กาชาดเยอรมัน
Deutsches Rotes Kreuz | |
![]() เครื่องหมายกาชาดเยอรมัน | |
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1864 |
---|---|
ผู้ก่อตั้ง | ดร.อาร็อน ซิลเวร์มัน |
ก่อตั้งที่ | เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี |
ประเภท | ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม |
สถานะตามกฎหมาย | ยังคงอยู่ |
สํานักงานใหญ่ | เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี |
สมาชิก | 4 ล้านคน |
ภาษาทางการ | เยอรมัน |
กาชาดเยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Rotes Kreuz, เสียงอ่านภาษาเยอรมัน: [ˈdɔʏtʃəs ˈʁoːtəs kʁɔʏts]) หรือ เดแอร์คา (DRK) เป็นสภากาชาดแห่งชาติในประเทศเยอรมนี
ด้วยสมาชิก 4 ล้านคน[1] กาชาดเยอรมันจึงเป็นสภากาชาดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก กาชาดเยอรมันให้บริการที่หลากหลายทั้งในและนอกประเทศเยอรมนี กาชาดเยอรมันให้บริการโรงพยาบาล 52 แห่ง, การดูแลผู้สูงอายุ (สถานพยาบาลกว่า 500 แห่ง และเครือข่ายการพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินสำหรับผู้สูงอายุ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ), การดูแลเด็กและเยาวชน (เช่น โรงเรียนอนุบาล 1,300 แห่ง, บริการด้านสังคมสำหรับเด็กอย่างเต็มรูปแบบ) กาชาดเยอรมันยังให้บริการโลหิต 75 เปอร์เซ็นต์ในเยอรมนี และ 60 เปอร์เซ็นต์ของบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศเยอรมนี เช่นเดียวกับการฝึกอบรมการปฐมพยาบาล นอกจากนี้ สำนักงานใหญ่ของกาชาดเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (การจัดการภัยพิบัติและความช่วยเหลือด้านการพัฒนา) ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก[2]
สมาคมอาสาสมัครของกาชาดเยอรมัน
[แก้]สมาชิกกาชาดที่สมัครใจส่วนใหญ่ดำเนินงานอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมอาสาสมัครทั้งห้าของกาชาดเยอรมัน
- เบไรท์ชัฟเทน (หน่วยบริการทางการแพทย์ ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 160,000 คน)
- แบร์ควัคท์ (ให้บริการช่วยชีวิตบนภูเขา)
- วัสแซร์วัคท์ (ให้บริการช่วยชีวิตคนตกน้ำ ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 130,000 คน)
- โซซิอาลาร์ไบท์ (งานสังคมสงเคราะห์)
- ยูเกนดร็อทคร็อยทซ์ (ยุวกาชาด)
ประวัติ
[แก้]การก่อตัวและช่วงปีแรก
[แก้]


ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1864 โดย ดร.อาร็อน ซิลเวอร์มัน แห่งโรงพยาบาลชารีเทที่เบอร์ลิน กาชาดเยอรมันเป็นองค์การให้ความช่วยเหลือพลเรือนโดยสมัครใจ ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากอนุสัญญาเจนีวาใน ค.ศ. 1929
นายพล คูร์ท ฟ็อน ฟูเอิล ได้เป็นประธานคณะกรรมการกลางของสภากาชาดแห่งชาติเยอรมันในช่วงมหาสงคราม[3][4]

หนึ่งในเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายทำให้กาชาดเยอรมันไม่สามารถมีส่วนร่วมในเรื่องการทหาร เป็นผลให้ตลอดเวลาสาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้การนำของโยอาคิม ฟ็อน วินเทอร์เฟ็ลท์-เม็นเค็น กาชาดเยอรมันได้กลายเป็นองค์กรระดับชาติที่เน้นสวัสดิการสังคม[5]
ยุคนาซีเยอรมนี
[แก้]ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1933 วิลเฮ็ล์ม ฟริค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไรซ์นาซีได้กล่าวกับวินเทอร์เฟ็ลท์-เม็นเค็น อย่างชัดเจนว่านโยบายนี้จะไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป; ซึ่งกาชาดเยอรมันได้คาดว่าจะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธในความขัดแย้งในอนาคตแทน หลังจากนั้นไม่นาน กาชาดเยอรมันได้รับแจ้งว่าหัวหน้าของเหล่าทหารแพทย์เอ็สอา ดร.เพาล์ ฮอชไอเซิน ได้รับมอบหน้าที่รับผิดชอบในองค์กรพยาบาลโดยสมัครใจ
วันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1933 ฟริคได้รับเชิญให้ไปพูดในงานวันกาชาด เขาประกาศว่า:
"กาชาดเป็นสิ่งที่เหมือนจิตสำนึกของคนในชาติ ... ร่วมกับชาติ กาชาดพร้อมที่จะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อเป้าหมายอันสูงส่งของท่านผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ของพวกเรา"[6]
กาชาดเยอรมันสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าวินเทอร์เฟ็ลท์-เม็นเคิน นั้นต่อต้านระบบของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาโดยตลอด[7] ส่วนสันนิบาตกรรมกรสะมาริตัน ซึ่งเป็นองค์กรด้านมนุษยธรรมฝ่ายซ้าย เป็นคู่แข่งที่ไม่เป็นที่พอใจของกาชาดเยอรมันมาโดยตลอด[8] ฮอชไอเซินได้กำหนดอย่างรวดเร็วว่าควรรับช่วงต่อโดยกาชาดเยอรมัน ในทำนองเดียวกัน กาชาดเยอรมันได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดสมาชิกฝ่ายซ้าย และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1933 ก็มีมติว่าควรนำ "กฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูวิชาชีพข้าราชการ" ของนาซีมาใช้และไล่พนักงานชาวยิวออก
อย่างไรก็ตาม กาชาดเยอรมันยังคงเป็นสมาชิกของขบวนการกาชาด และประเทศเยอรมนียังคงเป็นผู้ลงนามในอนุสัญญาเจนีวา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใช้ "ไกลช์ชัลทุง" ในระดับเดียวกันกับกาชาดเยอรมันเช่นเดียวกับองค์กรอื่น ๆ ทัศนคติของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศที่มีต่อการกีดกันชาวยิวของกาชาดเยอรมันต่อมาได้แสดงออกในจดหมายที่เขียนโดยมักซ์ ฮูเบอร์ ใน ค.ศ. 1939 ตามที่เขากล่าว ภาระหน้าที่หลักของการปฏิบัติอย่างเป็นกลางตามที่คาดหวังไว้ในอนุสัญญาเจนีวาคือต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ไม่ใช่ต่อผู้ช่วยเหลือ เขาแย้งว่าเนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ที่ขัดแย้งกับกฎหมายของประเทศ จึงควรใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นดีกว่าที่จะเสี่ยงต่อการสลายการเคลื่อนไหวของสภากาชาดสากล[9]
แม้จะมีความภักดีต่อระบอบการปกครองของวินเทอร์เฟลท์-เม็นเคิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับการตอบสนองและมีการหาสิ่งทดแทน ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และได้เลือกเจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ผู้เป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แทนที่จะเป็นโฮไคเซิน ซึ่งเจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท ได้ย้ายจากอังกฤษไปเยอรมนีเมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา โดยต่อมาได้รับหน้าที่เป็นนายพลในกองทัพบกเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รวมถึงได้สนับสนุนขบวนการพวกฝ่ายขวาโดยทั่วไปเป็นเวลานาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อฮิตเลอร์ ซึ่งพระองค์ได้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของเหล่ายานยนต์สังคมนิยมแห่งชาติ
เจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท กลายเป็นประธานกาชาดเยอรมันในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1933 ในขณะที่ฮอชไอเซินกลายเป็นผู้ทำการแทนพระองค์ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาทำงานร่วมกันได้ไม่ดี ตามมาด้วยการแย่งชิงอำนาจโดยทั่วไปของนาซี ซึ่งในที่สุดฮอชไอเซินก็สามารถถือสิทธิ์อำนาจของเขาได้ – โดยมีแอ็นสท์-โรแบร์ท กราวิทซ์ แพทย์ชั้นนำของเอ็สเอ็สเท่านั้นที่จะถูกขับออกไปในช่วงต้น ค.ศ. 1937 กระทั่งในตอนท้ายของ ค.