gil, 55 (James). He also said SB's information showed one more suspect Ri Ji U, 30, who was also known as "James".
  91. Sipalan, Joseph; Menon, Praveen; Chalmers, John (19 February 2017). Perry, Michael (บ.ก.). "Malaysia searching for four more North Korean suspects in Kim Jong Nam death". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2017. สืบค้นเมื่อ 19 February 2017.
  92. Zolkepli, Farik; Tarmizi, Jastin Ahmad (19 February 2017). "Kim Jong-nam murder: Suspects left country on day of killing". The Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2017. สืบค้นเมื่อ 19 February 2017.
  93. "4 North Korean suspects in Kim Jong Nam murder back in Pyongyang: Sources". The Star/Asia News Network. The Straits Times. 20 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 February 2017. สืบค้นเมื่อ 20 February 2017.
  94. Park, Su-ji (20 February 2017). "Four North Korean suspects fled Malaysia immediately after Kim Jong-nam's killing". The Hankyoreh. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2017. สืบค้นเมื่อ 22 February 2017.
  95. Paddock, Richard C.; Mullany, Gerry (21 February 2017). "Senior North Korean Diplomat Is Sought in Death of Kim Jong-nam". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2017. สืบค้นเมื่อ 22 February 2017.
  96. 1 2 3 Latiff, Rozanna (22 February 2017). "Malaysia names North Korean diplomat wanted for questioning in murder case". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2017. สืบค้นเมื่อ 22 February 2017.
  97. Paddock, Richard C. (1 March 2017). "North Korean Suspects in Killing of Kim Jong-nam Join Tradition of Holing Up in Embassies". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2017. สืบค้นเมื่อ 1 March 2017.
  98. Berlinger, Joshua; Ahmad, Salhan K. (31 March 2017). "North Koreans hiding in Malaysian embassy return to Pyongyang". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 April 2017. สืบค้นเมื่อ 31 March 2017.
  99. "Malaysian police seize chemicals from condominium as part of probe on Kim Jong Nam murder". The Star/Asia News Network. The Straits Times. 24 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2017. สืบค้นเมื่อ 24 February 2017.
  100. "Lawyer for Vietnamese suspect in Kim murder calls for second autopsy". Agence France-Presse. VnExpress. 7 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2017. สืบค้นเมื่อ 8 March 2017.
  101. Only A-G can approve second autopsy request (video). Astro Awani. 7 March 2017. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 02:09. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 March 2017. สืบค้นเมื่อ 8 March 2017.
  102. "Kim Jong Nam murder: Malaysia to release, deport North Korean suspect due to lack of evidence". Fox News. Associated Press. 2 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2017. สืบค้นเมื่อ 2 March 2017.
  103. "Kim Jong-nam death: North Korean says arrest was 'conspiracy'". BBC News. 4 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2017. สืบค้นเมื่อ 6 March 2017.
  104. Ng, Eileen (20 April 2021). "Deported Korean says Malaysia threatened to harm his family". AP NEWS (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2023. สืบค้นเมื่อ 19 April 2023.
  105. "Police Dismiss North Korean's Claim of Conspiracy". Bernama. Malaysian Digest. 5 March 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2017. สืบค้นเมื่อ 6 March 2017.
  106. "We treated Jong-chol well, says IGP". The Star. 5 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2017. สืบค้นเมื่อ 6 March 2017.
  107. "Interpol 'red notice' on Kim Jong-nam murder suspects". STV News. 16 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2017. สืบค้นเมื่อ 16 March 2017.
  108. Ng, Eileen (31 March 2017). "Malaysia interviewed, cleared 3 N. Koreans before they left". The Seattle Times. Associated Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2017. สืบค้นเมื่อ 31 March 2017.
  109. Kim, Soo-Yeon (22 March 2017). "N.K. suspect in Kim Jong-nam's killing is son of ex-envoy to Vietnam". Yonhap News Agency. Yonhap News Agency. สืบค้นเมื่อ 30 September 2017.
  110. "Kẻ 'dụ dỗ' Đoàn Thị Hương là con cựu đại sứ Bắc Hàn tại VN" [The 'man' who seduced Đoàn Thị Hương is the former son of the North Korean ambassador to Vietnam] (ภาษาเวียดนาม). VOA Tiếng Việt. 22 March 2017. สืบค้นเมื่อ 30 September 2017.
  111. "Extract of the Red Notice". Interpol. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2018. สืบค้นเมื่อ 22 March 2017.
  112. "Kim Jong-nam, half-brother of North Korean leader, met with suspected US spy days before he was killed, court hears". South China Morning Post. 30 January 2018. Fuelling speculation that Kim had ties with US intelligence, Wan Azirul also confirmed that a forensic report on Kim's Dell laptop showed that some data was accessed by a USB pen drive several times on February 9, 2017, while he was in Langkawi. The pen drive was not among the items found on Kim when he died on February 13.
