การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989
การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 | |
---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็น, การปฏิวัติ ค.ศ. 1989 และขบวนการประชาธิปไตยจีน | |
วันที่ | การประท้วง: 15 เมษายน – 4 มิถุนายน ค.ศ. 1989 (1 เดือน 2 สัปดาห์ 6 วัน) การสังหารหมู่: 3–4 มิถุนายน ค.ศ. 1989 (1 วัน); 36 ปีก่อน |
สถานที่ | ปักกิ่ง ประเทศจีน และ 400 เมืองทั่วประเทศ จัตุรัสเทียนอันเหมิน 39°54′12″N 116°23′30″E / 39.90333°N 116.39167°E |
สาเหตุ | |
เป้าหมาย | การยุติการทุจริตภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตลอดจนการปฏิรูปประชาธิปไตย, เสรีภาพสื่อ, เสรีภาพในการพูด, เสรีภาพในการสมาคม, ความเท่าเทียมทางสังคม, การมีส่วนร่วมแบบประชาธิปไตยในการปฏิรูปเศรษฐกิจ |
วิธีการ | การอดอาหารประท้วง, การนั่งประท้วง, การดื้อแพ่ง, การยึดพื้นที่, การจลาจล |
ผล | การปราบปรามโดยรัฐบาล
|
ความเสียหาย | |
เสียชีวิต | ดูที่ จำนวนผู้เสียชีวิต |
การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน รู้จักในประเทศจีนว่า อุบัติการณ์ 4 มิถุนายน[1][2][a] เป็นการเดินขบวนที่นำโดยนักศึกษาซึ่งจัดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปักกิ่ง ประเทศจีน มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 4 มิถุนายน ค.ศ. 1989 หลังความพยายามที่ไม่ประสบผลสำเร็จนานหลายสัปดาห์ระหว่างผู้ประท้วงและรัฐบาลจีนในการหาข้อยุติอย่างสันติ รัฐบาลจีนส่งกำลังทหารเข้ายึดจัตุรัสในคืนวันที่ 3 มิถุนายน ซึ่งถูกเรียกว่า การสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เหตุการณ์นี้บางครั้งถูกเรียกว่า ขบวนการประชาธิปไตย 89[b] อุบัติการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน[c] หรือ การก่อการกำเริบเทียนอันเหมิน[3][4]
การประท้วงถูกกระตุ้นโดยการเสียชีวิตของหู เย่าปัง อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนผู้สนับสนุนการปฏิรูปในเดือนเมษายน ค.ศ. 1989 ท่ามกลางเบื้องหลังของการพัฒนาเศรษฐกิจที่รวดเร็วและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในจีนยุคหลังเหมา สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลในหมู่ประชาชนและชนชั้นนำทางการเมืองเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ การปฏิรูปในทศวรรษ 1980 นำไปสู่เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อคนบางกลุ่มแต่สร้างความเสียเปรียบอย่างร้ายแรงต่อคนกลุ่มอื่น และระบบการเมืองแบบพรรคเดียวก็เผชิญกับความท้าทายต่อความชอบธรรมของตนด้วย ข้อร้องเรียนทั่วไปในเวลานั้นรวมถึงภาวะเงินเฟ้อ การทุจริต การเตรียมพร้อมของบัณฑิตที่ไม่เพียงพอสำหรับเศรษฐกิจใหม่[5] และข้อจำกัดการมีส่วนร่วมทางการเมือง แม้พวกเขาจะขาดการจัดการอย่างมากและมีเป้าหมายแตกต่างกัน แต่นักศึกษาเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ เช่น การยกเลิกงาน "ชามข้าวเหล็ก" ความรับผิดชอบที่มากขึ้น กระบวนการทางรัฐธรรมนูญตามกฎหมาย ประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อ และเสรีภาพในการพูด[6][7] การประท้วงของคนงานมักมุ่งเน้นไปที่ภาวะเงินเฟ้อและการกัดกร่อนของสวัสดิการ[8] กลุ่มเหล่านี้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องการต่อต้านการทุจริต การปรับนโยบายเศรษฐกิจ และการคุ้มครองประกันสังคม[8] ณ จุดสูงสุดของการประท้วง ผู้คนประมาณหนึ่งล้านคนได้รวมตัวกันที่จัตุรัส[9]
เมื่อการประท้วงขยายตัวขึ้น ทางการตอบโต้ด้วยทั้งยุทธวิธีประนีประนอมและมาตรการแข็งกร้าว เผยให้เห็นความแตกแยกอย่างลึกซึ้งภายในกลุ่มผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์[10] ภายในเดือนพฤษภาคม การอดอาหารประท้วงที่นำโดยนักศึกษากระตุ้นให้เกิดการสนับสนุนผู้ประท้วงทั่วประเทศ และการประท้วงลุกลามไปยังประมาณ 400 เมือง[11] วันที่ 20 พฤษภาคม คณะมนตรีรัฐกิจประกาศกฎอัยการศึก และมีการระดมกำลังทหารมากถึง 300,000 นายเข้าสู่ปักกิ่ง[11][12][13][14]
หลังเหตุเผชิญหน้าและปะทะรุนแรงระหว่างกองทัพกับผู้ชุมนุมที่กินเวลาหลายสัปดาห์ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายมีผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก การประชุมระหว่างผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวันที่ 1 มิถุนายนได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการสลายการชุมนุมที่จัตุรัส[15][13][14] กองทหารรุกเข้าสู่ใจกลางปักกิ่งตามถนนสายหลักในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 4 มิถุนายนและเข้าปะทะอย่างดุเดือดกับผู้ชุมนุมที่พยายามขัดขวาง ซึ่งมีผู้คนจำนวนมาก ทั้งผู้ชุมนุม ผู้สังเกตการณ์ และทหาร เสียชีวิต ประมาณการจำนวนผู้เสียชีวิตแตกต่างกันไปตั้งแต่หลายร้อยไปจนถึงหลายพันคน และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายพันคน[16][17][18][19][20][21]
เหตุการณ์ดังกล่าวมีผลที่ตามมาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ประเทศตะวันตกออกมาตรการห้ามส่งออกอาวุธให้กับจีน[22] และสำนักข่าวตะวันตกหลายแห่งขนานนามการปราบปรามครั้งนี้ว่าเป็น "การสังหารหมู่"[23][24] หลังเหตุการณ์ประท้วง รัฐบาลจีนดำเนินการปราบปรามการประท้วงอื่น ๆ ทั่วประเทศจีน มีการจับกุมผู้ประท้วงครั้งใหญ่[25] ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดปฏิบัติการเยลโลเบิร์ด รัฐบาลยังควบคุมการนำเสนอข่าวเหตุการณ์อย่างเข้มงวดทั้งสื่อในประเทศและสื่อต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการลดขั้นหรือกวาดล้างเจ้าหน้าที่ที่ถูกมองว่าเห็นอกเห็นใจผู้ประท้วง รัฐบาลยังลงทุนอย่างมากในการสร้างหน่วยควบคุมฝูงชนของตำรวจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวโดยกว้าง การปราบปรามครั้งนี้ยุติการปฏิรูปการเมืองที่เริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. 1986 ตลอดจนขบวนการเรืองปัญญาใหม่[26][27] และหยุดยั้งนโยบายการเปิดเสรีในช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งกลับมาดำเนินต่อเพียงบางส่วนหลังการเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิงใน ค.ศ. 1992[28][29][30] เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ปฏิกิริยาต่อการประท้วงได้กำหนดขอบเขตของการแสดงออกทางการเมืองในจีน ที่คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน[31] เหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นหนึ่งในหัวข้ออ่อนไหวที่สุดและถูกตรวจพิจารณาอย่างกว้างขวางที่สุดในประเทศจีน[32][33]
ชื่อเหตุการณ์
[แก้]การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 六四事件 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ความหมายตามตัวอักษร | อุบัติการณ์ 4 มิถุนายน | ||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||
ชื่อที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 1989年春夏之交的政治风波 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 1989年春夏之交的政治風波 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ความหมายตามตัวอักษร | ความวุ่นวายทางการเมืองระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนปี 1989 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีนอื่น ๆ (2) | |||||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 八九民运 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 八九民運 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
ความหมายตามตัวอักษร | ขบวนการประชาธิปไตย 89 | ||||||||||||||||||||||||||||||||
|
รัฐบาลจีนใช้ชื่อเรียกเหตุการณ์นี้หลายชื่อตั้งแต่ ค.ศ. 1989[34] ขณะเหตุการณ์กำลังดำเนินอยู่ มันถูกเรียกว่า "กบฏต่อต้านการปฏิวัติ" ซึ่งภายหลังเปลี่ยนเป็นเพียง "จลาจล" ตามด้วย "ความวุ่นวายทางการเมือง" และ "พายุปี 1989"[34]
นอกจีนแผ่นดินใหญ่ และในกลุ่มผู้วิพากษ์วิจารณ์การปราบปรามในจีนแผ่นดินใหญ่ เหตุการณ์นี้มักถูกเรียกขานในภาษาจีนว่า "การสังหารหมู่ 4 มิถุนายน" (六四屠殺; liù-sì túshā) และ "การปราบปราม 4 มิถุนายน" (六四鎮壓; liù-sì zhènyā) เพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์โดยระบบเกรตไฟร์วอลล์ (great firewall) ชื่อเรียกอื่น ๆ จึงเกิดขึ้นเพื่ออธิบายเหตุการณ์นี้บนอินเทอร์เน็ต เช่น "35 พฤษภาคม", "VIIV" (ตัวเลขโรมันสำหรับ 6 และ 4), "แปดกำลังสอง" (เนื่องจาก 82=64)[35] และ 8964 (ในรูปแบบปีเดือนวัน)[36]
ในภาษาอังกฤษ ศัพท์ "การสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน", "การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน" และ "การปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน" มักถูกใช้เพื่ออธิบายชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงส่วนใหญ่ในปักกิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แต่เกิดขึ้นนอกจัตุรัสตามแนวถนนฉางอานซึ่งมีความยาวเพียงไม่กี่ไมล์ และโดยเฉพาะใกล้กับพื้นที่มู่ซีตี้[37] ศัพท์นี้ยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการประท้วงเกิดขึ้นเฉพาะในปักกิ่งเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้ว การประท้วงเกิดขึ้นในหลายเมืองทั่วประเทศจีน[13]
ภูมิหลัง
[แก้]ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง และการปฏิรูปเศรษฐกิจ
[แก้]การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงด้วยอสัญกรรมของประธานเหมา เจ๋อตงใน ค.ศ. 1976 และการจับกุมแก๊งสี่คน[38][39] การเคลื่อนไหวครั้งนั้น ซึ่งนำโดยเหมา ได้ก่อความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่หลากหลายของประเทศในตอนแรก[40] ส่งผลให้ประเทศตกอยู่ในความยากจน เนื่องจากการผลิตทางเศรษฐกิจชะลอตัวหรือหยุดชะงัก[41] อุดมการณ์ทางการเมืองมีความสำคัญสูงสุดในชีวิตของผู้คนทั่วไป เช่นเดียวกับการทำงานภายในของพรรคเอง[42]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1977 เติ้ง เสี่ยวผิง เสนอแนวคิด ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง ("ขจัดความวุ่นวายและกลับสู่ปกติ") เพื่อแก้ไขความผิดพลาดของการปฏิวัติวัฒนธรรม[39] ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 11 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ . 1978 เติ้งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของจีน เขาริเริ่มโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนอย่างครอบคลุม (การปฏิรูปและเปิดประเทศ) ภายในเวลาไม่กี่ปี จุดเน้นของประเทศที่เคยอยู่ที่ความบริสุทธิ์ทางอุดมการณ์ก็ถูกแทนที่ด้วยความพยายามอย่างจริงจังที่จะบรรลุความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ
เพื่อดูแลวาระการปฏิรูปของเขา เติ้งเลื่อนตำแหน่งพันธมิตรของเขาให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในรัฐบาลและพรรค จ้าว จื่อหยางได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาลในเดือนกันยายน ค.ศ. 1980 และหู เย่าปังเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1982
ความท้าทายต่อการปฏิรูปและเปิดประเทศ
[แก้]การปฏิรูปของเติ้งมุ่งลดบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจและค่อย ๆ อนุญาตให้มีการผลิตภาคเอกชนในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ภายใน ค.ศ. 1981 ประมาณร้อยละ 73 ของไร่นาในชนบทได้ถูกยกเลิกการรวมกลุ่ม และร้อยละ 80 ของรัฐวิสาหกิจได้รับอนุญาตให้เก็บผลกำไรไว้ได้
แม้การปฏิรูปโดยทั่วไปจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสาธารณชน แต่ความกังวลก็เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาทางสังคมหลายอย่างที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น รวมถึงการทุจริตและคติเห็นแก่ญาติของกลุ่มชนชั้นสูงในพรรค[43] ระบบการกำหนดราคาที่รัฐกำหนด ซึ่งมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ได้ตรึงราคาไว้ในระดับต่ำมานาน การปฏิรูปในช่วงแรกสร้างระบบสองระดับ โดยที่ราคาบางอย่างยังคงตรึงไว้ขณะที่บางอย่างได้รับอนุญาตให้ผันผวน ในตลาดที่ประสบปัญหาการขาดแคลนเรื้อรัง การผันผวนของราคาทำให้ผู้ที่มีเส้นสายสามารถซื้อสินค้าในราคาต่ำและนำไปขายในราคาตลาดได้ข้ารัฐการพรรคที่รับผิดชอบการบริหารเศรษฐกิจมีแรงจูงใจอย่างมหาศาลที่จะเข้ามาพัวพันกับการเก็งกำไรในลักษณะดังกล่าว[44] ความไม่พอใจเกี่ยวกับการทุจริตพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุดในหมู่ประชาชน และหลายคน โดยเฉพาะปัญญาชน เริ่มเชื่อว่าการปฏิรูปประชาธิปไตยและนิติธรรมเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้[45]
ภายหลังการประชุมใน ค.ศ. 1988 ที่เขตพักร้อนเป่ย์ไต้เหอของพวกเขา ผู้นำพรรคภายใต้การนำของเติ้งตกลงนำระบบราคาตามกลไกตลาดมาใช้[46] ข่าวการผ่อนคลายการควบคุมราคากระตุ้นให้เกิดการถอนเงินสด การซื้อ และการกักตุนสินค้าไปทั่วประเทศจีนเป็นระลอก[46] รัฐบาลตื่นตระหนกและยกเลิกการปฏิรูปราคาภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ แต่ก็ยังคงมีผลกระทบที่ชัดเจนยาวนานกว่านั้น ภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ดัชนีทางการรายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในปักกิ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ระหว่าง ค.ศ. 1987 ถึง 1988 นำไปสู่ความตื่นตระหนกในหมู่พนักงานที่ได้รับเงินเดือนว่าพวกเขาไม่สามารถซื้อสินค้าจำเป็นได้อีกต่อไป[47] ยิ่งไปกว่านั้น ในระบบเศรษฐกิจตลาดใหม่ รัฐวิสาหกิจที่ไม่มีกำไรถูกกดดันให้ลดต้นทุน สิ่งนี้คุกคามประชากรจำนวนมากที่พึ่งพาระบบ "ชามข้าวเหล็ก" นั่นคือสวัสดิการสังคม เช่น ความมั่นคงในการทำงาน การรักษาพยาบาล และที่อยู่อาศัยที่ได้รับเงินอุดหนุน[47]
การถูกลิดรอนสิทธิ์ทางสังคมและวิกฤตความชอบธรรม
[แก้]
ใน ค.ศ. 1978 ผู้นำสายปฏิรูปได้คาดการณ์ไว้ว่าปัญญาชนจะมีบทบาทนำในการชี้นำประเทศผ่านการปฏิรูป แต่สิ่งนี้กลับไม่เป็นไปตามแผน[48] ด้านหนึ่ง ขบวนการเรืองปัญญาใหม่ที่นำโดยปัญญาชนส่งเสริมปรัชญาและค่านิยมเสรีนิยมที่หลากหลายซึ่งท้าทายอุดมการณ์สังคมนิยม ตั้งแต่ประชาธิปไตย มนุษยนิยม ค่านิยมสากล เช่น เสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงการเป็นตะวันตกเต็มรูปแบบ[27][49] ในทางกลับกัน เพื่อเป็นการตอบสนองต่อเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มการปฏิรูป เติ้ง เสี่ยวผิงเสนอหลักสำคัญสี่ประการใน ค.ศ. 1979 เพื่อจำกัดการเปิดเสรีทางการเมือง[50] ในอีกด้านหนึ่ง แม้จะมีการเปิดมหาวิทยาลัยใหม่และเพิ่มจำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียน[51] แต่ระบบการศึกษาที่รัฐควบคุมกลับผลิตบัณฑิตไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในด้านการเกษตร อุตสาหกรรมเบา บริการ และการลงทุนจากต่างประเทศ[52] ตลาดงานมีข้อจำกัดเป็นพิเศษสำหรับนักศึกษาที่เชี่ยวชาญด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์[51] ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทเอกชนไม่จำเป็นต้องรับนักศึกษาที่รัฐจัดสรรให้อีกต่อไป และงานที่มีรายได้สูงจำนวนมากถูกเสนอให้โดยอาศัยคติเห็นแก่ญาติและความพึงพอใจส่วนตัว[53] การได้ตำแหน่งที่ดีที่รัฐจัดสรรให้หมายถึงการต้องจัดการกับระบบรัฐการที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างมากซึงให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่อยู่ภายใต้อำนาจของตน[47] เมื่อเผชิญกับตลาดงานที่ย่ำแย่และโอกาสที่จำกัดในการไปต่างประเทศ ปัญญาชนและนักศึกษาจึงมีความสนใจในประเด็นการเมืองมากขึ้น กลุ่มศึกษาขนาดเล็ก เช่น "ซาลงประชาธิปไตย" (จีน: 民主沙龙; พินอิน: Mínzhǔ Shālóng; อังกฤษ: Democracy Salon) และ "ซาลงสนามหญ้า" (草地沙龙; Cǎodì Shālóng; อังกฤษ: Lawn Salon) เริ่มปรากฏขึ้นในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง[54] องค์กรเหล่านี้กระตุ้นให้นักศึกษามีส่วนร่วมทางการเมือง[46]
ขณะเดียวกัน อุดมการณ์สังคมนิยมของพรรคก็เผชิญกับวิกฤตความชอบธรรมเนื่องจากค่อย ๆ นำแนวปฏิบัติแบบทุนนิยมมาใช้[55] วิสาหกิจเอกชนทำให้เกิดพวกฉวยโอกาสที่อาศัยประโยชน์จากการกำกับดูแลอย่างหละหลวมและมักอวดความมั่งคั่งต่อหน้าผู้ด้อยกว่า[47] ความไม่พอใจของประชาชนกำลังก่อตัวขึ้นเกี่ยวกับการกระจายความมั่งคั่งที่ไม่เป็นธรรม ดูเหมือนว่าความโลภ ไม่ใช่ทักษะ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในความสำเร็จ มีความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง ทว่าอำนาจในการกำหนด "เส้นทางที่ถูกต้อง" ยังคงขึ้นอยู่กับมือของรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพียงผู้เดียว[55]
การปฏิรูปที่ครอบคลุมและหลากหลายก่อให้เกิดความแตกต่างทางการเมืองเกี่ยวกับความเร็วของการขับเคลื่อนการทำให้เป็นตลาดและการควบคุมอุดมการณ์ที่มาพร้อมกับการปฏิรูปนั้น เปิดช่องว่างขนาดใหญ่ภายในผู้นำส่วนกลาง กลุ่มปฏิรูป ("ฝ่ายขวา" นำโดยหู เย่าปัง) สนับสนุนการเปิดเสรีทางการเมืองและแนวคิดที่หลากหลายเพื่อเป็นช่องทางในการแสดงความไม่พอใจของประชาชนและผลักดันให้มีการปฏิรูปต่อไป กลุ่มอนุรักษนิยม ("ฝ่ายซ้าย" นำโดยเฉิน ยฺหวิน) กล่าวว่าการปฏิรูปได้ดำเนินไปไกลเกินไปและสนับสนุนการกลับไปใช้การควบคุมโดยรัฐที่มากขึ้นเพื่อรักษาสมดุลทางสังคมและเพื่อให้สอดคล้องกับอุดมการณ์สังคมนิยมของพรรคได้ดียิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการการสนับสนุนจากเติ้ง เสี่ยวผิงซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดเพื่อดำเนินนโยบายสำคัญต่าง ๆ[56]
การเดินขบวนของนักศึกษา ค.ศ. 1986
[แก้]ในกลาง ค.ศ. 1986 ฟาง ลี่จือ ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เดินทางกลับจากตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและเริ่มตระเวนบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในจีน โดยพูดถึงเรื่องเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และการแยกใช้อำนาจ ฟางเป็นส่วนหนึ่งของกระแสความคิดที่กว้างขวางในหมู่ปัญญาชนชั้นนำที่มองว่าความยากจนและการด้อยพัฒนาของจีน รวมถึงภัยพิบัติจากปฏิวัติวัฒนธรรม ล้วนเป็นผลโดยตรงจากระบบการเมืองแบบเผด็จการและระบบเศรษฐกิจแบบสั่งการที่เข้มงวดของจีน[57] มุมมองที่ว่าการปฏิรูปการเมืองเป็นคำตอบเดียวสำหรับปัญหาที่ยังคงดำเนินอยู่ของจีนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักศึกษา เนื่องจากเทปบันทึกเสียงการบรรยายของฟางถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ[58] ในการตอบโต้ เติ้ง เสี่ยวผิงเตือนว่าฟางกำลังบูชาวิถีชีวิตตะวันตก ระบบทุนนิยม และระบบหลายพรรคอย่างหลับหูหลับตาขณะที่บ่อนทำลายอุดมการณ์สังคมนิยม ค่านิยมดั้งเดิม และการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[58]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1986 ด้วยแรงบันดาลใจจากฟางและขบวนการ "พลังประชาชน" อื่น ๆ ทั่วโลก กลุ่มผู้ประท้วงที่เป็นนักศึกษาจัดการประท้วงต่อต้านการปฏิรูปที่เชื่องช้า ประเด็นการประท้วงมีหลากหลายและรวมถึงข้อเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตย และนิติธรรม[59] แม้การประท้วงในตอนแรกจะจำกัดอยู่แค่เมืองเหอเฝย์ ที่ซึ่งเป็นที่ที่ฟางอาศัยอยู่ แต่ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเมืองใหญ่อื่น ๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้นำส่วนกลางตื่นตระหนก ซึ่งกล่าวหานักศึกษาว่ากำลังปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายแบบการปฏิวัติวัฒนธรรม
เลขาธิการใหญ่หู เย่าปังถูกกล่าวโทษว่ามีท่าที "อ่อนแอ" และจัดการกับการประท้วงผิดพลาด ซึ่งบ่อนทำลายเสถียรภาพทางสังคม เขาถูกประณามอย่างรุนแรงจากกลุ่มอนุรักษนิยมและถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ในวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1987 พรรคเริ่ม "การรณรงค์ต่อต้านการเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี" โดยมุ่งเป้าไปที่หู เย่าปัง แนวคิดการเปิดเสรีทางการเมือง และแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกโดยรวม[60] การรณรงค์ดังกล่าวหยุดการประท้วงของนักศึกษาและจำกัดกิจกรรมทางการเมือง แต่หูยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ปัญญาชน นักศึกษา และหัวก้าวหน้าในพรรคคอมมิวนิสต์[61]
การปฏิรูปการเมือง
[แก้]
วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1980 เติ้ง เสี่ยวผิงกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ "ว่าด้วยการปฏิรูประบบผู้นำพรรคและรัฐ" ("党和国家领导制度改革") ในการประชุมเต็มคณะของกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปักกิ่ง เป็นการเปิดฉากการปฏิรูปการเมืองในประเทศจีน[62][63][64] เขายังเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของจีนอย่างเป็นระบบ โดยวิพากษ์วิจารณ์ระบบรัฐการ การรวมศูนย์อำนาจ และปิตาธิปไตย พร้อมทั้งเสนอการจำกัดวาระสำหรับตำแหน่งผู้นำในจีนและสนับสนุนประชาธิปไตยรวมศูนย์และระบบผู้นำร่วม[62][63][64] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 รัฐธรรมนูญฉบับที่สี่และฉบับปัจจุบันของจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ รัฐธรรมนูญ 1982 ได้รับการผ่านโดยสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 5[65][66]