ศ. 1938 กาชาดเยอรมันได้เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์การสวัสดิการสังคมของกระทรวงมหาดไทย และกลายเป็นหน่วยงานของนาซีโดยพฤตินัย ซึ่งนำโดยกราวิทซ์ในตำแหน่ง 'รักษาการประธาน' โดยมีอ็อสวัลท์ โพล เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร[10] ซึ่งในขั้นตอนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ แม้ว่าเจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท จะประทับในตำแหน่งจนถึง ค.ศ. 1945 เนื่องจากพระองค์สัมพันธ์กับราชวงศ์ในยุโรปและพูดภาษาอังกฤษได้ดี พระองค์จึงเป็นบุคคลที่มีประโยชน์สำหรับกาชาดเยอรมัน แต่กราวิทซ์นั้นแตกต่างออกไป – เขาจะเข้าร่วมการประชุมกาชาดระหว่างประเทศในชุดเครื่องแบบเอ็สเอ็ส[11] กราวิทซ์ใช้แนวทางที่รุนแรงในงานของเขา เขาได้แนะนำสายการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นเข้าสู่กาชาดเยอรมัน และจัดให้มี "ตัวแทน" ที่ใหญ่โตและภูมิฐานคนใหม่- อาคารประธานที่จะสร้างขึ้นในพ็อทสดัม-บาเบ็ลสแบร์ค พร้อมด้วยระเบียงที่สามารถกล่าวสุนทรพจน์ได้[12] แนวคิดในอุดมคติของเขาสำหรับกาชาดเยอรมันคือ "โครงสร้างที่ดีต่อสุขภาพซึ่งจะเข้ากับกฎแห่งชีวิตในระบอบชาติสังคมนิยมไรช์ที่สาม"[13]
ในช่วงหลายปีหลังจากการยึดครองของนาซี เช่นเดียวกับการนำเอาการแสดงความเคารพและสัญลักษณ์ของนาซีมาใช้ กาชาดเยอรมันได้มุ่งเสนออุดมการณ์นาซีในการศึกษาของพวกเขา ทีมกู้ภัยได้รับการฝึกด้านการปฏิบัติการทางทหาร, แนวคิดพื้นฐานของลัทธิสังคมนิยมแห่งชาติ, พันธุศาสตร์, การรักษาอนามัยทางเชื้อชาติ และนโยบายด้านประชากรศาสตร์ เจ้าหน้าที่อาวุโสเพิ่มเติม เช่น แพทย์, พยาบาล, และผู้จัดการ ได้รับการศึกษาด้านนโยบายด้านประชากรศาสตร์, ประวัติศาสตร์ทางเชื้อชาติ, สุขอนามัยทางเชื้อชาติ, ชีววิทยาของการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพื้นฐานของพันธุกรรม[14] เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม กาชาดเยอรมันมุ่งเน้นไปที่การฝึกผู้คนในการจัดการกับการโจมตีทางอากาศและการโจมตีด้วยแก๊ส รวมถึงจัดให้มีการฝึกซ้อมร่วมกับตำรวจและหน่วยดับเพลิง[15]
ยุคหลังสงครามจนถึงปัจจุบัน
[แก้]หลังความพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลทหารฝ่ายสัมพันธมิตรได้ออกกฎหมายพิเศษห้ามพรรคนาซีและทุกเหล่าทัพของพรรค คำพิพากษาการขจัดนาซีนี้รู้จักกันในชื่อ "กฎหมายหมายเลขห้า" โดยได้ยุบกาชาดเยอรมัน เช่นเดียวกับทุกองค์การที่เชื่อมโยงกับพรรคนาซี องค์การสวัสดิการสังคม รวมทั้งสภากาชาดเยอรมัน จะต้องจัดตั้งขึ้นใหม่ในช่วงการฟื้นฟูหลังสงคราม ทั้งของประเทศเยอรมนีตะวันตก และสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี
สภากาชาดเยอรมันในเยอรมนีตะวันตกได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1952 ส่วนในประเทศเยอรมนีตะวันออก ด็อยเช็สโรเท็สคร็อยซ์แดร์เดเดแอร์ ได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1952 และได้รับการยอมรับจากสภากาชาดสากลเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1954 ซึ่งกาชาดตะวันออกได้ออกนิตยสารชื่อด็อยเช็สโรเท็สคร็อยซ์ (กาชาดเยอรมัน) ส่วนอัลเบิร์ท ชไวท์เซอร์ ได้กลายเป็นบุคคลตัวอย่าง ทั้งนี้ สถานะของกาชาดเยอรมันตะวันออกในฐานะหน่วยงานแยกต่างหากสิ้นสุดเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1991 เมื่อรวมกับกาชาดเยอรมันของอดีตเยอรมนีตะวันตก
ประธานสภากาชาดเยอรมัน
[แก้]ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นายพล คูร์ท ฟ็อน ฟูเอิล เป็นประธานคณะกรรมการกลางของสภากาชาดแห่งชาติเยอรมัน[16][17] และตั้งแต่ ค.ศ. 1921 สมาคมดังกล่าวได้มีประธานดังต่อไปนี้:
ลำดับ | ภาพ | ประธาน | เข้ารับตำแหน่ง | พ้นจากตำแหน่ง | ระยะเวลา |
---|---|---|---|---|---|
1 | โยอาคิม ฟ็อน วินแทร์เฟ็ลด์-เมนคิน (ค.ศ. 1865–ค.ศ. 1945) | ค.ศ. 1921 | ค.ศ. 1933 | 11–12 ปี | |
