ข้ามไปเนื้อหา

กองทัพอาสาประชาชน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กองทัพอาสาประชาชน
เครื่องหมายกองทัพ
สถาปนา1950–1958 (กำลังรบ)
1954–1994 (คณะผู้แทน)
ประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน
 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
รับใช้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน
เหล่า
รูปแบบหน่วยทหารผสม
กองกำลังรบนอกประเทศ
บทบาทการรบผสมเหล่า
การสงครามนอกประเทศ
ปกป้องเกาหลีเหนือ
ปกป้องภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
การโจมตีระยะสั้น
กำลังรบกำลังพลมากกว่า3 ล้านนาย[1]
กองบัญชาการเกาหลีเหนือ
สมญา最可爱的人
(ผู้เป็นที่รักยิ่ง)
คำขวัญ抗美援朝,保家卫国
(ไทย: "ต่อต้านสหรัฐ ช่วยเหลือเกาหลี ปกป้องบ้านเกิดเรา")
สีหน่วย  แดง
เพลงหน่วยเพลงสดุดีกองทัพอาสาประชาชนจีน [zh]
ปฏิบัติการสำคัญสงครามเกาหลี
ผู้บังคับบัญชา
ผบ.สำคัญเผิง เต๋อหวย
เฉิน เกิง
เติ้ง หฺวา
หง เสฺวจื้อ
หาน เซียนชู
ซ่ง ฉือหลุน
กองทัพอาสาประชาชน
อักษรจีนตัวย่อ中国人民志愿
อักษรจีนตัวเต็ม中國人民志願
ความหมายตามตัวอักษร"กองทัพอาสาประชาชนจีน"
เผิง เต๋อหวย ผู้บัญชาการและคอมมิสซาร์กองทัพฯ คนแรก (ค.ศ. 1950–1952)
เฉิน เกิง ผู้บัญชาการและคอมมิสซาร์กองทัพฯ คนทั่สอง (ค.ศ. 1952)
เติ้ง หฺวา ผู้บัญชาการและคอมมิสซาร์กองทัพฯ คนที่สาม (ค.ศ. 1952–1953)

กองทัพอาสาประชาชน (PVA) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ กองทัพอาสาประชาชนจีน (CPV)[2][3] เป็นกองกำลังติดอาวุธที่สาธารณรัฐประชาชนจีนส่งไปประจำการในสงครามเกาหลี[หมายเหตุ 1] แม้หน่วยทั้งหมดในกองทัพอาสาประชาชนจะถูกย้ายมาจากกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ตามคำสั่งของประธานเหมา เจ๋อตง แต่กองทัพอาสาประชาชนก็ถูกจัดตั้งขึ้นแยกต่างหากเพื่อเลี่ยงการทำสงครามอย่างเป็นทางการกับสหรัฐ กองทัพอาสาประชาชนเข้าสู่เกาหลีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ 1950 และถอนกำลังออกทั้งหมดภายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1958 ผู้บัญชาการและคอมมิสซาร์การเมืองที่ได้รับแต่งตั้งของกองทัพอาสาประชาชนคือเผิง เต๋อหวยก่อนจะมีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงใน ค.ศ. 1953 แม้เฉิน เกิง และเติ้ง หฺวาจะทำหน้าที่รักษาการผู้บัญชาการและคอมมิสซาร์หลังเดือนเมษายน ค.ศ. 1952 เนื่องจากเผิงป่วย หน่วยแรก (25 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1950) ในกองทัพอาสาประชาชนประกอบด้วยกองทัพน้อยที่ 38, 39, 40, 42, 50, และ 66 รวมกำลังพลทั้งหมด 250,000 นาย มีพลเรือนและบุคลากรทางการทหารของจีนประมาณ 3 ล้านคนเข้าร่วมปฏิบัติการในเกาหลีตลอดช่วงสงคราม

ภูมิหลัง

[แก้]

การก่อตัว

[แก้]

แม้ว่ากองบัญชาการสหประชาชาติ (UNC) จะอยู่ภายใต้บัญชาการของสหรัฐ แต่กองทัพนี้มีสถานะอย่างเป็นทางการเป็นกำลัง "ตำรวจ" ของสหประชาชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสงครามอย่างเปิดเผยกับสหรัฐและสมาชิกสหประชาชาติอื่น ๆ สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงส่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าไปในนาม "กองทัพอาสา"[4]

ในส่วนของชื่อนั้น มีความเห็นที่หลากหลาย ตามที่นักวิชาการบางคนระบุไว้ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 หลังสาธารณรัฐประชาชนจีนตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่จะส่งทหารไปยังเกาหลี ชื่อแรกของกองทัพนี้คือ "กองทัพสนับสนุน"[ต้องการอ้างอิง] อย่างไรก็ดี หวง เหยียนเผย์ รองนายกรัฐมนตรีแห่งสภาบริหารรัฐบาลในขณะนั้น ได้ให้ข้อเสนอแนะว่าชื่อ "กองทัพสนับสนุน" อาจทำให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้าใจว่าจีนกำลังส่งทหารเข้าไปในฐานะการรุกรานโดยตรงต่อสหรัฐ[ต้องการอ้างอิง] ดังนั้น ชื่อของกองทัพจึงถูกเปลี่ยนเป็น "กองทัพอาสา" และใช้ชื่อหน่วยและรูปแบบการจัดกำลังที่แตกต่างกันแทนเพื่อสร้างความประทับใจว่าจีนไม่ได้ตั้งใจจะประกาศสงครามกับสหรัฐ แต่ทหารจีนเข้าร่วมในสนามรบเกาหลีในฐานะอาสาสมัครแต่ละรายเท่านั้น กลับกัน การศึกษาล่าสุดบางส่วนแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจากคำแนะนำของหวงเพียงคนเดียว วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1950 โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีนได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กองทัพอาสา" แล้วในต้นฉบับเกี่ยวกับมติเรื่องเครื่องแบบและธงประจำกองทัพ" [ต้องการอ้างอิง]

แม้จะมีการโต้แย้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อจาก "กองทัพสนับสนุนประชาชน" เป็น "กองทัพอาสาประชาชน" แต่ชื่อนี้ยังเป็นเกียรติแก่กองทัพอาสาเกาหลีที่เคยช่วยเหลือคอมมิวนิสต์จีนในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองจีน ชื่อดังกล่าวยังช่วยลวงหน่วยข่าวกรองของสหรัฐและสหประชาชาติเกี่ยวกับขนาดและลักษณะของกองกำลังจีนที่เข้าสู่เกาหลี[5] ภายหลังพวกเขาจึงตระหนักว่ากองทัพอาสาประชาชนคือกองกำลังชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ (NEFF) ของกองทัพปลดปล่อยประชาชน โดยมีหน่วยรบอื่น ๆ ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนย้ายมาอยู่ภายใต้บัญชาการของกองกำลังชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือนี้เมื่อสงครามเกาหลียืดเยื้อออกไป[5][6] แต่ผลลัพธ์ก็คือพวกเขายังคงยอมรับชื่อ "กองทัพอาสาประชาชน" เพื่อจำกัดขอบเขตของสงครามให้อยู่ภายในคาบสมุทรเกาหลีและป้องกันไม่ให้สงครามบานปลาย