  113. Latiff, Rozanna; Menon, Praveen (28 July 2017). Neil Fullick; Clarence Fernandez (บ.ก.). "Malaysia sets October 2 for trial of women suspects in Kim Jong Nam killing". Reuters. สืบค้นเมื่อ 16 August 2017.
  114. "Kim Jong-nam death: Women plead not guilty". BBC News. 2 October 2017. สืบค้นเมื่อ 2 October 2017.
  115. Raj, Reena; Chin, Emmanuel Santa Maria (2 October 2017). "Trial of the year begins". The Malay Mail. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2018. Judge Datuk Azmi Ariffin presided over the case.
  116. 1 2 "VX nerve agent trace found on women accused of killing Kim Jong-nam, court hears". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). Associated Press. 5 October 2017. ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 5 October 2017.
  117. Ng, Eileen (5 October 2017). "Chemist says VX nerve agent byproduct was on Kim Jong Nam murder suspect's shirt". Chicago Tribune. Associated Press. สืบค้นเมื่อ 8 October 2017.
  118. 1 2 3 Ng, Eileen (20 April 2021). "Masks worn in Malaysian court as VX-tainted evidence shown". AP NEWS (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2023. สืบค้นเมื่อ 19 April 2023.
  119. Ng, Eileen (2 October 2017). "Post-mortem: VX poison killed brother of North Korean leader". The Seattle Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2017. สืบค้นเมื่อ 13 November 2022.
  120. Mustafa, Muzliza (4 October 2017). "North Korea's objection delayed post-mortem, says pathologist". The Malaysian Insight. สืบค้นเมื่อ 12 October 2017. The trial resumed after a break with the testimony of Dr Ranjini Sivaganabalan, a clinical toxicologist at Tengku Ampuan Rahimah in Klang.
  121. "Kim Jong-nam had antidote to nerve agent that killed him in bag". The Guardian. Reuters. 1 December 2017. The vials contained atropine, an antidote for poisons such as VX and insecticides, toxicologist Dr K. Sharmilah told the court on Wednesday, according to state news agency Bernama.
  122. "Kim Jong-nam killing: Regime critic carried 'antidote'". BBC News. 30 November 2017. สืบค้นเมื่อ 1 December 2017.
  123. Surach, G. (8 November 2017). "Two North Koreans initially identified as suspects: Jong-nam murder trial". The Sun. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 March 2018. สืบค้นเมื่อ 8 November 2017. Previously, the court had witnessed footage of the duo helping the four suspects, "Mr Chang" was identified as Hong Song Hac, 34, "Mr Y" as Ri Ji Hyon, 33, "Hanamori @ Grandpa-Uncle as Ri Jae Nam, 57, and "Mr James" as O Jong Jil, 55, to leave Malaysia barely hours after the murder.
  124. "Kim Jong Nam murder trial: Malaysian court told police had insufficient info on four accused". Straits Times. 25 October 2017. สืบค้นเมื่อ 25 October 2017.
  125. "Jong-nam trial: Judge dismisses CCTV footage evidence". Malaysiakini. 22 January 2018. But Gooi stressed that if the prosecution wanted to replay the whole recording, he would apply for a trial within a trial on the admissibility of the exhibit. Justice Azmi Ariffin sustained the objection and ruled that the recording would not be played or admitted as evidence.
  126. "Geeks vouch for resurrected footage of Kim assassination". The Australian. Associated Press. 23 January 2018. สืบค้นเมื่อ 23 January 2018. (ต้องรับบริการ)
  127. 1 2 3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Thủy statement
  128. 1 2 3 4 5 6 Azmi, Hadi (14 March 2018). "Malaysia: Defense Lawyers Blast Prosecutors in Kim Jong Nam Murder Case". Benar News. Benar News. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018.
  129. 1 2 3 "Defence lawyer slams Malaysian police over Kim murder probe". Agence France-Presse. Channel NewsAsia. 14 March 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2018. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018.
      "Defence lawyer slams cops over Jong-nam murder probe". Agence France-Presse. The Malay Mail. 14 March 2018. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018.
  130. 1 2 3 Ng, Eileen (22 March 2018). "Malaysia police deny prejudice against Kim murder suspects". The Washington Post. Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2018. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  131. Shim, Elizabeth (14 March 2018). "Police omitted Kim Jong Nam assassination footage, attorney says". UPI. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2018. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018.
  132. "Police Deliberately Omitted Key Moments in the Assassination of Kim Jong Un's Half-Brother: Defense Lawyer". Al Bawaba. 15 March 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 March 2018. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018.