ในช่วงครึ่งแรกของ ค.ศ. 1986 เติ้งเรียกร้องซ้ำ ๆ ให้มีการฟื้นฟูการปฏิรูปการเมือง เนื่องจากเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาถูกขัดขวางโดยระบบการเมืองเดิมซึ่งมีแนวโน้มการทุจริตและความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น[67][68] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1986 มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการ 5 คนเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการปฏิรูปการเมือง โดยมีสมาชิกได้แก่ จ้าว จื่อหยาง, หู ฉี่ลี่, เถียน จี้ยฺหวิน, ปั๋ว อีปัวและเผิง ชง[69][70] ความตั้งใจของเติ้งคือการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร แยกความรับผิดชอบของพรรคคอมมิวนิสต์ออกจากรัฐบาลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และขจัดการระบบรัฐการที่ยุ่งยาก[71][72] แม้เขาจะพูดถึงนิติธรรมและประชาธิปไตย แต่เติ้งจำกัดการปฏิรูปให้อยู่ภายใต้ระบบพรรคเดียวและต่อต้านการนำรัฐธรรมนูญนิยมแบบตะวันตกมาใช้[72][73]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1987 ในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 13 จ้าว จื่อหยางนำเสนอรายงานว่าด้วยการปฏิรูปทางการเมืองที่ร่างโดยเป้า ถง[74][75] ในสุนทรพจน์ของเขาที่มีชื่อว่า "ก้าวไปตามหนทางของสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ("沿着有中国特色的社会主义道路前进") จ้าวแย้งว่าสังคมนิยมในจีนยังคงอยู่ในขั้นต้น และยึดคำกล่าวของเติ้งใน ค.ศ. 1980 เป็นแนวทาง โดยได้ให้รายละเอียดขั้นตอนต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการเพื่อการปฏิรูปการเมือง รวมถึงการส่งเสริมนิติธรรมและการแยกใช้อำนาจ การกระจายอำนาจ และการปรับปรุงระบบการเลือกตั้ง[71][74][75] ในการประชุมครั้งนี้ จ้าวได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน[76]
เงินทุนและการสนับสนุน
[แก้]ในการประท้วง ผู้ประท้วงได้รับการสนับสนุนจำนวนมากจากทั้งภายในประเทศและจากแหล่งภายนอก[77] มหาวิทยาลัยจีนในฮ่องกงบริจาคเงิน 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม[78]: 313 และกลุ่มต่าง ๆ เช่น พันธมิตรฮ่องกงเพื่อสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยรักชาติแห่งประเทศจีน ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการประท้วง เงินทุนยังมาจากสหรัฐ แคนาดา ญี่ปุ่น ไต้หวัน ออสเตรเลีย และประเทศต่าง ๆ ทั่วทวีปยุโรป[79]
จุดเริ่มต้นการประท้วง
[แก้]การเสียชีวิตของหู เย่าปัง
[แก้]ชื่อ | ภูมิลำเนาและสถาบันการศึกษา |
---|---|
ไฉ หลิง | ชานตง; มหาวิทยาลัยครูปักกิ่ง |
อู๋เออร์ ไคซี (เออร์เคช) | ซินเจียง; มหาวิทยาลัยครูปักกิ่ง |
หวัง ตาน | ปักกิ่ง; มหาวิทยาลัยปักกิ่ง |
เฟิง ฉงเต๋อ | เสฉวน; มหาวิทยาลัยปักกิ่ง |
เฉิ่น ถง | ปักกิ่ง; มหาวิทยาลัยปักกิ่ง |
หวัง โหย่วไฉ | เจ้อเจียง; มหาวิทยาลัยปักกิ่ง |
หลี่ ลู่ | เหอเป่ย์; มหาวิทยาลัยหนานจิง |
โจว หย่งจฺวิน | มหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แห่งประเทศจีน |
เมื่อหู เย่าปังเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายกะทันหันในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1989 นักศึกษาได้แสดงปฏิกิริยาอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่เชื่อว่าการเสียชีวิตของเขาเกี่ยวข้องกับการถูกบีบให้ลาออก[80] การเสียชีวิตของหูเป็นแรงกระตุ้นเริ่มต้นให้นักศึกษามารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก[81] ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย มีโปสเตอร์จำนวนมากปรากฏขึ้นเพื่อยกย่องหู เรียกร้องให้เชิดชูมรดกของหู ภายในไม่กี่วัน โปสเตอร์ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่กว้างขึ้น เช่น การทุจริต ประชาธิปไตย และเสรีภาพสื่อ[82] การรวมตัวกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อไว้อาลัยหูเริ่มขึ้นในวันที่ 15 เมษายน รอบ ๆ อนุสาวรีย์วีรชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในวันเดียวกันนั้น นักศึกษาจำนวนมากที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (PKU) และมหาวิทยาลัยชิงหฺวาสร้างศาลเจ้าและเข้าร่วมการชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินทีละเล็กละน้อย[โปรดขยายความ] การรวมตัวของนักศึกษาขนาดเล็กที่จัดตั้งขึ้นก็เกิดขึ้นในซีอานและเซี่ยงไฮ้ในวันที่ 16 เมษายน วันที่ 17 เมษายน นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แห่งประเทศจีน (CUPL) ทำพวงหรีดขนาดใหญ่เพื่อรำลึกถึงหู เย่าปัง พิธีวางพวงหรีดจัดขึ้นในวันที่ 17 เมษายน และมีผู้คนมารวมตัวกันมากกว่าที่คาดไว้[83] เวลา 17.00 น. นักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์ฯ 500 คนเดินทางถึงประตูตะวันออกของมหาศาลาประชาชน ใกล้จัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อไว้อาลัยหู การรวมตัวมีการกล่าวสุนทรพจน์จากผู้คนหลากหลายพื้นเพที่กล่าวรำลึกถึงหูและหารือเกี่ยวกับปัญหาสังคม อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าก็ถูกพิจารณาว่าขัดขวางการดำเนินงานของมหาศาลา ดังนั้นตำรวจจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้นักศึกษาแยกย้ายออกไป
นับตั้งแต่คืนวันที่ 17 เมษายน นักศึกษาจำนวน 3,000 คนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งเดินขบวนจากวิทยาเขตไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน และในไม่ช้า นักศึกษาเกือบ 1,000 คนจากมหาวิทยาลัยชิงหฺวาก็เข้าร่วมด้วย เมื่อเดินทางมาถึง พวกเขาก็รวมตัวกับกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัสอยู่แล้ว เมื่อจำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้น การรวมตัวก็ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การประท้วง เมื่อนักศึกษาเริ่มร่างรายการคำร้องและข้อเสนอแนะ (ข้อเรียกร้องเจ็ดประการ) สำหรับรัฐบาล:
- ยืนยันว่ามุมมองของหู เย่าปังว่าด้วยประชาธิปไตยและเสรีภาพนั้นถูกต้อง
- ยอมรับว่าการรณรงค์ต่อต้านมลพิษทางจิตวิญญาณและการเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพีเป็นสิ่งผิด
- เปิดเผยข้อมูลรายได้ของผู้นำประเทศและสมาชิกในครอบครัว
- อนุญาตให้มีหนังสือพิมพ์ที่ดำเนินการโดยเอกชนและยุติการตรวจพิจราณาสื่อ
- เพิ่มงบประมาณด้านการศึกษาและขึ้นเงินเดือนปัญญาชน
- ยุติการจำกัดการชุมนุมในปักกิ่ง
- นำเสนอข่าวสารของนักศึกษาในสื่อทางการอย่างเป็นกลาง[84][83]
เช้าวันที่ 18 เมษายน นักศึกษาจำนวนมากยังคงปักหลักอยู่ในจัตุรัส บางส่วนรวมตัวกันรอบอนุสาวรีย์วีรชน ร้องเพลงปลุกใจและฟังการกล่าวสุนทรพจน์ฉับพลันของแกนนำนักศึกษา ส่วนที่เหลือรวมตัวกันที่มหาศาลา ขณะเดียวกัน นักศึกษาหลายพันคนรวมตัวกันที่ประตูซินหฺวา ทางเข้าจงหนานไห่ อันเป็นที่ตั้งของผู้นำพรรค โดยพวกเขายื่นข้อเรียกร้องให้มีการเจรจากับฝ่ายบริหาร หลังตำรวจขัดขวางไม่ให้นักศึกษาเข้าไปในพื้นที่ พวกเขาก็จัดการนั่งประท้วง วันที่ 19 เมษายน นักศึกษาชูป้ายเขียนว่า "เสรีภาพและตื่นรู้ประชาธิปไตย" ที่อนุสาวรีย์ ใต้ภาพเหมือนขนาดใหญ่ของหู เย่าปัง[85]
วันที่ 20 เมษายน นักศึกษาส่วนใหญ่ได้รับคำชักชวนให้ออกจากประตูซินหฺวา เพื่อสลายนักศึกษาประมาณ 200 คนที่ยังคงอยู่ ตำรวจใช้กระบอง มีรายงานการปะทะเล็กน้อย นักศึกษาจำนวนมากรู้สึกว่าถูกตำรวจทำทารุณกรรม และข่าวลือเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงของตำรวจก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งผู้ที่ไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ตัดสินใจเข้าร่วมการประท้วง[86] นอกจากนี้ กลุ่มคนงานที่เรียกตัวเองว่าสหพันธ์แรงงานอิสระปักกิ่งได้ออกใบปลิวสองฉบับเพื่อท้าทายผู้นำส่วนกลาง[87]
รัฐพิธีศพของหูจัดขึ้นในวันที่ 22 เมษายน ในเย็นวันที่ 21 เมษายน นักศึกษาประมาณ 100,000 คนเดินขบวนไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยไม่สนใจคำสั่งจากหน่วยงานเทศบาลปักกิ่งที่ระบุว่าจัตุรัสจะต้องปิดเพื่อจัดพิธีศพ พิธีศพซึ่งจัดขึ้นภายในมหาศาลาและมีผู้นำเข้าร่วม ได้รับการถ่ายทอดสดให้นักศึกษาได้รับชม จ้าว จื่อหยาง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นผู้กล่าวคำสรรเสริญ พิธีศพดูเหมือนจะรีบร้อน ใช้เวลาเพียง 40 นาที เนื่องจากอารมณ์ของผู้คนในจัตุรัสกำลังพลุ่งพล่าน[56][88][89]
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปิดกั้นทางเข้าด้านตะวันออกของมหาศาลาประชาชน แต่มีนักศึกษาหลายคนพยายามรุดหน้าเข้าไป นักศึกษาบางส่วนได้รับอนุญาตให้ข้ามแนวกั้นของตำรวจ นักศึกษาสามคนในกลุ่มนี้ ได้แก่ โจว หย่งจฺวิน กัว ไห่เฟิง และจาง จื้อหย่ง คุกเข่าลงบนบันไดของมหาศาลา เพื่อยื่นคำร้องและเรียกร้องขอพบกับนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง[90][d] ขณะที่นักศึกษาคนที่สี่ (อู๋เออร์ ไคซี) ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวสุนทรพจน์สั้น ๆ ด้วยอารมณ์ที่แสดงออกอย่างชัดเจนเพื่อวิงวอนขอให้หลี่ เผิงออกมาพูดคุยกับพวกเขา นักศึกษาจำนวนมากที่ยังคงอยู่ในจัตุรัสแต่ภายนอกแนวกั้นบางครั้งก็มีอารมณ์ร่วม แสดงความไม่พอใจด้วยการตะโกนข้อเรียกร้องหรือคำขวัญและพุ่งเข้าหาตำรวจ อู๋เออร์ไคซีช่วยสงบฝูงชนขณะที่พวกเขารอให้นายกรัฐมนตรีออกมา อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้นำคนใดออกมาจากมหาศาลา ทำให้นักศึกษาผิดหวังและโกรธ บางคนถึงกับเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรการเรียนการสอน[90]
วันที่ 21 เมษายน นักศึกษาเริ่มจัดตั้งองค์การภายใต้ชื่อองค์กรที่เป็นทางการ วันที่ 23 เมษายน ในการประชุมของนักศึกษาประมาณ 40 คนจาก 21 มหาวิทยาลัย มีการจัดตั้งสหพันธ์นักศึกษาอิสระปักกิ่ง (รู้จักในชื่อสหภาพ) ขึ้นมา โดยเลือกโจว หย่งจฺวิน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์ฯ เป็นประธาน หวัง ตานและอู๋เออร์ ไคซีก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยเช่นกัน จากนั้นสหภาพเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรเรียนการสอนทั่วทั้งมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง การจัดตั้งองค์การอิสระที่อยู่นอกเหนืออำนาจพรรคเช่นนี้สร้างความตกใจให้กับผู้นำเป็นอย่างมาก[93]
เหตุจลาจล 22 เมษายน
[แก้]วันที่ 22 เมษายน ใกล้ค่ำ เกิดเหตุจลาจลรุนแรงขึ้นในเมืองฉางชาและซีอาน ในซีอาน การวางเพลิงโดยผู้ก่อจลาจลทำลายรถยนต์และบ้านเรือน และมีการปล้นสะดมร้านค้าใกล้ประตูซีหฺวาของเมือง ในฉางชา ร้านค้า 38 แห่งถูกผู้ปล้นสะดมทำลายข้าวของ มีผู้ถูกจับกุมกว่า 350 คนในทั้งสองเมืองในข้อหาปล้นสะดม[94] ในอู่ฮั่น นักศึกษามหาวิทยาลัยจัดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลมณฑล เมื่อสถานการณ์ทั่วประเทศทวีความรุนแรงขึ้น จ้าว จื่อหยางเรียกประชุมคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมือง (PSC) หลายครั้ง จ้าวเน้นย้ำสามประเด็น ได้แก่ สนับสนุนให้นักศึกษาเลิกประท้วงและกลับเข้าเรียน ใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับการจลาจล และเปิดช่องทางการเจรจากับนักศึกษาในระดับรัฐบาลต่าง ๆ[94] นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงเรียกร้องให้จ้าวประณามผู้ประท้วงและยอมรับความจำเป็นในการดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น จ้าวปัดตกความเห็นของหลี่ แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เขาอยู่ในปักกิ่ง แต่จ้าวก็ยังคงเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือตามกำหนดในวันที่ 23 เมษายน[95]
บทบรรณาธิการ 26 เมษายน
[แก้]การเดินทางเยือนเกาหลีเหนือของจ้าวทำให้หลี่ เผิงเป็นผู้รักษาการบริหารสูงสุดในปักกิ่ง วันที่ 24 เมษายน หลี่ เผิงและคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองพบกับหลี่ ซีหมิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำปักกิ่ง และนายกเทศมนตรีเฉิน ซีถง เพื่อประเมินสถานการณ์ที่จัตุรัส เจ้าหน้าที่เทศบาลต้องการแก้ไขวิกฤตอย่างรวดเร็วและกล่าวหาว่าการประท้วงดังกล่าวเป็นการสมคบคิดเพื่อล้มล้างระบบการเมืองของจีนและผู้นำพรรคคนสำคัญ รวมถึงเติ้ง เสี่ยวผิง ในระหว่างที่จ้าวไม่อยู่ คณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองเห็นชอบที่จะดำเนินมาตรการแข็งกร้าวต่อผู้ประท้วง[95] เช้าวันที่ 25 เมษายน ประธานาธิบดีหยาง ช่างคุนและนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงเข้าพบเติ้งที่บ้านพักของเขา เติ้งสนับสนุนท่าทีแข็งกร้าวและกล่าวว่าต้องมีการเผยแพร่คำเตือนที่เหมาะสมผ่านสื่อมวลชนเพื่อยับยั้งการชุมนุมเพิ่มเติม[96] การประชุมครั้งนี้สรุปการประเมินสถานการณ์การประท้วงอย่างเป็นทางการครั้งแรก และเน้นย้ำว่าเติ้งมี "อำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้าย" ในประเด็นสำคัญ หลังจากนั้น หลี่ เผิงสั่งให้นำมุมมองของเติ้งไปร่างเป็นแถลงการณ์และส่งไปยังเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ระดับสูงทุกคนเพื่อระดมกลไกของพรรคเข้าจัดการกับผู้ประท้วง
วันที่ 26 เมษายน พีเพิลส์เดลี หนังสือพิมพ์อย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตีพิมพ์บทบรรณาธิการหน้าแรกในชื่อเรื่อง "จำเป็นต้องยืนหยัดอย่างชัดเจนต่อการก่อความไม่สงบ" (It is necessary to take a clear-cut stand against disturbances) ภาษาที่ใช้ในบทบรรณาธิการตีตราการเคลื่อนไหวของนักศึกษาว่าเป็นการกบฏต่อต้านพรรคและต่อต้านรัฐบาล[97] บทบรรณาธิการนี้นำความทรงจำของการปฏิวัติวัฒนธรรมกลับมา โดยใช้สำนวนคล้ายกับที่เคยใช้ในอุบัติการณ์เทียนอันเหมิน ค.ศ. 1976 เหตุการณ์ที่ในตอนแรกถูกตีตราว่าเป็นการสมคบคิดต่อต้านรัฐบาล แต่ภายหลังได้รับการกู้ฐานะว่าเป็น "การรักชาติ" ภายใต้การนำของเติ้ง[56] บทความนี้สร้างความไม่พอใจให้กับนักศึกษาอย่างมาก ซึ่งตีความว่าเป็นข้อกล่าวหาโดยตรงต่อการประท้วงและสาเหตุของการประท้วง บทบรรณาธิการนี้กลับกลายเป็นผลเสีย แทนที่จะทำให้นักศึกษากลัวและยอมจำนน กลับทำให้พวกเขามีความเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล[98] ลักษณะการแบ่งขั้วของบทบรรณาธิการนี้ทำให้กลายเป็นจุดสำคัญที่สร้างความขัดแย้งตลอดช่วงเวลาที่เหลือของการประท้วง[96]
การเดินขบวน 27 เมษายน
[แก้]
การเดินขบวนซึ่งจัดโดยสหภาพในวันที่ 27 เมษายน มีนักศึกษาประมาณ 50,000–100,000 คนจากมหาวิทยาลัยทุกแห่งในปักกิ่งเดินขบวนไปตามถนนในเมืองหลวงมุ่งหน้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยฝ่าแนวที่ตำรวจตั้งไว้ และได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนตลอดทาง โดยเฉพาะจากคนงานในโรงงาน[56] ผู้นำนักศึกษา ซึ่งกระตือรือร้นจะแสดงให้เห็นถึงลักษณะรักชาติของการเคลื่อนไหว ยังลดทอนคำขวัญต่อต้านคอมมิวนิสต์ลง โดยเลือกนำเสนอข้อความ "ต่อต้านการทุจริต" และ "ต่อต้านระบบพรรคพวก" แต่ "สนับสนุนพรรค"[98] และด้วยความย้อนแย้ง กลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องให้โค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริงกลับได้รับความสนใจมากขึ้นเนื่องจากบทบรรณาธิการ 26 เมษายน[98]
ความสำเร็จอันน่าทึ่งของการเดินขบวนบีบให้รัฐบาลต้องยินยอมและพบกับตัวแทนนักศึกษา วันที่ 29 เมษายน ยฺเหวียน มู่ โฆษกคณะมนตรีรัฐกิจ พบกับตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้งจากสมาคมนักศึกษาที่รัฐบาลให้การรับรอง แม้การพูดคุยจะครอบคลุมประเด็นหลากหลาย รวมถึงบทบรรณาธิการ อุบัติการณ์ประตูซินหฺวา และเสรีภาพสื่อ แต่ก็แทบไม่บรรลุผลที่เป็นรูปธรรมใด ๆ ผู้นำนักศึกษาอิสระอย่างอู๋เออร์ ไคซีปฏิเสธจะเข้าร่วม[99]
น้ำเสียงของรัฐบาลเริ่มประนีประนอมมากขึ้นเมื่อจ้าว จื่อหยางเดินทางกลับจากเปียงยางในวันที่ 30 เมษายนและยืนยันอำนาจของตนอีกครั้ง ในมุมมองของจ้าว การใช้วิธีแข็งกร้าวนั้นไม่ได้ผล และการผ่อนปรนเป็นทางเลือกเดียว[100] จ้าวขอให้สื่อได้รับอนุญาตให้รายงานข่าวการเคลื่อนไหวในเชิงบวก และกล่าวสุนทรพจน์ที่เห็นอกเห็นใจสองครั้งในวันที่ 3-4 พฤษภาคม ในสุนทรพจน์นั้น จ้าวกล่าวว่าข้อกังวลของนักศึกษาเกี่ยวกับการทุจริตนั้นถูกต้องตามกฎหมาย และการเคลื่อนไหวของนักศึกษามีลักษณะรักชาติ[101] สุนทรพจน์ดังกล่าวปฏิเสธข้อความที่นำเสนอโดยบทบรรณาธิการ 26 เมษายนอย่างสิ้นเชิง ขณะที่นักศึกษาประมาณ 100,000 คนเดินขบวนไปตามถนนในปักกิ่งในวันที่ 4 พฤษภาคมเพื่อรำลึกถึงขบวนการ 4 พฤษภาคมและย้ำข้อเรียกร้องจากการเดินขบวนครั้งก่อน นักศึกษาจำนวนมากพอใจกับการผ่อนปรนของรัฐบาล วันที่ 4 พฤษภาคม มหาวิทยาลัยทุกแห่งในปักกิ่งยกเว้นมหาวิทยาลัยปักกิ่งและมหาวิทยาลัยครูปักกิ่งประกาศยุติการคว่ำบาตรห้องเรียน หลังจากนั้น นักศึกษาส่วนใหญ่ก็เริ่มหมดความสนใจในการเคลื่อนไหว[102]
การเพิ่มขึ้นของการประท้วง
[แก้]การเตรียมพร้อมเจรจา
[แก้]รัฐบาลมีความเห็นแตกแยกกันว่าจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวอย่างไรตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ภายหลังจ้าว จื่อหยางเดินทางกลับจากเกาหลีเหนือ ความตึงเครียดระหว่างฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายอนุรักษนิยมก็ทวีความรุนแรงขึ้น ผู้สนับสนุนการเจรจาอย่างต่อเนื่องและแนวทางผ่อนปรนกับนักศึกษารวมกลุ่มกันหนุนหลังจ้าว จื่อหยาง ขณะที่กลุ่มอนุรักษนิยมสายแข็งที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวรวมกลุ่มกันหนุนหลังนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง จ้าวและหลี่ปะทะกันในการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองในวันที่ 1 พฤษภาคม หลี่ยืนกรานว่าความจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ขณะที่จ้าวกล่าวว่าพรรคควรแสดงการสนับสนุนการเพิ่มประชาธิปไตยและความโปร่งใส จ้าวผลักดันให้มีการเจรจาต่อไป[101]
ในการเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจา สหภาพเลือกผู้แทนเข้าร่วมคณะผู้แทนอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากผู้นำสหภาพไม่เต็มใจจะให้คณะผู้แทนเข้าควบคุมการเคลื่อนไหวแต่เพียงฝ่ายเดียว[103] การเคลื่อนไหวช้าลงจากการเปลี่ยนไปใช้แนวทางไตร่ตรองมากขึ้น แตกแยกจากการไม่ลงรอยกันภายใน และเจือจางลงเรื่อย ๆ จากการมีส่วนร่วมที่ลดลงของนักศึกษาโดยรวม ในบริบทนี้ ผู้นำที่มีเสน่ห์ดึงดูดกลุ่มหนึ่ง รวมถึงหวัง ตานและอู๋เออร์ ไคซี ต้องการกลับมาสร้างแรงผลักดันอีกครั้ง พวกเขายังไม่เชื่อข้อเสนอการเจรจาของรัฐบาล โดยมองว่าเป็นเพียงอุบายที่ออกแบบมาเพื่อถ่วงเวลาและปลอบประโลมนักศึกษา เพื่อหลีกหนีจากแนวทางพอประมาณและค่อยเป็นค่อยไปที่ผู้นำนักศึกษาคนสำคัญคนอื่น ๆ นำมาใช้ในขณะนั้น ผู้นำไม่กี่คนนี้จึงเริ่มเรียกร้องให้กลับไปใช้กลยุทธ์เผชิญหน้ามากขึ้น พวกเขาตกลงในแผนการระดมนักศึกษาเพื่ออดอาหารประท้วงที่จะเริ่มในวันที่ 13 พฤษภาคม[104] ความพยายามในช่วงแรกที่จะระดมคนอื่น ๆ ให้เข้าร่วมประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยกระทั่งไฉ หลิงกล่าวอุทธรณ์ที่เร้าอารมณ์ในคืนก่อนที่การประท้วงมีกำหนดจะเริ่มขึ้น[105]
เริ่มการอดอาหารประท้วง
[แก้]
นักศึกษาเริ่มอดอาหารประท้วงในวันที่ 13 พฤษภาคม สองวันก่อนการเยือนจีนอย่างเป็นทางการของมีฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตซึ่งเป็นที่จับตาของสาธารณชนอย่างมาก ผู้นำนักศึกษาต้องการใช้การอดอาหารประท้วงนี้เพื่อบีบให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้อง โดยรู้ว่าพิธีต้อนรับกอร์บาชอฟมีกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัส ยิ่งไปกว่านั้น การอดอาหารประท้วงยังได้รับความเห็นใจอย่างกว้างขวางจากประชาชนทั่วไปและทำให้ขบวนการนักศึกษาได้เปรียบทางศีลธรรมตามที่ต้องการ[106] ภายในบ่ายวันที่ 13 พฤษภาคม มีผู้คนราว 300,000 คนรวมตัวกันที่จัตุรัส[107]
ด้วยแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ในปักกิ่ง การประท้วงและการนัดหยุดงานจึงเริ่มขึ้นที่มหาวิทยาลัยในเมืองอื่น ๆ โดยมีนักศึกษาจำนวนมากเดินทางไปปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมการชุมนุม ทั่วไปแล้ว การชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ มีการเดินขบวนประจำวันของนักศึกษาจากวิทยาลัยต่าง ๆ ในพื้นที่ปักกิ่งเพื่อแสดงการสนับสนุนการคว่ำบาตรการเรียนและข้อเรียกร้องของผู้ประท้วง นักศึกษาร้องเพลง "แองเตอร์นาซิอองนาล" เพลงชาติสังคมนิยมโลก ระหว่างทางไปและขณะอยู่ที่จัตุรัส[108]
ด้วยความกลัวว่าการเคลื่อนไหวจะบานปลายจนควบคุมไม่ได้ เติ้ง เสี่ยวผิงจึงมีคำสั่งให้เคลียร์จัตุรัสเพื่อการเยือนของกอร์บาชอฟ ในการดำเนินการตามคำขอของเติ้ง จ้าวใช้วิธีที่อ่อนโยนอีกครั้งและสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาประสานงานการเจรจากับนักศึกษาทันที[106] จ้าวเชื่อว่าเขาสามารถดึงดูดความรักชาติของนักศึกษาได้ นักศึกษาเข้าใจว่าสัญญาณของความวุ่นวายภายในระหว่างการประชุมสุดยอดจีน–โซเวียตจะทำให้ประเทศชาติอับอายไม่ใช่แค่รัฐบาลเท่านั้น เช้าวันที่ 13 พฤษภาคม เหยียน หมิงฟู่ หัวหน้าแนวร่วมของพรรคคอมมิวนิสต์ เรียกประชุมฉุกเฉิน โดยรวบรวมผู้นำนักศึกษาและปัญญาชนคนสำคัญ รวมถึงหลิว เสี่ยวปัว เฉิน จื่อหมิง และหวัง จฺวินเทา[109] เหยียนกล่าวว่ารัฐบาลพร้อมจัดการเจรจากับตัวแทนนักศึกษาทันที พิธีต้อนรับกอร์บาชอฟที่เทียนอันเหมินจะถูกยกเลิกไม่ว่านักศึกษาจะถอนตัวหรือไม่ก็ตาม เท่ากับเป็นการถอดถอนอำนาจการต่อรองที่นักศึกษาคิดว่าตนเองมีอยู่ การประกาศดังกล่าวทำให้ผู้นำนักศึกษาตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน[110]
การเยือนของมีฮาอิล กอร์บาชอฟ
[แก้]ข้อจำกัดด้านสื่อถูกผ่อนคลายลงอย่างมากตั้งแต่ต้นถึงกลางเดือนพฤษภาคม สื่อของรัฐเริ่มออกอากาศภาพที่เห็นอกเห็นใจผู้ประท้วงและขบวนการนี้ รวมถึงผู้อดอาหารประท้วงด้วย วันที่ 14 พฤษภาคม ปัญญาชนนำโดยไต้ ฉิงได้รับอนุญาตจากหู ฉี่ลี่ให้ข้ามการตรวจพิจารณาของรัฐบาลและเผยแพร่ทัศนะก้าวหน้าของปัญญาชนของประเทศในหนังสือพิมพ์ กวงหมิงเดลี จากนั้นปัญญาชนออกแถลงการณ์เรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้นักศึกษาออกจากจัตุรัสเพื่อพยายามลดความขัดแย้ง[107] อย่างไรก็ตาม นักศึกษาหลายคนเชื่อว่าปัญญาชนกำลังพูดแทนรัฐบาลและปฏิเสธจะย้ายออกไป เย็นวันนั้น การเจรจาอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นระหว่างตัวแทนรัฐบาลนำโดยเหยียน หมิงฟู่และตัวแทนนักศึกษานำโดยเฉิ่น ถงและเซี่ยง เสี่ยวจี เหยียนยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นไปในแนวทางรักชาติและขอร้องให้นักศึกษาถอนตัวออกจากจัตุรัส[110] แม้ความจริงใจที่ชัดเจนของเหยียนในการประนีประนอมจะทำให้นักศึกษาบางคนพอใจ แต่การประชุมก็วุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากกลุ่มนักศึกษาคู่แข่งส่งมอบข้อเรียกร้องที่ไม่ได้ประสานงานและไม่ปะติดปะต่อกันไปยังผู้นำ ไม่นานหลังผู้นำนักศึกษาทราบว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ถูกออกอากาศทั่วประเทศตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ตั้งแต่แรก การประชุมก็ล่ม[111] จากนั้นเหยียนก็ไปที่จัตุรัสด้วยตัวเองเพื่อขอร้องนักศึกษา โดยเสนอตัวเองให้ถูกจับเป็นตัวประกัน[56] เหยียนยังนำคำร้องของนักศึกษาไปเสนอแก่หลี่ เผิงในวันรุ่งขึ้น โดยขอให้หลี่พิจารณาถอนบทบรรณาธิการ 26 เมษายนอย่างเป็นทางการและเปลี่ยนชื่อการเคลื่อนไหวเป็น "รักชาติและประชาธิปไตย" แต่หลี่ปฏิเสธ[112]