การตัดสินใจเข้าสู่สงคราม

[แก้]

วันที่ 30 มิถุนายน ห้าวันหลังสงครามอุบัตขึ้น โจวตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทางการทหารของจีนกลุ่มหนึ่งไปยังเกาหลีเหนือ เพื่อสร้างการสื่อสารที่ดีขึ้นกับคิม ละรวบรวมข้อมูลภาคสนามเกี่ยวกับการสู้รบ หนึ่งสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 7 กรกฎาคม โจวและเหมาเป็นประธานการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการเตรียมการทางทหารสำหรับความขัดแย้งในเกาหลี การประชุมอีกครั้งเกิดขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม ที่นี่มีการตัดสินใจว่ากองทัพน้อยที่สิบสามภายใต้กองทัพสนามที่สี่ของกองทัพปลดปล่อยประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยที่ได้รับการฝึกฝนและติดตั้งยุทโธปกรณ์ดีที่สุดในจีน จะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นกองทัพป้องกันชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NEBDA) ทันทีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ "การเข้าแทรกแซงในสงครามเกาหลีหากจำเป็น" วันที่ 13 กรกฎาคม คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (CMC) ได้ออกคำสั่งอย่างเป็นทางการให้จัดตั้ง NEBDA โดยแต่งตั้งให้เติ้ง หฺวา ผู้บัญชาการกองทัพน้อยที่สิบห้าและเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่มีความสามารถที่สุดในสงครามกลางเมืองจีน ให้ประสานงานความพยายามในการเตรียมการทั้งหมด[7]:11–12

วันที่ 20 สิงหาคม โจวแจ้งต่อสหประชาชาติว่า "เกาหลีเป็นเพื่อนบ้านของจีน... ประชาชนชาวจีนย่อมต้องกังวลเกี่ยวกับทางออกของปัญหาเกาหลี" ดังนั้น จีนจึงใช้ช่องทางทางการทูตผ่านประเทศที่เป็นกลางเพื่อเตือนว่า เพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติจีน พวกเขาจะเข้าแทรกแซงกองบัญชาการสหประชาชาติในเกาหลี[8] ประธานาธิบดีสหรัฐ แฮร์รี เอส. ทรูแมน ตีความการสื่อสารนี้ว่าเป็น "ความพยายามกรรโชกสหประชาชาติอย่างโจ่งแจ้ง" และไม่สนใจคำเตือนนั้น[9] เหมาออกคำสั่งให้ทหารของเขาเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการภายในสิ้นเดือนสิงหาคม ในทางตรงกันข้าม ผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน ลังเลที่จะยกระดับสงครามด้วยการเข้าแทรกแซงของจีน[10]

วันที่ 1 ตุลาคม ทูตโซเวียตส่งโทรเลขจากสตาลินถึงเหมาและโจวเพื่อขอให้จีนส่งทหาร 5–6 กองพลเข้าไปในเกาหลี ขณะเดียวกัน คิมก็ส่งคำขอที่ร้อนรนถึงเหมาเพื่อขอให้จีนเข้าแทรกแซงทางทหาร ในเวลาเดียวกันนั้น สตาลินก็แสดงจุดยืนชัดเจนว่ากองกำลังโซเวียตจะไม่เข้าแทรกแซงโดยตรง[11] ในการประชุมฉุกเฉินหลายครั้งที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 ถึง 5 ตุลาคม ผู้นำจีนถกเถียงกันว่าจะส่งทหารจีนเข้าไปในเกาหลีหรือไม่ มีการต่อต้านอย่างมากในหมู่ผู้นำหลายคน รวมถึงผู้นำทหารระดับสูง ต่อการเผชิญหน้ากับสหรัฐในเกาหลี[12] เหมาให้การสนับสนุนการแทรกแซงอย่างแข็งขัน และโจวเป็นหนึ่งในผู้นำจีนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สนับสนุนเขาอย่างหนักแน่น เหมาแต่งตั้งเผิง เต๋อหวยเป็นผู้บัญชาการกองกำลังจีนในเกาหลี เผิงให้เหตุผลว่าหากกองทัพสหรัฐยึดครองเกาหลีและไปถึงแม่น้ำยาลู่ พวกเขาอาจข้ามแม่น้ำและรุกรานจีนได้ ซึ่งที่ประชุมกรมการเมืองก็เห็นด้วยกับการเข้าแทรกแซงในเกาหลี[13] วันที่ 4 สิงหาคม เนื่องจากการบุกไต้หวันตามแผนเดิมต้องถูกยกเลิกไปเพราะมีกำลังทัพเรือสหรัฐจำนวนมาก เหมาได้รายงานต่อกรมการเมืองว่าเขาจะเข้าแทรกแซงในเกาหลีเมื่อกองกำลังรุกรานไต้หวันของกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้รับการจัดตั้งใหม่เป็นกองกำลังชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ[14]

สามผู้บัญชาการทหารของกองทัพอาสาประชาชนในช่วงสงครามเกาหลี จากซ้ายไปขวา: เฉิน เกิง (1952); เผิง เต๋อหวย (1950–1952); และเติ้ง หฺวา (1952–1953)

วันที่ 8 ตุลาคม หนึ่งวันหลังกองทัพสหประชาชาติข้ามเส้นขนานที่ 38 และเริ่มการรุกเข้าไปในเกาหลีเหนือ ประธานเหมาออกคำสั่งให้ย้ายกองกำลังชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือไปยังแม่น้ำยาลู่ เพื่อเตรียมพร้อมข้ามไป และเหมาได้เปลี่ยนชื่อกองกำลังชายแดนนตะวันออกเฉียงเหนือเป็นกองทัพอาสาประชาชน[15] เพื่อขอการสนับสนุนจากสตาลิน โจว เอินไหลและคณะผู้แทนจีนได้เดินทางถึงรัสเซียในวันที่ 10 ตุลาคม[16] พวกเขาปรึกษาหารือกับผู้นำระดับสูงของโซเวียต ซึ่งรวมถึงสตาลิน, วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ, ลัฟเรนตีย์ เบรียาและเกออร์กี มาเลนคอฟ เหมามองว่าการเข้าแทรกแซงนี้เป็นเพียงการป้องกันตัว โดยเขากล่าวกับสตาลินว่า: "หากเราปล่อยให้สหรัฐยึดครองเกาหลีทั้งหมด... เราต้องเตรียมพร้อมให้สหรัฐประกาศ... สงครามกับจีน"

