การทดลองเดินเรือ

การทดลองเดินเรือ (อังกฤษ: sea trial) หรือ การเดินทางทดลอง (trial trip) คือขั้นตอนการทดสอบพาหนะทางน้ำ (รวมถึงเรือเล็ก เรือใหญ่ และเรือดำน้ำ) นอกจากนี้ยังถูกเรียกว่า "การทดลองแล่นเรือ" (shakedown cruise) โดยบุคลากรของกองทัพเรือหลายคน โดยปกติแล้ว นี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการก่อสร้างและจะดำเนินการในทะเลเปิด ซึ่งสามารถใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน
การทดลองเดินเรือจะดำเนินการเพื่อวัดสมรรถนะและสภาพพร้อมออกทะเลโดยรวมของเรือ ปกติแล้วจะมีการทดสอบความเร็วของเรือ ความคล่องตัว อุปกรณ์และคุณสมบัติด้านความปลอดภัย โดยทั่วไปจะมีตัวแทนทางเทคนิคจากผู้สร้าง (และจากผู้สร้างระบบหลัก) เจ้าหน้าที่กำกับดูแลและออกใบรับรอง รวมถึงตัวแทนจากเจ้าของเข้าร่วม การทดลองเดินเรือที่ประสบความสำเร็จจะนำไปสู่การรับรองเรือเพื่อการขึ้นระวางและรับมอบโดยเจ้าของในลำดับถัดไป
แม้การทดลองเดินเรือโดยทั่วไปมักคิดว่าทำกับเรือที่สร้างขึ้นใหม่เท่านั้น (ผู้ต่อเรือเรียกว่า 'การทดลองของผู้สร้าง') แต่ก็มีการดำเนินเป็นประจำกับเรือที่ประจำการอยู่แล้วด้วยเช่นกัน สำหรับเรือใหม่ การทดลองเหล่านี้ใช้เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อกำหนดการก่อสร้าง ส่วนบนเรือที่ประจำการอยู่แล้ว โดยทั่วไปจะใช้เพื่อยืนยันผลกระทบของการดัดแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้น
การทดลองเดินเรือยังสามารถหมายถึงการเดินทางทดสอบระยะสั้นที่ดำเนินการโดยผู้ซื้อที่มีศักยภาพของเรือใหม่หรือเรือมือสองเพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจว่าจะซื้อเรือลำนั้นหรือไม่
ประเภท
[แก้]
การทดลองเดินเรือมีมาตรฐานค่อนข้างชัดเจนโดยอาศัยเอกสารทางเทคนิคที่เผยแพร่โดย ITTC (International Towing Tank Conference), SNAME (Society of Naval Architects and Marine Engineers), BMT (British Maritime Technology), หน่วยงานกำกับดูแลหรือเจ้าของเรือเอง การทดลองเหล่านี้ครอบคลุมถึงการสาธิตและการทดสอบระบบและสมรรถนะของเรือ
ทดลองความเร็ว
[แก้]เพื่อทดลองความเร็ว (speed trials) เรือจะถูกถ่วงน้ำหนักหรือบรรทุกให้ได้ระดับกินน้ำลึกตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและเครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าที่กำลังเดินเครื่องสูงสุดตามสัญญา โดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตรากำลังต่อเนื่องสูงสุดของเครื่องจักร (เช่น 90% ของ MCR) ทิศทางของเรือจะถูกปรับให้ลมและกระแสน้ำเข้าปะทะหัวเรือให้มากที่สุด เรือจะถูกปล่อยให้ทำความเร็ว และจะมีการบันทึกความเร็วอย่างต่อเนื่องโดยใช้ GPS แบบสัมพัทธ์ การทดลองจะดำเนินการด้วยความเร็วที่ต่างกันรวมถึงความเร็วใช้งาน (ความเร็วออกแบบ) และความเร็วสูงสุด จากนั้นเรือจะหันกลับ 180 องศาและทำตามขั้นตอนเดิมอีกครั้ง เพื่อลดผลกระทบจากลมและกระแสน้ำ "การทดลองความเร็ว" ขั้นสุดท้ายจะถูกกำหนดโดยการหาค่าเฉลี่ยของความเร็วที่วัดได้ทั้งหมดในแต่ละรอบของการแล่น ขั้นตอนนี้อาจทำซ้ำในสภาวะทะเลที่ต่างกัน
หยุดกะทันหัน