  133. Linh, Hoài (15 March 2018). "Luật sư vụ án 'Kim Jong Nam' tố cảnh sát ỉm bằng chứng" [Lawyers case of 'Kim Jong Nam' police prosecution evidence] (ภาษาเวียดนาม). Vietnam Net. สืบค้นเมื่อ 15 March 2018.
  134. Trong Giap (22 March 2018). Hé lộ video Đoàn Thị Hương diễn tập tại sân bay Nội Bài [Revealing the video of Đoàn Thị Hương rehearsing at Nội Bài airport]. VNExpress (video) (ภาษาเวียดนาม). Việt Nam Mới. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 0:53. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2018. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  135. Ánh Dương (21 March 2018). Vụ Kim Jong Nam: Video làm chứng Đoàn Thị Hương từng diễn chơi khăm [The case of Kim Jong Nam: The witnesses video Đoàn Thị Hương who used to play pranks] (video) (ภาษาเวียดนาม). Tin tức Việt Nam. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 5:51. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  136. Hamdan, Nurbaiti (20 March 2018). "Kissing prank makes court laugh in Kim murder trial". The Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2018. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  137. Hạnh, Minh (22 March 2018). "Điều tra viên vụ Đoàn Thị Hương thừa nhận mắc sai sót" [Investigator of the case of Đoàn Thị Hương admits mistakes]. Tiền Phong (ภาษาเวียดนาม). Soha. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 March 2018. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  138. Hamdan, Nurbaiti (22 March 2018). "I was under constraint from my superiors, says cop". The Star. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  139. "Women accused of poisoning N. Korean scion arrive for trial". The Associated Press. Stars and Stripes. 27 June 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 June 2018. สืบค้นเมื่อ 10 September 2018. Two women accused of poisoning the estranged half brother of North Korea's leader arrived at court Wednesday for closing arguments in a murder trial that could send the women to the gallows.
  140. "Kim Jong-Nam murder case: Dec 18 for decision on notice of motion". Bernama. The Sun. 14 December 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2018. สืบค้นเมื่อ 16 December 2018. The court set Jan 7 to 10, Jan 28 to 31 and Feb 18 and 19 for Siti Aisyah to enter a defence, while the dates for the court to hear Doan's defence are March 11 to 14, March 18 to 21, April 1 to 4 and April 8 and 9.
  141. Doubek, James (16 August 2018). "Judge Cites A 'Well-Planned Conspiracy' In Kim Jong Nam's Death". NPR. สืบค้นเมื่อ 10 September 2018.
  142. Shim, Elizabeth (16 August 2018). "Malaysian court to extend Kim Jong Nam assassination trial". UPI. สืบค้นเมื่อ 10 September 2018.
  143. "Malaysian police seeking pair to testify in Kim Jong-nam murder trial". VNExpress. 2 September 2018. สืบค้นเมื่อ 10 September 2018.
  144. "Kim Jong-nam murder: Police seek pair to testify at murder trial". BBC News. 1 September 2018. สืบค้นเมื่อ 10 September 2018.
  145. "Kim Jong Nam Case: Malaysian Court Postpones Trial's Defense Phase until March". Benar News. Radio Free Asia. 28 January 2019. สืบค้นเมื่อ 13 February 2019.
  146. Ellis-Petersen, Hannah (11 March 2019). "Kim Jong-nam death: suspect Siti Aisyah released after charge dropped". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 11 March 2019.
  147. "Indonesian Ministry of Law and Human Rights Request Letter". สืบค้นเมื่อ 14 March 2019 โดยทาง Tuổi Trẻ.
  148. "Malaysian Attorney-General Respond Letter". สืบค้นเมื่อ 14 March 2019 โดยทาง Tuổi Trẻ.