เหมาสั่งชะลอการเคลื่อนกำลังพลออกไปเพื่อรอความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต ทำให้การโจมตีที่วางแผนไว้ถูกเลื่อนจากวันที่ 13 ตุลาคมไปเป็น 19 ตุลาคม ความช่วยเหลือจากโซเวียตจำกัดอยู่แค่การสนับสนุนทางอากาศ โดยไม่เข้าใกล้แนวหน้าเกิน 60 ไมล์ (97 กิโลเมตร) เครื่องบินขับไล่มิก-15ที่มีสีของสาธารณรัฐประชาชนจีนสร้างความประหลาดใจให้กับนักบินของสหประชาชาติอย่างมาก พวกมันครองความเป็นเจ้าอากาศในพื้นที่เหนือเครื่องบินขับไล่เอฟ-80 ชูตติงสตาร์กระทั่งเครื่องบินรุ่นใหม่กว่าอย่างเอฟ-86 เซเบอร์ถูกส่งเข้ามาประจำการ สหรัฐทราบถึงบทบาทของโซเวียตแต่เลือกจะไม่เปิดเผยเพื่อเลี่ยงเหตุการณ์ระหว่างประเทศที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ มีการกล่าวหาจากฝ่ายจีนว่าโซเวียตเคยตกลงว่าจะให้การสนับสนุนทางอากาศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริงทางตอนใต้ของเปียงยาง และสิ่งนี้ได้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเร่งให้เกิดความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต

สตาลินตกลงส่งยุทโธปกรณ์และกระสุนในตอนแรก แต่เตือนโจวว่ากองทัพอากาศโซเวียตจะต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือนเพื่อเตรียมปฏิบัติการใด ๆ ในการประชุมครั้งต่อมา สตาลินบอกกับโจวว่าเขาจะจัดหายุทโธปกรณ์ให้จีนในรูปแบบสินเชื่อและกองทัพอากาศโซเวียตจะปฏิบัติการเหนือแต่เหนือน่านฟ้าจีนเท่านั้น และหลังจากช่วงเวลาที่ไม่เปิดเผย สตาลินไม่ยอมตกลงจะส่งทั้งยุทโธปกรณ์ทางทหารหรือการสนับสนุนทางอากาศกระทั่งเดือนมีนาคม ค.ศ. 1951[17] เหมาไม่ได้มองว่าการสนับสนุนทางอากาศจากโซเวียตนั้นมีประโยชน์เป็นพิเศษ เนื่องจากจะมีการสู้รบเกิดขึ้นทางฝั่งใต้ของแม่น้ำยาลู่[18] เมื่อการขนส่งยุทโธปกรณ์ของโซเวียตมาถึง ก็มีจำนวนจำกัดแค่รถบรรทุก ระเบิดมือ ปืนกล และสิ่งอื่น ๆ ที่คล้ายกัน[19]

ในการประชุมวันที่ 13 ตุลาคม กรมการเมืองตัดสินใจว่าจีนจะเข้าแทรกแซงแม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนทางอากาศจากโซเวียต โดยอ้างความเชื่อที่ว่าขวัญกำลังใจที่เหนือกว่าสามารถเอาชนะศัตรูที่มีอุปกรณ์ที่เหนือกว่าได้[20] ทันทีที่เดินทางกลับถึงปักกิ่งในวันที่ 18 ตุลาคม โจวได้เข้าพบเหมา, เผิงและเกา และคณะได้ออกคำสั่งให้ทหารกองทัพอาสาประชาชนจำนวน 200,000 นายเข้าสู่เกาหลีเหนือ ซึ่งพวกเขาดำเนินการในวันที่ 19 ตุลาคม[21] การลาดตระเวนทางอากาศของสหประชาชาติประสบปัญหาในการตรวจจับหน่วยรบของกองทัพอาสาประชาชนในเวลากลางวัน เนื่องจากวินัยการเดินทัพและตั้งค่ายพักแรมของพวกเขาช่วยลดการตรวจจับจากทางอากาศได้อย่างมาก[22] กองทัพอาสาประชาชนจะเดินทัพในช่วง "กลางคืนถึงกลางคืน" (19:00–03:00 น.) และจะมีการพรางตัวจากทางอากาศ (อำพรางทหาร สัตว์สัมภาระ และอุปกรณ์) ภายในเวลา 05:30 น. ในระหว่างวัน หน่วยลาดตระเวนล่วงหน้าจะออกสำรวจหาจุดตั้งค่ายพักแรมถัดไป ในระหว่างกิจกรรมในเวลากลางวันหรือการเดินทัพ ทหารจะต้องอยู่นิ่ง ๆ หากมีเครื่องบินปรากฏตัว จนกว่าเครื่องบินจะบินจากไป[22] เจ้าหน้าที่ของกองทัพอาสาประชาชนได้รับคำสั่งให้ยิงผู้ที่ละเมิดวินัยดังกล่าว วินัยในสนามรบเช่นนี้ทำให้กองทัพที่มีสามกองพลสามารถเดินทัพได้ในระยะทาง 460 กิโลเมตร (286 ไมล์) จากอันตง แมนจูเรีย ไปยังเขตสู้รบได้ในเวลาประมาณ 19 วัน ส่วนอีกหนึ่งกองพลเดินทัพในเวลากลางคืนตามเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว โดยเฉลี่ยวันละ 29 กิโลเมตร (18 ไมล์) เป็นเวลา 18 วัน[23]

จีนให้เหตุผลในการเข้าร่วมสงครามว่าเป็นไปเพื่อตอบโต้สิ่งที่ตนเรียกว่า "การรุกรานของสหรัฐภายใต้หน้ากากสหประชาชาติ" ผู้กำหนดนโยบายของจีนเกรงว่าการรุกรานเกาหลีเหนือนำโดยสหรัฐเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่จะรุกรานจีนในท้ายที่สุด พวกเขายังวิตกเกี่ยวกับกิจกรรมต่อต้านการปฏิวัติที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ[20] คำแถลงต่อสาธารณะของแมกอาเทอร์ที่ว่าเขาต้องการขยายสงครามเกาหลีเข้าไปในจีน และฟื้นฟูระบอบระบอบก๊กมินตั๋งให้กลับคืนมาได้ตอกย้ำความกลัวนี้[20] ต่อมา จีนอ้างว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐได้ละเมิดน่านฟ้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนถึงสามครั้งและโจมตีเป้าหมายของจีนก่อนที่จีนจะเข้าแทรกแซงสงคราม

การล่มสลายของกองทัพประชาชนเกาหลีเหนือ (KPA) ในช่วงเดือนกันยายน/ตุลาคม ค.ศ. 1950 ภายหลังยุทธการที่อินช็อน, การรุกรอบปูซาน และการรุกตอบโต้ของสหประชาชาติในเดือนกันยายน ค.ศ. 1950 สร้างความตื่นตระหนกให้กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลจีนได้ออกคำเตือนว่าพวกเขาจะเข้าแทรกแซงหากกองกำลังที่ไม่ใช่ของเกาหลีใต้ข้ามเส้นขนานที่ 38 โดยอ้างถึงผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ

วันที่ 15 ตุลาคม ทรูแมนเดินทางไปที่เกาะเวกเพื่อหารือกับผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติ พลเอก ดักลาส แมกอาเทอร์ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จีนจะเข้าแทรกแซงและความต้องการของเขาที่จะจำกัดขอบเขตของสงครามเกาหลี แมกอาเทอร์ให้ความมั่นใจกับทรูแมนว่า "ถ้าคนจีนพยายามจะรุกคืบลงมาถึงเปียงยาง จะมีการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้น"

