ข้ามไปเนื้อหา

การทดลองเดินเรือ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไททานิกออกจากเบลฟาสต์ระหว่างการทดลองเดินเรือ

การทดลองเดินเรือ (อังกฤษ: sea trial) หรือ การเดินทางทดลอง (trial trip) คือขั้นตอนการทดสอบพาหนะทางน้ำ (รวมถึงเรือเล็ก เรือใหญ่ และเรือดำน้ำ) นอกจากนี้ยังถูกเรียกว่า "การทดลองแล่นเรือ" (shakedown cruise) โดยบุคลากรของกองทัพเรือหลายคน โดยปกติแล้ว นี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการก่อสร้างและจะดำเนินการในทะเลเปิด ซึ่งสามารถใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน

การทดลองเดินเรือจะดำเนินการเพื่อวัดสมรรถนะและสภาพพร้อมออกทะเลโดยรวมของเรือ ปกติแล้วจะมีการทดสอบความเร็วของเรือ ความคล่องตัว อุปกรณ์และคุณสมบัติด้านความปลอดภัย โดยทั่วไปจะมีตัวแทนทางเทคนิคจากผู้สร้าง (และจากผู้สร้างระบบหลัก) เจ้าหน้าที่กำกับดูแลและออกใบรับรอง รวมถึงตัวแทนจากเจ้าของเข้าร่วม การทดลองเดินเรือที่ประสบความสำเร็จจะนำไปสู่การรับรองเรือเพื่อการขึ้นระวางและรับมอบโดยเจ้าของในลำดับถัดไป

แม้การทดลองเดินเรือโดยทั่วไปมักคิดว่าทำกับเรือที่สร้างขึ้นใหม่เท่านั้น (ผู้ต่อเรือเรียกว่า 'การทดลองของผู้สร้าง') แต่ก็มีการดำเนินเป็นประจำกับเรือที่ประจำการอยู่แล้วด้วยเช่นกัน สำหรับเรือใหม่ การทดลองเหล่านี้ใช้เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อกำหนดการก่อสร้าง ส่วนบนเรือที่ประจำการอยู่แล้ว โดยทั่วไปจะใช้เพื่อยืนยันผลกระทบของการดัดแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้น

การทดลองเดินเรือยังสามารถหมายถึงการเดินทางทดสอบระยะสั้นที่ดำเนินการโดยผู้ซื้อที่มีศักยภาพของเรือใหม่หรือเรือมือสองเพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจว่าจะซื้อเรือลำนั้นหรือไม่

ประเภท

[แก้]
เรือใหม่ของโนบิสครุก ซาบีเนอโฮวัลท์ กำลังทดลองเดินเรือในคีลฟยอร์ดเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1958

การทดลองเดินเรือมีมาตรฐานค่อนข้างชัดเจนโดยอาศัยเอกสารทางเทคนิคที่เผยแพร่โดย ITTC (International Towing Tank Conference), SNAME (Society of Naval Architects and Marine Engineers), BMT (British Maritime Technology), หน่วยงานกำกับดูแลหรือเจ้าของเรือเอง การทดลองเหล่านี้ครอบคลุมถึงการสาธิตและการทดสอบระบบและสมรรถนะของเรือ

ทดลองความเร็ว

[แก้]

เพื่อทดลองความเร็ว (speed trials) เรือจะถูกถ่วงน้ำหนักหรือบรรทุกให้ได้ระดับกินน้ำลึกตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและเครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าที่กำลังเดินเครื่องสูงสุดตามสัญญา โดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตรากำลังต่อเนื่องสูงสุดของเครื่องจักร (เช่น 90% ของ MCR) ทิศทางของเรือจะถูกปรับให้ลมและกระแสน้ำเข้าปะทะหัวเรือให้มากที่สุด เรือจะถูกปล่อยให้ทำความเร็ว และจะมีการบันทึกความเร็วอย่างต่อเนื่องโดยใช้ GPS แบบสัมพัทธ์ การทดลองจะดำเนินการด้วยความเร็วที่ต่างกันรวมถึงความเร็วใช้งาน (ความเร็วออกแบบ) และความเร็วสูงสุด จากนั้นเรือจะหันกลับ 180 องศาและทำตามขั้นตอนเดิมอีกครั้ง เพื่อลดผลกระทบจากลมและกระแสน้ำ "การทดลองความเร็ว" ขั้นสุดท้ายจะถูกกำหนดโดยการหาค่าเฉลี่ยของความเร็วที่วัดได้ทั้งหมดในแต่ละรอบของการแล่น ขั้นตอนนี้อาจทำซ้ำในสภาวะทะเลที่ต่างกัน