  149. Wasis, Widjiono (14 March 2019). "Terungkap Isi Surat Jaksa Agung Malaysia soal Bebasnya Siti Aisyah" [Revealed Letter Contents from Malaysian Attorney General on the Release of Siti Aisyah] (ภาษาอินโดนีเซีย). Senayan Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2019. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  150. "Siti Aisyah freed on Indonesia's request, says AG". Free Malaysia Today. Reuters. 11 March 2019. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  151. Hamdan, Nurbaiti (12 March 2019). "AG Tommy Thomas stays mum on Siti Aisyah's release". The Star. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  152. Christiastuti, Novi (13 March 2019). "Ditanya Soal Bebasnya Siti Aisyah, Ini Jawaban Jaksa Agung Malaysia" [Asked about the Sudden Release of Siti Aisyah, This is the Answer of the Malaysian Attorney General] (ภาษาอินโดนีเซีย). DetikNews. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  153. Ariff, Syed Umar (13 March 2019). "Liew: Power to drop charge rests with AG". New Straits Times. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  154. Ngoc, Anh (13 March 2019). "Vietnam asks Malaysia to free Vietnamese suspect in Kim Jong-nam murder case". VnExpress. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  155. 1 2 Khairulrijal, Rahmat (14 March 2019). "(Update) Kim Jong Nam murder trial: AGC rejects Vietnam woman's bid to withdraw charge". New Straits Times. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  156. Ellis-Petersen, Hannah (14 March 2019). "Kim Jong-nam murder trial: prosecutors reject request to free Doan Thi Huong". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  157. H. Rodzi, Nadirah (14 March 2019). "Lawyers for Vietnam woman in Kim Jong Nam murder accuse Malaysia of 'discrimination' as her trial is postponed". The Straits Times. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  158. 1 2 "Murder charge against Vietnamese Doan should also be dropped, says Ramkarpal". The Star. 14 March 2019. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  159. 1 2 Christiastuti, Novi (14 March 2019). "Politikus Malaysia: Sangat Mengherankan Jaksa Tolak Cabut Dakwaan Doan" [Malaysian Politician: Very Surprising the Prosecutor Refused to Revoke Doan Indictment] (ภาษาอินโดนีเซีย). DetikNews. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  160. Nguyen, Minh; Pearson, James; Fernandez, Clarence (14 March 2019). "Vietnam asks Malaysian for fair treatment of citizen accused of Kim Jong Nam murder". Reuters. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  161. Chew, Amy; Azmi, Hadi (14 March 2019). "Malaysia Rejects Acquittal Bid for Vietnamese Suspect in Kim Jong Nam Murder". Benar News. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  162. Perdana, Agni Vidya (14 March 2019). "Vietnam Sesalkan Jaksa Malaysia yang Tak Bebaskan Doan Thi Huong" [Vietnam Regrets Malaysian Prosecutors Decision to Keep Detaining Doan Thi Huong]. Agence France-Presse (ภาษาอินโดนีเซีย). Kompas.com. สืบค้นเมื่อ 14 March 2019.
  163. "Kim Jong Nam murder: Mahathir denies knowledge of Indonesian govt lobbying for Siti Aisyah's release". The Straits Times. 12 March 2019. สืบค้นเมื่อ 15 March 2019.
  164. Jegathesan, Muniandy (12 March 2019). "Malaysia PM says release of Siti Aisyah in N. Korea case within rules". The Jakarta Post. สืบค้นเมื่อ 15 March 2019.
  165. "Imbas Pembebasan Siti Aisyah: Polemik di Indonesia, Kontroversi di Malaysia" [Flashback on the Release of Siti Aisyah: Polemic in Indonesia, Controversy in Malaysia] (ภาษาอินโดนีเซีย). DetikNews. 15 March 2019. สืบค้นเมื่อ 15 March 2019.
  166. Dinh, Hau; Ng, Eileen (14 March 2019). "Vietnamese suspect in Kim Jong Nam's killing seeking release". AP News. Associated Press. สืบค้นเมื่อ 15 March 2019.
  167. Habibu, Sira (14 March 2019). "Wee questions 'executive' meddling of legal process". The Star. Star Media Group Berhad. สืบค้นเมื่อ 16 March 2019.
  168. "Prosecution of Doan: MCA condemns AG's double standard". The Malaysian Times. 15 March 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2019. สืบค้นเมื่อ 16 March 2019.
  169. "AG's prerogative to drop charges against Siti Aisyah in Kim Jong-nam's murder case, says outgoing Malaysian Bar chief". The Star. Star Media Group Berhad. 15 March 2019. สืบค้นเมื่อ 16 March 2019.
  170. Halim, Fakhrull (16 March 2019). "Kes Aisyah: AG hanya ada satu pertimbangan – Peguam" [Aisyah Case: AG has only one consideration – Attorney]. Malaysiakini (ภาษามาเลย์). สืบค้นเมื่อ 16 March 2019.
  171. Mayberry, Kate (1 April 2019). "Vietnamese suspect in Kim Jong Nam murder handed prison term". Al Jazeera.
  172. "Vietnam's Doan Thi Huong sentenced to 40 months at Kim Jong Nam murder trial". Tuoi Tre News. 1 April 2019.
  173. "Vietnamese woman in Kim Jong Nam murder trial to be freed May 3". Kyodo News. 13 April 2019. สืบค้นเมื่อ 13 April 2019.
  174. "Kim Jong-nam: Vietnamese woman freed in murder case". BBC. 3 May 2019.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

แม่แบบ:คิม จ็อง-อึน