2 | เจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (ค.ศ. 1884–ค.ศ. 1954) | ธันวาคม ค.ศ. 1933 | ค.ศ. 1945 | 11–12 ปี | |
3 | อ็อทโท เก็สเลอร์ (ค.ศ. 1875–ค.ศ. 1955) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | ค.ศ. 1950 | ค.ศ. 1952 | 1–2 ปี | |
4 | ไฮน์ริช ไวทซ์ (ค.ศ. 1890–ค.ศ. 1962) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | ค.ศ. 1952 | ค.ศ. 1961 | 8–9 ปี | |
5 | ฮันส์ ริทเทอร์ ฟ็อน เล็คซ์ (ค.ศ. 1893–ค.ศ. 1970) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | ค.ศ. 1961 | ค.ศ. 1967 | 5–6 ปี | |
6 | วัลเทอร์ บาร์กัทซคี (ค.ศ. 1910–ค.ศ. 1998) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | ค.ศ. 1967 | ค.ศ. 1982 | 14–15 ปี | |
7 | โบโท พรินทซ์ ซู ไซน์-วิทเกินชไตน์-โฮเฮ็นชไตน์ (ค.ศ. 1927–ค.ศ. 2008) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | ค.ศ. 1982 | ค.ศ. 1994 | 11–12 ปี | |
8 | คนุท อิพเซิน (เกิด ค.ศ. 1935) | ค.ศ. 1994 | ค.ศ. 2003 | 8–9 ปี | |
9 | รูด็อล์ฟ ไซเทอส์ (เกิด ค.ศ. 1937) | พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 | 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 | 14 ปี | |
10 | แกร์ดา ฮัสเซ็ลเฟ็ลท์ (เกิด ค.ศ. 1950) | 1 ธันวาคม ค.ศ. 2017 | ดำรงตำแหน่งอยู่ | 7 ปี |
เลขาธิการสภากาชาดเยอรมัน
[แก้]กาชาดเยอรมันจนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง:[18]
- ค.ศ. 1887–1903: ดร. อ็อทโท ลีบเนอร์
- ค.ศ. 1903–1920: ศ. ลูทวิช คิมเมิล
- ค.ศ. 1920–1921: ดร. โทเด
- ค.ศ. 1921–1924: เพาล์ เดราท์
- ค.ศ. 1924–1934: ว็อล์ฟรัม ไฟรแฮร์ ฟ็อน โรเทินฮาน
- ค.ศ. 1935–1945: "ประธานรักษาการ" แอ็นสท์-โรแบร์ท กราวิทซ์
|
|
อ้างอิง
[แก้]การอ้างอิง
[แก้]- ↑ Kreuz, Deutsches Rotes (2019-05-17). "A self-portrayal of the Red Cross". DRK e.V. (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-29. สืบค้นเมื่อ 2020-01-23.
- ↑ ""Where we work", article on the GRC homepage". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-03. สืบค้นเมื่อ 2019-06-09.
- ↑ "Pursuit of an 'Unparalleled Opportunity'". www.gutenberg-e.org. สืบค้นเมื่อ 2019-06-11.
- ↑ "Pursuit of an 'Unparalleled Opportunity'". www.gutenberg-e.org. สืบค้นเมื่อ 2019-06-11.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 21.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 32.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 51.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 34-38.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 91, footnote 15.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 152.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 104.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 172-175.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 131.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 115.
- ↑ Morgenbrod & Merkenich 2008, p. 116.
- ↑ "Coordinating War Prisoner Relief: The American YMCA Expands WPA Work in Germany". www.gutenberg-e.org. สืบค้นเมื่อ 2016-06-16.
- ↑ "Pursuit of an 'Unparalleled Opportunity'". www.gutenberg-e.org. สืบค้นเมื่อ 2016-06-16.
- ↑ "DRK Bad Lauterberg". www.drk-lauterberg.de. สืบค้นเมื่อ 2016-06-16.[ลิงก์เสีย]
บรรณานุกรม
[แก้]- Morgenbrod, Birgitt; Merkenich, Stephanie (2008). Das Deutsche Rote Kreuz unter der NS-Diktatur 1933-1945 (ภาษาเยอรมัน). Paderborn: Verlag Ferdinand Schöningh. ISBN 978-3506765291.