[แก้]เพื่อทดสอบการหยุดกะทันหัน (crash stop) เรือจะถูกถ่วงน้ำหนักหรือบรรทุกให้ได้ระดับกินน้ำลึกตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและเครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าที่กำลังเดินเครื่องสูงสุดตามสัญญา โดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตรากำลังต่อเนื่องสูงสุดของเครื่องจักร การทดลองจะเริ่มขึ้นเมื่อมีการออกคำสั่ง "ดำเนินการหยุดกะทันหัน" ("Execute Crash Stop") ณ จุดนี้ เครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าไปที่ถอยหลังเต็มตัว (full-astern) และหางเสือจะถูกหมุนไปจนสุดไม่ว่าจะเป็นไปทางกราบซ้ายหรือขวา ความเร็ว ตำแหน่ง และทิศทางจะถูกบันทึกอย่างต่อเนื่องโดยใช้ GPS แบบสัมพัทธ์ จากนั้นจะคำนวณเวลาสุดท้ายที่ใช้ในการหยุด (เช่น ความเร็วเรือเป็น 0 นอต) เส้นทางการเคลื่อนที่ ระยะเบน (drift) (ระยะทางที่เคลื่อนที่ตั้งฉากกับเส้นทางเดิม) และระยะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า (advance) (ระยะทางที่เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางเดิม) การทดลองนี้อาจทำซ้ำได้ที่ความเร็วเริ่มต้นที่ต่างกัน
ความทนทาน
[แก้]ระหว่างการทดลองความทนทาน (endurance) เรือจะถูกถ่วงน้ำหนักหรือบรรทุกให้ได้ระดับกินน้ำลึกตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและเครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าที่กำลังเดินเครื่องสูงสุดตามสัญญา ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตรากำลังต่อเนื่องสูงสุดของเครื่องจักร จากนั้นจะมีการบันทึกอัตราการไหลของเชื้อเพลิง อุณหภูมิไอเสียและน้ำหล่อเย็น รวมถึงความเร็วของเรือไว้ทั้งหมด
ความคล่องตัว
[แก้]การทดลองความคล่องตัว (maneuvering trials) ครอบคลุมการทดลองหลายประเภทเพื่อพิจารณาความคล่องตัวและความเสถียรทิศทางของเรือ โดยการทดลองเหล่านี้รวมถึงการเดินเรือแบบวงก้นหอยทั้งแบบตรงและแบบย้อนกลับ การเดินเรือแบบซิกแซก และการใช้เครื่องขับดันด้านข้าง[1]
ความทนทะเล
[แก้]การลองความทนทะเล (seakeeping trials) เดิมทีใช้เฉพาะกับเรือโดยสารเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กับเรือหลากหลายประเภท การทดลองนี้เกี่ยวข้องกับการวัดการเคลื่อนที่ของเรือในสภาพทะเลต่าง ๆ (sea states) หลังจากนั้นจะมีการวิเคราะห์ชุดข้อมูลเพื่อ ประเมินระดับความสบาย โอกาสเกิดอาการเมาเรือและความเสียหายต่อตัวเรือ การทดสอบมักยืดเยื้อเนื่องจากความไม่แน่นอนในการหาสภาพทะเลที่เหมาะสม และความจำเป็นในการดำเนินการทดสอบที่ทิศทางและความเร็วที่ต่างกัน[2]
การทดลองเดินเรือที่น่าสังเกต
[แก้]- อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย – ระหว่างเดินเครื่องด้วยความเร็วสูง พบว่ามีแรงสั่นสะเทือนรุนแรงบริเวณท้ายเรือในระหว่างการทดลองเดินเรือ สิ่งนี้ทำให้ผู้สร้าง จอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี ต้องเสริมความแข็งแรงบริเวณนั้นก่อนจะได้รับการยอมรับจากสายการเดินเรือคูนาร์ด[3]
- แอ็สแอ็ส นอร์ม็องดี – ระหว่างทดลองเดินเรือ มีการตรวจพบการสั่นสะเทือนที่บริเวณท้ายเรือ ท้ายเรือจึงได้รับการเสริมความแข็งแรงและได้รับการยอมรับจากเจ้าของเรือ กงเปญีเฌเนราลทร็องซัตล็องติก จากนั้นจึงเดินหน้าออกเดินทางในเที่ยวเรือปฐมฤกษ์ การสั่นสะเทือนรุนแรงมากพอจะต้องย้ายผู้โดยสารชั้นนักท่องเที่ยวและลูกเรือบางส่วนที่มีห้องพักใกล้บริเวณที่ได้รับผลกระทบ ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขในภายหลังโดยการเปลี่ยนใบจักรจากเดิมที่เป็นแบบสามพวงมาเป็นแบบสี่พวง[4][5]
- อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ – ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง มีการตัดสินใจว่าควีนเอลิซาเบธมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความพยายามทำสงครามจนกระทั่งการเคลื่อนไหวของเรือลำนี้จะต้องไม่ถูกติดตามโดยสายลับเยอรมันที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ไคลด์แบงก์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการสร้างอุบายที่ซับซ้อนขึ้นมา โดยให้เรือแสร้งออกเดินทางไปเซาแทมป์ตันเพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ให้แล้วเสร็จ[6] อีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้ควีนเอลิซาเบธต้องออกเดินทางคือความจำเป็นในการเคลียร์ที่จอดเรือสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ที่อู่ต่อเรือเพื่อให้เรือประจัญบาน เรือหลวงดยุกออฟยอร์ก[6] ซึ่งจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสุดท้ายสามารถเข้ามาใช้ที่จอดเรือได้ มีเพียงที่จอดเรือของจอห์นบราวน์เท่านั้นที่สามารถรองรับความต้องการของเรือประจัญบานชั้นคิงจอร์จที่ 5 ได้ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จำกัดวันที่เรือจะออกจากท่าอย่างลับ ๆ คือ ปีนั้นมีน้ำขึ้นสูงสุดเพียงสองครั้งเท่านั้นที่ระดับน้ำจะสูงพอให้ควีนเอลิซาเบธออกจากอู่เรือไคลด์แบงก์[6] และหน่วยข่าวกรองเยอรมันก็ทราบข้อเท็จจริงนี้ดี ลูกเรือจำนวนน้อยที่สุด 400 คนได้รับมอบหมายให้เดินทางในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ถูกย้ายมาจากอาควิเทเนียเพื่อการเดินทางเลียบชายฝั่งสั้น ๆ ไปยังเซาแทมป์ตัน[6] ชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกขนส่งไปยังเซาแทมป์ตัน และมีการเตรียมการเพื่อนำเรือเข้าสู่อู่แห้งคิงจอร์จที่ 5 เมื่อเรือมาถึง[6] ชื่อพนักงานของอู่เรือบราวน์ถูกจองไว้ที่โรงแรมท้องถิ่นในเซาแทมป์ตันเพื่อสร้างข้อมูลเท็จและกัปตันจอห์น ทาวน์ลีย์ได้แต่งตั้งเป็นกัปตันคนแรกของเรือ ก่อนหน้านี้ทาวน์ลีย์เคยบังคับการเรืออควิเทเนียในการเดินทางครั้งหนึ่ง และเรือขนาดเล็กหลายลำของคูนาร์ดก่อนหน้านั้น ทาวน์ลีย์และลูกเรือคูนาร์ด 400 คนที่ได้รับการเซ็นสัญญาอย่างเร่งด่วนได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทก่อนออกเดินทางว่าให้เตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางที่พวกเขาอาจต้องอยู่ห่างจากบ้านนานถึงหกเดือน[7]เมื่อถึงต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1940 ควีนอลิซาเบธก็พร้อมสำหรับการเดินทางลับ สีของคูนาร์ดถูกทาทับด้วยสีเทาประจัญบาน และในเช้าวันที่ 3 มีนาคม ควีนอลิซาเบธก็ออกจากที่จอดเรือในแม่น้ำไคลด์อย่างเงียบ ๆ และแล่นออกไปจากแม่น้ำเพื่อมุ่งหน้าลงใต้ตามแนวชายฝั่ง ที่นั่นเธอพบกับผู้ส่งสารของกษัตริย์ (King's Messenger)[6] ซึ่งมอบคำสั่งลับปิดผนึกโดยตรงให้แก่กัปตัน ขณะรอผู้ส่งสาร เรือได้รับการเติมเชื้อเพลิง