นักศึกษายังคงปักหลักอยู่ในจัตุรัสระหว่างการเยือนของกอร์บาชอฟ พิธีต้อนรับของเขาจัดขึ้นที่สนามบิน การประชุมสุดยอดจีน–โซเวียต การประชุมครั้งแรกในรอบประมาณ 30 ปี ถือเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์จีน–โซเวียตให้กลับสู่ภาวะปกติและถูกมองว่าเป็นความก้าวหน้าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งสำหรับผู้นำของจีน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการที่ราบรื่นกลับต้องสะดุดลงจากการเคลื่อนไหวของนักศึกษา สิ่งนี้สร้างความอับอายอย่างมาก ("เสียหน้า")[113] แก่ผู้นำบนเวทีโลกและผลักดันให้กลุ่มสายกลางจำนวนมากในรัฐบาลหันไปใช้แนวทางแข็งกร้าว[114] การประชุมสุดยอดระหว่างเติ้งและกอร์บาชอฟเกิดขึ้นที่มหาศาลาประชาชนท่ามกลางความวุ่นวายและการประท้วงในจัตุรัส[106] เมื่อกอร์บาชอฟพบกับจ้าวในวันที่ 16 พฤษภาคม จ้าวบอกกับเขาและสื่อมวลชนต่างประเทศว่าเติ้งยังคงเป็น "ผู้มีอำนาจสูงสุด" ในจีน เติ้งรู้สึกว่าคำกล่าวนี้เป็นความพยายามของจ้าวที่จะโยนความผิดในการจัดการกับการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้องมาให้เขา จ้าวแก้ต่างข้อกล่าวหานี้ว่า การแจ้งเป็นการส่วนตัวต่อผู้นำโลกว่าเติ้งคือศูนย์กลางอำนาจแท้จริงเป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐาน หลี่ เผิงเคยกล่าวถ้อยแถลงส่วนตัวที่เกือบจะเหมือนกันนี้กับประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช[115] อย่างไรก็ตาม คำกล่าวนี้ถือเป็นการแตกหักอย่างเด็ดขาดระหว่างผู้นำระดับสูงสุดสองคนของประเทศ[106]
การรวมตัว
[แก้]การอดอาหารประท้วงกระตุ้นการสนับสนุนสำหรับนักศึกษาและปลุกเร้าความเห็นใจทั่วประเทศ ชาวปักกิ่งประมาณหนึ่งล้านคนจากทุกสาขาอาชีพร่วมเดินขบวนแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างวันที่ 17 ถึง 18 พฤษภาคม รวมถึงเจ้าหน้าที่กองทัพปลดปล่อยประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่พรรคระดับล่าง[9] องค์การพรรคและสันนิบาตเยาวชนระดับรากหญ้าหลายแห่ง ตลอดจนสหภาพแรงงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล กระตุ้นสมาชิกให้เข้าร่วมการประท้วง[9] นอกจากนี้ พรรคที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์หลายพรรคของจีนส่งจดหมายถึงหลี่ เผิงเพื่อสนับสนุนนักศึกษา สภากาชาดจีนออกประกาศพิเศษและส่งบุคลากรจำนวนมากเข้าไปให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้อดอาหารประท้วงในจัตุรัส หลังการเดินทางกลับของมีฮาอิล กอร์บาชอฟ นักข่าวต่างชาติจำนวนมากยังคงอยู่ในเมืองหลวงของจีนเพื่อรายงานข่าวการประท้วง ทำให้การเคลื่อนไหวนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติ รัฐบาลตะวันตกเรียกร้องให้ปักกิ่ง ใช้ความอดกลั้น[ต้องการอ้างอิง]
การเคลื่อนไหวที่ซบเซาลงในช่วงปลายเดือนเมษายน กลับมามีแรงผลักดันอีกครั้ง ภายในวันที่ 17 พฤษภาคม ขณะนักศึกษาจากทั่วประเทศหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการเคลื่อนไหว การประท้วงขนาดต่าง ๆ เกิดขึ้นในประมาณ 400 เมืองทั่วประเทศจีน[11] นักศึกษาประท้วงที่สำนักงานพรรคประจำมณฑลในฝูเจี้ยน หูเป่ย์ และซินเจียง เนื่องจากไม่มีท่าทีอย่างเป็นทางการที่ชัดเจนจากผู้นำปักกิ่ง ทางการท้องถิ่นจึงไม่ทราบว่าควรตอบสนองอย่างไร เพราะการประท้วงในขณะนี้รวมกลุ่มทางสังคมที่หลากหลาย แต่ละกลุ่มมีความคับข้องใจของตนเอง จึงไม่ชัดเจนมากขึ้นว่ารัฐบาลควรเจรจากับใครและข้อเรียกร้องคืออะไร รัฐบาลยังคงแตกแยกกันว่าจะจัดการกับการเคลื่อนไหวอย่างไร ก็เห็นว่าอำนาจและความชอบธรรมของตนค่อย ๆ เสื่อมถอยลงเนื่องจากผู้ประท้วงอดอาหารได้รับความสนใจอย่างมากและได้รับความเห็นใจอย่างกว้างขวาง [9] สถานการณ์เหล่านี้รวมกันทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อทางการในการดำเนินการ และมีการหารือเรื่องกฎอัยการศึกว่าเป็นมาตรการเหมาะสม[116]
สถานการณ์ดูเหมือนจะแก้ไขไม่ได้ และภาระการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดก็ตกอยู่กับเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุด เรื่องมาถึงจุดแตกหักในวันที่ 17 พฤษภาคม ระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองที่บ้านพักของเติ้ง[117] ที่การประชุมนั้น กลยุทธ์การประนีประนอมของจ้าว จื่อหยาง ซึ่งเรียกร้องให้ถอนบทบรรณาธิการ 26 เมษายน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก[118] หลี่ เผิง เหยา อีหลิน และเติ้งยืนกรานว่าการที่จ้าวกล่าวสุนทรพจน์เชิงประนีประนอมต่อธนาคารพัฒนาเอเชียในวันที่ 4 พฤษภาคมนั้น จ้าวได้เปิดเผยความแตกแยกภายในผู้นำระดับสูงและทำให้กลุ่มนักศึกษากล้าหาญขึ้น[118][119][120] เติ้งเตือนว่า "ไม่มีทางถอยหลังกลับได้แล้วโดยที่สถานการณ์ไม่บานปลายจนควบคุมไม่ได้" ดังนั้น "การตัดสินใจคือเคลื่อนกำลังทหารเข้าสู่ปักกิ่งเพื่อประกาศกฎอัยการศึก"[121] เพื่อแสดงท่าทีไม่ยอมประนีประนอมของรัฐบาล[118] ในการให้เหตุผลแก่กฎอัยการศึก ผู้ประท้วงถูกอธิบายว่าเป็นเครื่องมือของผู้สนับสนุน "เสรีนิยมชนชั้นกระฎุมพี" ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ตลอดจนเป็นเครื่องมือของกลุ่มภายในพรรคที่ต้องการบรรลุความทะเยอทะยานส่วนตัว[122] จ้าว จื่อหยางยืนยันตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ว่าการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับเติ้งโดยสิ้นเชิง ในบรรดาสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองห้าคนที่เข้าร่วมการประชุมนั้น เขาและหู ฉี่หลี่คัดค้านการประกาศกฎอัยการศึก หลี่ เผิงและเหยา อีหลินสนับสนุนอย่างแข็งขัน และเฉียว ฉือยังคงเป็นกลางอย่างระมัดระวังและไม่แสดงจุดยืน เติ้งแต่งตั้งให้ทั้งสามคนหลังนี้เป็นผู้ดำเนินการตามการตัดสินใจดังกล่าว[123]
เย็นวันที่ 17 พฤษภาคม คณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองประชุมกันที่จงหนานไห่เพื่อสรุปแผนประกาศกฎอัยการศึก ในการประชุมครั้งนั้น จ้าวประกาศว่าเขาพร้อมจะ "ลา" โดยอ้างว่าเขาไม่สามารถทำตามคำสั่งประกาศกฎอัยการศึกได้[118] ผู้อาวุโสที่เข้าร่วมการประชุม ได้แก่ ปั๋ว อีปัวและหยาง ช่างคุน เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการสามัญปฏิบัติตามคำสั่งของเติ้ง[118] จ้าวไม่ได้พิจารณาว่าการลงคะแนนที่ไม่เป็นข้อสรุปของคณะกรรมาธิการสามัญนั้นมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อการประกาศกฎอัยการศึก[124] หยาง ช่างคุน ในฐานะรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ระดมกำลังทหารให้เคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวง[125]
หลี่ เผิงพบกับนักศึกษาเป็นครั้งแรกในวันที่ 18 พฤษภาคมเพื่อพยายามบรรเทาความกังวลของสาธารณชนเกี่ยวกับการอดอาหารประท้วง[116] ระหว่างการเจรจา ผู้นำนักศึกษาเรียกร้องอีกครั้งให้รัฐบาลยกเลิกบทบรรณาธิการ 26 เมษายนและยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็น "ความรักชาติ" หลี่ เผิงกล่าวว่าความกังวลหลักของรัฐบาลคือการส่งผู้อดอาหารประท้วงไปยังโรงพยาบาล การหารือเป็นไปอย่างเผชิญหน้าและมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย[126] แต่ทำให้ผู้นำนักศึกษาได้รับเวลาออกอากาศทางโทรทัศน์แห่งชาติ[127] ณ จุดนี้ ผู้เรียกร้องให้โค่นล้มพรรคและหลี่ เผิงรวมถึงเติ้งกลายเป็นที่โดดเด่นทั้งในปักกิ่งและในเมืองอื่น ๆ[128]

เช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม จ้าว จื่อหยางเดินทางไปยังเทียนอันเหมินซึ่งกลายเป็นการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของเขา เขามาพร้อมกับเวิน เจียเป่า หลี่ เผิงก็ไปที่จัตุรัสด้วยเช่นกัน แต่ก็ออกไปในเวลาไม่นานนัก เวลา 04:50 น. จ้าวกล่าวสุนทรพจน์โดยใช้โทรโข่งต่อหน้านักศึกษากลุ่มใหญ่ โดยเรียกร้องให้พวกเขาเลิกอดอาหาร[129] เขากล่าวกับนักศึกษาว่าพวกเขายังเด็กและกระตุ้นให้รักษาสุขภาพ อย่าเสียสละตนเองโดยไม่คำนึงถึงอนาคตของพวกเขา สุนทรพจน์อันเปี่ยมด้วยอารมณ์ของจ้าวได้รับการปรบมือจากนักศึกษาบางส่วน นี่เป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายของเขา[129]
—จ้าว จื่อหยาง ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน, 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1989
การเฝ้าระวังผู้ประท้วง
[แก้]ผู้นำนักศึกษาถูกทางการจับตาดูอย่างใกล้ชิด กล้องจราจรถูกนำมาใช้สอดส่องดูแลจัตุรัส และร้านอาหารใกล้เคียง รวมถึงสถานที่ใดก็ตามที่นักศึกษารวมตัวกัน ก็ถูกดักฟัง[130] การเฝ้าระวังนี้ส่งผลให้มีการระบุตัว จับกุม และลงโทษผู้เข้าร่วมการประท้วง[131] หลังการสังหารหมู่ รัฐบาลสอบสวนอย่างละเอียดตามหน่วยงาน สถาบัน และโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อระบุตัวผู้เข้าร่วมการประท้วง[130]
นอกปักกิ่ง
[แก้]วันที่ 19 เมษายน บรรณาธิการของ เวิล์ดอีโคโรมิกเฮรัลด์ นิตยสารใกล้ชิดกับกลุ่มสายปฏิรูป ตัดสินใจตีพิมพ์ส่วนระลึกถึงหู ภายในมีบทความโดยเหยียน เจียฉี ซึ่งแสดงความเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับการประท้วงของนักศึกษาในปักกิ่ง และเรียกร้องให้มีการประเมินใหม่เกี่ยวกับการกวาดล้างหูใน ค.ศ. 1987 เจียง เจ๋อหมินสัมผัสได้ถึงแนวโน้มการเมืองแบบอนุรักษนิยมในปักกิ่ง จึงเรียกร้องให้มีการตรวจพิจารณาบทความดังกล่าว และหนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกตีพิมพ์โดยมีหน้าว่างเปล่า[132] จากนั้นเจียงสั่งพักงานชิน เปิ่นลี่ บรรณาธิการหลัก การกระทำเด็ดขาดของเขาได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม ซึ่งชื่นชมความภักดีของเจียง
วันที่ 27 พฤษภาคม ผู้คนกว่า 300,000 คนในฮ่องกงรวมตัวกันที่สนามม้าแฮปปีแวลลีย์เพื่อร่วมงานที่เรียกว่าคอนเสิร์ตเพื่อประชาธิปไตยในประเทศจีน (จีน: 民主歌聲獻中華) ดาราฮ่องกงจำนวนมากร้องเพลงและแสดงการสนับสนุนนักศึกษาในปักกิ่ง[133][134] วันถัดมา ขบวนผู้ประท้วงจำนวน 1.5 ล้านคน หนึ่งในสี่ของประชากรฮ่องกง นำโดยมาร์ติน ลี ซือถู หฺวา และผู้นำองค์การอื่น ๆ เดินขบวนไปทั่วเกาะฮ่องกง[135] ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ ผู้คนรวมตัวกันและประท้วง รัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐและญี่ปุ่น ออกประกาศเตือนการเดินทางไปยังประเทศจีน
ปฏิบัติการทางทหาร
[แก้]กฎอัยการศึก
[แก้]รัฐบาลจีนประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 20 พฤษภาคมและระดมพลอย่างน้อย 30 กองพลจากห้าในเจ็ดภูมิภาคทหารของประเทศ[136] อย่างน้อย 14 จาก 24 กองทัพน้อยของกองทัพปลดปล่อยประชาชนส่งกำลังพลเข้าร่วม[136] หน่วยงานการบินพลเรือนของกว่างโจวระงับการเดินทางของสายการบินพลเรือนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขนส่งหน่วยทหาร[137]
การเข้าสู่เมืองหลวงของกองทัพในขั้นต้นถูกกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมากขัดขวางไว้ที่ชานเมือง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางไปต่อ ทางการจึงมีคำสั่งให้กองทัพถอนกำลังในวันที่ 24 พฤษภาคม จากนั้นกำลังของรัฐบาลทั้งหมดก็ถอยกลับไปยังฐานทัพนอกเมือง[20][11]
ขณะเดียวกัน ความแตกแยกภายในขบวนการนักศึกษาเองก็ทวีความรุนแรงขึ้น ภายในปลายเดือนพฤษภาคม นักศึกษาเริ่มไร้ระเบียบมากขึ้น โดยไม่มีผู้นำชัดเจนหรือแนวทางการดำเนินการที่เป็นหนึ่งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น จัตุรัสเทียนอันเหมินก็แออัดยัดเยียดและเผชิญกับปัญหาสุขอนามัยร้ายแรง โหว เต๋อเจี้ยนเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้นำนักศึกษาอย่างเปิดเผยเพื่อเป็นตัวแทนของขบวนการ แต่ก็ถูกต่อต้าน[56] ระหว่างนี้ หวัง ตานปรับเปลี่ยนท่าทีของเขา โดยรับรู้ถึงปฏิบัติการทางทหารที่กำลังจะเกิดขึ้นและผลที่ตามมา เขาเสนอให้ถอนกำลังออกจากจัตุรัสเทียนอันเหมินชั่วคราวเพื่อรวมกลุ่มใหม่ในมหาวิทยาลัย แต่สิ่งนี้ถูกคัดค้านโดยกลุ่มนักศึกษาหัวรุนแรงที่ต้องการยึดจัตุรัส ความขัดแย้งภายในที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่การต่อสู้เพื่อควบคุมเครื่องขยายเสียงกลางจัตุรัสในชุดของ "รัฐประหารย่อย" ใครก็ตามที่ควบคุมเครื่องขยายเสียงจะเป็น "ผู้รับผิดชอบ" การเคลื่อนไหว นักศึกษาบางคนจะรออยู่ที่สถานีรถไฟเพื่อต้อนรับนักศึกษาที่เดินทางมาจากส่วนอื่น ๆ ของประเทศเพื่อพยายามรวบรวมการสนับสนุนจากฝ่ายต่าง ๆ[56] กลุ่มนักศึกษาเริ่มกล่าวหากันเองว่ามีแรงจูงใจแอบแฝง เช่น การสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลและพยายามสร้างชื่อเสียงส่วนตัวจากการเคลื่อนไหว นักศึกษาบางคนถึงกับพยายามโค่นไฉ หลิง และเฟิง ฉงเต๋อออกจากตำแหน่งผู้นำในการพยายามลักพาตัว ซึ่งไฉเรียกว่าเป็น "แผนการจัดฉากและไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าอย่างดี"[56]
ต่างจากแกนนำนักศึกษาที่สายกลางกว่า ไฉดูเหมือนจะเต็มใจปล่อยให้การเคลื่อนไหวของนักศึกษาสิ้นสุดลงด้วยการเผชิญหน้าที่รุนแรง[138] ในการให้สัมภาษณ์ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ไฉกล่าวว่า:
สิ่งที่เราหวังจริง ๆ คือการนองเลือด ช่วงเวลาที่รัฐบาลพร้อมจะเชือดเฉือนผู้คนอย่างอุกอาจ เมื่อจัตุรัสอาบไปด้วยเลือดเท่านั้น ประชาชนชาวจีนจึงจะลืมตาตื่น
— ไฉ หลิง, ประตูสันติภาพสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกว่าเธอไม่สามารถโน้มน้าวเพื่อนนักศึกษาของเธอในเรื่องนี้[139] เธอยังอ้างว่าความคาดหวังของเธอเกี่ยวกับการปราบปรามอย่างรุนแรงเป็นสิ่งที่เธอได้ยินมาจากหลี่ ลู่ ไม่ใช่ความคิดของเธอเอง[140]
1 มิถุนายน
[แก้]รายงานของหลี่ เผิง
[แก้]วันที่ 1 มิถุนายน หลี่ เผิงออกรายงานหัวข้อ "ว่าด้วยธรรมชาติที่แท้จริงของความวุ่นวาย" ซึ่งถูกส่งเวียนไปยังสมาชิกทุกคนในกรมการเมือง[141] รายงานนี้สรุปว่าผู้นำของผู้ประท้วง ซึ่งถูกกล่าวถึงว่าเป็น "คนส่วนน้อย" ได้ "จัดการและวางแผนก่อความวุ่นวาย" และพวกเขาใช้จัตุรัสเป็นฐานในการยั่วยุความขัดแย้งเพื่อสร้างผลกระทบระดับนานาชาติ[142] รายงานยังยืนยันว่าพวกเขามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากรและใช้เงินทุนจากทั้งแหล่งในประเทศและต่างประเทศเพื่อปรับปรุงอุปกรณ์สื่อสารและจัดหาอาวุธ[143]
รายงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ
[แก้]วันเดียวกันนั้นเอง รายงานอีกฉบับหนึ่ง ออกโดยเจี่ย ชุนวัง หัวหน้ากระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ ถูกยื่นต่อคณะผู้นำพรรค และถูกส่งไปยังสมาชิกทุกคนของกรมการเมือง รวมถึงผู้อาวุโสพรรค เช่น เติ้ง เสี่ยวผิง, หลี่ เซียนเนี่ยนและเฉิน ยฺหวิน[144]
รายงานเน้นย้ำถึงอันตรายของการแทรกซึมของเสรีนิยมชนชั้นกระฎุมพีเข้าสู่ประเทศจีนและผลกระทบเชิงลบที่อิทธิพลทางอุดมการณ์ของชาติตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐ มีต่อนักศึกษา[145] กระทรวงฯ ได้พิจารณาแล้วว่าสหรัฐได้แทรกซึมการเคลื่อนไหวของนักศึกษาด้วยวิธีการต่าง ๆ[146] รวมถึงการใช้สถานีวิทยุ VOA ของรัฐบาลสหรัฐเป็นเครื่องมือในการทำสงครามจิตวิทยา ตลอดจนการปลูกฝังอุดมการณ์สนับสนุนอเมริกาในหมู่นักศึกษาจีนที่ไปศึกษาต่างประเทศในฐานะกลยุทธ์ระยะยาว[147] นอกจากนี้ รายงานยังสรุปด้วยว่าหน่วยข่าวกรองของสหรัฐได้พยายามเข้าใกล้ผู้นำของสถาบันจีนหลายแห่ง ตามรายงาน ตัวแทนซีไอเอจากสถานทูตสหรัฐมีการติดต่อเกือบห้าสิบครั้งระหว่าง ค.ศ. 1981 ถึง 1988 โดยสิบห้าคนในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ[148] รายงานสนับสนุนการใช้ปฏิบัติการทางทหารในทันที[149] และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ดีที่สุดในการดำเนินการดังกล่าว[144]
2–3 มิถุนายน
[แก้]เพื่อประกอบกับแผนการสลายการชุมนุมในจัตุรัสด้วยกำลัง การเมืองได้รับแจ้งจากกองบัญชาการทหารว่า กองทหารพร้อมจะช่วยรักษาเสถียรภาพของเมืองหลวงและพวกเขาเข้าใจถึงความจำเป็นและความชอบธรรมของการประกาศกฎอัยการศึกเพื่อเอาชนะความไม่สงบ[150]
วันที่ 2 มิถุนายน เมื่อการกระทำของผู้ประท้วงเพิ่มขึ้น รัฐบาลเห็นว่าถึงเวลาต้องดำเนินการ การประท้วงปะทุขึ้นเมื่อหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์บทความเรียกร้องให้นักศึกษาออกจากจัตุรัสเทียนอันเหมินและยุติการเคลื่อนไหว นักศึกษาจำนวนมากในจัตุรัสไม่เต็มใจจะจากไปและรู้สึกโกรธเคืองต่อบทความเหล่านั้น[151] พวกเขายังโกรธเคืองกับบทความของ ปักกิ่งเดลี ในวันที่ 1 มิถุนายน เรื่อง "เทียนอันเหมิน ฉันร้องไห้เพื่อเธอ" ซึ่งเขียนโดยเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งที่หมดศรัทธาในการเคลื่อนไหวนี้ เพราะเขาคิดว่ามันวุ่นวายและไม่เป็นระเบียบ[151] เพื่อตอบโต้บทความเหล่านั้น นักศึกษาหลายพันคนไปรวมตัวกันตามท้องถนนในปักกิ่งเพื่อประท้วงการออกจากจัตุรัส[152]
ปัญญาชนสามคน ได้แก่ หลิว เสี่ยวปัว, โจว ตัว และเกา ซิน รวมถึงโหว เต๋อเจี้ยน นักร้องชาวไต้หวัน ประกาศอดอาหารประท้วงรอบสองเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหว[153] หลังยึดครองจัตุรัสมานานหลายสัปดาห์ นักศึกษาเริ่มอ่อนล้า และเกิดความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มนักศึกษาสายกลางกับกลุ่มหัวรุนแรง[154] ในสุนทรพจน์ประกาศการอดอาหารประท้วง ผู้ประท้วงที่อดอาหารวิพากษ์วิจารณ์การปราบปรามการเคลื่อนไหวของรัฐบาลอย่างเปิดเผย เพื่อเตือนให้นักศึกษาตระหนักว่าอุดมการณ์ของพวกเขานั้นคุ้มค่าแก่การต่อสู้และกระตุ้นให้พวกเขายังคงยึดครองจัตุรัสต่อไป[155]
วันที่ 2 มิถุนายน เติ้ง เสี่ยวผิงและผู้อาวุโสพรรคหลายคนของพบกับสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองสามคน ได้แก่ หลี่เผิง, เฉียว ฉือ และเหยา อีหลิน ซึ่งยังคงอยู่ในตำแหน่งหลังจ้าว จื่อหยางและหู ฉี่ลี่ถูกขับออกไปแล้ว สมาชิกคณะกรรมาธิการตกลงจะเคลียร์จัตุรัสเพื่อให้ "การจลาจลสามารถยุติลงได้ และฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยกลับคืนสู่เมืองหลวง"[156][157] พวกเขายังตกลงกันด้วยว่าจัตุรัสจะต้องถูกเคลียร์อย่างสันติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่หากผู้ประท้วงไม่ให้ความร่วมมือ ทหารจะได้รับอนุญาตให้ใช้กำลังเพื่อปฏิบัติการให้สำเร็จ[152] ในวันนั้น หนังสือพิมพ์ของรัฐรายงานว่าทหารประจำการอยู่ในสิบพื้นที่สำคัญในเมือง[152][154] หน่วยของกองทัพที่ 27, 65 และ 24 ถูกเคลื่อนย้ายอย่างลับ ๆ เข้าไปในมหาศาลาประชาชนทางฝั่งตะวันตกของจัตุรัสและอาคารกระทรวงความมั่นคงสาธารณะทางตะวันออกของจัตุรัส[158]
เย็นวันที่ 2 มิถุนายน เกิดอุบัติเหตุรถจี๊ปของตำรวจติดอาวุธประชาชน (PAP) วิ่งขึ้นไปบนทางเท้า ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย เหตุการณ์นี้จุดประกายความกลัวว่ากองทัพและตำรวจกำลังพยายามรุกคืบเข้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมิน[159] ผู้นำนักศึกษาออกคำสั่งฉุกเฉินให้ตั้งสิ่งกีดขวางบนถนนบริเวณสี่แยกสำคัญ ๆ เพื่อป้องกันการเข้าสู่ใจกลางเมืองของกำลังทหาร[160]
เช้าวันที่ 3 มิถุนายน นักศึกษาและพลเมืองสกัดและสอบถามทหารนอกเครื่องแบบเต็มคันรถโดยสารที่ซินเจียโข่ว ทหารที่แยกย้ายกันอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ก็ถูกล้อมและสอบถามในลักษณะเดียวกัน[161][56]
ทหารถูกฝูงชนทำร้าย เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงของปักกิ่งที่พยายามช่วยเหลือทหาร ทหารบางนายถูกลักพาตัวขณะพยายามมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล[160] รถโดยสารหลายคันที่บรรทุกอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และเสบียงอื่น ๆ ถูกสกัดและถูกบุกขึ้นไปบนรถบริเวณเทียนอันเหมิน[160]
เวลา 13:00 น. ฝูงชนสกัดรถโดยสารคันหนึ่งในบริเวณหลิวปู้โข่ว และมีชายหลายคนชูหมวกกันน็อกทหารเสียบปลายดาบปลายปืนเพื่อแสดงให้ฝูงชนที่เหลือเห็น[162] เวลา 14:30 น. เกิดการปะทะระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจ[163][160] ตำรวจพยายามสลายฝูงชนด้วยแก๊สน้ำตา แต่ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการขว้างปาก้อนหิน ทำให้ตำรวจต้องถอยร่นเข้าไปในอาคารจงหนานไห่ทางประตูฝั่งตะวันตก[162][164][56]
เวลา 17:30 น. ทหารหลายพันนายที่รอคำสั่งเริ่มถอนกำลังออกจากมหาศาลาประชาชน[162][20] เย็นวันนั้น ผู้นำรัฐบาลยังคงติดตามสถานการณ์ต่อไป[165]
3–4 มิถุนายน
[แก้]ค่ำวันที่ 3 มิถุนายน รัฐบาลออกประกาศฉุกเฉินเรียกร้องให้พลเมือง "อยู่ให้ห่างจากถนนและจัตุรัสเทียนอันเหมิน"[166] ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ประท้วงก็ประกาศผ่านเครือข่ายวิทยุตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในปักกิ่งเพื่อเรียกร้องให้นักศึกษาและประชาชนติดอาวุธและรวมตัวกันที่สี่แยกและจัตุรัส[166]
ถนนฉางอาน
[แก้]


วันที่ 3 มิถุนายน เวลา 20.00 น. กองทัพที่ 38 นำโดยรักษาการผู้บัญชาการ จาง เหมย์ยฺเหวี่ยน เริ่มเคลื่อนพลจากค่ายทหารในเขตฉือจิ่งชานและเฟิงไถทางตะวันตกของปักกิ่งไปตามถนนฉางอันฝั่งตะวันตกมุ่งหน้าสู่จัตุรัสทางทิศตะวันออก[167] เวลา 21.30 น. กองทัพนี้เผชิญหน้ากับแนวป้องกันที่ผู้ประท้วงตั้งไว้ที่กงจูเฝินในเขตไห่เตี้ยน และพยายามฝ่าแนวป้องกันไป[168] กองทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนปะทะกับผู้ประท้วงและเริ่มยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ขณะที่ผู้ประท้วงตอบโต้ด้วยการขว้างปาหินและขวดน้ำอัดลมใส่[168] ทหารหน่วยอื่น ๆ ยิงปืนเตือนขึ้นฟ้า แต่ก็ไม่เป็นผล[168] เวลา 22.10 น. นายทหารคนหนึ่งหยิบโทรโข่งขึ้นมาและเรียกร้องให้ผู้ประท้วงสลายตัว[168]
เวลาประมาณ 22:30 น. กองทัพที่ 38 ซึ่งยังคงถูกขว้างปาด้วยก้อนหินโดยกลุ่มผู้ประท้วง เปิดฉากยิงด้วยกระสุนจริง[168] ฝูงชนตกตะลึงที่กองทัพใช้กระสุนจริงและพากันถอยร่นไปยังสะพานมู่ซีตี้[168][169][170] ทหารใช้กระสุนแบบหัวระเบิด[11] ซึ่งต้องห้ามภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ[171] สำหรับการใช้ทำสงครามระหว่างประเทศแต่ไม่ใช่สำหรับการใช้งานอื่น ๆ[172]