หยุดกะทันหัน

[แก้]

เพื่อทดสอบการหยุดกะทันหัน (crash stop) เรือจะถูกถ่วงน้ำหนักหรือบรรทุกให้ได้ระดับกินน้ำลึกตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและเครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าที่กำลังเดินเครื่องสูงสุดตามสัญญา โดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตรากำลังต่อเนื่องสูงสุดของเครื่องจักร การทดลองจะเริ่มขึ้นเมื่อมีการออกคำสั่ง "ดำเนินการหยุดกะทันหัน" ("Execute Crash Stop") ณ จุดนี้ เครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าไปที่ถอยหลังเต็มตัว (full-astern) และหางเสือจะถูกหมุนไปจนสุดไม่ว่าจะเป็นไปทางกราบซ้ายหรือขวา ความเร็ว ตำแหน่ง และทิศทางจะถูกบันทึกอย่างต่อเนื่องโดยใช้ GPS แบบสัมพัทธ์ จากนั้นจะคำนวณเวลาสุดท้ายที่ใช้ในการหยุด (เช่น ความเร็วเรือเป็น 0 นอต) เส้นทางการเคลื่อนที่ ระยะเบน (drift) (ระยะทางที่เคลื่อนที่ตั้งฉากกับเส้นทางเดิม) และระยะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า (advance) (ระยะทางที่เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางเดิม) การทดลองนี้อาจทำซ้ำได้ที่ความเร็วเริ่มต้นที่ต่างกัน

ความทนทาน

[แก้]

ระหว่างการทดลองความทนทาน (endurance) เรือจะถูกถ่วงน้ำหนักหรือบรรทุกให้ได้ระดับกินน้ำลึกตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและเครื่องจักรขับเคลื่อนจะถูกตั้งค่าที่กำลังเดินเครื่องสูงสุดตามสัญญา ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตรากำลังต่อเนื่องสูงสุดของเครื่องจักร จากนั้นจะมีการบันทึกอัตราการไหลของเชื้อเพลิง อุณหภูมิไอเสียและน้ำหล่อเย็น รวมถึงความเร็วของเรือไว้ทั้งหมด

ความคล่องตัว

[แก้]

การทดลองความคล่องตัว (maneuvering trials) ครอบคลุมการทดลองหลายประเภทเพื่อพิจารณาความคล่องตัวและความเสถียรทิศทางของเรือ โดยการทดลองเหล่านี้รวมถึงการเดินเรือแบบวงก้นหอยทั้งแบบตรงและแบบย้อนกลับ การเดินเรือแบบซิกแซก และการใช้เครื่องขับดันด้านข้าง[1]

ความทนทะเล

[แก้]

การลองความทนทะเล (seakeeping trials) เดิมทีใช้เฉพาะกับเรือโดยสารเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้กับเรือหลากหลายประเภท การทดลองนี้เกี่ยวข้องกับการวัดการเคลื่อนที่ของเรือในสภาพทะเลต่าง ๆ (sea states) หลังจากนั้นจะมีการวิเคราะห์ชุดข้อมูลเพื่อ ประเมินระดับความสบาย โอกาสเกิดอาการเมาเรือและความเสียหายต่อตัวเรือ การทดสอบมักยืดเยื้อเนื่องจากความไม่แน่นอนในการหาสภาพทะเลที่เหมาะสม และความจำเป็นในการดำเนินการทดสอบที่ทิศทางและความเร็วที่ต่างกัน[2]