รวมถึงมีการปรับเข็มทิศของเรือและทดสอบอุปกรณ์ขั้นสุดท้ายบางอย่างก่อนที่เธอจะแล่นไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นความลับ[ต้องการอ้างอิง]กัปตันทาวน์ลีย์พบว่าเขาจะต้องนำเรือตรงไปยังนิวยอร์กในสหรัฐซึ่งขณะนั้นเป็นกลาง โดยไม่หยุด หรือแม้แต่ชะลอความเร็วเพื่อส่งเจ้าหน้าที่นำร่องท่าเรือเซาแทมป์ตันซึ่งขึ้นเรือที่ไคลด์แบงก์ และต้องรักษาความเงียบทางวิทยุอย่างเคร่งครัด ต่อมาในวันนั้น ในเวลาที่เธอมีกำหนดจะเดินทางมาถึงเซาแธมป์ตัน เมืองนั้นก็ถูกทิ้งระเบิดโดยกองทัพอากาศเยอรมัน[6] หลังการเดินทางข้ามมหาสมุทรแบบซิกแซกเป็นเวลาหกวันเพื่อเลี่ยงเรือดำน้ำเยอรมัน ควีนอลิซาเบธก็ยังคงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยความเร็วเฉลี่ย 26 นอต ที่นิวยอร์ก เธอพบว่าตัวเองจอดเทียบท่าอยู่ข้าง ๆ ทั้งควีนแมรีและนอร์ม็องดีของสายการเดินเรือฝรั่งเศส นับเป็นครั้งเดียวที่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสามลำได้จอดเทียบท่าพร้อมกัน[6] กัปตันทาวน์ลีย์ได้รับโทรเลขสองฉบับเมื่อเดินทางมาถึง ฉบับหนึ่งจากภรรยาของเขาที่แสดงความยินดี และอีกฉบับหนึ่งจากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ทรงขอบคุณเขาสำหรับการส่งมอบเรืออย่างปลอดภัย จากนั้นเรือก็ถูกรักษาความปลอดภัยเพื่อไม่ให้ใครขึ้นเรือได้โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า รวมถึงเจ้าหน้าที่ท่าเรือด้วย[6]
- อาร์เอ็มเอส ควีนแมรี 2 – การทดลองของเธอดำเนินการออกเป็นสองช่วง คือระหว่างวันที่ 25–29 กันยายนและ 7–11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 โดยแต่ละช่วงใช้เวลาสี่วันในทะเล เดินทางไปมาระหว่างเกาะเบลล์-อีลและเกาะลีล-ดีเยอนอกชายฝั่งฝรั่งเศส ในการทดลองแต่ละครั้งมีคน 450 คนอยู่บนเรือ รวมถึงวิศวกร ช่างเทคนิค ตัวแทนเจ้าของและบริษัทประกันภัย รวมถึงลูกเรือ[8]
- ยูเอสเอส เทรเชอร์ (SSN-593) – สูญหายระหว่างการทดสอบดำน้ำลึกเมื่อ 10 เมษายน ค.ศ. 1963
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Lewis, Principles of Naval Architecture, Volume II, Section 15, p. 316 (Maneuvering Trials and Performance
- ↑ Lewis, Principles of Naval Architecture, Volume II, Section 7.3, p. 140 (Seakeeping Performance Criteria and Seaway Response).
- ↑ Ballard Robert F. & Spencer Dunmore (with paintings by Ken Marschall); Exploring the Lusitania: Probing the Mysteries of the Sinking that Changed History; Warner/ Madison Press; 1995; ppg. 22- 23
- ↑ Ballard Robert F. & Rich Archbold (with paintings by Ken Marschall); Lost Liners; ppg 168, 170
- ↑ Braynard, Frank; Picture History of the Normandie; Dover Publications, Inc., 1987; pg. 16–17
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 6.6 6.7 6.8 Maxtone-Graham, John. The Only Way to Cross. New York: Collier Books, 1972, pp. 358–60
- ↑ Floating Palaces. (1996) A&E. TV Documentary. Narrated by Fritz Weaver
- ↑ Plisson, Philip; Queen Mary 2: The Birth of a Legend; Harry N. Abrams, Inc, Publishers; 2004; ppg. 24- 25