ยุทโธปกรณ์

[แก้]
เครื่องแบบของกองทัพอาสาประชาชน โปรดสังเกตขลุ่ยและฆ้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทหารกองทัพอาสาประชาชนนิยมใช้สำหรับการสื่อสารในการรบ

ทหารของกองทัพอาสาประชาชนได้รับการแต่งกายอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับต้นกำเนิดแบบกองโจรและทัศนคติแบบเสมอภาคของกองทัพปลดปล่อยประชาชน[24] ทุกยศสวมเสื้อและกางเกงที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าขนสัตว์ในชุดสีเขียวหรือสีกากี โดยชุดเครื่องแบบของผู้นำจะมีการตัดเย็บที่แตกต่างออกไป[25][26]

อาวุธปืนทั่วไปที่กองทัพอาสาประชาชนใช้

กำลังพลตามบัญชีของกองพลในกองทัพปลดปล่อยประชาชนอยู่ที่ 9,500 นาย โดยมีกรมหนึ่งประกอบด้วย 3,000 นายและกองพันหนึ่งประกอบด้วย 850 นาย อย่างไรก็ดี กองพลจำนวนมากที่ถูกส่งไปเกาหลีมีกำลังพลไม่เต็มจำนวนขณะที่กองพลที่ประจำการอยู่ตรงข้ามไต้หวันมีกำลังพลเกินจำนวน นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องการจัดกำลังและยุทโธปกรณ์ รวมถึงปริมาณและคุณภาพของยุทโธปกรณ์ทางทหารด้วย ยุทโธปกรณ์บางส่วนของกองทัพปลดปล่อยประชาชนมาจากกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นหรือยึดมาได้จากกองกำลังทหารก๊กมินตั๋ง อาวุธที่ผลิตในเชโกสโลวาเกียบางส่วนก็ถูกสาธารณรัฐประชาชนจีนซื้อมาจากตลาดเสรี[25]

ระหว่างการรุกครั้งแรกของกองทัพอาสาประชาชนในสงครามเกาหลีระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 1950 อาวุธของสหรัฐที่ยึดมาได้จำนวนมากถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเนื่องจากมีกระสุนที่จำเป็นและเป็นเพราะความยากลำบากที่เพิ่มขึ้นในการส่งเสบียงข้ามแม่น้ำยาลู่อันเนื่องมาจากปฏิบัติการสกัดกั้นทางอากาศหลายครั้งที่ดำเนินการโดยสหประชาชาติ นอกจากนี้ ยังมีการผลิตปืนกลมือทอมป์สันรุ่นที่ผลิตในท้องถิ่นของจีน ซึ่งอิงจากปืนประเภทที่เคยส่งออกและใช้ในจีนตั้งแต่ทศวรรษ 1930 และโดยกองกำลังสหประชาชาติในระหว่างสงครามเกาหลี[25]

ในช่วงต่อมา หลังจากปีแรกของสงครามเกาหลี สหภาพโซเวียตเริ่มส่งอาวุธและกระสุนจำนวนมากขึ้นให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเริ่มผลิตอาวุธโซเวียตบางประเภทโดยได้รับอนุญาต เช่น ปืนกลมือ PPSh-41 ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นไทป์ 50[27][28] นอกเหนือจากอาวุธโซเวียตที่เหลือใช้จากสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว สหภาพโซเวียตยังมอบอาวุธขนาดเล็กของเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองให้แก่จีน เช่น ปืนไรเฟิลคาราบีเนอร์ 98คา กระสุนปืน Mauser ส่วนเกินก็ถูกจัดหาโดยสหภาพโซเวียตหรือมีอยู่ในคลังที่กองกำลังก๊กมินตั๋งทิ้งไว้ซึ่งพวกเขาก็ใช้กระสุนของเยอรมนีเช่นกัน

ปฏิบัติการ

[แก้]

การทัพระยะแรก (25 ตุลาคม–5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1950)

[แก้]
ปันส่วนอาหารและชุดอุปกรณ์ทานอาหารของกองทัพอาสาประชาชน

วันที่ 19 ตุลาคม เปียงยางถูกกองกำลังสหประชาชาติยึดได้ ในวันเดียวกันนั้น กองทัพอาสาประชาชนเริ่มข้ามแม่น้ำยาลู่อย่างลับ ๆ การโจมตีครั้งแรกของกองทัพอาสาประชาชนเริ่มขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม ภายใต้บัญชาการของเผิง เต๋อหวยโดยมีทหารจำนวน 270,000 นาย (ในตอนนั้นสันนิษฐานกันว่าหลิน เปียวเป็นผู้รับผิดชอบ แต่แนวคิดนี้ได้ถูกหักล้างไปแล้ว)[29]

การโจมตีของกองทัพอาสาประชาชนสร้างความประหลาดใจให้กับกองกำลังสหประชาชาติและด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยมและความสามารถในการพรางตัวที่น่าทึ่ง กองทัพอาสาประชาชนได้ปกปิดจำนวนและความแข็งแกร่งของกองพลหลังการปะทะครั้งแรกกับกองกำลังสหประชาชาติ หลังจากนั้น ทหารจีนก็ถอนกำลังกลับไปยังภูเขา ซึ่งกองกำลังสหประชาชาติตีความว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอ และคิดว่าการโจมตีครั้งแรกนี้เป็นทั้งหมดที่กองทหารจีนสามารถทำได้

การทัพระยะที่สอง (25 พฤจิกายน–24 ธันวาคม ค.ศ. 1950)

[แก้]

วันที่ 25 พฤศจิกายน กองทัพอาสาประชาชนโจมตีอีกครั้งตามแนวรบเกาหลีทั้งหมด ทางทิศตะวันตก ในสมรภูมิแม่น้ำช็องช็อน กองทัพอาสาประชาชนได้โจมตีกองพลของสหประชาชาติหลายกองพล และเข้าโจมตีปีกของกองกำลังสหประชาชาติที่เหลืออย่างรุนแรง ส่งผลให้กองพลทหารราบที่ 2 ของสหรัฐได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1950 กองกำลังจีนยึดเปียงยางได้สำเร็จ เมืองนี้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของผู้อพยพพร้อมกับกองกำลังสหประชาชาติที่มุ่งหน้าลงใต้เพื่อเลี่ยงการรุกคืบของกองทัพอาสาประชาชน[30] การล่าถอยจากเกาหลีเหนือของกองกำลังสหประชาชาติในครั้งนี้เป็นการล่าถอยที่ยาวนานที่สุดของหน่วยรบอเมริกันในประวัติศาสตร์[31] ทางทิศตะวันออก ที่สมรภูมิอ่างเก็บน้ำโชชิน หน่วยเฉพาะกิจเฟท ซึ่งเป็นหน่วยทหาร 3,000 นายจากกองพลทหารราบที่ 7 ถูกล้อมโดยกองพลที่ 80 และ 81 ของกองทัพอาสาประชาชน หน่วยเฉพาะกิจเฟทสามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับกองพลของกองทัพอาสาประชาชนได้ แต่ในที่สุดก็ถูกทำลายลง มีทหารเสียชีวิตหรือถูกจับกุม 2,000 นาย และสูญเสียยานพาหนะทั้งหมด รวมถึงยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ การทำลายหน่วยเฉพาะกิจเฟทถูกพิจารณาโดยกองทัพอาสาประชาชนว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในสงครามเกาหลีทั้งหมด

กองพลนาวิกโยธินที่ 1 ทำผลงานได้ดีกว่า แม้จะถูกล้อมและถูกบีบให้ต้องล่าถอย แต่พวกเขาก็สร้างความสูญเสียอย่างหนักให้กับกองทัพอาสาประชาชน ซึ่งได้ทุ่มกำลังถึงหกกองพลเพื่อพยายามทำลายนาวิกโยธิน ถึงแม้ว่ากองทัพอาสาประชาชนจะสามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาหลีเหนือกลับคืนมาได้ในการทัพระยะที่สอง แต่ 40% ของกองทัพอาสาประชาชนก็ไม่สามารถปฏิบัติการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความสูญเสียที่พวกเขาไม่สามารถฟื้นตัวได้จนกระทั่งการเริ่มต้นของการรุกฤดูใบไม้ผลิจีน[5]

กองกำลังสหประชาชาติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาหลีถอนกำลังเพื่อตั้งแนวป้องกันรอบเมืองท่าฮึงนัม ซึ่งมีการอพยพเกิดขึ้นในปลายเดือนธันวาคม มีบุคลากรทางทหารและยุทโธปกรณ์ประมาณ 100,000 นายและพลเรือนเกาหลีเหนืออีก 100,000 คนได้รับการลำเลียงขึ้นเรือขนส่งสินค้าและเรือลำเลียงทางทหารหลายประเภท

การทัพระยะที่สาม (31 ธันวาคม ค.ศ. 1950–8 มกราคม ค.ศ. 1951)

[แก้]
ทหารราบจีนในยุทธการที่เนินสามเหลี่ยม

ด้วยความหวังที่จะกดดันให้สหประชาชาติละทิ้งเกาหลีใต้ เหมาจึงมีคำสั่งให้กองทัพอาสาประชาชนเข้าโจมตีกองกำลังสหประชาชาติไปตามแนวเส้นขนานที่ 38 ในวันสุดท้ายของ ค.ศ. 1950 ทหารกองทัพอาสาประชาชน/กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือได้เข้าโจมตีกองพลของกองทัพสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) หลายกองพลตามแนวเส้นขนานดังกล่าว ทำให้สามารถเจาะแนวป้องกันของสหประชาชาติได้สำเร็จ เพื่อเลี่ยงการถูกล้อมอีกครั้ง กองกำลังสหประชาชาติจึงอพยพออกจากโซลในวันที่ 3 มกราคม และทหารกองทัพอาสาประชาชน/กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือก็ยึดเมืองคืนได้ในวันที่ 4 มกราคม ทั้งกองทัพที่ 8 และกองทัพน้อยที่ 10 ของสหรัฐได้ล่าถอยไปอีก 50 ไมล์ (80 กิโลเมตร) แต่กองทัพอาสาประชาชนที่รุกคืบเข้าไปลึกมากก็หมดแรงอย่างสิ้นเชิงหลังสู้รบอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายเดือน

การทัพระยะที่สี่ (30 มกราคม–21 เมษายน ค.ศ. 1951)

[แก้]

กองทัพอาสาประชาชนที่รุกคืบมากเกินไปถูกบีบให้ต้องถอนตัวและพักฟื้นเป็นเวลานาน แต่กองกำลังสหประชาชาติก็กลับมาเป็นฝ่ายรุกในไม่ช้า วันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1951 กองทัพที่ 8 เริ่มปฏิบัติการทันเดอร์โบลต์ โดยเข้าโจมตีกำลังผสมของกองทัพอาสาประชาชนและกองทัพประชาชนเกาหลีที่ยังไม่ทันตั้งตัวทางตอนใต้ของแม่น้ำฮัน ตามด้วยปฏิบัติการราวด์อัปโดยกองทัพน้อยที่ 10 ในภาคกลางของเกาหลี

ด้วยความหวังจะกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ กองทัพอาสาประชาชนจึงโต้กลับในสมรภูมิเฮงซ็องในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งหยุดยั้งการรุกคืบของกองทัพน้อยที่ 10 ได้สำเร็จ แต่เนื่องจากขาดการพักผ่อนและฟื้นฟูกำลังพลที่เหมาะสม การรุกครั้งใหม่นี้จึงยุติลงในไม่ช้าที่สมรภูมิจีพย็อง-นีในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เมื่อกองทัพอาสาประชาชนทั้งหมดไม่สามารถปฏิบัติการรุกต่อไปได้อีก กองทัพที่ 8 จึงเริ่มปฏิบัติการคิลเลอร์ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ตามด้วยปฏิบัติการริปเปอร์ในวันที่ 6 มีนาคม กองทัพที่ 8 ขับไล่ทหารกองทัพอาสาประชาชน/กองทัพประชาชนเกาหลีออกจากโซลได้ในวันที่ 16 มีนาคม พร้อมกับทำลายส่วนใหญ่ของเมืองด้วยการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ในระหว่างนั้น

การทัพระยะที่ห้า (22 เมษายน–22 พฤษภาคม ค.ศ. 1951)

[แก้]

กองทัพอาสาประชาชนโต้กลับในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1951 ในการรุกครั้งใหญ่ด้วยสามกองทัพสนาม (ประมาณ 700,000 นาย) การรุกครั้งแรกมุ่งเป้าไปที่กองทัพน้อยที่ 1 และกองทัพน้อยที่ 9 ของสหรัฐซึ่งต่อต้านอย่างรุนแรง ทำให้แรงผลักดันของการรุกหยุดชะงักลงที่ เส้นโนเนม (No-Name Line) ทางตอนเหนือของโซล วันที่ 15 พฤษภาคม กองทัพอาสาประชาชนเริ่มการรุกระลอกที่สองและเข้าโจมตีกองทัพสาธารณรัฐเกาหลีกับกองทัพน้อยที่ 10 ทางทิศตะวันออก ซึ่งในตอนแรกก็ประสบความสำเร็จ แต่ก็ถูกหยุดยั้งไว้ได้ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม

วันที่ 20 พฤษภาคม กองทัพที่ 8 โต้กลับกองกำลังกองทัพอาสาประชาชน/กองทัพประชาชนเกาหลีที่อ่อนล้าในการโต้กลับของสหประชาชาติช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ค.ศ. 1950 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนัก ความพ่ายแพ้ของกองพลที่ 180 ของกองทัพอาสาประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 60 ในระหว่างการโต้กลับครั้งนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งเลวร้ายที่สุดของจีนในสงครามเกาหลีทั้งหมด[32] มีทหารประมาณ 3,000 นายที่สามารถหนีรอดไปได้ (รวมถึงผู้บัญชาการกองพลและนายทหารระดับสูงคนอื่น ๆ) แต่ทหารส่วนใหญ่ของกองพลถูกสังหารหรือถูกจับเป็นเชลย ในช่วงท้ายของการทัพระยะที่ห้า กำลังหลักของกองพลที่ 180 ถูกล้อมในระหว่างการโต้กลับของสหประชาชาติ และหลังจากสู้รบอย่างหนักหลายวัน กองพลก็แตกพ่าย และแต่ละกรมก็หนีไปในทุกทิศทาง ทหารบางส่วนหนีทัพหรือถูกทอดทิ้งโดยนายทหารของตนระหว่างความพยายามทำสงครามกองโจรที่ไม่สำเร็จเนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนท้องถิ่น ในที่สุด เมื่อกระสุนและอาหารหมด ทหารประมาณ 5,000 นายจึงถูกจับเป็นเชลย ผู้บัญชาการกองพลและนายทหารคนอื่น ๆ ที่หลบหนีไปได้ถูกสอบสวนและถูกลดขั้นเมื่อเดินทางกลับไปจีน[33]