การรุกคืบของกองทัพถูกหยุดลงอีกครั้งด้วยการปิดกั้นที่มู่ซีตี้ ห่างจากจัตุรัสไปทางตะวันตกประมาณ 5 กิโลเมตร[173] หลังผู้ประท้วงขับไล่ความพยายามของหน่วยปราบจลาจลที่จะบุกโจมตีสะพาน[167] กำลังทหารปกติรุกเข้าใส่ฝูงชนและหันอาวุธเข้าหาพวกเขา ทหารสลับกันยิงขึ้นฟ้าและยิงตรงเข้าใส่ผู้ประท้วง[174][165][173] ทหารระดมยิงเข้าใส่อาคารอพาร์ตเมนต์ และมีบางคนภายในหรือบนระเบียงถูกยิง[175][165][176][177] ขณะกองทัพรุกคืบ มีผู้เสียชีวิตตลอดถนนฉางอาน โดยจำนวนมากที่สุดเกิดขึ้นบนถนนระยะทางสองไมล์ที่ทอดยาวจากมู่ซีตี้ไปยังซีตาน ซึ่ง "รถบรรทุกกองทัพฯ 65 คันและรถลำเลียงพลหุ้มเกราะ 47 คัน ... ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และยานยนต์ทหารอื่น ๆ อีก 485 คันได้รับความเสียหาย"[37]
ผู้ประท้วงโจมตีทหารด้วยไม้ ก้อนหิน และ99ระเบิดขวด]] เจฟฟ์ วิดีเนอร์รายงานว่าเห็นกลุ่มผู้ก่อจลาจลจุดไฟเผายานยนต์ทหารและทุบตีทหารที่อยู่ข้างในจนเสียชีวิต[178] บนถนนสายหนึ่งทางตะวันตกของปักกิ่ง ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจุดไฟเผากำลังทหารซึ่งประกอบด้วยรถบรรทุกและยานเกราะกว่า 100 คัน[179] พวกเขายังยึดรถลำเลียงพลหุ้มเกราะและขับเล่นอย่างสนุกสนาน ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ถูกบันทึกด้วยกล้องและออกอากาศโดยโทรทัศน์ของรัฐบาลจีน[180]
ในตอนเย็น เกิดเหตุยิงปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมที่ชวงจิ่ง[181]
บทความจาก เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1989 รายงานเกี่ยวกับการปะทะว่า: "ขณะขบวนรถถังและทหารหลายหมื่นนายเคลื่อนเข้าใกล้เทียนอันเหมิน ทหารจำนวนมากถูกกลุ่มฝูงชนที่โกรธแค้นตะโกนว่า 'พวกฟาสซิสต์' เข้าทำร้าย ทหารหลายสิบนายถูกดึงลงมาจากรถบรรทุก ถูกทุบตีอย่างรุนแรง และถูกทิ้งไว้ให้ตาย ที่สี่แยกทางตะวันตกของจัตุรัส ร่างของทหารหนุ่มคนหนึ่งซึ่งถูกทุบตีจนเสียชีวิต ถูกถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่าและถูกแขวนไว้ที่ข้างรถโดยสาร ศพทหารอีกนายถูกแขวนไว้ที่สี่แยกทางตะวันออกของจัตุรัส"[163]
เคลียร์จัตุรัส
[แก้]ทหารและนักศึกษาที่จัตุรัสในตอนแรกพยายามใช้ความอดกลั้น แต่ประชาชนในพื้นที่ปฏิเสธจะปฏิบัติตามคำสั่งของนักศึกษา[182] ทหารไม่ได้ต่อสู้กลับในตอนแรกหลังพลเมืองบางคนปาหินใส่พวกเขา[183][184]
ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 4 มิถุนายน รถลำเลียงพลหุ้มเกราะคันแรกเคลื่อนเข้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมินจากถนนฉางอานตะวันตก ผู้ประท้วงโจมตีรถด้วยระเบิดขวดและทำให้รถหยุดนิ่งด้วยแผงกั้นจราจร ก่อนจะคลุมรถด้วยผ้าห่มชุบน้ำมันเบนซินแล้วจุดไฟเผา[184] อู๋ เหรินหฺวาอ้างว่าหลังทหารสามนายต้องออกมาจากรถเนื่องจากความร้อน นักศึกษาได้พาพวกเขาทั้งสามไปส่งที่สถานีพยาบาล[185] อย่างไรก็ตาม ตามรายงานอื่น ๆ รวมถึงคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์จากนักข่าวชาวจีน-อเมริกัน ทหารเหล่านั้นถูกฝูงชนทำร้าย สองนายถูกไฟคลอกเสียชีวิตภายในรถ และอีกหนึ่งนายถูกทุบตีจนเสียชีวิตต่อหน้าทหารนายอื่น ๆ[183][182] แลร์รี เวิร์ทเซิล เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทางทหารของสถานทูตสหรัฐในขณะนั้น ตั้งข้อสังเกตว่ายุทธวิธีการรุมล้อมของกลุ่มผู้ประท้วงนั้นเห็นได้ชัดว่ามีการซักซ้อมและฝึกฝนมาแล้ว เนื่องจากมีการใช้ในลักษณะเดียวกันในสถานที่อื่น ๆ รอบเมือง[186]นักข่าวระบุว่าเหตุการณ์รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ "ดูเหมือนจะเป็นชนวนให้เกิดการยิงตามมา"[182]
กำลังทหารจากทางตะวันตกมาถึงจัตุรัสเวลาประมาณ 01:30 น. และกำลังทหารจากทิศทางอื่น ๆ ก็ทยอยมาถึงเช่นกัน โดยปิดกั้นถนนสายหลักที่มุ่งสู่จัตุรัสเพื่อป้องกันการเข้าถึง[187] ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งที่สองจากรัฐบาลถูกกระจายเสียงผ่านลำโพง:
การจลาจลต่อต้านการปฏิวัติอย่างรุนแรงได้ปะทุขึ้นในคืนนี้ที่เมืองหลวง กลุ่มผู้ก่อจลาจลได้โจมตีทหารของกองทัพปลดปล่อยประชาชนอย่างโหดเหี้ยม ได้ขโมยอาวุธและเผายานพาหนะของพวกเขา ได้ตั้งสิ่งกีดขวางบนถนน และได้ลักพาตัวเจ้าหน้าที่และทหาร [...] พลเมืองและนักศึกษาต้องอพยพออกจากจัตุรัสทันทีเพื่อให้กองกำลังกฎอัยการศึกสามารถปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้ เราไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของผู้ฝ่าฝืน ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาแต่เพียงผู้เดียว
— ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน, รัฐบาลเทศบาลกรุงปักกิ่งและกองบัญชาการกฎอัยการศึก[188]
หลังประกาศ ผู้คนส่วนใหญ่ในจัตุรัสก็เริ่มเดินทางออกไป และภานในเวลา 02:00 น. ก็เหลือผู้ประท้วงเพียงไม่กี่พันคนในจัตุรัส[188] นักศึกษาและพลเมืองประมาณสิบกว่าคนพยายามจุดไฟเผารถบรรทุกทหารด้วยกระป๋องน้ำมันเบนซินแต่ก็ถูกจับกุม[188]
เวลา 03:00 น. โหว เต๋อเจี้ยน, หลิว เสี่ยวปัว, โจว ตัว และเกา ซินตัดสินใจเกลี้ยกล่อมให้นักศึกษาอพยพออกจากจัตุรัส อย่างไรก็ตาม ไฉ หลิงยืนกรานว่า "ใครอยากไปก็ไป ใครไม่อยากไปก็อยู่ได้[189] กลุ่มดังกล่าวขอให้ไฉ หลิงและผู้นำนักศึกษาคนอื่น ๆ เจรจาการอพยพอย่างสันติ โหว เต๋อเจี้ยนกล่าวกับนักศึกษาผ่านเครื่องขยายเสียง กระตุ้นให้พวกเขาออกจากจัตุรัสและยอมมอบปืนเล็กยาวจู่โจมและอาวุธอื่น ๆ ก่อนจะจากไปพร้อมกับโจว ตัวในรถพยาบาลเพื่อไปพบกำลังของรัฐบาล[187][189]
ระหว่างเวลา 03:30 น. ถึง 03:45 น. รถพยาบาลมาถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจัตุรัส และโหว เต๋อเจี้ยนกับโจว ตัวได้พบกับจี้ ซินกั๋ว กรรมการการเมืองระดับกรม[187][189] พวกเขาขอให้กองทัพให้เวลาพวกเขาอพยพ และเปิดทางให้พวกเขาออกไป จี้ ซินกั๋วแจ้งคำขอของพวกเขาไปยังกองบัญชาการกฎอัยการศึก ซึ่งตกลงตามคำขอของนักศึกษา[187][189] จี้ ซินกั๋วแจ้งให้พวกเขาทราบเรื่องนี้และบอกให้พวกเขาออกไปทางทิศใต้ หลังโหวและโจวกลับไปที่จัตุรัส พวกเขาเรียกร้องให้มีการอพยพทันที และกองบัญชาการกฎอัยการศึกประกาศว่า "นักศึกษาทั้งหลาย เราซาบซึ้งที่คุณจะออกจากจัตุรัสโดยสมัครใจ นักศึกษาทั้งหลาย โปรดออกจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้"[190]
แม้จะมีความไม่เต็มใจในเบื้องต้นที่นักศึกษาจะจากไป แต่เมื่อใกล้ถึงกำหนดเส้นตาย เฟิง ฉงเต๋อขอให้นักศึกษาลงคะแนนเสียงว่าจะอยู่ต่อหรือจะออกไป[190] แม้ผลการลงคะแนนจะไม่ชัดเจน แต่เฟิงกล่าวว่าเสียงที่ลงคะแนนให้ออกไปนั้นดังกว่า[190] ผู้ชุมนุมเริ่มอพยพ โดยนักศึกษาพากันเดินออกไปใต้ธงโรงเรียน มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้[189][173] เวลาประมาณ 04:35 น. ไม่กี่นาทีหลังผู้ชุมนุมเริ่มถอยร่น แสงไฟในจัตุรัสก็สว่างขึ้น และทหารก็เริ่มรุกคืบ หน่วยคอมมานโดบุกขึ้นไปบนอนุสาวรีย์และยิงทำลายลำโพงของนักศึกษา[191][190] ตามคำกล่าวของโหว เต๋อเจี้ยน มีการใช้แก๊สน้ำตาระหว่างปฏิบัติการเคลียร์จัตุรัส[192]
เวลา 05:23 น. หน่วยทหารจีนทำลายรูปปั้นเทพีประชาธิปไตย โดยนำคบเพลิงที่หักออกไปก่อนเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก[193]
หลังเคลื่อนย้ายนักศึกษาออกจากจัตุรัส ทหารได้รับคำสั่งให้ส่งมอบกระสุนคืน หลังจากนั้นพวกเขาได้รับอนุญาตให้พักระยะสั้น ตั้งแต่ 07:00 ถึง 09:00 น.[194] เศษซากที่หลงเหลือจากการยึดพื้นที่ของนักศึกษาถูกกองรวมกันแล้วเผาที่จัตุรัสหรือไม่ก็ถูกใส่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ซึ่งถูกขนย้ายทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์ทหาร[195][196] หลังการทำความสะอาด กำลังทหารที่ประจำการอยู่ที่มหาศาลาประชาชนยังคงถูกกักบริเวณอยู่ภายในเป็นเวลาเก้าวันถัดมา ในช่วงเวลานี้ ทหารดูเหมือนจะถูกปล่อยให้นอนบนพื้นและได้รับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงซองเดียวแบ่งกันสามคนต่อวัน[197]
ในเมือง
[แก้]เมื่อเลยเวลา 06:00 น. ของวันที่ 4 มิถุนายนเล็กน้อย ขณะที่ขบวนนักศึกษาที่อพยพออกจากจัตุรัสกําลังเดินไปทางตะวันตกในช่องจักรยานตามถนนฉางอานกลับไปยังวิทยาเขต รถถังสามคันได้ไล่ตามพวกเขามาจากจัตุรัส พร้อมกับยิงแก๊สน้ำตา[198] มีรายงานว่ารถถังคันหนึ่งขับฝ่าฝูงชน ทำให้นักศึกษาเสียชีวิต 11 คนและบาดเจ็บอีกหลายสิบคน[199]
ภายในรุ่งเช้า ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟที่ลอยขึ้นมาจากใจกลางเมือง และท้องถนนก็เต็มไปด้วยซากยานพาหนะที่ถูกไฟไหม้[186] เหตุปะทะระหว่างผู้ประท้วงกับทหารยังคงเกิดขึ้นประปรายในเมือง[56][200] ผู้ประท้วงบางส่วนรวมกลุ่มกันใหม่และพยายามกลับเข้าไปในจัตุรัสทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือบนถนนฉางอานตะวันออก แต่ถูกยิงขับไล่ออกไป[201] จัตุรัสยังคงปิดไม่ให้ประชาชนเข้าเป็นเวลาสองสัปดาห์[202]
เวลา 17:00 น. รายงานสถานการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่ส่งไปยังสถานทูตสหรัฐระบุว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชนกำลัง "เก็บกวาดการต่อต้านที่กระจัดกระจาย"[203]
5 มิถุนายนและแทงค์แมน
[แก้]วันที่ 5 มิถุนายน หลังกองทัพเข้าควบคุมจัตุรัสได้แล้ว ก็เริ่มกลับมาควบคุมถนนสายสำคัญทั่วเมือง โดยเฉพาะถนนฉางอาน ขบวนรถถังของกองพลยานเกราะที่ 1 เคลื่อนออกจากจัตุรัส มุ่งหน้าไปทางตะวันออกบนถนนฉางอาน และพบกับผู้ประท้วงเพียงลำพังที่ยืนอยู่กลางถนน การเผชิญหน้าช่วงสั้น ๆ ระหว่างชายผู้นั้นกับรถถังถูกบันทึกภาพโดยสื่อตะวันตกจากด้านบนของโรงแรมปักกิ่ง หลังชายผู้นั้นกลับไปยืนอยู่ด้านหน้ารถถัง เขาก็ถูกกลุ่มคนดึงตัวออกไป[11] ชาร์ลี โคล ซึ่งอยู่ที่นั่นในนามของนิตยสาร นิวส์วีก อ้างว่าชายกลุ่มนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีน[204] ขณะที่แจน หว่อง ซึ่งอยู่ที่นั่นในนามของหนังสือพิมพ์ เดอะโกลบแอนด์เมล คิดว่าพวกเขาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่เข้ามาช่วยเหลือด้วยความเป็นห่วง[205]

แม้ชะตากรรมของแทงค์แมนภายหลังการประท้วงจะไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เจียง เจ๋อหมิน ผู้นำสูงสุดของจีน กล่าวใน ค.ศ. 1990 ว่าเขาไม่คิดว่าชายคนนั้นถูกสังหาร[206] ต่อมา ไทม์ ยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20
ขบวนรถลำเลียงพลหุ้มเกราะ 37 คันที่จอดอยู่บนถนนฉางอานบริเวณมู่ซีตี้ถูกบีบให้ต้องละทิ้งยานพาหนะหลังติดอยู่ท่ามกลางซากรถโดยสารและยานยนต์ทหารที่ถูกเผา[207] นอกจากเหตุการณ์ที่ทหารเปิดฉากยิงใส่พลเรือนเป็นครั้งคราวในปักกิ่งแล้ว สำนักข่าวตะวันตกยังรายงานการปะทะระหว่างหน่วยของกองทัพปลดปล่อยประชาชน[208] ในช่วงบ่ายแก่ ๆ รถถัง 26 คัน รถลำเลียงพลหุ้มเกราะสามคัน และทหารราบสนับสนุนเข้าประจำการในตำแหน่งป้องกันหันหน้าไปทางตะวันออกบริเวณสะพานเจี้ยนกั๋วเหมินและฟู่ซิงเหมิน[209] มีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นตลอดทั้งคืน และในเช้าวันรุ่งขึ้นนาวิกโยธินสหรัฐที่อยู่ในฝั่งตะวันออกของเมืองรายงานว่าพบยานเกราะที่เสียหายซึ่งถูกกระสุนเจาะเกราะทำให้ใช้งานไม่ได้[210] ความวุ่นวายที่ดำเนินอยู่ในเมืองหลวงทำให้ชีวิตประจำวันหยุดชะงัก พีเพิลส์เดลี ไม่มีฉบับวางจำหน่ายในปักกิ่งในวันที่ 5 มิถุนายน แม้จะมีการยืนยันว่าได้ทำการพิมพ์แล้วก็ตาม[208] ร้านค้า สำนักงาน และโรงงานหลายแห่งไม่สามารถเปิดทำการได้ เนื่องจากคนงานยังคงอยู่แต่ในบ้าน และบริการขนส่งสาธารณะจำกัดอยู่เพียงรถไฟใต้ดินและเส้นทางรถโดยสารประจำทางชานเมือง[211]
โดยส่วนใหญ่แล้ว รัฐบาลสามารถกลับมาควบคุมสถานการณ์ได้ในสัปดาห์หลังทหารเข้ายึดจัตุรัส มีการกวาดล้างทางการเมืองตามมาซึ่งเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการจัดตั้งหรือเห็นด้วยกับการประท้วงถูกปลดจากตำแหน่ง และผู้นำการประท้วงถูกจำคุก[212]
การประท้วงนอกปักกิ่ง
[แก้]หลังความสงบเรียบร้อยกลับคืนสู่ปักกิ่งในวันที่ 4 มิถุนายน การประท้วงที่มีขนาดแตกต่างกันยังคงดำเนินต่อไปในเมืองอื่น ๆ ของจีนอีกประมาณ 80 เมืองซึ่งอยู่นอกเหนือความสนใจของสื่อมวลชนระหว่างประเทศ[213] ในอาณานิคมฮ่องกงของอังกฤษ ผู้คนกลับมาสวมชุดดำเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้ประท้วงในปักกิ่ง นอกจากนี้ยังมีการประท้วงในประเทศอื่น ๆ ซึ่งหลายคนนำการสวมปลอกแขนสีดำมาใช้เช่นกัน[214]
ในเซี่ยงไฮ้ นักศึกษาเดินขบวนบนถนนในวันที่ 5 มิถุนายนและตั้งเครื่องกีดขวางตามถนนสายหลัก การขนส่งสาธารณะรวมถึงการจราจรทางรางถูกปิดกั้น[215] วันที่ 6 มิถุนายน รัฐบาลเทศบาลพยายามเคลียร์สิ่งกีดขวางทางรถไฟ แต่ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากฝูงชน มีผู้เสียชีวิตหลายคนจากการถูกรถไฟทับ[215] วันที่ 7 มิถุนายน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในเซี่ยงไฮ้บุกยึดอาคารเรียนต่าง ๆ เพื่อจัดตั้งที่ตั้งศพ[216] แม้จะมีข่าวลือเรื่องการประกาศกฎอัยการศึกในเมือง แต่สถานการณ์ก็ค่อย ๆ ถูกควบคุมได้โดยไม่ต้องใช้กำลังถึงตาย[217] รัฐบาลเทศบาลได้รับการยอมรับจากผู้นำระดับสูงในปักกิ่งสำหรับการเลี่ยงความวุ่นวายครั้งใหญ่
ในเมืองชั้นในอย่างซีอาน อู่ฮั่น หนานจิง และเฉิงตู นักศึกษาหลายคนยังคงประท้วงต่อไปหลังวันที่ 4 มิถุนายน โดยมักสร้างสิ่งกีดขวางถนนขึ้นมา ในซีอาน นักศึกษาขัดขวางไม่ให้คนงานเข้าไปในโรงงาน[218] ส่วนในอู่ฮั่น นักศึกษาปิดสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแยงซีและมีนักศึกษาอีกประมาณ 4,000 คนรวมตัวกันที่สถานีรถไฟ[219] นักศึกษาประมาณหนึ่งพันคนจัดการ "นั่งประท้วง" ขวางทางรถไฟ ทำให้การจราจรทางรถไฟสายปักกิ่ง–กวาางโจวและอู่ฮั่น-ต้าเหลียนหยุดชะงัก นักศึกษายังเรียกร้องให้พนักงานรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่หยุดงานประท้วงอีกด้วย[220] ในอู่ฮั่น สถานการณ์ตึงเครียดมากจนมีรายงานว่าประชาชนเริ่มแห่ถอนเงินจากธนาคารและแห่ซื้อของ[221]
ถ้อยแถลงของรัฐบาล
[แก้]ในการแถลงข่าวในวันที่ 6 มิถุนายน ยฺเหวียน มู่ โฆษกคณะมนตรีรัฐกิจ ประกาศว่าจาก "สถิติเบื้องต้น" มี "ผู้เสียชีวิตเกือบ 300 คน... รวมถึงทหาร" นักศึกษา 23 คน "ผู้ไม่ประสงค์ดีที่สมควรได้รับสิ่งนี้เนื่องจากอาชญากรรมของพวกเขา และผู้ที่ถูกสังหารโดยไม่ได้ตั้งใจ[222] เขากล่าวว่าผู้บาดเจ็บรวมถึง "เจ้าหน้าที่ [ตำรวจ] และ [ทหาร] 5,000 นาย" และ "พลเรือนกว่า 2,000 คน รวมถึงอันธพาลนอกกฎหมายจำนวนหนึ่งและฝูงชนที่เฝ้าดูที่เข้าใจสถานการณ์"[222] จาง กง โฆษกกองทัพ ระบุว่าไม่มีใครเสียชีวิตในจัตุรัสเทียนอันเหมินและไม่มีใครถูกรถถังทับในจัตุรัส[223]
วันที่ 9 มิถุนายน เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การประท้วงเริ่มต้นขึ้น กล่าวสุนทรพจน์ยกย่อง "ผู้เสียสละ" (ทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่เสียชีวิต)[224][225][226] เติ้งกล่าวว่าเป้าหมายของการเคลื่อนไหวของนักศึกษาคือการโค่นล้มพรรคและรัฐ[227] ว่าด้วยผู้ประท้วง เติ้งกล่าวว่า: "เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างสาธารณรัฐชนชั้นนายทุนที่พึ่งพาตะวันตกโดยสิ้นเชิง" เติ้งแย้งว่าผู้ประท้วงได้ร้องเรียนเรื่องการทุจริตเพื่อปกปิดแรงจูงใจที่แท้จริงของพวกเขา นั่นคือการแทนที่ระบบสังคมนิยม"[228] เขากล่าวว่า "โลกตะวันตกที่เป็นจักรวรรดินิยมทั้งหมดวางแผนทำให้ประเทศสังคมนิยมทั้งหมดละทิ้งแนวทางสังคมนิยม แล้วนำพวกเขาทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การผูกขาดของทุนระหว่างประเทศและเข้าสู่เส้นทางทุนนิยม"[229]
จำนวนผู้เสียชีวิต
[แก้]นับตั้งแต่สิ้นสุดเหตุการณ์เป็นต้นมา จำนวนผู้เสียชีวิตในจัตุรัสเองก็ยังคงเป็นที่โต้แย้ง รัฐบาลระงับการหารือเกี่ยวกับตัวเลขผู้เสียชีวิตทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ และประมาณการส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคำให้การของพยาน โรงพยาบาล และความพยายามของญาติผู้เสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ จึงมีความคลาดเคลื่อนอย่างมากในบรรดาประมาณการผู้เสียชีวิตต่าง ๆ ประมาณการเบื้องต้นมีตั้งแต่ตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ระบุว่ามีเพียงไม่กี่ร้อยคนไปจนถึงหลายพันคน[230]
ตัวเลขอย่างเป็นทางการ
[แก้]หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของรัฐบาลระบุว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 300 คน ในการแถลงข่าวของคณะมนตรีรัฐกิจในวันที่ 6 มิถุนายน โฆษกยฺเหวียน มู่กล่าวว่า "การนับเบื้องต้น" ของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่ามีพลเรือนและทหารเสียชีวิตประมาณ 300 คน รวมถึงนักศึกษา 23 คนจากมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง พร้อมกับบุคคลที่เขาเรียกว่า "พวกอันธพาล"[222][231] ยฺเหวียนยังกล่าวอีกว่ามีทหารและตำรวจบาดเจ็บประมาณ 5,000 นาย และพลเรือนบาดเจ็บ 2,000 คน วันที่ 19 มิถุนายน หลี่ ซีหมิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำปักกิ่ง รายงานต่อกรมการเมืองว่ายอดผู้เสียชีวิตที่รัฐบาลยืนยันคือ 241 ราย รวมถึงพลเรือน 218 คน (ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษา 36 คน) ทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชน 10 นาย และตำรวจติดอาวุธประชาชน 13 นาย พร้อมกับผู้บาดเจ็บ 7,000 คน[232][233] วันที่ 30 มิถุนายน นายกเทศมนตรีเฉิน ซีถงกล่าวว่าจำนวนผู้บาดเจ็บอยู่ที่ราว 6,000 คน[231][222]
ประมาณการอื่น ๆ
[แก้]
เช้าวันที่ 4 มิถุนายน มีการรายงานประมาณการผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงจากแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ใบปลิวของมหาวิทยาลัยปักกิ่งที่เผยแพร่ในวิทยาเขตระบุจำนวนผู้เสียชีวิตระหว่างสองถึงสามพันคน สภากาชาดจีนเคยให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ 2,600 คนแต่ภายหลังปฏิเสธว่าไม่ได้ให้ตัวเลขดังกล่าว[16][17] ทูตสวิตเซอร์แลนด์ประเมินไว้ที่ 2,700 คน[18] นิโคลัส ดี. คริสตอฟ จาก เดอะนิวยอร์กไทมส์ เขียนในวันที่ 21 มิถุนายนว่า "แลดูเป็นไปได้ว่าทหารและตำรวจประมาณโหลหนึ่งถูกสังหาร พร้อมด้วยพลเรือน 400 ถึง 800 คน"[19] เจมส์ ลิลลีย์ ทูตสหรัฐ กล่าวว่า จากการเยี่ยมชมโรงพยาบาลต่าง ๆ รอบปักกิ่ง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหลายร้อยคน[234] เอกสารลับของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติที่ปลดชั้นความลับแล้วซึ่งยื่นในวันเดียวกันประเมินว่ามีผู้เสียชีวิต 180-500 คนจนถึงเช้าวันที่ 4 มิถุนายน[175] บันทึกโรงพยาบาลปักกิ่งที่รวบรวมขึ้นไม่นานหลังเกิดเหตุการณ์บันทึกผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 478 คนและบาดเจ็บ 920 คน[235] แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างหลายร้อยจนถึงเกือบ 1,000 คน[16][21] ขณะที่นักการทูตตะวันตกที่รวบรวมประมาณการระบุตัวเลขไว้ที่ 300 ถึง 1,000 คน[19]
ในการสื่อสารที่เป็นที่ถกเถียงกันซึ่งส่งไปหลังเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมิน อลัน ดอนัลด์ ทูตอังกฤษ กล่าวอ้างในเบื้องต้น โดยอ้างข้อมูลจาก "เพื่อนสนิท" ในคณะมนตรีรัฐกิจของจีน ว่ามีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 10,000 คน[236] ซึ่งข้ออ้างดังกล่าวถูกกล่าวซ้ำในการกล่าวสุนทรพจน์โดยบ็อบ ฮอว์ก นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย[237] แต่ตัวเลขประมาณการนี้สูงกว่าตัวเลขที่แหล่งข้อมูลอื่น ๆ ระบุไว้มาก[238][239] หลังการเปิดเผยข้อมูลลับ เฟิง ฉงเต๋อ อดีตผู้นำการประท้วงนักศึกษา ชี้ว่าดอนัลด์แก้ไขตัวเลขประมาณการของเขาในภายหลังเป็น 2,700–3,400 ราย ตัวเลขที่ใกล้เคียง แต่ก็ยังคงสูงกว่าการประมาณการอื่น ๆ มาก[240]
การระบุตัวตนผู้เสียชีวิต
[แก้]เทียนอันเหมินมาเทอส์ (Tiananmen Mothers) กลุ่มผู้สนับสนุนเหยื่อที่ร่วมก่อตั้งโดยติง จื่อหลินและจาง เสียนหลิง ซึ่งลูก ๆ ของพวกเขาถูกรัฐบาลสังหารระหว่างการปราบปราม ได้ระบุตัวเหยื่อ 202 ราย ณ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011ข้อมูลเมื่อ สิงหาคม 2011[update] เมื่อเผชิญกับการแทรกแซงของรัฐบาล กลุ่มนี้ได้ทำงานอย่างอุตสาหะเพื่อตามหาครอบครัวเหยื่อและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อ จำนวนผู้เสียชีวิตที่พวกเขารวบรวมได้เพิ่มขึ้นจาก 155 รายใน ค.ศ. 1999 เป็น 202 รายใน ค.ศ. 2011 รายชื่อนี้รวมถึงสี่บุคคลที่ฆ่าตัวตายในวันที่ 4 มิถุนายนหรือหลังจากนั้นเนื่องจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการประท้วง [ต้องการอ้างอิง][e]
อู๋ เหรินหฺวา อดีตผู้ประท้วงจากพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยจีน กลุ่มในต่างประเทศที่เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปประชาธิปไตยในจีน กล่าวว่าเขาสามารถระบุและยืนยันการเสียชีวิตของทหารได้เพียง 15 รายเท่านั้น อู๋ยืนยันว่าหากนำการเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ประท้วงออกจากการนับ จะมีทหารเพียง 7 นายเท่านั้นที่อาจนับว่า "เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่" โดยกลุ่มผู้ก่อจลาจล[241]
การเสียชีวิตรอบและในจัตุรัสเทียนอันเหมิน
[แก้]เจ้าหน้าที่รัฐบาลยืนกรานมานานแล้วว่าไม่มีใครเสียชีวิตในจัตุรัสในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 4 มิถุนายน ระหว่างที่นักศึกษากลุ่มสุดท้าย "ยังปักหลัก" อยู่ทางตอนใต้ของจัตุรัส ในตอนแรก รายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับการ "สังหารหมู่" ในจัตุรัสเป็นที่แพร่หลาย แม้ต่อมานักข่าวก็ยอมรับว่าการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกจัตุรัสในฝั่งตะวันตกของปักกิ่ง บุคคลหลายคนที่อยู่ในบริเวณจัตุรัสในคืนนั้น รวมถึงเจย์ แมตทิวส์ อดีตหัวหน้าสำนักงานปักกิ่งของ เดอะวอชิงตันโพสต์[f] และริชาร์ด ร็อท ผู้สื่อข่าวซีบีเอส[g] รายงานว่าแม้พวกเขาจะได้ยินเสียงปืนประปราย แต่ก็ไม่พบหลักฐานเพียงพอจะบ่งชี้ว่ามีการสังหารหมู่เกิดขึ้นในจัตุรัส