การทดลองเดินเรือที่น่าสังเกต

[แก้]
  • อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย – ระหว่างเดินเครื่องด้วยความเร็วสูง พบว่ามีแรงสั่นสะเทือนรุนแรงบริเวณท้ายเรือในระหว่างการทดลองเดินเรือ สิ่งนี้ทำให้ผู้สร้าง จอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี ต้องเสริมความแข็งแรงบริเวณนั้นก่อนจะได้รับการยอมรับจากสายการเดินเรือคูนาร์ด[3]
  • แอ็สแอ็ส นอร์ม็องดี – ระหว่างทดลองเดินเรือ มีการตรวจพบการสั่นสะเทือนที่บริเวณท้ายเรือ ท้ายเรือจึงได้รับการเสริมความแข็งแรงและได้รับการยอมรับจากเจ้าของเรือ กงเปญีเฌเนราลทร็องซัตล็องติก จากนั้นจึงเดินหน้าออกเดินทางในเที่ยวเรือปฐมฤกษ์ การสั่นสะเทือนรุนแรงมากพอจะต้องย้ายผู้โดยสารชั้นนักท่องเที่ยวและลูกเรือบางส่วนที่มีห้องพักใกล้บริเวณที่ได้รับผลกระทบ ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขในภายหลังโดยการเปลี่ยนใบจักรจากเดิมที่เป็นแบบสามพวงมาเป็นแบบสี่พวง[4][5]
  • อาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ – ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง มีการตัดสินใจว่าควีนเอลิซาเบธมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความพยายามทำสงครามจนกระทั่งการเคลื่อนไหวของเรือลำนี้จะต้องไม่ถูกติดตามโดยสายลับเยอรมันที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ไคลด์แบงก์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการสร้างอุบายที่ซับซ้อนขึ้นมา โดยให้เรือแสร้งออกเดินทางไปเซาแทมป์ตันเพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ให้แล้วเสร็จ[6] อีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้ควีนเอลิซาเบธต้องออกเดินทางคือความจำเป็นในการเคลียร์ที่จอดเรือสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ที่อู่ต่อเรือเพื่อให้เรือประจัญบาน เรือหลวงดยุกออฟยอร์ก[6] ซึ่งจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสุดท้ายสามารถเข้ามาใช้ที่จอดเรือได้ มีเพียงที่จอดเรือของจอห์นบราวน์เท่านั้นที่สามารถรองรับความต้องการของเรือประจัญบานชั้นคิงจอร์จที่ 5 ได้
    ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จำกัดวันที่เรือจะออกจากท่าอย่างลับ ๆ คือ ปีนั้นมีน้ำขึ้นสูงสุดเพียงสองครั้งเท่านั้นที่ระดับน้ำจะสูงพอให้ควีนเอลิซาเบธออกจากอู่เรือไคลด์แบงก์[6] และหน่วยข่าวกรองเยอรมันก็ทราบข้อเท็จจริงนี้ดี ลูกเรือจำนวนน้อยที่สุด 400 คนได้รับมอบหมายให้เดินทางในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ถูกย้ายมาจากอาควิเทเนียเพื่อการเดินทางเลียบชายฝั่งสั้น ๆ ไปยังเซาแทมป์ตัน[6] ชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกขนส่งไปยังเซาแทมป์ตัน และมีการเตรียมการเพื่อนำเรือเข้าสู่อู่แห้งคิงจอร์จที่ 5 เมื่อเรือมาถึง[6] ชื่อพนักงานของอู่เรือบราวน์ถูกจองไว้ที่โรงแรมท้องถิ่นในเซาแทมป์ตันเพื่อสร้างข้อมูลเท็จและกัปตันจอห์น ทาวน์ลีย์ได้แต่งตั้งเป็นกัปตันคนแรกของเรือ ก่อนหน้านี้ทาวน์ลีย์เคยบังคับการเรืออควิเทเนียในการเดินทางครั้งหนึ่ง และเรือขนาดเล็กหลายลำของคูนาร์ดก่อนหน้านั้น ทาวน์ลีย์และลูกเรือคูนาร์ด 400 คนที่ได้รับการเซ็นสัญญาอย่างเร่งด่วนได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทก่อนออกเดินทางว่าให้เตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทางที่พวกเขาอาจต้องอยู่ห่างจากบ้านนานถึงหกเดือน[7]