ภาวะชะงักงัน (10 มิถุนายน ค.ศ. 1951–27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953)

[แก้]
ภาพทหารจีนในเกาหลีบนแสตมป์จีน ค.ศ. 1952

การโต้กลับของสหประชาชาติหลังการรุกฤดูใบไม้ผลิทำให้แนวรบมีความมั่นคงขึ้นโดยประมาณตามแนวเส้นขนานที่ 38 ช่วงเวลาที่เหลือของสงครามมีการเปลี่ยนแปลงดินแดนเพียงเล็กน้อย มีการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ต่อประชากรทางตอนเหนือ และมีการเจรจาสันติภาพที่ยืดเยื้อ ซึ่งเริ่มขึ้นในแคซ็องในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1951 แม้แต่ในระหว่างการเจรจาสันติภาพ การสู้รบก็ยังคงดำเนินต่อไป สำหรับกองกำลังสหประชาชาติ เป้าหมายคือการยึดดินแดนทั้งหมดที่เคยเป็นของเกาหลีใต้กลับคืนมาก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อเลี่ยงการสูญเสียดินแดนใด ๆ และกองทัพอาสาประชาชนก็พยายามปฏิบัติการที่คล้ายคลึงกัน ประเด็นสำคัญของการเจรจาคือการส่งตัวเชลยศึกกลับประเทศ ฝ่ายจีนและเกาหลีเหนือยืนกรานจะส่งตัวกลับโดยบังคับ ขณะที่สหประชาชาติยืนกรานจะส่งตัวกลับโดยสมัครใจ สงครามยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งฝ่ายจีนและเกาหลีเหนือยอมยกเลิกประเด็นนี้ไปในที่สุด

วันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1952 ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐ ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างการหาเสียงด้วยการเดินทางไปยังเกาหลีเพื่อหาทางยุติสงคราม เมื่อทั้งสหประชาชาติและกองทัพอาสาประชาชนยอมรับข้อเสนอของอินเดียเรื่องการสงบศึก การสู้รบจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ซึ่งในเวลานั้น แนวรบได้กลับมาอยู่ใกล้กับแนวเส้นขนานที่ 38 อีกครั้ง มีการตั้งเขตปลอดทหารขึ้นตามแนวเส้นแบ่งเขตทางทหาร ซึ่งมีการลาดตระเวนจนถึงปัจจุบันโดยกองทัพเกาหลีเหนือฝ่ายหนึ่ง และกองทัพเกาหลีใต้และสหรัฐอีกฝ่ายหนึ่ง

ยุทธวิธี

[แก้]

กองกำลังกองทัพอาสาประชาชนใช้การโจมตีอย่างรวดเร็วทางปีกและแนวหลังรวมถึงการแทรกซึมเข้าไปหลังแนวรบของกองสหประชาชาติเพื่อสร้างภาพลวงตาว่ามีกำลังพลเหนือกว่า ซึ่งแน่นอนว่าได้รับการเสริมด้วยยุทธวิธีของกองทัพอาสาประชาชนที่มุ่งเน้นการระดมกำลังสูงสุดสำหรับการโจมตี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะมีจำนวนกำลังในพื้นที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างมาก[34][35] ชัยชนะในช่วงแรกของกองทัพอาสาประชาชนเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับกองกำลังนี้ได้อย่างดี อย่างไรก็ดี เมื่อถึงช่วงปลาย ค.ศ. 1951 สายส่งกำลังบำรุงที่ยืดออกไปมากเกินไปและอำนาจการยิงที่เหนือกว่าของสหประชาชาติได้บีบบังคับให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะชะงักงัน กองทัพประชาชนเกาหลีที่บุกเข้าใน ค.ศ. 1950 ได้รับการสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์และอาวุธจากโซเวียตดีกว่าที่กองทัพอาสาประชาชนได้รับมาก อาวุธหลักของกองทัพอาสาประชาชนคืออาวุธที่ยึดมาได้จากญี่ปุ่นและกองกำลังชาตินิยม[36]

นักประวัติศาสตร์และทหารผ่านศึกสงครามเกาหลี เบวิน อเล็กซานเดอร์ ได้กล่าวถึงยุทธวิธีของจีนในหนังสือของเขา How Wars Are Won ไว้ว่า:

จีนไม่มีแสนยานุภาพทางอากาศและมีอาวุธเพียงแค่ปืนไรเฟิล ปืนกล ระเบิดมือ และปืนครก เมื่อต้องต่อสู้กับชาวอเมริกันที่มีอาวุธทันสมัยกว่ามาก พวกเขาได้ปรับใช้เทคนิคที่เคยใช้กับฝ่ายชาตินิยมในสงครามกลางเมืองจีนระหว่างปี 1946–49 โดยทั่วไปแล้วจีนจะเข้าโจมตีในเวลากลางคืนและพยายามเข้าประชิดที่มั่นขนาดเล็กของข้าศึก—ซึ่งมักเป็นระดับหมวด—จากนั้นจึงโจมตีด้วยกำลังพลที่เหนือกว่าในพื้นที่นั้น วิธีการปกติคือการแทรกซึมหน่วยรบขนาดเล็ก ตั้งแต่ระดับหมวดที่มีกำลังพล 50 นายไปจนถึงระดับกองร้อยที่มีกำลังพล 200 นาย โดยแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยหลายส่วน ขณะที่ทีมหนึ่งเข้าตัดเส้นทางหลบหนีของฝ่ายอเมริกัน ทีมที่เหลือจะเข้าโจมตีพร้อมกันทั้งด้านหน้าและด้านข้าง การโจมตีดำเนินไปในทุกด้านจนกว่าฝ่ายป้องกันจะถูกทำลายหรือถูกบังคับให้ถอยร่น จากนั้นจีนก็จะคืบหน้าไปยังปีกที่เปิดโล่งของที่มั่นหมวดถัดไป และใช้ยุทธวิธีเดิมซ้ำอีกครั้ง

ตามข้อมูลที่รอย แอปเปิลแมนให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุทธวิธีช่วงแรกของจีน:

ในปฏิบัติการรุกระยะแรก ทหารราบเบาของศัตรูที่มีทักษะสูงได้ดำเนินการโจมตีจีน โดยทั่วไปแล้วไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอาวุธใด ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าปืนครก การโจมตีของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าทหารจีนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เป็นนักรบที่มีระเบียบวินัย และเชี่ยวชาญการรบตอนกลางคืนเป็นพิเศษ พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านการพรางตัว หน่วยลาดตระเวนของพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในการหาตำแหน่งของกองกำลังสหประชาชาติ พวกเขาวางแผนการโจมตีเพื่อเข้าสู่ด้านหลังของกองกำลังเหล่านี้ ตัดขาดพวกเขาจากเส้นทางหลบหนีและเส้นทางเสบียง จากนั้นจึงส่งการโจมตีจากด้านหน้าและด้านข้างเพื่อเปิดฉากการต่อสู้ พวกเขายังใช้ยุทธวิธีที่เรียกว่าฮาชิ ชิกิ ซึ่งเป็นการจัดทัพแบบรูปตัว V ที่เปิดให้กองกำลังศัตรูเคลื่อนที่เข้ามา จากนั้นด้านข้างของตัว V จะปิดล้อมศัตรู ขณะที่อีกกองกำลังหนึ่งจะเคลื่อนไปด้านล่างของปากตัว V เพื่อเข้าโจมตีหน่วยใด ๆ ที่พยายามจะช่วยเหลือหน่วยที่ถูกล้อม ยุทธวิธีเช่นนี้ที่จีนใช้ประสบความสำเร็จอย่างมากที่อนจ็อง อุนซัน และโชซัน แต่ประสบความสำเร็จเพียงบางส่วนที่พักช็อนและหัวสะพานข้ามแม่น้ำช็องช็อน[37]

วินัยและการควบคุมทางการเมือง

[แก้]

วินัยของกองทัพอาสาประชาชนนั้นเข้มงวดเมื่อเทียบกับมาตรฐานของโลกตะวันตก ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับกองทัพชาตินิยมและกองทัพขุนศึกที่ปกครองประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1912 จนถึง 1949[38] วินัยถูกบังคับใช้กับทุกคนในกองทัพอย่างเท่าเทียม โดยสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) คาดว่าจะถูกลงโทษมากกว่าทหารที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคสำหรับการกระทำผิดแบบเดียวกัน[38] กฎข้อบังคับห้ามการลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีและทารุณกรรม[38] แม้จะมีการบังคับใช้โทษประหารชีวิตสำหรับการไม่เชื่อฟังคำสั่งบางอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้นำมาใช้ตามธรรมเนียมจีน[38] โดยปกติแล้ว วิธีการที่นิยมใช้เพื่อจัดการกับการกระทำผิดร้ายแรง เช่น การหนีทัพ คือการประจานต่อสาธารณะและการส่งเข้าค่ายอบรมทางการเมือง และผู้ที่ถูกลงโทษคาดว่าจะต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่แนวหน้ากับหน่วยเดิมของตน[38]

เช่นเดียวกับกองทัพโซเวียต เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองและทหารได้ตั้งสายการบังคับบัญชาคู่ในกองทัพอาสาประชาชน ซึ่งการจัดการเช่นนี้สามารถพบได้ในระดับต่ำถึงกองร้อย[39] เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองมีหน้าที่รับผิดชอบการควบคุมและสร้างขวัญกำลังใจของทหาร และมักถูกคาดหวังให้ทำตัวเป็นแบบอย่างในการสู้รบ[39] ต่างจากกองทัพคอมมิวนิสต์อื่น ๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน แม้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองจะมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรบ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารสามารถออกคำสั่งได้โดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง[39] ในทำนองเดียวกัน เส้นแบ่งระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและการเมืองในกองทัพอาสาประชาชนมักจะพร่ามัว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองมักมีประสบการณ์ทางทหารอย่างกว้างขวาง ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกระดับสูงของพรรคภายในหน่วยรบ[39]

นอกจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองแล้ว สมาชิกพรรคและผู้สมัครสมาชิกพรรคยังมีหน้าที่บังคับใช้การควบคุมทางการเมืองภายในหน่วยรบ[39] หมู่มักถูกแบ่งออกเป็นชุดยิงละสามคน โดยแต่ละชุดยิงมีสมาชิกพรรคหรือผู้สมัครสมาชิกพรรคเป็นผู้นำ[39] มีการจัดประชุมกลุ่มบ่อยครั้งเพื่อรักษาความสามัคคีของหน่วย และในการประชุมนั้นจะมีการประจานต่อสาธารณะและวิพากษ์วิจารณ์เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจและปลูกฝังอุดมการณ์ให้กับทหาร[40]

ผลข้างเคียงของการควบคุมทางการเมืองอย่างเข้มงวดภายในกองทัพอาสาประชาชนคือการที่กองทัพต้องอาศัยสมาชิกพรรคที่อยู่ภายในหน่วยเพื่อรักษาประสิทธิภาพการรบ[41] หน่วยของกองทัพอาสาประชาชนอาจแตกสลายได้เมื่อสมาชิกพรรคถูกสังหารหรือบาดเจ็บในการรบ[41] การควบคุมทางการเมืองอย่างเข้มงวดยังสร้างความไม่พอใจในหมู่ทหารจีน การปลูกฝังอุดมการณ์การเมืองอย่างต่อเนื่องและแรงกดดันจากเพื่อนร่วมหน่วยระดับสูงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษากำลังขวัญของทหารแต่ละคน[5]

ตามข้อมูลจากหนังสือ The Korean War เขียนโดยแมตทิว บังเกอร์ ริดจ์เวย์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลังสหประชาชาติ การประเมินเชิงบวกเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยอย่างดีของกองทัพจีนนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายทารุณเชลยของกองทัพประชาชนเกาหลี เขาชื่นชมกองทัพจีนในเชิงบวกว่าเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัยและเป็นศัตรูที่น่าเคารพ[42] ในช่วงสงครามเกาหลี กำลังรบแนวหน้าของสหรัฐก็ได้ชื่นชมเจตจำนงในการต่อสู้ของกองทัพอาสาประชาชนเป็นอย่างสูงเช่นกัน[43]

เชลยศึก

[แก้]

เชลยศึก (POWs) มีบทบาทสำคัญในการทำให้สงครามดำเนินต่อไปหลัง ค.ศ. 1951 สหรัฐกล่าวหาว่าจีนใช้วิธีควบคุมจิตใจ หรือที่เรียกว่า "การล้างสมอง" กับเชลยชาวอเมริกัน ขณะที่จีนปฏิเสธจะอนุญาตให้สหรัฐส่งตัวเชลยศึกกลับไปยังไต้หวัน

เชลยศึกสหประชาชาติ

[แก้]

ในทางตรงกันข้ามกับกองทัพประชาชนเกาหลีเหนือ การประหารชีวิตที่กระทำโดยกองทัพอาสาประชาชนนั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย[5][44] จากการศึกษาของเควิน มาโฮนีย์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกองทัพอาสาประชาชน ระบุว่าการประหารชีวิตเชลยศึกเกิดขึ้นจริงในช่วงที่การสู้รบกำลังดุเดือด[44] การประหารชีวิตส่วนใหญ่ดูเหมือนจะกระทำโดยหน่วยบัญชาการระดับล่างโดยที่ระดับบนไม่ทราบเรื่อง[45] และมักดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เชลยศึกหลบหนีหรือได้รับการช่วยเหลือในภายหลัง[45]