ไฉ หลิง ผู้นำนักศึกษา อ้างในการกล่าวปราศรัยที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ฮ่องกงว่าเธอเห็นรถถังเข้ามาที่จัตุรัสและบดขยี้นักศึกษาที่กำลังนอนหลับอยู่ในเต็นท์ และเสริมว่ามีนักศึกษาระหว่าง 200 ถึง 4,000 คนเสียชีวิตที่จัตุรัส[244] อู๋เออร์ ไคซี ผู้นำนักศึกษาอีกคนหนึ่งเห็นด้วยกับหลิง โดยกล่าวว่าเขาเห็นนักศึกษา 200 คนถูกยิงเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ตามที่แมตทิวส์ระบุ ภายหลังพิสูจน์แล้วว่าเขาได้ออกจากจัตุรัสไปหลายชั่วโมงก่อนเหตุการณ์ที่เขาอ้างว่าเกิดขึ้น[191] โหว เต๋อเจี้ยน ศิลปินชาวไต้หวันซึ่งอยู่ในจัตุรัสเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับนักศึกษากล่าวว่าเขาไม่เห็นการสังหารหมู่ใด ๆ เกิดขึ้นในจัตุรัส หลี เสี่ยวผิง อดีตผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจีนอ้างคำพูดของเขาว่า: "บางคนบอกว่ามีผู้เสียชีวิต 200 คนในจัตุรัส และคนอื่น ๆ อ้างว่ามากถึง 2,000 คนเสียชีวิต ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับรถถังที่วิ่งทับนักศึกษาที่พยายามหนี ผมต้องบอกว่าผมไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นเลย ผมอยู่ในจัตุรัสจนถึงเวลา 06:30 น. ของวันนั้น"[245]
ใน ค.ศ. 2011 โทรเลขลับสามฉบับจากสถานทูตสหรัฐในปักกิ่งเห็นพ้องว่าไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้นภายในจัตุรัสเทียนอันเหมิน[246] แต่ระบุว่าทหารจีนเปิดฉากยิงใส่ผู้ประท้วงนอกจัตุรัส ขณะที่พวกเขาพยายามฝ่าเข้ามาจากทางตะวันตกมุ่งหน้าสู่ใจกลาง[246] นักการทูตชาวชิลีที่ประจำอยู่ข้างสถานีสภากาชาดภายในจัตุรัส แจ้งกับเจ้าหน้าที่สหรัฐว่าเขาไม่เห็นการยิงอาวุธหมู่ใส่ฝูงชนในจัตุรัส แม้จะได้ยินเสียงปืนเป็นครั้งคราวก็ตาม เขากล่าวว่าทหารส่วนใหญ่ที่เข้ามาในจัตุรัสติดอาวุธเพียงอุปกรณ์ปราบจลาจลเท่านั้น[246][196]
ผลพวงที่ตามมาทันที
[แก้]การจับกุม การลงโทษ และการอพยพ
[แก้]วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1989 สำนักความมั่นคงสาธารณะปักกิ่งออกคำสั่งจับกุมนักศึกษา 21 คนที่ระบุว่าเป็นแกนนำการประท้วง นักศึกษา 21 คนที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์นักศึกษาอิสระปักกิ่ง[247] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แม้จะผ่านไปหลายทศวรรษแล้ว แต่รายชื่อผู้เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดนี้ก็ไม่เคยถูกรัฐบาลจีนยกเลิก[248]
วันที่ 17 มิถุนายน บุคคลสองคนถูกจับกุมหลังยิงปะทะกับทหาร[202] ในวันเดียวกันนั้น หญิงคนหนึ่งที่ไปเยี่ยมทูตตะวันตกที่อาคารสถานทูตเจี้ยนกั๋วเหมินนอกถูกตำรวจนอกเครื่องแบบจับกุม[202]
ใบหน้าและคำบรรยายลักษณะของผู้นำนักศึกษาที่ต้องการตัวมากที่สุด 21 คนมักถูกออกอากาศทางโทรทัศน์[249][250] รูปถ่ายพร้อมประวัติของผู้นำเหล่านี้เรียงตามลำดับดังนี้: หวัง ตาน, อู๋เออร์ ไคซี, หลิว กัง, ไฉ หลิง, โจว เฟิงสั่ว, ไจ้ เหว่ย์หมิน, เหลียง ชิงตุน, หวัง เจิ้งยฺหวิน, เจิ้ง ซฺวี่กวง, หม่า เช่าฟาง, หยาง เทา, หวัง จื้อซิง, เฟิง ฉงเต๋อ, หวัง เชาหฺวา, หวัง โหย่วไฉ, จาง จื้อชิง, จาง ปั๋วลี่, หลี่ ลู่, จาง หมิง, สฺยง เว่ย์ และสฺยง เอี้ยน
นักศึกษาทั้ง 21 คนต่างเผชิญกับประสบการณ์ที่หลากหลายหลังการถูกจับกุมหรือหลบหนี ขณะที่บางคนยังคงอยู่ต่างประเทศโดยไม่มีความตั้งใจจะกลับไป คนอื่น ๆ เลือกจะอยู่ในจีนอย่างไม่มีกำหนด เช่น จาง หมิง[251] มีเพียง 7 จากทั้งหมด 21 คนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีไปได้[252] ผู้นำนักศึกษาบางคน เช่น ไฉ หลิงและอู๋เออร์ ไคซี สามารถหลบหนีไปยังสหรัฐ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และประเทศตะวันตกอื่น ๆ ภายใต้ปฏิบัติการเยลโลเบิร์ด ซึ่งจัดขึ้นโดยหน่วยข่าวกรองตะวันตก เช่น เอ็มไอซิกและซีไอเอจากฮ่องกง อาณานิคมของอังกฤษในขณะนั้น[253][251][252][254] จากข้อมูลของ เดอะวอชิงตันโพสต์ ปฏิบัติการนี้เกี่ยวข้องกับบุคคลมากกว่า 40 คนและมีที่มาจากพันธมิตรสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในจีนที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1989 หลังการปราบปรามการประท้วงที่ปักกิ่ง กลุ่มนี้จัดทำรายชื่อเริ่มต้นของนักเคลื่อนไหว 40 คนที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถเป็นแกนนำของ "ขบวนการประชาธิปไตยจีนพลัดถิ่น" ได้[255]
ผู้นำนักศึกษาที่เหลืออยู่ถูกจับกุมและคุมขัง[252] ผู้ที่หลบหนีไปได้ ไม่ว่าจะใน ค.ศ. 1989 หรือหลังจากนั้น โดยทั่วไปแล้วจะประสบปัญหาการกลับเข้าประเทศจีนจนถึงทุกวันนี้[256] รัฐบาลจีนเลือกจะปล่อยให้ผู้เห็นต่างลี้ภัยอยู่ต่อไป[257] ส่วนผู้พยายามเดินทางกลับเข้าประเทศ เช่น อู๋เออร์ ไคซี ก็ถูกส่งตัวกลับไปโดยไม่ได้ถูกจับกุม[257]
เฉิน จื่อหมิงและหวัง จฺวินเทาถูกจับกุมในช่วงปลาย ค.ศ. 1989 ฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประท้วง ทางการจีนกล่าวหาว่าพวกเขาเป็น "ผู้อยู่เบื้องหลัง" การเคลื่อนไหวนี้ ทั้งเฉินและหวังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่กระทำต่อพวกเขา พวกเขาถูกนำตัวขึ้นศาลใน ค.ศ. 1990 และถูกตัดสินจำคุก 13 ปี[258] ส่วนคนอื่น ๆ เช่น จาง จื้อชิง ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังถูกจับกุมครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 และได้รับการปล่อยตัว ก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขาและที่อยู่ปัจจุบันของเขาเลย[252] บทบาทและเหตุผลที่จาง จื้อชิงถูกระบุชื่ออยู่ใน 21 รายชื่อที่ต้องการตัวส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เช่นเดียวกับกรณีของคนอื่น ๆ ในรายชื่อ เช่น หวัง เชาหฺวา
ตามที่มูลนิธิตุ้ยหฺวา โดยอ้างข้อมูลจากรัฐบาลมณฑล ระบุว่ามีบุคคล 1,602 คนถูกจำคุกจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงในช่วงต้น ค.ศ. 1989 ณ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 อย่างน้อยสองคนยังคงถูกคุมขังอยู่ในปักกิ่ง และอีกห้าคนยังคงไม่ทราบชะตากรรม[259] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014 มีรายงานว่าเมี่ยว เต๋อชุนเชื่อกันว่าเป็นนักโทษคนสุดท้ายที่ยังคงถูกคุมขังจากการเข้าร่วมการประท้วง โดยเขาถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อสิบปีก่อน[260] มีรายงานว่าทั้งหมดมีอาการป่วยทางจิต[259]
การเปลี่ยนผู้นำ
[แก้]
ผู้นำพรรคขับจ้าว จื่อหยางออกจากคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมือง หู ฉี่ลี่ สมาชิกคณะกรรมาธิการอีกคนหนึ่งที่คัดค้านกฎอัยการศึกแต่งดออกเสียง ก็ถูกถอดถอนออกจากคณะกรรมาธิการเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขายังคงรักษาสมาชิกภาพพรรคไว้ได้ และหลังจาก "เปลี่ยนความคิด" เขาก็ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจักรกลและอิเล็กทรอนิกส์ ว่าน หลี่ ผู้นำสายปฏิรูปอีกคนหนึ่ง ก็ถูกกักบริเวณในบ้านทันทีที่เขาลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานกรุงปักกิ่งหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศที่ถูกย่อให้สั้นลง ทางการประกาศว่าการควบคุมตัวเขาเป็นเหตุผลด้านสุขภาพ เมื่อว่าน หลี่ได้รับการปล่อยตัวจากการกักบริเวณในบ้านหลังเขา "เปลี่ยนความคิด" ในที่สุด เขาก็ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นที่มีตำแหน่งเท่ากันแต่เป็นบทบาทเชิงพิธีการเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกับเฉียว ฉือ ทูตจีนหลายคนในต่างประเทศได้ขอลี้ภัยทางการเมือง[261]
เจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้ ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ การกระทำเด็ดขาดของเจียงในเซี่ยงไฮ้ที่เกี่ยวข้องกับ เวิล์ดอีโคโนมิกเฮรัลด์ และการที่เขาสามารถป้องกันความรุนแรงถึงตายในเมืองได้ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสพรรคในปักกิ่ง เมื่อจัดตั้งคณะผู้นำชุดใหม่และตระหนักถึงตำแหน่งที่อ่อนแอลงของตนเอง เติ้ง เสี่ยวผิงเองก็ลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคเช่นกัน — อย่างน้อยก็อย่างเป็นทางการ — โดยการลาออกจากตำแหน่งผู้นำสุดท้ายของเขาในฐานะประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางในปลายปีนั้น เขารักษาระดับต่ำมาจนถึง ค.ศ. 1992 ตามเอกสารทางการทูตที่แคนาดาเปิดเผย ทูตสวิสแจ้งต่อนักการทูตแคนาดาอย่างเป็นความลับว่าตลอดหลายเดือนหลังการสังหารหมู่ "สมาชิกทุกคนของคณะกรรมการสามัญกรมการเมืองได้ติดต่อเขาเกี่ยวกับการโอนเงินจำนวนมากเข้าบัญชีธนาคารสวิส"[262]
เป้า ถง ผู้ช่วยของจ้าว จื่อหยาง เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดที่ถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการในคดีที่เกี่ยวข้องกับการประท้วง ค.ศ. 1989 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดใน ค.ศ. 1992 ฐาน "เปิดเผยความลับของรัฐและเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านการปฏิวัติ" และต้องโทษจำคุกเจ็ดปี เพื่อกวาดล้างผู้เห็นอกเห็นใจผู้ประท้วงเทียนอันเหมินออกจากกลุ่มสมาชิกพรรค ผู้นำพรรคริเริ่มโครงการแก้ไขนานหนึ่งปีครึ่งเพื่อ "จัดการอย่างเข้มงวดกับผู้ที่อยู่ในพรรคซึ่งมีแนวโน้มอย่างรุนแรงไปสู่แนวคิดเปิดเสรีชนชั้นกระฎุมพี" มีรายงานว่าผู้คนสี่ล้านคนถูกสอบสวนถึงบทบาทของพวกเขาในการประท้วง เจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์กว่า 30,000 นายถูกส่งไปประเมิน "ความน่าเชื่อถือทางการเมือง" ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกว่าหนึ่งล้านคน[263] ทางการจับกุมผู้คนหลายหมื่นถึงหลายแสนคนทั่วประเทศ บางคนถูกจับกุมในเวลากลางวันแสก ๆ ขณะเดินอยู่บนถนน บางคนถูกจับกุมในเวลากลางคืน หลายคนถูกจำคุกหรือส่งไปยังค่ายแรงงาน พวกเขามักถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบครอบครัวและมักถูกขังในห้องขังแออัดจนไม่มีที่ให้ทุกคนนอน ผู้เห็นต่างถูกขังรวมกับฆาตกรและผู้ข่มขืน และการทรมานก็ไม่ใช่เรื่องแปลก[264]
การรายงานของสื่อ
[แก้]เรื่องเล่าอย่างเป็นทางการ
[แก้]เรื่องเล่าอย่างเป็นทางการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสร้างขึ้นว่าด้วยอุบัติการณ์ 4 มิถุนายนระบุว่า การใช้กำลังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อควบคุม "ความวุ่นวายทางการเมือง"[265] และสิ่งนี้ยังรับประกันถึงสังคมที่มีเสถียรภาพซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ[266][267][268] ผู้นำจีนรวมถึงเจียง เจ๋อหมินและหู จิ่นเทา อดีตเลขาธิการใหญ่คณะกรรมสธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ย้ำเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างสม่ำเสมอเมื่อถูกนักข่าวต่างประเทศสอบถามเกี่ยวกับการประท้วง[269]
สิ่งพิมพ์ต้องสอดคล้องกับรายงานของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับอุบัติการณ์ 4 มิถุนายน[265] รัฐบาลจีนจัดทำสมุดปกขาวเพื่ออธิบายมุมมองของรัฐบาลว่าด้วยการประท้วง ต่อมา บุคคลนิรนามภายในรัฐบาลจีนส่งไฟล์ออกไปต่างประเทศและตีพิมพ์ "เทียนอันเหมินเพเพอส์" ใน ค.ศ. 2001 ในวาระครบรอบ 30 ปีของอุบัติการณ์ 4 มิถุนายน เว่ย์ เฟิ่งเหอ นายพลกองทัพปลดปล่อยประชาชน กล่าวในเวทีเสวนาแชงกรีลาว่า: "อุบัติการณ์ 4 มิถุนายนเป็นการจลาจลและความไม่สงบ รัฐบาลกลางใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อระงับความไม่สงบและยุติการจลาจล และด้วยการตัดสินใจนี้เองที่ทำให้เกิดเสถียรภาพภายในประเทศ ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์"[270]
สื่อจีน
[แก้]การปราบปรามวันที่ 4 มิถุนายนถือเป็นจุดสิ้นสุดของช่วงเวลาที่สื่อมวลชนค่อนข้างมีเสรีภาพในประเทศจีน และบุคลากรด้านสื่อทั้งชาวต่างชาติและในประเทศต้องเผชิญกับข้อจำกัดและการลงโทษที่เข้มงวดขึ้นหลังการปราบปราม รายงานของสื่อของรัฐในช่วงหลังเหตุการณ์ทันทีแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อนักศึกษา ส่งผลให้ผู้รับผิดชอบทั้งหมดถูกปลดจากตำแหน่งในภายหลัง ผู้ประกาศข่าวสองคน ได้แก่ ตู้ เซี่ยนและเซฺว เฟย์ ซึ่งรายงานเหตุการณ์นี้ในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายน ตามลำดับในรายการ ซินเหวินเหลียนปัว ประจำวันของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (ซีซีทีวี) ถูกไล่ออกเนื่องจากพวกเขาแสดงอารมณ์เห็นอกเห็นใจผู้ประท้วงอย่างเปิดเผย อู๋ เสี่ยวยง บุตรของอู๋ เสฺวเชียน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ถูกปลดจากแผนกรายการภาษาอังกฤษของวิทยุกระจายเสียงต่างประเทศจีน โดยอ้างว่าเขาเห็นอกเห็นใจผู้ประท้วง บรรณาธิการและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่ เหรินหมินรึ่อเป้า รวมถึงเฉียน หลี่เหริน ผู้อำนวยการและถาน เหวินรุ่ย บรรณาธิการบริหาร ก็ถูกไล่ออกเช่นกันเนื่องจากรายงานที่แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้ประท้วง[271]
ข้อจำกัดต่าง ๆ ถูกคลายลงหลังผ่านไปไม่กี่ปี โดยเฉพาะหลังการเดินทางเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิง[272] สิ่งพิมพ์ที่ดำเนินการโดยเอกชนจึงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง หนังสือพิมพ์เอกชนเพิ่มขึ้นจาก 250 ฉบับในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 7,000 ฉบับภายใน ค.ศ. 2003 สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมที่ดำเนินการโดยมณฑลต่าง ๆ ผุดขึ้นทั่วประเทศและท้าทายส่วนแบ่งการตลาดของซีซีทีวีที่ดำเนินการโดยรัฐ[273] ผู้นำยังถอยห่างจากการส่งเสริมลัทธิคอมมิวนิสต์ในฐานะระบบความเชื่อที่ครอบคลุมทุกสิ่ง องค์กรศาสนาที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และความเชื่อดั้งเดิมที่ถูกปราบปรามในสมัยเหมาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง[273] ความหลากหลายที่ได้รับการอนุญาตจากรัฐนี้ยังสร้างสภาพแวดล้อมให้รูปแบบจิตวิญญาณและการบูชาที่ไม่ได้รับการอนุญาตเติบโตขึ้น[274] เพื่อลดความจำเป็นในการใช้วิธีการควบคุมของรัฐที่เป็นที่ถกเถียงกัน รัฐมักใช้โปรเตสแตนต์ พุทธศาสนิกชน และเต๋าเป็นนิกาย "ที่ได้รับการอนุญาต" เพื่อ "ต่อสู้กับลัทธิ" เช่น ฝ่าหลุนกง โดยเล่นงานนิกายต่าง ๆ เข้าหากัน[274]
สื่อต่างประเทศ
[แก้]ด้วยการประกาศกฎอัยการศึก รัฐบาลจีนตัดสัญญาณดาวเทียมของผู้แพร่ภาพกระจายเสียงจากชาติตะวันตก เช่น ซีเอ็นเอ็นและซีบีเอส ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงพยายามท้าทายคำสั่งเหล่านี้ด้วยการรายงานข่าวผ่านโทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม ภาพวิดีโอถูกลักลอบนำออกนอกประเทศได้ แม้เครือข่ายเดียวที่สามารถบันทึกวิดีโอได้ในคืนวันที่ 4 มิถุนายนคือเตเลบีซีออนเอสปาโญลา (TVE) ของสเปน[275] ระหว่างปฏิบัติการทางทหาร ผู้สื่อข่าวต่างชาติบางคนเผชิญกับการคุกคามจากเจ้าหน้าที่ ริชาร์ด ร็อท ผู้สื่อข่าวของซีบีเอสและช่างภาพของเขาถูกควบคุมตัวขณะกำลังส่งรายงานจากจัตุรัสผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่[276]
นักข่าวต่างชาติหลายคนที่เคยรายงานข่าวการปราบปรามถูกขับไล่ออกนอกประเทศในสัปดาห์ต่อ ๆ มา ขณะที่บางคนถูกทางการคุกคามหรือขึ้นบัญชีดำห้ามกลับเข้าประเทศ[277] มีรายงานว่าบางคนถูกทำร้ายร่างกาย[278][279]
สื่อตะวันตกบางแห่งระงับภาพบางภาพจากผู้ชม[280] เกรแฮม เอิร์นชอว์ ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์สในขณะนั้น ระบุว่าภาพที่ "น่าขยะแขยง" แสดงถึงศพทหารที่ถูกไฟไหม้และแขวนอยู่บนรถโดยสารไม่ได้ถูกส่งให้สมาชิก[281]
ปฏิกิริยา
[แก้]
การตอบสนองของรัฐบาลจีนถูกประณามอย่างกว้างขวางจากรัฐบาลและสื่อตะวันตก[282]
ตามที่ซุ่ยเชิง จ้าวกล่าวไว้ ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ยังคงนิ่งเงียบตลอดช่วงการประท้วง[283] รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีราชีฟ คานธีตอบสนองต่อการสังหารหมู่ด้วยการสั่งให้สถานีโทรทัศน์ของรัฐนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ที่กำลังดีขึ้นกับจีนและเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อรัฐบาลจีน[284] พรรคคอมมิวนิสต์อินเดีย (ลัทธิมากซ์) เป็นพรรคการเมืองเดียวในโลกที่ผ่านมติสนับสนุนการปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "ความพยายามของจักรวรรดินิยมที่จะบ่อนทำลายสังคมนิยมจากภายใน [ซึ่ง] พรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองทัพปลดปล่อยประชาชนขัดขวางไว้ได้สำเร็จ"[285][286][287][288] เกาหลีใต้กำลังอยู่ระหว่างความพยายามพัฒนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนและประธานาธิบดีโน แท-อูยังคงนิ่งเงียบหลังการปราบปราม[289]: 166
ฆาบิเอร์ เปเรซ เด กูเอยาร์ อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ดังกล่าว[290] อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1992 เขากลับกล่าวว่าการปราบปรามนั้นถูกขยายความเกินจริง และเขาไม่ได้รับหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีการสังหารหมู่ในวงกว้าง[291]
คิวบา เชโกสโลวาเกีย และเยอรมนีตะวันออก ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียต สนับสนุนรัฐบาลจีนและประณามการประท้วง[282]
ผลกระทบระยะยาว
[แก้]การเมือง
[แก้]เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มเบี่ยงเบนไปจากหลักการคอมมิวนิสต์ดั้งเดิมที่ก่อตั้งขึ้นมา ความสนใจส่วนใหญ่ของพรรคก็หันไปให้ความสำคัญกับการปลูกฝังลัทธิชาตินิยมในฐานะอุดมการณ์ทางเลือก[292] นโยบายนี้ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงความชอบธรรมของพรรคเข้ากับ "ความภาคภูมิใจของชาติ" ของจีน ทำให้ความเห็นของสาธารณชนภายในประเทศหันกลับมาสนับสนุนพรรคได้อีกครั้ง[293]
การสนับสนุนการปฏิรูปเสรีนิยมและประชาธิปไตยเสรีนิยมในหมู่ปัญญาชนลดลง และการสนับสนุนการเมืองวัฒนธรรมอนุรักษนิยมเพิ่มขึ้น[294]: 166–167
การประท้วงเน้นย้ำให้เห็นถึงข้อบกพร่องอย่างรุนแรงในด้านอุปกรณ์และยุทธวิธีการปราบจลาจลของทั้งทหารและตำรวจจีน[295] กองทัพปลดปล่อยประชาชนไม่ได้รับการฝึกฝนหรือมีอุปกรณ์พร้อมรับมือกับจลาจล และหน่วยควบคุมจลาจลของตำรวจติดอาวุธประชาชนจำนวนน้อยที่ถูกส่งไปก็ไม่เพียงพอต่อการควบคุมฝูงชน[296] ตั้งแต่ ค.ศ. 1989 มีความพยายามจัดตั้งหน่วยปราบจลาจลที่มีประสิทธิภาพในเมืองต่าง ๆ ของจีน โดยมีการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงภายในและเพิ่มบทบาทของตำรวจติดอาวุธประชาชนในการรับมือการประท้วง[296]
เศรษฐกิจ
[แก้]ภายหลังการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน นักวิเคราะห์ทางธุรกิจหลายรายปรับลดมุมมองต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของจีน[41] การตอบสนองอย่างรุนแรงต่อการประท้วงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การยอมรับจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกต้องล่าช้าออกไป ซึ่งยังไม่เสร็จสิ้นจนกระทั่งสิบสองปีต่อมาใน ค.ศ. 2001[41] ความช่วยเหลือทวิภาคีแก่จีนลดลงจาก 3,400 ล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 1988 เหลือ 700 ล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 1990[297] เงินกู้แก่จีนถูกระงับโดยธนาคารโลก, ธนาคารพัฒนาเอเชีย และรัฐบาลต่างชาติ[298] อันดับความน่าเชื่อถือของจีนถูกปรับลดลง[297] รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงจาก 2,200 ล้านดอลลาร์เหลือ 1,800 ล้านดอลลาร์ และข้อผูกพันการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศถูกยกเลิก อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของรัฐบาลกลับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.6 ใน ค.ศ. 1986 เป็นร้อยละ 15.5 ใน ค.ศ.1990 เป็นการกลับทิศทางของการลดลงในช่วง 10 ปีก่อนหน้า[299]
หลังการประท้วง รัฐบาลพยายามกลับมาควบคุมเศรษฐกิจจากส่วนกลางอีกครั้ง[300] แม้การเปลี่ยนแปลงนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อตระหนักว่านโยบายอนุรักษนิยมกลับมามีอิทธิพลในพรรคอีกครั้ง เติ้ง ซึ่งเกษียณจากตำแหน่งทางการทั้งหมดแล้ว จึงริเริ่มการเดินทางเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 โดยไปเยือนเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มเติม[26] ส่วนหนึ่งเป็นการตอบสนองต่อเติ้ง ภายในกลางทศวรรษ 1990 ประเทศจีนกลับมาดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในระดับยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเห็นในช่วงเริ่มต้นการปฏิรูปในทศวรรษ 1980 แม้นักเสรีนิยมทางการเมืองจะถูกกวาดล้างออกจากพรรค แต่นักเสรีนิยมทางเศรษฐกิจหลายคนยังคงอยู่[300] ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากเหตุการณ์ ค.ศ. 1989 เมื่อมองย้อนกลับไป มีผลเพียงเล็กน้อยและชั่วคราวต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน อันที่จริง ด้วยกลุ่มที่เคยไม่พอใจหลายกลุ่มที่มองว่าการเปิดเสรีทางการเมืองเป็นเรื่องที่หมดหวังไปแล้ว ทำให้พวกเขาทุ่มเทพลังงานไปกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น เศรษฐกิจก็กลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษ 1990[300]
ฮ่องกง
[แก้]
ในฮ่องกง การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินนำไปสู่ความหวาดกลัวว่าจีนจะบิดพลิ้วพันธกรณีภายใต้หลักการหนึ่งประเทศ สองระบบ หลังการส่งมอบฮ่องกงจากสหราชอาณาจักรที่กำลังจะเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1997 เพื่อตอบสนองต่อเรื่องนี้ ผู้สำเร็จราชการคริส แพ็ตเทินพยายามขยายสิทธิการเลือกตั้งสำหรับสภานิติบัญญัติฮ่องกง ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งกับปักกิ่ง สำหรับชาวฮ่องกงจำนวนมาก เทียนอันเหมินถือเป็นจุดเปลี่ยนที่พวกเขาเริ่มหมดความไว้วางใจในรัฐบาลปักกิ่ง เหตุการณ์นี้ประกอบกับความไม่แน่นอนโดยรวมเกี่ยวกับสถานะของฮ่องกงหลังการถ่ายโอนอำนาจอธิปไตย นำไปสู่การอพยพของชาวฮ่องกงจำนวนมากไปยังประเทศตะวันตกเช่นแคนาดาและออสเตรเลียก่อน ค.ศ. 1997
มีการจัดงานจุดเทียนรำลึกขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้เข้าร่วมหลายหมื่นคนในฮ่องกงทุกปีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1989 แม้กระทั่งหลังการส่งมอบอำนาจคืนสู่จีนใน ค.ศ. 1997 อย่างไรก็ตาม พิพิธภัณฑ์ 4 มิถุนายนปิดตัวลงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 หลังเปิดดำเนินการในสถานที่นั้นเพียงสองปี กลุ่มที่ดูแลพิพิธภัณฑ์คือพันธมิตรฮ่องกง ได้เริ่มระดมทุนเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์ในสถานที่ใหม่[301] พิพิธภัณฑ์เสมือนจริงที่เปิดตัวออนไลน์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 ก็ถูกบริษัทโทรคมนาคมจีนบล็อกด้วยเช่นกัน[302]