    เมื่อถึงต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1940 ควีนอลิซาเบธก็พร้อมสำหรับการเดินทางลับ สีของคูนาร์ดถูกทาทับด้วยสีเทาประจัญบาน และในเช้าวันที่ 3 มีนาคม ควีนอลิซาเบธก็ออกจากที่จอดเรือในแม่น้ำไคลด์อย่างเงียบ ๆ และแล่นออกไปจากแม่น้ำเพื่อมุ่งหน้าลงใต้ตามแนวชายฝั่ง ที่นั่นเธอพบกับผู้ส่งสารของกษัตริย์ (King's Messenger)[6] ซึ่งมอบคำสั่งลับปิดผนึกโดยตรงให้แก่กัปตัน ขณะรอผู้ส่งสาร เรือได้รับการเติมเชื้อเพลิง รวมถึงมีการปรับเข็มทิศของเรือและทดสอบอุปกรณ์ขั้นสุดท้ายบางอย่างก่อนที่เธอจะแล่นไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นความลับ[ต้องการอ้างอิง]
    กัปตันทาวน์ลีย์พบว่าเขาจะต้องนำเรือตรงไปยังนิวยอร์กในสหรัฐซึ่งขณะนั้นเป็นกลาง โดยไม่หยุด หรือแม้แต่ชะลอความเร็วเพื่อส่งเจ้าหน้าที่นำร่องท่าเรือเซาแทมป์ตันซึ่งขึ้นเรือที่ไคลด์แบงก์ และต้องรักษาความเงียบทางวิทยุอย่างเคร่งครัด ต่อมาในวันนั้น ในเวลาที่เธอมีกำหนดจะเดินทางมาถึงเซาแธมป์ตัน เมืองนั้นก็ถูกทิ้งระเบิดโดยกองทัพอากาศเยอรมัน[6] หลังการเดินทางข้ามมหาสมุทรแบบซิกแซกเป็นเวลาหกวันเพื่อเลี่ยงเรือดำน้ำเยอรมัน ควีนอลิซาเบธก็ยังคงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยความเร็วเฉลี่ย 26 นอต ที่นิวยอร์ก เธอพบว่าตัวเองจอดเทียบท่าอยู่ข้าง ๆ ทั้งควีนแมรีและนอร์ม็องดีของสายการเดินเรือฝรั่งเศส นับเป็นครั้งเดียวที่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสามลำได้จอดเทียบท่าพร้อมกัน[6] กัปตันทาวน์ลีย์ได้รับโทรเลขสองฉบับเมื่อเดินทางมาถึง ฉบับหนึ่งจากภรรยาของเขาที่แสดงความยินดี และอีกฉบับหนึ่งจากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ทรงขอบคุณเขาสำหรับการส่งมอบเรืออย่างปลอดภัย จากนั้นเรือก็ถูกรักษาความปลอดภัยเพื่อไม่ให้ใครขึ้นเรือได้โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า รวมถึงเจ้าหน้าที่ท่าเรือด้วย[6]
  • อาร์เอ็มเอส ควีนแมรี 2 – การทดลองของเธอดำเนินการออกเป็นสองช่วง คือระหว่างวันที่ 25–29 กันยายนและ 7–11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 โดยแต่ละช่วงใช้เวลาสี่วันในทะเล เดินทางไปมาระหว่างเกาะเบลล์-อีลและเกาะลีล-ดีเยอนอกชายฝั่งฝรั่งเศส ในการทดลองแต่ละครั้งมีคน 450 คนอยู่บนเรือ รวมถึงวิศวกร ช่างเทคนิค ตัวแทนเจ้าของและบริษัทประกันภัย รวมถึงลูกเรือ[8]
  • ยูเอสเอส เทรเชอร์ (SSN-593) – สูญหายระหว่างการทดสอบดำน้ำลึกเมื่อ 10 เมษายน ค.ศ. 1963

อ้างอิง

[แก้]
  1. Lewis, Principles of Naval Architecture, Volume II, Section 15, p. 316 (Maneuvering Trials and Performance
  2. Lewis, Principles of Naval Architecture, Volume II, Section 7.3, p. 140 (Seakeeping Performance Criteria and Seaway Response).
  3. Ballard Robert F. & Spencer Dunmore (with paintings by Ken Marschall); Exploring the Lusitania: Probing the Mysteries of the Sinking that Changed History; Warner/ Madison Press; 1995; ppg. 22- 23
  4. Ballard Robert F. & Rich Archbold (with paintings by Ken Marschall); Lost Liners; ppg 168, 170
  5. Braynard, Frank; Picture History of the Normandie; Dover Publications, Inc., 1987; pg. 16–17
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 6.6 6.7 6.8 Maxtone-Graham, John. The Only Way to Cross. New York: Collier Books, 1972, pp. 358–60
  7. Floating Palaces. (1996) A&E. TV Documentary. Narrated by Fritz Weaver
  8. Plisson, Philip; Queen Mary 2: The Birth of a Legend; Harry N. Abrams, Inc, Publishers; 2004; ppg. 24- 25