เหตุการณ์ยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อการรับรู้เกี่ยวกับประเทศจีน รัฐบาลจีน ทัศนคติต่อระบอบประชาธิปไตย และขอบเขตที่ชาวฮ่องกงควรระบุว่าตนเองเป็น "ชาวจีน" เหตุการณ์ 4 มิถุนายนถูกมองว่าเป็นตัวแทนของระบอบเผด็จการแบบจีน และมักถูกกล่าวถึงโดยนักการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประชาธิปไตยในฮ่องกงและความสัมพันธ์ของดินแดนกับปักกิ่ง การศึกษาทางวิชาการระบุว่าผู้สนับสนุนการฟื้นฟูการเคลื่อนไหวที่จัตุรัสเทียนอันเหมินมีแนวโน้มจะสนับสนุนการทำให้เป็นประชาธิปไตยในดินแดนและการเลือกตั้งพรรคที่สนับสนุนประชาธิปไตย[303]
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ ในบรรดาสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ เสาแห่งความอัปยศ ใน ค.ศ. 1997 ซึ่งมีความสูง 8 เมตร สร้างสรรค์โดยประติมากรเยนส์ กาลช็อต ถูกนำไปตั้งไว้ที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2021 เสาดังกล่าวถูกนำออกโดยเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย[304] ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกประณามโดยผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่[305]
ภาพลักษณ์ของประเทศจีนในระดับนานาชาติ
[แก้]รัฐบาลจีนถูกประณามอย่างกว้างขวางจากการปราบปรามการประท้วง ในช่วงเวลาหลังจากนั้น จีนดูเหมือนจะกลายเป็นรัฐที่ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากขึ้น นี่เป็นความล้มเหลวครั้งสำคัญสำหรับผู้นำ ซึ่งเคยพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอดในทศวรรษ 1980 ขณะที่ประเทศกำลังฟื้นตัวจากความโกลาหลของการปฏิวัติวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม เติ้ง เสี่ยวผิงและคณะผู้นำแกนหลักให้คำมั่นจะดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจต่อไปหลัง ค.ศ. 1989[306] หลังจากนั้น จีนจะดำเนินการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศจากระบอบที่กดขี่ไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการทหารระดับโลกที่เอื้อเฟื้อ[307]
แม้การปราบปรามจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก แต่ก็มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย[283] ศาสตราจารย์ซุ่ยเชิง จ้าว ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือจีน-สหรัฐแห่งมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ ให้เหตุผลว่าผลกระทบที่น้อยนิดนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า "บันทึกด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ดีไปกว่าของจีนเลย ในระดับหนึ่ง พวกเขาเห็นอกเห็นใจการต่อสู้ของจีนในการรับมือกับแรงกดดันจากประเทศตะวันตก"[283] แม้แต่หลังการปราบปราม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีนกับประเทศเพื่อนบ้านโดยทั่วไปก็ยังคงดีขึ้น[283]

รัฐบาลลงนามในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ใน ค.ศ. 1992, อนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมีใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1996[308][292] ขณะที่ประเทศจีนเคยเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศเพียง 30 แห่งใน ค.ศ. 1986 แต่ภายใน ค.ศ. 1997 จีนเป็นสมาชิกมากกว่า 50 แห่ง[309] จีนยังพยายามขยายความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอก โดยสถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตที่ดีกับรัสเซียภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต[310] และยินดีรับการลงทุนจากธุรกิจไต้หวันแทนการลงทุนจากชาติตะวันตก[310] จีนเร่งการเจรจากับองค์การการค้าโลกและสถาปนาความสัมพันธ์กับอินโดนีเซีย อิสราเอล เกาหลีใต้ และประเทศอื่น ๆ ใน ค.ศ. 1992[292]
นอกจากนี้ รัฐบาลยังประสบความสำเร็จในการส่งเสริมให้จีนเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับการลงทุนโดยเน้นย้ำถึงแรงงานที่มีทักษะ ค่าแรงที่ค่อนข้างต่ำ โครงสร้างพื้นฐานที่วางรากฐานไว้แล้ว และฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่[311] ขณะเดียวกัน การเติบโตอย่างรวดเร็วของความสนใจเชิงพาณิชย์ในประเทศจีนเปิดทางให้บริษัทข้ามชาติเพิกเฉยต่อประเด็นการเมืองและสิทธิมนุษยชนโดยหันไปมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ทางธุรกิจแทน ตั้งแต่นั้นมา ผู้นำชาติตะวันตกที่เคยวิพากษ์วิจารณ์จีนบางครั้งก็กล่าวถึงเทียนอันเหมินเพียงในนามระหว่างการประชุมทวิภาคี แต่เนื้อหาหลักของการหารือกลับวนเวียนอยู่กับผลประโยชน์ทางธุรกิจและการค้า[312]
สหภาพยุโรปและสหรัฐประกาศห้ามขนถ่ายอาวุธ
[แก้]สหภาพยุโรปและสหรัฐออกคำสั่งห้ามขนถ่ายอาวุธให้แก่จีน ซึ่งมีผลบังคับใช้เนื่องมาจากการปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินอย่างรุนแรง และยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงทุกวันนี้ จีนเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งห้ามนี้มานานหลายปี และได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสหภาพยุโรปในระดับแตกต่างกันไป ตั้งแต่ ค.ศ. 2004 จีนแสดงออกว่าคำสั่งห้ามนี้ "ล้าสมัย" และเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพยุโรป ในช่วงต้น ค.ศ. 2004 ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฌัก ชีรัก เป็นหัวหอกในการผลักดันภายในสหภาพยุโรปเพื่อยกเลิกคำสั่งห้าม โดยความพยายามของเขาได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีเยอรมนี แกร์ฮาร์ท ชเรอเดอร์ อย่างไรก็ตาม การผ่านกฎหมายต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2005 เพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน ส่งผลเสียต่อความพยายามยกเลิกคำสั่งห้าม และสมาชิกหลายคนของคณะมนตรียุโรปถอนการสนับสนุนการยกเลิกคำสั่งห้าม นอกจากนี้ อังเกลา แมร์เคิล ผู้สืบทอดตำแหน่งของชเรอเดอร์ยังคัดค้านการยกเลิกคำสั่งห้าม สมาชิกรัฐสภาสหรัฐยังได้เสนอข้อจำกัดการถ่ายโอนเทคโนโลยีทางทหารไปยังสหภาพยุโรปหากสหภาพยุโรปยกเลิกคำสั่งห้ามดังกล่าว สหราชอาณาจักรก็คัดค้านการยกเลิกการห้ามขนถ่ายอาวุธเมื่อเข้ามารับตำแหน่งประธานสหภาพยุโรปในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005
รัฐสภายุโรปได้คัดค้านการยกเลิกการห้ามขนถ่ายอาวุธต่อจีนมาโดยตลอด แม้ความเห็นชอบของรัฐสภายุโรปจะไม่จำเป็นต่อการยกเลิกคำสั่งห้ามดังกล่าว แต่หลายคนโต้แย้งว่ารัฐสภายุโรปสะท้อนเจตจำนงของชาวยุโรปได้ดีกว่าเนื่องจากเป็นองค์การยุโรปเพียงแห่งเดียวที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง การห้ามขนถ่ายอาวุธได้จำกัดทางเลือกของจีนในการจัดหาฮาร์ดแวร์ทางทหาร แหล่งที่มาที่จีนพยายามจัดหารวมถึงกลุ่มโซเวียต ซึ่งมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับจีนอันเป็นผลมาจากความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต ผู้จัดหาอื่น ๆ ที่เคยเต็มใจจัดหาให้ก่อนหน้านี้ ได้แก่ อิสราเอลและแอฟริกาใต้ แต่แรงกดดันจากอเมริกาได้จำกัดความร่วมมือเหล่านี้[313]
ประเด็นร่วมสมัย
[แก้]การตรวจพิจารณาในประเทศจีน
[แก้]รัฐบาลจีนยังคงห้ามการหารือเกี่ยวกับการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน[314] และได้ดำเนินมาตรการเพื่อปิดกั้นหรือตรวจพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อพยายามปราบปรามความทรงจำของสาธารณชนเกี่ยวกับการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน[2] หนังสือเรียนมีข้อมูลเกี่ยวกับการประท้วงน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย[315] หลังการประท้วง เจ้าหน้าที่สั่งห้ามภาพยนตร์และหนังสือที่เป็นที่ถกเถียง[316] และสั่งปิดหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ภายในหนึ่งปี หนังสือพิมพ์ทั้งหมดร้อนละ 12 บริษัทสำนักพิมพ์ทั้งหมดร้อยละ 8 วารสารสังคมศาสตร์ทั้งหมดร้อยละ 13 และภาพยนตร์กว่า 150 เรื่องถูกสั่งห้ามหรือปิดตัวลง รัฐบาลยังประกาศว่าได้ยึดหนังสือผิดกฎหมาย 32 ล้านเล่มและวิดีโอและเทปเสียง 2.4 ล้านชิ้น[317] การเข้าถึงสื่อและแหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกจำกัดหรือปิดกั้นโดยผู้ตรวจพิจารณา[318] วรรณกรรมและภาพยนตร์ที่ถูกสั่งห้าม ได้แก่ Summer Palace[319] Forbidden City, Collection of June Fourth Poems,[ต้องการอ้างอิง] The Critical Moment: Li Peng diaries และงานเขียนใด ๆ ของจ้าว จื่อหยางหรือเป้า ถง ผู้ช่วยของเขา รวมถึงบันทึกความทรงจำของจ้าว
สื่อสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาอ้างถึงการประท้วงจะต้องสอดคล้องกับเรื่องราวตามฉบับของรัฐบาล[265] นักข่าวทั้งในและต่างประเทศถูกควบคุมตัว คุกคาม หรือข่มขู่ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานชาวจีนของพวกเขาและพลเมืองจีนคนใดก็ตามที่พวกเขาให้สัมภาษณ์[320] ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจีนจึงมักไม่เต็มใจจะพูดคุยเกี่ยวกับการประท้วงเนื่องจากอาจมีผลกระทบด้านลบตามมา คนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เกิดหลัง ค.ศ. 1980 ไม่คุ้นเคยกับเหตุการณ์นี้และด้วยเหตุนี้จึงไม่แยแสต่อการเมือง บางครั้งเยาวชนในจีนไม่ทราบถึงเหตุการณ์ สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหล่านั้นเช่นแทงค์แมน[321][322] หรือความสำคัญของวันที่เกิดการสังหารหมู่คือ 4 มิถุนายน[323] ปัญญาชนอาวุโสบางคนไม่ปรารถนาจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงการเมืองอีกต่อไป แต่กลับมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเศรษฐกิจแทน[324] นักโทษการเมืองบางคนปฏิเสธจะพูดคุยกับลูก ๆ ของพวกเขาเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการประท้วงเพราะกลัวว่าจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง[325]
ขณะการสนทนาสาธารณะเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้จะกลายเป็นเรื่องต้องห้ามทางสังคม แต่การสนทนาส่วนตัวก็ยังคงดำเนินต่อไปแม้จะมีการแทรกแซงและการคุกคามจากเจ้าหน้าที่อยู่บ่อยครั้ง หลิว เสี่ยวปัว ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เลือกจะอยู่ในประเทศจีนเพื่อพูดถึงเหตุการณ์เทียนอันเหมินในช่วงทศวรรษ 1990 แม้เขาจะได้รับข้อเสนอขอลี้ภัยก็ตาม เขากลับต้องเผชิญกับการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง จาง เซียนหลิงและติง จื่อหลิน มารดาของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ใน ค.ศ. 1989 ก่อตั้งองค์กรเทียนอันเหมินมาเทอส์ (Tiananmen Mothers) และออกมาพูดอย่างเปิดเผยเป็นพิเศษเกี่ยวกับแง่มุมด้านมนุษยธรรมของการประท้วง[326] ทางการระดมกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมถึงสมาชิกของตำรวจติดอาวุธประชาชน ในวันที่ 4 มิถุนายนของทุกปี เพื่อป้องกันการจัดแสดงเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ในที่สาธารณะ โดยเฉพาะมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษในวันครบรอบเหตุการณ์สำคัญ เช่น วันครบรอบ 20 ปีของการประท้วงใน ค.ศ. 2009 และวันครบรอบ 25 ปีของการประท้วงใน ค.ศ. 2014[327] ในวันครบรอบ 30 ปีของการประท้วงใน ค.ศ. 2019 ไอ้ เว่ยเว่ย ศิลปินชาวจีนชื่อดัง ได้เขียนไว้ว่า "ระบอบเผด็จการและรวบอำนาจเบ็ดเสร็จกลัวความจริงเพราะพวกเขาได้สร้างอำนาจบนรากฐานที่ไม่ยุติธรรม" และเขายังเขียนด้วยว่าความทรงจำมีความสำคัญ: "หากไร้ความทรงจำ ก็ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสังคมหรือชาติที่ศิวิไลซ์" เพราะ "อดีตของเราคือสิ่งที่เรามีทั้งหมด"[328][329]
นักข่าวถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าจัตุรัสบ่อยครั้งในวันครบรอบการสังหารหมู่[327][330] ทางการยังเป็นที่รู้ว่าได้ควบคุมตัวนักข่าวต่างชาติและเพิ่มการสอดแนมนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลานี้ของปี[331] การค้นหาทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับ "จัตุรัสเทียนอันเหมิน 4 มิถุนายน" ที่ทำขึ้นภายในประเทศจีนจะให้ผลลัพธ์ที่ถูกตรวจพิจารณาหรือทำให้การเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ถูกตัดชั่วคราว[326] หน้าเว็บเฉพาะที่มีคำสำคัญบางคำจะถูกตรวจพิจารณาขณะที่เว็บไซต์อื่น ๆ เช่น เว็บไซต์ที่สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยของชาวจีนในต่างประเทศ จะถูกบล็อกทั้งหมด[315][326] นโยบายนี้เข้มงวดกว่ามากสำหรับเว็บไซต์ภาษาจีน เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ภาษาต่างประเทศ การตรวจพิจารณาสื่อสังคมจะเข้มงวดมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนวันครบรอบการสังหารหมู่ แม้แต่การอ้างอิงถึงการประท้วงโดยอ้อมและคำศัพท์ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องก็มักถูกเฝ้าระวังและตรวจพิจารณาอย่างเข้มงวดมาก[332] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2006 กูเกิลตกลงตรวจพิจารณาเว็บไซต์ในจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อลบข้อมูลเกี่ยวกับเทียนอันเหมินและเรื่องอื่น ๆ ที่ทางการถือว่าอ่อนไหว กูเกิลถอนความร่วมมือในการตรวจพิจารณาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010[333]
การเรียกร้องให้รัฐบาลประเมินใหม่
[แก้]จาง ชื่อจฺวิน อดีตทหารผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปราม ตีพิมพ์จดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดีหู จิ่นเทาเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาจุดยืนเกี่ยวกับการประท้วงใหม่ หลังจากนั้นเขาก็ถูกจับกุม[334]
แม้รัฐบาลจีนจะไม่เคยออกมายอมรับข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ใน ค.ศ. 2005 มีการจ่ายเงินให้กับมารดาของหนึ่งในเหยื่อ กรณีแรกที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่ารัฐบาลเสนอการเยียวยาแก่ครอบครัวเหยื่อที่เกี่ยวข้องกับเทียนอันเหมิน การจ่ายเงินดังกล่าวเรียกว่า "เงินช่วยเหลือกรณียากลำบาก" และมอบให้กับถัง เต๋ออิง (唐德英) มารดาของโจว กั๋วชง (จีนตัวย่อ: 周国聪; จีนตัวเต็ม: 周國聰) บุตรของเธอเสียชีวิตเมื่ออายุ 15 ปีขณะถูกควบคุมตัวโดยตำรวจในเฉิงตูในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1989 หรือสองวันหลังกองทัพจีนสลายการประท้วงที่เทียนอันเหมิน มีรายงานว่าเธอได้รับเงินจำนวน 70,000 หยวน (ประมาณ 10,250 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักเคลื่อนไหวชาวจีนหลายคน[335] This has been welcomed by various Chinese activists.
ผู้นำจีนแสดงความเสียใจ
[แก้]ก่อนเขาจะเสียชีวิตใน ค.ศ. 1998 หยาง ช่างคุนบอกกับนายแพทย์เจี่ยง เอี้ยนหย่งว่า 4 มิถุนายนเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดที่พรรคคอมมิวนิสต์เคยทำมาในประวัติศาสตร์ เป็นความผิดพลาดที่หยางเองก็ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าจะต้องได้รับการแก้ไขในที่สุด[336] จ้าว จื่อหยางยังคงถูกกักบริเวณในบ้านจนกระทั่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 2005 เป้า ถง ผู้ช่วยของจ้าว ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงคำตัดสินเกี่ยวกับการประท้วงหลายครั้ง เฉิน ซีถง นายกเทศมนตรีปักกิ่ง ผู้อ่านประกาศกฎอัยการศึกและต่อมาเสื่อมเสียชื่อเสียงจากเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง แสดงความเสียใจใน ค.ศ. 2012 หนึ่งปีก่อนเขาจะเสียชีวิต สำหรับการเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์[337] มีรายงานว่านายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าเสนอให้เปลี่ยนแปลงจุดยืนของรัฐบาลเกี่ยวกับเทียนอันเหมินในการประชุมพรรคก่อนเขาจะออกจากวงการเมืองใน ค.ศ. 2013 แต่กลับถูกเพื่อนร่วมงานปฏิเสธ[338]
รายงานของสหประชาชาติ
[แก้]ในการประชุมครั้งที่ 41 ระหว่างวันที่ 3-21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 คณะกรรมาธิการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติแสดงความกังวลเกี่ยวกับการขาดการสืบสวนรายงานของผู้ที่ "ถูกสังหาร จับกุมหรือสูญหายในหรือหลังการปราบปรามในปักกิ่งเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1989" คณะกรรมาธิการฯ ยังระบุว่ารัฐบาลจีนล้มเหลวในการแจ้งชะตากรรมของบุคคลเหล่านั้นแก่ญาติ แม้ญาติจะยื่นคำร้องขอไปหลายครั้งก็ตาม ขณะเดียวกัน ผู้รับผิดชอบการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ "ไม่ได้เผชิญกับการลงโทษใด ๆ ไม่ว่าจะทางปกครองหรืออาญา"[339] คณะกรรมาธิการจึงแนะนำให้รัฐบาลจีนดำเนินการทุกขั้นตอนดังกล่าว รวมถึง "เสนอการขอโทษและการชดใช้ตามความเหมาะสมและดำเนินคดีกับผู้ที่พบว่ารับผิดชอบการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ การทรมาน และการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมอื่น ๆ"[339]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 รัฐบาลจีนตอบกลับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการโดยกล่าวว่ารัฐบาลได้ยุติคดีที่เกี่ยวข้องกับ "ความวุ่นวายทางการเมืองในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ค.ศ. 1989"[340] นอกจากนี้ยังระบุว่า "การปฏิบัติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามาตรการอย่างทันท่วงทีและเด็ดขาดที่รัฐบาลจีนดำเนินการในขณะนั้นมีความจำเป็นและถูกต้อง" โดยกล่าวว่าการเรียก "เหตุการณ์นี้ว่าเป็น 'ขบวนการประชาธิปไตย'" คือ "การบิดเบือนลักษณะของเหตุการณ์" ตามที่รัฐบาลจีนกล่าว การสังเกตการณ์ดังกล่าว "ไม่สอดคล้องกับความรับผิดชอบของคณะกรรมาธิการ"[340]
แกลเลอรี
[แก้]-
A banner in support of the June Fourth Student Movement in Shanghai Fashion Store (formerly the Xianshi Company Building)
-
Mourning banners hung near the South Gate of Beijing University taken a few days after the crackdown
-
Goddess of Democracy inside of the University of Calgary in Canada
-
A replica of Goddess of Democracy outside of the University of British Columbia in Vancouver, Canada
ดูเพิ่ม
[แก้]- การประท้วงของนักศึกษาในมองโกเลียใน ค.ศ. 1981
- ความไม่สงบในทิเบต ค.ศ. 1987–1989
- ขบวนการ 9 ธันวาคม
- รัฐบัญญัติคุ้มครองนักเรียนจีน ค.ศ. 1992
- ประชาธิปไตยในประเทศจีน
- คำสั่งฝ่ายบริหารที่ 12711
- สิทธิมนุษยชนในประเทศจีน
- รายชื่อการสังหารหมู่ในประเทศจีน
- อุบัติการณ์มวลชนในประเทศจีน
- การสังหารหมู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์
- การเฝ้าระวังมวลชนในประเทศจีน
- Moving the Mountain (ภาพยนตร์ ค.ศ. 1994)
- การประท้วงและการไม่เห็นด้วยในประเทศจีน
- การประท้วงอื่น ๆ ในทศวรรษ 1980
- การก่อการกำเริบ 8888, ประเทศพม่า, 1988
- การก่อการกำเริบควังจู, ประเทศเกาหลีใต้, 1980
- การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเดือนมิถุนายน, ประเทศเกาหลีใต้, 1987
- การปฏิวัติพลังประชาชน, มะนิลา, 1986
- การสังหารนักศึกษาที่คล้ายกัน
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ จีน: 六四事件; พินอิน: liùsì shìjiàn
- ↑ จีน: 八九民运; พินอิน: Bājiǔ mínyùn
- ↑ จีน: 天安门事件; พินอิน: Tiān'ānmén shìjiàn
- ↑ ริชาร์ด บอม นักวิเคราะห์ อธิบายการกระทำของพวกเขาว่า "...การประท้วงเชิงพิธีการล้อเลียน... โดยนำข้อเรียกร้องที่ม้วนไว้ไปยื่นทั้งที่คุกเข่าและคลานในลักษณะประจบประแจงตามแบบอย่างการถวายฎีกาเมื่อสมัยราชวงศ์"[91] ในทำนองเดียวกัน ลูเชียน พาย นักรัฐศาสตร์ อธิบายการกระทำดังกล่าวว่า "...สอดคล้องกับประเพณีจีนโบราณของฝ่ายผู้เสียหายที่คร่ำครวญอยู่หน้าประตูอำเภอเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อสาธารณะด้วยการยื่นฎีกาต่อเจ้าหน้าที่... [พวกเขา] เชื่ออย่างจริงใจว่าเจ้าหน้าที่จะต้องตอบสนองด้วยการพบปะกับพวกเขา""[92]
- ↑ เหริน เจี้ยนหมิน (เหยื่อหมายเลข 106) เป็นชาวนาจากเหอเป่ย์ที่เดินทางผ่านเมืองและได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนที่ท้องในวันที่ 4 มิถุนายน เขาไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้และผูกคอตายในเดือนสิงหาคมเนื่องจากความเจ็บปวดที่ทนไม่ไหว โจว ปิง (เหยื่อหมายเลข 51) นักศึกษาวัย 19 ปีจากสถาบันกระจายเสียงปักกิ่ง ผูกคอตายในเดือนกันยายน 1989 เนื่องจากทนการสอบสวนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการประท้วงไม่ได้ ฉี หลี่ (เหยื่อหมายเลข 162) นักศึกษาจากสถาบันนาฏกรรมกลาง ผูกคอตายเพื่อหนีจากแรงกดดันของการสอบสวนหลังการประท้วงที่โรงเรียนของเขา เว่ย์ อู่หมิน (เหยื่อหมายเลข 163) นักศึกษาจากสถาบันนาฏกรรมกลางเช่นกัน ซึ่งเข้าร่วมการอดอาหารประท้วง ฆ่าตัวตายโดยการยืนขวางหน้ารถไฟที่กำลังวิ่งเข้ามา รายชื่อผู้เสียชีวิต, ติง จื่อหลิน. ดึงข้อมูลเมื่อ 2007 (ในภาษาจีน)
- ↑ เจย์ แมตทิวส์ อดีตหัวหน้าสำนักงานปักกิ่งของ เดอะวอชิงตันโพสต์ กล่าวว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่ เท่าที่ตรวจสอบได้ ไม่มีใครเสียชีวิตที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในคืนนั้นเลย" เขากล่าวสรุปต่อไปว่า:
อาจมีคนบางคนถูกยิงเสียชีวิตจากการสุ่มยิงตามถนนใกล้จัตุรัส แต่บัญชีจากพยานที่ได้รับการยืนยันทั้งหมดระบุว่านักศึกษาที่ยังคงอยู่ในจัตุรัสเมื่อทหารมาถึงได้รับอนุญาตให้ออกไปได้อย่างสงบ มีผู้คนหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นคนงานและผู้สัญจรไปมา เสียชีวิตในคืนนั้นจริง แต่เป็นคนละที่และภายใต้สถานการณ์ที่ต่างกัน[242]
- ↑ ริชาร์ด ร็อทรายงานว่าเขาถูกทหารจับกุมตัวไว้ในมหาศาลาประชาชนทางฝั่งตะวันตกของจัตุรัสในคืนวันที่ 3 มิถุนายนและได้ยินเสียงแต่ไม่สามารถมองเห็นเข้าไปในจัตุรัสได้กระทั่งรุ่งเช้าเมื่อพวกเขาถูกขับผ่านจัตุรัส เขาได้ยิน "เสียงปืนระดมยิง" เพื่อทำให้ลำโพงของนักศึกษาเงียบลง เขากล่าวเสริมว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีผู้คนจำนวนมากถูกสังหารในบริเวณระหว่างทางไปและรอบจัตุรัส ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกของปักกิ่ง ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ปฏิเสธเรื่องนี้[243]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Sonnad, Nikhil (3 June 2019). "261 ways to refer to the Tiananmen Square massacre in China". Quartz. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2022. สืบค้นเมื่อ 21 June 2022.
- ↑ 2.0 2.1 Su, Alice (24 June 2021). "He tried to commemorate erased history. China detained him, then erased that too". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2022. สืบค้นเมื่อ 10 May 2022.
- ↑ "I watched the 1989 Tiananmen uprising". Los Angeles Times. May 30, 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 July 2023. สืบค้นเมื่อ 23 July 2023.
- ↑ "As China Cracks Down on Dissent, New York City Gives Refuge to Exhibit Remembering Tiananmen Square". US News & World Report. June 1, 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 July 2023. สืบค้นเมื่อ 23 July 2023.
- ↑ Brook 1998, p. 216.
- ↑ Lim 2014a, pp. 34–35.
- ↑ Nathan 2001.
- ↑ 8.0 8.1 Lin, Chun (2006). The transformation of Chinese socialism. Durham [N.C.]: Duke University Press. p. 211. ISBN 978-0822337850. OCLC 63178961. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2023. สืบค้นเมื่อ 22 November 2022.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 D. Zhao 2001, p. 171.
- ↑ Saich 1990, p. 172.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 Thomas 2006.
- ↑ Nathan, Andrew J.; Link, Perry; Liang, Zhang (2002). "The Tiananmen Papers". Foreign Affairs. 80 (1): 468–477. doi:10.2307/20050041. ISSN 0015-7120. JSTOR 20050041. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 29 June 2023.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Miles 2009.
- ↑ 14.0 14.1 Declassified British cable.
- ↑ p. 468. "After Li's report the Elders voiced their anger at the foreign and domestic enemies who were manipulating the students, and their con-viction that there was no choice left but to clear the Square by force. Nonetheless, most of the Elders hoped the job could be done without casualties, and Deng Xiaop-ing repeated his insistence that nothing should stop the momentum of reform and opening." Nathan, Andrew J.; Link, Perry; Liang, Zhang (2002). "The Tiananmen Papers". Foreign Affairs. 80 (1): 468–477. doi:10.2307/20050041. ISSN 0015-7120. JSTOR 20050041. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 29 June 2023.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 How Many Died 1990.
- ↑ 17.0 17.1 Sino-American relations 1991, p. 445.
- ↑ 18.0 18.1 Brook 1998, p. 154.
- ↑ 19.0 19.1 19.2 Kristof: Reassessing Casualties.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 Richelson & Evans 1999.
- ↑ 21.0 21.1 Calls for Justice 2004.
- ↑ Dube 2014.
- ↑ "Tiananmen Square incident". Encyclopædia Britannica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2023. สืบค้นเมื่อ 9 July 2023.
- ↑ "20 Years After Tiananmen Square". NPR. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2023. สืบค้นเมื่อ 18 August 2023.
- ↑ Miles 1997, p. 28.
- ↑ 26.0 26.1 Wu 2015.
- ↑ 27.0 27.1 Pei, Minxin (June 3, 2019). "Tiananmen and the end of Chinese enlightenment". Nikkei Asia (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-06-03.
- ↑ "Deng Xiaoping's Southern Tour" (PDF). Berkshire Publishing Group LLC. 2009. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 May 2017.
- ↑ Ma, Damien (23 January 2012). "After 20 Years of 'Peaceful Evolution,' China Faces Another Historic Moment". The Atlantic (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2019. สืบค้นเมื่อ 1 May 2020.
- ↑ "The inside story of the propaganda fightback for Deng's reforms". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 14 November 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2020. สืบค้นเมื่อ 1 May 2020.
- ↑ Bodeen, Christopher (3 June 2019). "Prosperity, repression mark China 30 years after Tiananmen". AP News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 June 2019. สืบค้นเมื่อ 3 June 2019.
- ↑ Nathan 2009.
- ↑ Goodman 1994, p. 112.
- ↑ 34.0 34.1 Vogel 2011, p. 634.
- ↑ China tightens information.
- ↑ Yuen, Chantal (2016-06-13). "Bus driver in '8964' massacre memento suspended for 3 months – report". Hong Kong Free Press (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-04-17.
- ↑ 37.0 37.1 Baum 1996, p. 283.
- ↑ Shen, Baoxiang. "《亲历拨乱反正》: 拨乱反正的日日夜夜". hybsl.cn (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 January 2021. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
- ↑ 39.0 39.1 "Huíshǒu 1978 – Lìshǐ zài zhèlǐ zhuǎnzhé" 回首1978 – 历史在这里转折. Rénmín Rìbào 人民日报 [People's Daily] (ภาษาจีน). Central Committee of the Chinese Communist Party. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2008. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
- ↑ Tom Phillips (11 May 2016). "The Cultural Revolution". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 December 2019. สืบค้นเมื่อ 5 November 2021.
- ↑ 41.0 41.1 41.2 Naughton 2007.
- ↑ Worden, Robert (1987). "A Country Study: China". Library of Congress. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2012.
- ↑ Naughton 2007, p. 91.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 120.
- ↑ D. Zhao 2001, Chapter 5: On the Eve of the 1989 Movement.
- ↑ 46.0 46.1 46.2 D. Zhao 2001, p. 127.
- ↑ 47.0 47.1 47.2 47.3 Vogel 2011, pp. 600–601.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 81.
- ↑ Li, Huaiyin (October 2012). "6 Challenging the Revolutionary Orthodoxy: "New Enlightenment" Historiography in the 1980s". Reinventing Modern China: Imagination and Authenticity in Chinese Historical Writing. University of Hawaiʻi Press. ISBN 9780824836085.
- ↑ Lo, Carlos W. H. (1992). "Deng Xiaoping's Ideas on Law: China on the Threshold of a Legal Order". Asian Survey. 32 (7): 649–665. doi:10.2307/2644947. ISSN 0004-4687. JSTOR 2644947.
- ↑ 51.0 51.1 D. Zhao 2001, p. 82.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 84.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 89.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 137.
- ↑ 55.0 55.1 Wang 2006, p. 57.
- ↑ 56.00 56.01 56.02 56.03 56.04 56.05 56.06 56.07 56.08 56.09 56.10 The Gate of Heavenly 1995.
- ↑ D. Zhao 2001, pp. 64, 215.
- ↑ 58.0 58.1 E. Cheng 2009, p. 33.
- ↑ Wang 2006, pp. 56–57.
- ↑ Spence 1999, p. 685.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 138.
- ↑ 62.0 62.1 Deng, Xiaoping. "On the Reform of the System of Party and State Leadership". en.people.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2018. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
- ↑ 63.0 63.1 Ng-Quinn, Michael (1982). "Deng Xiaoping's Political Reform and Political Order". Asian Survey. 22 (12): 1187–1205. doi:10.2307/2644047. ISSN 0004-4687. JSTOR 2644047.
- ↑ 64.0 64.1 Whyte, Martin King (1993). "Deng Xiaoping: The Social Reformer". The China Quarterly. 135 (135): 515–535. doi:10.1017/S0305741000013898. ISSN 0305-7410. JSTOR 654100. S2CID 135471151.
- ↑ Finch, George (2007). "Modern Chinese Constitutionalism: Reflections of Economic Change". Willamette Journal of International Law and Dispute Resolution. 15 (1): 75–110. ISSN 1521-0235. JSTOR 26211714.
- ↑ Shigong, Jiang (2014). "Chinese-Style Constitutionalism: On Backer's Chinese Party-State Constitutionalism". Modern China. 40 (2): 133–167. doi:10.1177/0097700413511313. ISSN 0097-7004. JSTOR 24575589. S2CID 144236160.
- ↑ Wu, Wei (18 March 2014). 邓小平为什么重提政治体制改革?. The New York Times (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2019. สืบค้นเมื่อ 3 May 2020.
- ↑ Bao, Tong (4 June 2015). 鲍彤纪念六四, 兼谈邓小平与中国的腐败. The New York Times (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 October 2019. สืบค้นเมื่อ 3 May 2020.
- ↑ Yan, Jiaqi (1992). Toward a Democratic China: The Intellectual Autobiography of Yan Jiaqi (ภาษาอังกฤษ). University of Hawaii Press. ISBN 978-0824815011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2020. สืบค้นเมื่อ 30 September 2020.
- ↑ Ning, Lou (1993). Chinese Democracy and the Crisis of 1989: Chinese and American Reflections (ภาษาอังกฤษ). SUNY Press. ISBN 978-0791412695. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2020. สืบค้นเมื่อ 30 September 2020.
- ↑ 71.0 71.1 Wu, Wei (15 December 2014). 赵紫阳与邓小平的两条政改路线. The New York Times (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2019. สืบค้นเมื่อ 3 May 2020.
- ↑ 72.0 72.1 Wu, Wei (7 July 2014). 邓小平谈不要照搬三权分立. The New York Times (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2019. สืบค้นเมื่อ 3 May 2020.
- ↑ hermes (4 June 2019). "Tiananmen 30 years on: A China that's averse to political reforms – for now". The Straits Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2019. สืบค้นเมื่อ 3 May 2020.
- ↑ 74.0 74.1 Schram, Stuart R. (1988). "China after the 13th Congress". The China Quarterly. 114 (114): 177–197. doi:10.1017/S0305741000026758. ISSN 0305-7410. JSTOR 654441. S2CID 154818820.
- ↑ 75.0 75.1 Dirlik, Arif (2019). "Postsocialism? Reflections on 'socialism with Chinese characteristics'". Bulletin of Concerned Asian Scholars. 21: 33–44. doi:10.1080/14672715.1989.10413190.
- ↑ "1987: 13th CPC National Congress starts – China.org.cn". china.org.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2012. สืบค้นเมื่อ 4 May 2020.
- ↑ Qiping, Luo., Yantting, Mai., Meifen, Liang., Li Peter., trans., Fons Lampoo., "Student Organizations and Strategies," China Information Vol 5, No 2 (1990)
- ↑ Goldman, Merle, Sowing the Seeds of Democracy in China. Cambridge Massachusetts: Harvard University Press, 1994
- ↑ Zhang Liang, "An Emergency Report of the Beijing Party Committee" in The Tiananmen Papers (New York: Public Affairs, 2001). pp. 334–5.
- ↑ Calhoun 1989.
- ↑ Pan 2008, p. 274.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 147.
- ↑ 83.0 83.1 D. Zhao 2001, p. 148.
- ↑ L. Zhang 2001.
- ↑ Westcott, Ben (2019-06-03). "Tiananmen Square massacre: How Beijing turned on its own people" (ภาษาอังกฤษ). CNN. สืบค้นเมื่อ 2024-10-31.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 149.
- ↑ Walder & Gong 1993, pp. 1–2.
- ↑ D. Zhao 2001, pp. 152–153.
- ↑ Li 2010, 21 May entry.
- ↑ 90.0 90.1 D. Zhao 2001, p. 153.
- ↑ Baum 1996, p. 248.
- ↑ Pye 1990, p. 337.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 154.
- ↑ 94.0 94.1 Z. Zhao 2009.
- ↑ 95.0 95.1 Liu 1990, pp. 505–521.
- ↑ 96.0 96.1 Vogel 2011, pp. 603–606.
- ↑ 26 April Editorial 1995.
- ↑ 98.0 98.1 98.2 D. Zhao 2001, p. 155.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 157.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 156.
- ↑ 101.0 101.1 Vogel 2011, p. 608.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 159.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 161.
- ↑ D. Zhao 2001, pp. 161–162.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 163.
- ↑ 106.0 106.1 106.2 106.3 E. Cheng 2009, pp. 612–614.
- ↑ 107.0 107.1 D. Zhao 2001, p. 167.
- ↑ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล, 30 August 1989. Preliminary Findings on Killings of Unarmed Civilians, Arbitrary Arrests and Summary Executions Since 3 June 1989, p. 19.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 164.
- ↑ 110.0 110.1 D. Zhao 2001, p. 165.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 169.
- ↑ Li 2010, 15 May entry.
- ↑ Roberts 2011, p. 300.
- ↑ D. Zhao 2001, p. 170.
- ↑ Sarotte 2012, p. 165.
- ↑ 116.0 116.1 D. Zhao 2001, p. 181.
- ↑ Li 2010, 17 May entry.
- ↑ 118.0 118.1 118.2 118.3 118.4 Nathan 2002, pp. 2–48.
- ↑ Z. Zhao 2009, pp. 25–34.
- ↑ MacFarquhar 2011, p. 443.
- ↑ Z. Zhao 2009, p. 28.
- ↑ Miles 1997.
- ↑ Z. Zhao 2009, pp. 28–30.
- ↑ Ignatius 2009, p. x.
- ↑ Higgins, Andrew (14 September 1998). "Obituary: Yang Shangkun". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2020. สืบค้นเมื่อ 8 August 2022.
- ↑ Brook 1998, p. 41.
- ↑ Pye 1990, p. 343.
- ↑ Brook 1998, pp. 42–43.
- ↑ 129.0 129.1 Ignatius 2009, p. xv.
- ↑ 130.0 130.1 "Tremble & Obey". Four Coners. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 00:24:50. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2019. สืบค้นเมื่อ 30 September 2019.
- ↑ Kevin D. Haggerty, Richard Victor Ericson (2006). The New Politics of Surveillance and Visibility. University of Toronto Press. p. 204. ISBN 978-0802048783.
- ↑ Wright 1990, pp. 121–132.
- ↑ dragonmui. "Playlist of 'Democratic Songs for China'". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2019. สืบค้นเมื่อ 22 October 2018 – โดยทาง YouTube.
- ↑ Macklin, Simon; Tang, John (27 May 1989). "Organisers ready for mass concert". South China Morning Post. p. 3.
- ↑ Yeung, Chris (29 May 1989). "Another vast crowd joins world-wide show of solidarity". South China Morning Post. p. 1.
- ↑ 136.0 136.1 Wu 2009, pp. 30–31.
- ↑ Brook 1998, pp. 80–82.
- ↑ Han & Hua 1990, p. 298.
- ↑ Han & Hua 1990, p. 327.
- ↑ Chai 2011, p. 165.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 434.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 435.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 437.
- ↑ 144.0 144.1 L. Zhang 2001, p. 445.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 446.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 447.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 449.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 450.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 455-462.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 349.
- ↑ 151.0 151.1 L. Zhang 2001, p. 353.
- ↑ 152.0 152.1 152.2 L. Zhang 2001, p. 362.
- ↑ Brook 1998, p. 94.
- ↑ 154.0 154.1 Mathews 1989.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 363.
- ↑ Wu: Clear the Square.
- ↑ L. Zhang 2001, pp. 355–362.
- ↑ Wu: Troop Movements.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 482:"รถจี๊ปมิตซูบิชิของตำรวจติดอาวุธประชาชนพุ่งชนทางเท้าที่มู่ซีตี้ ทำให้คนเดินเท้าเสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บสาหัส 1 ราย"
- ↑ 160.0 160.1 160.2 160.3 L. Zhang 2001, p. 482.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 483.
- ↑ 162.0 162.1 162.2 L. Zhang 2001, p. 484.
- ↑ 163.0 163.1 Greenberger, Robert S.; Ignatius, Adi; Sterba, James P. (5 June 1989). "Class Struggle: China's Harsh Actions Threaten to Set Back 10-Year Reform Drive – Suspicions of Westernization Are Ascendant, and Army Has a Political Role Again – A Movement Unlikely to Die". The Wall Street Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2020. สืบค้นเมื่อ 14 January 2022.
- ↑ Kristof: Residents Block Army.
- ↑ 165.0 165.1 165.2 Timothy Brook interview 2006.
- ↑ 166.0 166.1 Nathan 2002, pp. 489.
- ↑ 167.0 167.1 Nathan 2002, pp. 492.
- ↑ 168.0 168.1 168.2 168.3 168.4 168.5 Nathan, Andrew J.; Link, Perry; Liang, Zhang (2002). "The Tiananmen Papers". Foreign Affairs. 80 (1): 2–48. doi:10.2307/20050041. JSTOR 20050041. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 4 July 2023.
- ↑ Suettinger 2004, p. 60.
- ↑ Wu: 3 June.
- ↑ "Laws of War: Declaration on the Use of Bullets Which Expand or Flatten Easily in the Human Body". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2020. สืบค้นเมื่อ 20 June 2020.
- ↑ "Expanding bullets". Weapons Law Encyclopedia. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 June 2020.
- ↑ 173.0 173.1 173.2 John Pomfret interview 2006.
- ↑ Nathan 2002, pp. 493.
- ↑ 175.0 175.1 Richelson & Evans 1999b.
- ↑ Martel 2006.
- ↑ Lim 2014a, p. 38.
- ↑ ""Tank Man" photographer reflects on 30 years since Tiananmen Square". CBSN. June 4, 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 9 July 2023.
- ↑ Burgess, John (12 June 1989). "Images Vilify Protesters; Chinese Launch Propaganda Campaign". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 July 2022. สืบค้นเมื่อ 14 January 2022.
- ↑ Kristof, Nicholas D. (June 8, 1989). "TURMOIL IN CHINA; FOREBODING GRASPS BEIJING; ARMY UNITS CRISSCROSS CITY; FOREIGNERS HURRY TO LEAVE". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2023. สืบค้นเมื่อ 3 July 2023.
- ↑ Nathan 2002, pp. 509.
- ↑ 182.0 182.1 182.2 "Cable, From: U.S. Embassy Beijing, To: Department of State, Wash DC" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2024. สืบค้นเมื่อ 3 July 2023.
- ↑ 183.0 183.1 "Cable, From: U.S. Embassy Beijing, To: Department of State, Wash DC" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 July 2023. สืบค้นเมื่อ 12 July 2023.
- ↑ 184.0 184.1 Nathan 2002, pp. 497.
- ↑ Wu: Last Act (1).
- ↑ 186.0 186.1 Wortzel, Larry (2005). "HE TIANANMEN MASSACRE REAPPRAISED". Chinese National Security Decisionmaking Under Stress. Strategic Studies Institute, US Army War College: 74. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2023. สืบค้นเมื่อ 3 July 2023. "นี่เป็นยุทธวิธีที่เห็นได้ชัดว่ามีการฝึกซ้อมและเตรียมการในหมู่ผู้ประท้วง เนื่องจากมีการใช้ในลักษณะเดียวกันในหลายพื้นที่รอบเมือง พอถึงตอนนี้ เมื่อได้เห็นเพื่อนทหารถูกสังหาร ทหารก็หวาดกลัว [...] และตามคาด ทหารตอบโต้ด้วยการเปิดฉากยิง"
- ↑ 187.0 187.1 187.2 187.3 D. Zhao 2001, p. 205.
- ↑ 188.0 188.1 188.2 Nathan 2002, pp. 498.
- ↑ 189.0 189.1 189.2 189.3 189.4 Nathan 2002, pp. 500.
- ↑ 190.0 190.1 190.2 190.3 D. Zhao 2001, p. 206.
- ↑ 191.0 191.1 "The Myth of Tiananmen". Columbia Journalism Review (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 December 2016. สืบค้นเมื่อ 11 January 2022.
- ↑ "ACTIVIST: NO KILLINGS IN TIANANMEN". Chicago Tribune. Aug 19, 1989. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 August 2023. สืบค้นเมื่อ 20 August 2023.
- ↑ Baum 1996, p. 288.
- ↑ Lim 2014a, p. 23.
- ↑ Lim 2014a, p. 19.
- ↑ 196.0 196.1 Lilley 1989.
- ↑ Lim 2014a, pp. 25–26.
- ↑ Coonan 2008.
- ↑ Wu: Tanks Ran Over Students.
- ↑ "Despair and Death In a Beijing Square". Time.
- ↑ Thomas 2006, 32:23–34:50.
- ↑ 202.0 202.1 202.2 Schoenberger 1989.
- ↑ "Cable, From: Department of State, Wash DC, To: U.S. Embassy Beijing, China Task Force Situation Report No. 3 – Situation as of 1700 EDT, 6/4/89" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2024. สืบค้นเมื่อ 17 July 2024.
- ↑ "Picture Power:Tiananmen Standoff". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 February 2009. สืบค้นเมื่อ October 7, 2005.
- ↑ Jan, Wong. "Jan Wong, August 1988 – August 1994". The Globe and Mail. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2023. สืบค้นเมื่อ 9 July 2023.
- ↑ Iyer 1998.
- ↑ Brook 1998, pp. 178–179.
- ↑ 208.0 208.1 Kristof: Units Clash.
- ↑ Brook 1998, p. 189.
- ↑ Brook 1998, p. 190.
- ↑ Wong 1989.
- ↑ Tsui & Pang.
- ↑ Ageing rebels, bitter victims 2014.
- ↑ McFadden, Robert D. (5 June 1989). "The West Condemns the Crackdown". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2019. สืบค้นเมื่อ 25 May 2021.
- ↑ 215.0 215.1 L. Zhang 2001, p. 530.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 535.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 535-540.
- ↑ L. Zhang 2001, pp. 399, 404.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 400.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 405.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 408.
- ↑ 222.0 222.1 222.2 222.3 Oksenberg, Sullivan & Lambert 1990, p. 364.
- ↑ Oksenberg, Sullivan & Lambert 1990, pp. 361–367.
- ↑ Li, Li & Mark 2011, p. 67.
- ↑ Deng Xiaoping 1989.
- ↑ Deng's 9 June Speech 1989.
- ↑ Lin & Deng 1989, pp. 154–158.
- ↑ Oksenberg, Sullivan & Lambert 1990, p. 378.
- ↑ Fewsmith 2001, p. 42.
- ↑ Brook 1998, pp. 151–169.
- ↑ 231.0 231.1 Brook 1998, p. 167.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 436.
- ↑ Frontline: Memory of Tiananmen 2006.
- ↑ Lilley, James, China Hands, 322.[ต้องการอ้างอิงเต็มรูปแบบ]
- ↑ Brook 1998, p. 161.
- ↑ Lusher 2017.
- ↑ "Previously classified diplomatic cable reveals what PM Bob Hawke knew about Tiananamen Massacre". ABC News (Australia). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 June 2021. สืบค้นเมื่อ 3 June 2021.
- ↑ Brook 1998, p. 169.
- ↑ "Tiananmen Square protest death toll 'was 10,000'". BBC News. 23 December 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 May 2020. สืบค้นเมื่อ 4 June 2023.
- ↑ "Tiananmen Square massacre cable makes chilling '10,000 killed' claim". Newshub. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2019. สืบค้นเมื่อ 6 June 2019.
- ↑ Wu: PLA casualties.
- ↑ Mathews 1998.
- ↑ Roth 2009b.
- ↑ Bregolat, E. (2016). The Second Chinese Revolution (ภาษาอังกฤษ). Springer. ISBN 978-1137475992. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2024. สืบค้นเมื่อ 25 May 2022.
- ↑ Clark, Gregory (21 July 2008). "Birth of a massacre myth". The Japan Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 March 2020. สืบค้นเมื่อ 2 December 2020.
- ↑ 246.0 246.1 246.2 "Wikileaks: no bloodshed inside Tiananmen Square, cables claim". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 April 2019. สืบค้นเมื่อ 4 June 2011.
- ↑ E. Cheng 2012.
- ↑ Lim 2014a, p. 74.
- ↑ Lim 2014a, p. 39.
- ↑ Kristof: Moderates Appear.
- ↑ 251.0 251.1 Lim 2014a, pp. 70–71.
- ↑ 252.0 252.1 252.2 252.3 Mosher 2004.
- ↑ Liu 1996.
- ↑ Anderlini, Jamil (June 2014). "Tiananmen Square: the long shadow". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2019. สืบค้นเมื่อ 5 June 2019.
- ↑ "The great escape from China". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2019. สืบค้นเมื่อ 5 June 2019.
- ↑ Lim 2014a, pp. 73–76.
- ↑ 257.0 257.1 Traywick 2013.
- ↑ Weber 2014.
- ↑ 259.0 259.1 Less Than a Dozen 2012.
- ↑ Harron 2014.
- ↑ Bernstein1989b.
- ↑ Phillips 2015.
- ↑ Miles 1997, pp. 27–30.
- ↑ Miles 1997, p. 30.
- ↑ 265.0 265.1 265.2 "China: Tiananmen's Unhealed Wounds" (ภาษาอังกฤษ). Human Rights Watch. 13 May 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2019. สืบค้นเมื่อ 10 April 2020.
- ↑ 1989年政治风波--时政--人民网. People's Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 April 2020. สืบค้นเมื่อ 10 April 2020.
- ↑ 中共重申对六四事件有明确定论. boxun.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 April 2020. สืบค้นเมื่อ 10 April 2020.
- ↑ "Relatives of dead at Tiananmen seek review – Asia – Pacific – International Herald Tribune". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 29 May 2006. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 October 2018. สืบค้นเมื่อ 10 April 2020.
- ↑ "Hong Kong's 'Long-Haired' Provocateurs International". english.ohmynews.com – OhmyNew. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2011. สืบค้นเมื่อ 10 April 2020.
- ↑ 朱加樟 (2 June 2019). 【六四三十】國防部長魏鳳和: 中央果斷平息動亂 屬正確決定. 香港01 (ภาษาChinese (Hong Kong)). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 May 2020. สืบค้นเมื่อ 10 April 2020.
- ↑ Wudunn 1989.
- ↑ Cabestan 2010, p. 195.
- ↑ 273.0 273.1 Kurlantzick 2003, p. 50.
- ↑ 274.0 274.1 Kurlantzick 2003, p. 52.
- ↑ Bregolat 2007.
- ↑ Roth 2009a.
- ↑ Kristof: Beijing Ousts Correspondents.
- ↑ 11. "Troops march near Beijing square; foreign press coverage restricted," The Globe and Mail, June 2, 1989, A4.
- ↑ 21. Jonathan Mirsky, "Revenge of the old guard," The Observer, June 11, 1989.
- ↑ Clark, Gregory (June 3, 2014). "Tiananmen". The Japan Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2023. สืบค้นเมื่อ 25 July 2023.
- ↑ Earnshaw, Graham (20 March 2019). "Tiananmen Story". earnshaw.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 June 2023. สืบค้นเมื่อ 25 July 2023.
- ↑ 282.0 282.1 Tiananmen Square Document 35 1989.
- ↑ 283.0 283.1 283.2 283.3 Zhao, Suisheng (2023). The Dragon Roars Back: Transformational Leadership and the Dynamics of Chinese Foreign Policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 67. doi:10.1515/9781503634152. ISBN 978-1503634152. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 5 January 2023.
- ↑ Mohan 2009.
- ↑ "India's Communist Party (Marxist): Defender of Stalin and capitalist restoration". World Socialist Web Site (ภาษาอังกฤษ). 6 April 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 June 2021. สืบค้นเมื่อ 5 June 2021.
- ↑ Tharoor, Shashi (2013). Pax Indica: India and the World of the Twenty-first Century (ภาษาอังกฤษ). Penguin Random House India Private Limited. ISBN 978-8184756937. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2024. สืบค้นเมื่อ 27 June 2022.
- ↑ CPI(M) (9 January 1992) [1992]. "Resolution Adopted at the 14th Congress of the CPI(M) Madras, January 3–9, 1992, 4.0(xvii), p. 12" (PDF). cpim.org: 12, 4.0(xvii). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 September 2020. สืบค้นเมื่อ 26 August 2020.
- ↑ Raj Chengappa (15 September 1991). "CPI(M) assailed for welcoming hardliners' coup, but refuses to budge from Marxist dogmas". India Today (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 June 2021. สืบค้นเมื่อ 5 June 2021.
- ↑ Liff, Adam P.; Lee, Chaewon (2024). "Korea-Taiwan "Unofficial" Relations after 30 Years (1992-2022): Reassessing Seoul's "One China" Policy". ใน Zhao, Suisheng (บ.ก.). The Taiwan Question in Xi Jinping's Era: Beijing's Evolving Taiwan Policy and Taiwan's Internal and External Dynamics. London and New York: Routledge. ISBN 9781032861661.
- ↑ Tiananmen Square Document 35 1989, pp. 11.
- ↑ "Tiananmen toll 'exaggerated'". The Independent. July 13, 1992. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2023. สืบค้นเมื่อ 25 July 2023.
- ↑ 292.0 292.1 292.2 Cabestan 2010, p. 199.
- ↑ Cabestan 2010, p. 201.
- ↑ Tu, Hang (2025). Sentimental Republic: Chinese Intellectuals and the Maoist Past. Harvard University Asia Center. ISBN 9780674297579.
- ↑ MacKinnon 1999.
- ↑ 296.0 296.1 Why the People's Army Fired. p. 205. JSTOR 45305304. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2023. สืบค้นเมื่อ 24 June 2023.
- ↑ 297.0 297.1 Foot 2000.
- ↑ Thakur, Burton & Srivastava 1997, pp. 404–405.
- ↑ Kelley & Shenkar 1993, pp. 120–122.
- ↑ 300.0 300.1 300.2 Naughton 2010.
- ↑ Kam 2016.
- ↑ "Tiananmen Massacre Online Museum Blocked in Hong Kong". The Daily Newsbrief (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 29 September 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2021. สืบค้นเมื่อ 30 September 2021.
- ↑ Lee 2012, pp. 152, 155.
- ↑ Grundy, Tom (22 December 2021). "University of Hong Kong removes Tiananmen Massacre monument in dead of night". Hong Kong Free Press (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2024. สืบค้นเมื่อ 22 December 2021.
- ↑ "Pillar of Shame: Hong Kong's Tiananmen Square statue removed". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 23 December 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2022. สืบค้นเมื่อ 2 January 2022.
- ↑ L. Zhang 2001, p. 424.
- ↑ Cabestan 2010, p. 194.
- ↑ Link 2010, p. 19.
- ↑ Cabestan 2010, p. 198.
- ↑ 310.0 310.1 Cabestan 2010, p. 196.
- ↑ Kurlantzick 2003, p. 55.
- ↑ Kurlantzick 2003, p. 56.
- ↑ Japan Concerned.
- ↑ Ruan, Lotus; Knockel, Jeffrey; Ng, Jason Q.; Crete-Nishihata, Masashi (December 2016). "One App, Two Systems". figure 9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 October 2019. สืบค้นเมื่อ 30 September 2019.
- ↑ 315.0 315.1 Olesen 2009.
- ↑ Saiget 2009.
- ↑ Pei 1994, p. 152.
- ↑ Zetter 2009.
- ↑ Higgins 2006.
- ↑ Greenslade 2014.
- ↑ Fisher 2014.
- ↑ Apathy.
- ↑ Young clerk let 2007.
- ↑ Gifford 2007, pp. 167–168.
- ↑ Lee, Lily; Westcott, Ben (3 June 2019). "They faced down the tanks in Tiananmen Square. Now they want their children to forget it". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 June 2019. สืบค้นเมื่อ 3 June 2019.
- ↑ 326.0 326.1 326.2 References Censored 2009.
- ↑ 327.0 327.1 Bristow 2009.
- ↑ Ai, Weiwei (4 June 2019). "The west is complicit in the 30-year cover-up of Tiananmen". The Guardian – Australia edition. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 June 2019.
- ↑ Needham, Kirsty (31 May 2019). "Why searching for the truth about Tiananmen is more important than ever". The Sydney Morning Herald. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2019.
- ↑ Davidson, Helen (31 May 2019). "Tiananmen Square protests: crackdown intensifies as 30th anniversary nears". The Guardian – Australian edition. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 August 2019.
- ↑ Wong 2009.
- ↑ Kuang 2016.
- ↑ Wines 2010.
- ↑ Branigan 2009.
- ↑ Watts, Jonathan (31 May 2011). "China tried to pay off Tiananmen Square family, activists claim". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2024. สืบค้นเมื่อ 1 June 2023.
- ↑ "China doctor calls 1989 'mistake'" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 8 March 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 March 2022. สืบค้นเมื่อ 28 December 2021.
- ↑ Buckley 2013.
- ↑ Anderlini 2013.
- ↑ 339.0 339.1 Committee Against Torture 2008, p. 8.
- ↑ 340.0 340.1 Committee Against Torture 2008, p. 13.
แหล่งที่มา
[แก้]- "Ageing rebels, bitter victims". The Economist. 29 May 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 August 2018. สืบค้นเมื่อ 3 June 2014.
- "All references to Tiananmen Square massacre closely censored for 20 years". Reports Without Borders. 2 June 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Anderlini, Jamil (20 March 2013). "Wen lays ground for Tiananmen healing". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 July 2012. สืบค้นเมื่อ 6 June 2014.
- "China's Youth post-Tiananmen: Apathy a fact or front?". CNN. 4 June 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2019. สืบค้นเมื่อ 15 March 2019.
- Baum, Richard (1996). Burying Mao: Chinese Politics in the Age of Deng Xiaoping. Princeton University Press. ISBN 978-0691036373. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 July 2020. สืบค้นเมื่อ 1 April 2019.
- Bernstein, Richard (4 June 1989). "In Taiwan, Sympathies Lean Toward Home". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2018. สืบค้นเมื่อ 4 November 2018.
- Bernstein, Richard (29 June 1989). "Beijing Orders Its Ambassadors Home for a Meeting". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Branigan, Tania (20 March 2009). "Chinese detain Zhang Shijun, soldier who spoke out against Tiananmen Square massacre". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Bregolat, Eugenio (4 June 2007). "TVE in Tiananmen". La Vanguardia (ภาษาสเปน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 June 2009. สืบค้นเมื่อ 4 September 2007.
- Bristow, Michael (4 June 2009). "Journalists banned from Tiananmen". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 16 April 2019.
- Brook, Timothy (1998). Quelling the People: The Military Suppression of the Beijing Democracy Movement. Stanford: Stanford University Press. ISBN 978-0804736381.
- Buckley, Chris (5 June 2013). "Chen Xitong, Beijing Mayor During Tiananmen Protests, Dies at 82". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 July 2014. สืบค้นเมื่อ 6 June 2014.
- Cabestan, Jean-Pierre (2010). "How China Managed to De-Isolate Itself on the International Stage and Re-Engage the World after Tiananmen". ใน Béja, Jean-Philippe (บ.ก.). The Impact of China's 1989 Tiananmen Massacre. Routledge. ISBN 978-1136906848. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 July 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Calhoun, Craig (1989). "Revolution and repression in Tiananmen square" (PDF). Society. 26 (6): 21–38. doi:10.1007/BF02700237. S2CID 145014593. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 May 2018. สืบค้นเมื่อ 26 October 2018 – โดยทาง LSE Research Online.
- Chai, Ling (2011). A Heart for Freedom: The Remarkable Journey of a Young Dissident, Her Daring Escape, and Her Quest to Free China's Daughters. Tyndale House Publishers. ISBN 978-1414362465.
- Cheng, Eddie (2009). Standoff at Tiananmen. Sensys Corp.[ไอเอสบีเอ็น ไม่มี]
- Cheng, Eddie (13 June 2012). "Document of 1989: 21 Most Wanted Student Leaders". Standoff at Tiananmen. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2018.
- Cheng, Chu-yüan; Zheng, Zhuyuan (1990). Behind the Tiananmen Massacre: Social, Political, and Economic Ferment in China. Westview Press. ISBN 978-0813310473. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- "China: The massacre of June 1989 and its aftermath". Amnesty International. 31 March 1990. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 January 2019. สืบค้นเมื่อ 16 January 2019.
- "China tightens information controls for Tiananmen anniversary". The Age. Australia. Agence France-Presse. 4 June 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2011. สืบค้นเมื่อ 3 November 2010.
- "China: 15 years after Tiananmen, calls for justice continue and the arrests go on". Amnesty International. 2 June 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 January 2019. สืบค้นเมื่อ 30 May 2009.
- แม่แบบ:UN doc
- Coonan, Clifford (6 August 2008). "Olympic hopeful who lost his legs in Tiananmen Square". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2017. สืบค้นเมื่อ 16 September 2017.
- "The Day China trampled on freedom". The Age. Australia. 30 May 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 29 March 2019.
- "Declassified British cable" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 January 2017. สืบค้นเมื่อ 6 January 2017.
- "Deng's June 9 Speech: 'We Faced a Rebellious Clique' and 'Dregs of Society'". The New York Times. 30 June 1989. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 November 2013. สืบค้นเมื่อ 1 May 2012.
- Deng, Xiaoping (9 June 1989). 在接见首都戒严部队军以上干部时的讲话 (ภาษาจีน). Xinhua News Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 August 2008.
- Dube, Clayton (2014). "Talking Points, June 3–18". China.usc.edu. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 October 2015. สืบค้นเมื่อ 22 October 2018.
- Fewsmith, Joseph (2001). China Since Tiananmen: The Politics of Transition. Cambridge University Press. ISBN 978-0521001052. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Fisher, Max (3 June 2014). "Most Chinese students have never heard of Tank Man". Vox. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2019. สืบค้นเมื่อ 30 March 2019.
- Foot, Rosemary (2000). Rights beyond borders : the global community and the struggle over human rights in China. New York: Oxford University Press. ISBN 978-0198297765. OCLC 47008462.
- Gifford, Rob (2007). China Road: A Journey into the Future of a Rising Power. Random House Publishing Group. ISBN 978-1588366344. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 July 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Goodman, David S. G. (1994). Deng Xiaoping and the Chinese Revolution: A Political Biography. Psychology Press. ISBN 978-0415112536. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Greenslade, Roy (3 June 2014). "Foreign journalists in China harassed over Tiananmen Square anniversary". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2019. สืบค้นเมื่อ 30 March 2019.
- Han, Minzhu; Hua, Sheng (1990). Cries for Democracy. Princeton: Princeton University Press.[ไอเอสบีเอ็น ไม่มี]
- Harron, Celia (3 June 2014). "Miao Deshun: China's last Tiananmen prisoner?". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 April 2019. สืบค้นเมื่อ 16 April 2019.
- Higgins, Charlotte (5 September 2006). "Director hailed at Cannes faces five-year film ban in China". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2017. สืบค้นเมื่อ 17 December 2016.
- "How Many Really Died? Tiananmen Square Fatalities". Time. 4 June 1990. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Ignatius, Adi (2009). "Preface". ใน Pu, Bao; Chiang, Renee; Ignatius, Adi (บ.ก.). Prisoner of the State: The Secret Journal of Premier Zhao Ziyang. Simon & Schuster. pp. iv–xvi. ISBN 978-1439149386.
- "Interview with Jan Wong". Frontline. PBS. 11 April 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2009. สืบค้นเมื่อ 9 November 2009.
- "Interview with John Pomfret". Frontline. PBS. 11 April 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2009. สืบค้นเมื่อ 9 November 2009.
- "Interview with Timothy Brook". Frontline. PBS. 11 April 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 November 2009.
- "It Is Necessary To Take A Clear-Cut Stand Against Disturbances". The Heavenly Gate. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2006. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
English translation of Renmin ribao (People's Daily) editorial (printed April 26, 1989)
- Iyer, Pico (13 April 1998). "Time 100: The Unknown Rebel". Time. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 April 2019. สืบค้นเมื่อ 26 March 2019.
- "Japan concerned by call to lift China embargo – official". Forbes. 27 November 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2007. สืบค้นเมื่อ 16 September 2017.
- Kam, Vivian (11 July 2016). "Hong Kong's Tiananmen Museum to close". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2017. สืบค้นเมื่อ 11 January 2017.
- Kelley, Lane; Shenkar, Oded, บ.ก. (1993). International Business in China. Psychology Press. ISBN 978-0415053457. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Kristof, Nicholas D. (3 June 1989). "Beijing Residents Block Army Move Near City Center: Tear Gas said to be Fired". The New York Times. ProQuest 115057724 – โดยทาง ProQuest Historical Newspapers The New York Times (1851–2007).
- Kristof, Nicholas D. (6 June 1989). "Units Said to Clash: Troops in Capital Seem to Assume Positions Against an Attack". The New York Times. p. A1.
- Kristof, Nicholas D. (14 June 1989). "Moderates Appear on Beijing TV, Easing Fears of Wholesale Purge". The New York Times. p. A1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2018. สืบค้นเมื่อ 16 April 2019.
- Kristof, Nicholas D. (14 June 1989). "Beijing Ousts 2 American Correspondents". The New York Times.
- Kristof, Nicholas D. (21 June 1989). "A Reassessment of How Many Died in the Military Crackdown in Beijing". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 February 2011. สืบค้นเมื่อ 13 February 2017.
- Kuang, Keng Kek Ser (4 June 2016). "How China has censored words relating to the Tiananmen Square anniversary". Public Radio International (PRI). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Kurlantzick, Joshua (2003). "The Dragon Still Has Teeth: How the West Winks at Chinese Repression". World Policy Journal. 20 (1): 49–58. doi:10.1215/07402775-2003-2011. JSTOR 40209847.
- Lee, Francis L.F. (June 2012). "Generational Differences in the Impact of Historical Events: The Tiananmen Square Incident in Contemporary Hong Kong Public Opinion". International Journal of Public Opinion Research. 24 (2): 141–162. doi:10.1093/ijpor/edr042.
- "Less Than a Dozen June Fourth Protesters Still in Prison". The Dui Hua Foundation. 31 May 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2019. สืบค้นเมื่อ 30 March 2019.
- Li, Peng (2010). 李鵬六四日記真相. Hong Kong: Au Ya Publishing. ISBN 978-1921815003.
- Li, Peter; Li, Marjorie H.; Mark, Steven (2011). Culture and Politics in China: An Anatomy of Tiananmen Square. Transaction Publishers. ISBN 978-1412811996. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2015. สืบค้นเมื่อ 7 July 2015.
- Lilley, James (12 July 1989). "Latin American Diplomat Eyewitness Account of June 3–4 Events on Tiananmen Square". WikiLeaks. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2016. สืบค้นเมื่อ 2 April 2016.
- Lim, Louisa (2014). The People's Republic of Amnesia: Tiananmen Revisited. Oxford University Press. ISBN 978-0199347704. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 July 2020. สืบค้นเมื่อ 1 April 2019.
- Lim, Louisa (15 April 2014). "After 25 Years of Amnesia". NPR.org. NPR. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2018. สืบค้นเมื่อ 22 October 2018.
- Lin, Chong-Pin; Deng, Xiaoping (28 June 1989). "Deng's 9 June Speech". World Affairs. 3. 152 (3): 154–158. JSTOR 20672226.
- Link, Perry (2010). "June Fourth: Memory and ethics". ใน Béja, Jean-Philippe (บ.ก.). The Impact of China's 1989 Tiananmen Massacre. Routledge. ISBN 978-1136906848. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 July 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Liu, Alan P.L. (May 1990). "Aspects of Beijing's Crisis Management: The Tiananmen Square Demonstration". Asian Survey. 5. 30 (5): 505–521. doi:10.2307/2644842. JSTOR 2644842.
- Liu, Melinda (1 April 1996). "Article: Still on the wing; inside Operation Yellowbird, the daring plot to help dissidents escape". Newsweek. Vol. 127 no. 14. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2020. สืบค้นเมื่อ 7 January 2019.
- Lusher, Adam (24 December 2017). "At least 10,000 people died in Tiananmen Square massacre, secret British cable from the time alleged". the Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2019. สืบค้นเมื่อ 24 December 2017.
- MacFarquhar, Roderick (2011). The Politics of China: Sixty Years of The People's Republic of China. Cambridge University Press. ISBN 978-1139498227. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- MacKinnon, Rebecca (2 June 1999). "Chinese human rights official says the crackdown 'completely correct'". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2007. สืบค้นเมื่อ 5 March 2007.
- Martel, Ed (11 April 2006). "'The Tank Man,' a 'Frontline' Documentary, Examines One Man's Act in Tiananmen Square". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 16 March 2019.
- Mathews, Jay (2 June 1989). "Chinese Army Moving Closer to Protesters: Finances, Leadership Split Student Ranks". The Washington Post. ProQuest 734005592 – โดยทาง ProQuest Historical Newspapers The Washington Post (1877–1994).
- Mathews, Jay (September–October 1998). "The Myth of Tiananmen". Columbia Journalism Review. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 December 2016. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- "The Memory Of Tiananmen – The Tank Man". Frontline. PBS. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2011. สืบค้นเมื่อ 16 September 2017.
- Miles, James A. R. (1997). The Legacy of Tiananmen: China in Disarray. University of Michigan Press. ISBN 978-0472084517. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Miles, James (2 June 2009). "Tiananmen killings: Were the media right?". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2015. สืบค้นเมื่อ 15 January 2012.
- Mohan, Raja (4 June 2009). "Places 20 years apart – Indian Express". The Indian Express. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2019. สืบค้นเมื่อ 30 March 2019.
- Mosher, Stacy (26 May 2004). "Tiananmen's Most Wanted – Where Are They Now?". HRI China. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2018.
- Nathan, Andrew J. (January–February 2001). "The Tiananmen Papers". Foreign Affairs. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2004. สืบค้นเมื่อ 3 November 2010.
- Nathan, Andrew (2002). "On the Tiananmen Papers". Foreign Affairs. 80 (1): 2–48. doi:10.2307/20050041. JSTOR 20050041.
- Nathan, Andrew J. (3 June 2009). "The Consequences of Tiananmen". Reset Dialogues (Interview). สัมภาษณ์โดย Maria Elena Viggiano. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2017. สืบค้นเมื่อ 22 October 2018.
- Naughton, Barry (2007). The Chinese Economy: Transitions and Growth. MIT Press. ISBN 978-0262640640. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Naughton, Barry (2010). Béja, Jean-Philippe (บ.ก.). The Impact of China's 1989 Tiananmen Massacre. Routledge. ISBN 978-1136906848.
- Oksenberg, Michel; Sullivan, Lawrence R.; Lambert, Marc, บ.ก. (1990). Beijing Spring, 1989: Confrontation and Conflict: The Basic Documents. Qiao Li. M.E. Sharpe. ISBN 978-0765640574. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2024. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- Olesen, Alexa (30 May 2009). "Web-savvy & cynical: China's youth since Tiananmen". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2011. สืบค้นเมื่อ 2 December 2010.
- Pan, Philip P. (2008). Out of Mao's Shadow: The Struggle for the Soul of a New China. Simon and Schuster. ISBN 978-1416537052. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Pei, Minxin (1994). From Reform to Revolution. Harvard University Press. ISBN 978-0674325630. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Phillips, Tom (27 January 2015). "Fresh details of 'savage' Tiananmen massacre emerge in embassy cables". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 June 2018. สืบค้นเมื่อ 22 October 2018.
- Pye, Lucian W. (1990). "Tiananmen and Chinese Political Culture: The Escalation of Confrontation from Moralizing to Revenge". Asian Survey. 30 (4): 331–347. doi:10.2307/2644711. JSTOR 2644711.
- Richelson, Jeffrey T.; Evans, Michael L., บ.ก. (1 June 1999). "Tiananmen Square, 1989: The Declassified History – Document 9: Secretary of State's Morning Summary for June 3, 1989, China: Police Use Tear Gas on Crowds" (PDF). National Security Archive. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2017. สืบค้นเมื่อ 16 November 2010.
- Richelson, Jeffrey T.; Evans, Michael L., บ.ก. (1 June 1999). "Tiananmen Square, 1989: The Declassified History – Document 13: Secretary of State's Morning Summary for June 4, 1989, China: Troops Open Fire" (PDF). National Security Archive. George Washington University. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2017. สืบค้นเมื่อ 4 August 2008.
- Roberts, John A.G. (2011). A History of China. Macmillan International Higher Education. pp. 300–. ISBN 978-0230344112. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2019. สืบค้นเมื่อ 10 April 2019.
- Roth, Richard (11 February 2009). "Remembering Tiananmen Square". CBS News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 October 2012. สืบค้นเมื่อ 25 April 2012.
- Roth, Richard (4 June 2009). "There Was No 'Tiananmen Square Massacre'". CBS News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 March 2019. สืบค้นเมื่อ 29 March 2019.
- Saich, Tony (1990). The Chinese People's Movement: Perspectives on Spring 1989. M.E. Sharpe. ISBN 978-0873327459. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 August 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Saiget, Robert J. (31 May 2009). "China faces dark memory of Tiananmen". The Sydney Morning Herald. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Sarotte, M.E. (2012). "China's Fear of Contagion: Tiananmen Square and the Power of the European Example" (PDF). International Security. 37 (2): 156–182. doi:10.1162/ISEC_a_00101. hdl:1811/54988. JSTOR 23280417. S2CID 57561351. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2020. สืบค้นเมื่อ 22 September 2019.
- Schoenberger, Karl (18 June 1989). "8 Sentenced to Die in Beijing Fighting : Are Convicted of Beating Soldiers, Burning Vehicles". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2019. สืบค้นเมื่อ 21 February 2020.
- Sino-American relations: One year after the massacre at Tiananmen Square. U.S. G.P.O. 1991. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 July 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Spence, Jonathan D (1999). "Testing the Limits". The Search for Modern China. New York: Norton. ISBN 978-0393973518. OCLC 39143093.
- Suettinger, Robert L. (2004). Beyond Tiananmen: The Politics of U.S.-China Relations 1989–2000. Brookings Institution Press. pp. 58–. ISBN 978-0815782087. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Thakur, Manab; Burton, Gene E; Srivastava, B N (1997). International Management: Concepts and Cases. Tata McGraw-Hill Education. ISBN 978-0074633953. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- "The Gate of Heavenly Peace – Transcript". Long Bow Group in collaboration with ITVS. 1995. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2012. สืบค้นเมื่อ 15 January 2012.
- Thomas, Antony (2006). The Tank Man (Video). PBS. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 June 2013. สืบค้นเมื่อ 2 July 2013.
- "Tiananmen Square Document 35: State Department Bureau of Intelligence and Research, "China: Aftermath of the Crisis," 1989". US-China Institute. 27 July 1989. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2019. สืบค้นเมื่อ 30 March 2019.
- Traywick, Catherine A. (25 November 2013). "Why China Refuses to Arrest its 'Most Wanted' Dissidents". Foreign Policy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2018.
- Tsui, Anjali; Pang, Esther. "China's Tiananmen activists: Where are they now?". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 May 2017. สืบค้นเมื่อ 1 May 2017.
- Vogel, Ezra F. (2011). Deng Xiaoping and the Transformation of China. Belknap Press of Harvard University Press. ISBN 978-0674055445.
- Walder, Andrew W.; Gong, Xiaoxia (1993). "Workers in the Tiananmen Protests". www.tsquare.tv. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2010. สืบค้นเมื่อ 1 December 2010.
- Wang, Hui (2006). China's New Order: Society, Politics, and Economy in Transition. Harvard University Press. ISBN 978-0674021112. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 July 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Weber, Bruce (25 October 2014). "Chen Ziming, Dissident in China, Is Dead at 62". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 December 2017. สืบค้นเมื่อ 29 October 2017.
- Wines, Michael (14 January 2010). "Far-Ranging Support for Google's China Move". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 February 2010. สืบค้นเมื่อ 18 September 2010.
- Wong, Jan (6 June 1989). "Troops Brace for Attack in Beijing". The Globe and Mail. p. A1.
- Wong, Andy (3 June 2009). "Security tight on Tiananmen anniversary". MSNBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 March 2019. สืบค้นเมื่อ 27 March 2019.
- Wright, Kate (1990). "The Political Fortunes of Shanghai's World Economic Herald". The Australian Journal of Chinese Affairs. 23 (23): 121–132. doi:10.2307/2158797. JSTOR 2158797. S2CID 157680075.
- Wu, Renhua (2009). 六四事件中的戒严部队 [Military Units Enforcing Martial Law During the June 4 Incident] (ภาษาจีน). Hong Kong: 真相出版社. ISBN 978-0982320389. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 October 2007. สืบค้นเมื่อ 16 July 2013.
- Wu, Renhua (23 April 2010). 六四北京戒严部队的数量和番号 [Number of Beijing martial law units on June 4]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua (4 May 2010). 天安门广场清场命令的下达 [The release of Tiananmen Square clearance order]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua (23 May 2010). 戒严部队军警的死亡情况 [Casualties of military police in martial law forces]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 May 2013. สืบค้นเมื่อ 7 June 2013.
- Wu, Renhua (5 June 2010). 戒严部队的挺进目标和路线 [The advance target and route of the martial law forces]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 3 July 2013.
- Wu, Renhua (5 June 2010). 89天安门事件大事记: 6月3日 星期六 [1989 Tiananmen Square incident Highlights: Saturday, June 3]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua (12 June 2010). 六部口坦克追轧学生撤退队伍事件 [Incident at Liubukou When Tanks Ran Over Retreating Group of Students]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua. 天安门事件的最后一幕 [Last act of the Tiananmen incident (page 1)]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2018. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua. 天安门事件的最后一幕 [Last act of the Tiananmen incident (page 2)]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua. 天安门事件的最后一幕 [Last act of the Tiananmen incident (page 3)]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 June 2018. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua. 天安门事件的最后一幕 [Last act of the Tiananmen incident (page 4)]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Renhua (4 June 2011). 89天安门事件大事记: 6月4日 星期日 [1989 Tiananmen Events: Sunday, June 4]. Boxun blog. Wu Renhua 4 June Anthology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Wu, Wei (4 June 2015). "Why China's Political Reforms Failed". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 July 2019. สืบค้นเมื่อ 16 April 2018.
- Wudunn, Sheryl (22 June 1989). "China's Newspapers, After Crackdown by Beijing, Revert to a Single Voice". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- "Young clerk let Tiananmen ad slip past censors: paper". Reuters. 6 June 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 May 2008. สืบค้นเมื่อ 5 August 2008.
- Zetter, Kim (2 June 2009). "China Censors: The Tiananmen Square Anniversary Will Not Be Tweeted". Wired. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 30 March 2019.
- Zhang, Liang (2001). Nathan, Andrew; Link, Perry (บ.ก.). The Tiananmen Papers: The Chinese Leadership's Decision to Use Force, in Their Own Words. Public Affairs. ISBN 978-1586481223.
- Zhao, Dingxin (2001). The Power of Tiananmen: State-Society Relations and the 1989 Beijing Student Movement. University of Chicago Press. ISBN 978-0226982601. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2019. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- Zhao, Ziyang (2009). Pu, Bao; Chiang, Renee; Ignatius, Adi (บ.ก.). Prisoner of the State: The Secret Journal of Premier Zhao Ziyang. Simon & Schuster. ISBN 978-1439149386.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Assignment: China – Tiananmen Square – US-China Institute". china.usc.edu. รวมถึงฟุตเทจการปิดสถานีข่าว CNN และการสัมภาษณ์กับอัล เพสซิน (VOA) และจอห์น พอมเฟร็ต (AP) ซึ่งทั้งคู่ถูกขับไล่ออกไปหลังการประท้วงไม่นาน
- Tiananmen Square, 1989 จากชุดสะสมดิจิทัลหอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยอินดีแอนา วิทยาเขตอินเดียแนโพลิส (IUI)
- ภาพถ่ายขาวดำมากกว่า 400 ภาพที่ถ่ายโดยดร. เอ็ดการ์ หวง อาจารย์ประจำ IUI เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและช่างภาพสารคดีในปักกิ่งในขณะนั้น
- บทความที่ต้องการการขยายความตั้งแต่November 2020
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่สิงหาคม 2021
- บทความที่มีข้อความที่อาจล้าสมัยตั้งแต่สิงหาคม 2011
- Pages with missing ISBNs
- การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989
- การประท้วงในปี พ.ศ. 2532
- การประท้วงในปี พ.ศ. 2532 ในประเทศจีน
- การสังหารหมู่ในปี พ.ศ. 2532
- ทศวรรษ 1980 ในปักกิ่ง
- ความแตกแยกในปี พ.ศ. 2532
- การประท้วงเพื่อสิทธิพลเมือง
- ประวัติศาสตร์สงครามเย็นของจีน
- การสังหารหมู่ผู้ประท้วงในประเทศจีน
- การสังหารที่ถ่ายทำในเอเชีย
- ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศจีน
- การประท้วงของนักศึกษาในประเทศจีน
- ขบวนการแรงงานในประเทศจีน
- จัตุรัสเทียนอันเหมิน
- เมษายน พ.ศ. 2532 ในประเทศจีน
- พฤษภาคม พ.ศ. 2532 ในประเทศจีน
- มิถุนายน พ.ศ. 2532 ในประเทศจีน
- ขบวนการประชาธิปไตยจีน
- การตรวจพิจารณาในประเทศจีน
- เติ้ง เสี่ยวผิง
- การจลาจลและความไม่สงบในสังคม ประเทศจีน
- สังคมนิยมในประเทศจีน
- การสังหารหมู่ที่กระทำโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน
- กฎอัยการศึก