เนื่องจากกองทัพอาสาประชาชนไม่ค่อยประหารชีวิตเชลยศึก ชาวจีนจึงถือว่าตนเองมีจิตใจเมตตาและมนุษยธรรมมากกว่ากองทัพประชาชนเกาหลี[46] อย่างไรก็ดี ชาวจีนไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเชลยศึกจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาหลังการเข้าร่วมสงคราม ทำให้เชลยศึกจำนวนมากต้องเบียดเสียดกันอยู่ในค่ายชั่วคราวเพื่อรอการดำเนินการ[47] ความอดอยากครั้งใหญ่และโรคภัยไข้เจ็บแพร่ระบาดไปทั่วค่ายเหล่านั้นในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 1950–51 ขณะที่กองทัพอาสาประชาชนทำการย้ายเชลยศึกด้วยการเดินขบวนมรณะหลายครั้งเพื่อพาเชลยไปยังค่ายถาวร[48] แม้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นหลังมีการตั้งค่ายถาวรในเดือนมกราคม ค.ศ. 1951[49] แต่การเสียชีวิตจากความอดอยากก็ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1951[50] เชลยศึกชาวอเมริกันประมาณ 43% เสียชีวิตระหว่างเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1950 ถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1951 เมื่อเทียบกับเชลยศึกชาวอเมริกันที่เสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัวโดยญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งอยู่ที่ 34%[50] ชาวจีนได้ออกมาปกป้องการกระทำของตนโดยระบุว่าทหารกองทัพอาสาประชาชนทุกคนในช่วงเวลาดังกล่าวต่างก็ประสบปัญหาความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บอย่างรุนแรงเช่นกัน เนื่องจากระบบการส่งกำบำรุงและเสบียงที่ไม่มีประสิทธิภาพ[51][52] อย่างไรก็ดี เชลยศึกของสหประชาชาติชี้ให้เห็นว่าค่ายของจีนจำนวนมากตั้งอยู่ใกล้พรมแดนจีน-เกาหลี และอ้างว่าความอดอยากถูกนำมาใช้เพื่อบีบบังคับให้เชลยยอมรับโครงการปลูกฝังอุดมการณ์คอมมิวนิสต์[51] ความอดอยากและการเสียชีวิตของเชลยศึกยุติลงในที่สุดในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1951 หลังเริ่มมีการเจรจาหยุดยิง[53]

ข้อกล่าวหาเรื่องการควบคุมจิตใจ

[แก้]

ในช่วงสงครามเกาหลี เอ็ดเวิร์ด ฮันเตอร์ ซึ่งขณะนั้นทำงานเป็นทั้งนักข่าวและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐ ได้เขียนหนังสือและบทความหลายชุดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการควบคุมจิตใจของจีน ซึ่งเขาเป็นผู้บัญญัติคำว่า "brainwashing" (การล้างสมอง) ขึ้นมาใช้[54]

ศัพท์ 洗腦 (xǐnǎo หรือ "ล้างสมอง" ตามตัวอักษร) ในภาษาจีน[55] เดิมทีใช้เพื่ออธิบายวิธีการโน้มน้าวใจแบบบังคับที่ใช้ภายใต้ระบอบลัทธิเหมาในจีน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนบุคคลที่มีความคิดแบบจักรวรรดินิยมและปฏิกิริยาให้กลายเป็นสมาชิกที่มี "ความคิดถูกต้อง" ในระบบสังคมใหม่ของจีน [56] เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ระบอบได้พัฒนาเทคนิคที่จะทำลายความสมบูรณ์ทางจิตใจของแต่ละบุคคลในด้านการประมวลผลข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูลในจิตใจ และค่านิยมปัจเจก เทคนิคที่เลือกใช้ได้แก่การลดทอนความเป็นปัจเจกโดยให้บุคคลอยู่ในสภาพสกปรก การอดนอน การจำกัดการรับรู้ทางประสาทสัมผัสบางส่วน การคุกคามทางจิตวิทยา การปลูกฝังความรู้สึกผิดและแรงกดดันทางสังคมแบบกลุ่ม[ต้องการอ้างอิง] ศัพท์นี้เป็นการเล่นคำกับธรรมเนียมของลัทธิเต๋าที่เรียกว่า "การชำระ/ล้างจิตใจ" (洗心, xǐ xīn) ก่อนจะประกอบพิธีกรรมบางอย่างหรือเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง

ฮันเตอร์และผู้ที่นำศัพท์ภาษาจีนนี้มาใช้ได้นำมันมาอธิบายว่าทำไมเมื่อเทียบกับสงครามในครั้งก่อน ๆ ทหารอเมริกันที่กลายเป็นเชลยศึกถึงมีจำนวนค่อนข้างสูงที่แปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายศัตรู มีความเชื่อกันว่าฝ่ายจีนในเกาหลีเหนือใช้เทคนิคดังกล่าวเพื่อทำลายความสามารถของทหารเชลยในการรวมตัวและต่อต้านการถูกคุมขังอย่างมีประสิทธิภาพ[57] โรเบิร์ต ดับเบิลยู. ฟอร์ด เจ้าหน้าที่วิทยุชาวอังกฤษ[58][59] และพันเอก เจมส์ คาร์น แห่งกองทัพอังกฤษก็อ้างว่าฝ่ายจีนใช้เทคนิคการล้างสมองกับพวกเขาในระหว่างถูกคุมขังในช่วงสงครามเช่นกัน

หลังสงคราม การศึกษาเรื่องการส่งตัวเชลยศึกชาวอเมริกันกลับประเทศจำนวน 2 ชิ้น โดยโรเบิร์ต ลิฟตัน[60] และโดยเอ็ดการ์ ไชน์[61] สรุปได้ว่าการล้างสมอง (ซึ่งลิฟตันเรียกว่า "การปฏิรูปความคิด" และไชน์เรียกว่า "การโน้มน้าวด้วยการบีบบังคับ") มีผลกระทบเพียงชั่วคราว นักวิจัยทั้งสองพบว่าจีนใช้การโน้มน้าวด้วยการบีบบังคับเป็นหลักเพื่อทำลายความสามารถของเชลยศึกในการรวมกลุ่มและรักษากำลังใจ และด้วยเหตุนี้จึงขัดขวางการหลบหนีได้ ด้วยการทำให้เชลยศึกตกอยู่ภายใต้สภาพด้อยโอกาสทั้งทางกายและสังคม และจากนั้นจึงเสนอสถานการณ์ที่สะดวกสบายมากขึ้น เช่น ที่นอนที่ดีขึ้น อาหารที่ดีขึ้น เสื้อผ้าหรือผ้าห่มที่อบอุ่นขึ้น จีนจึงประสบความสำเร็จในการทำให้เชลยศึกบางส่วนกล่าวถ้อยคำต่อต้านอเมริกา อย่างไรก็ดี เชลยศึกส่วนใหญ่ไม่ได้ยอมรับความเชื่อคอมมิวนิสต์จริง ๆ แต่เพียงแค่แสดงท่าทีเหมือนยอมรับเพื่อเลี่ยงภัยคุกคามจากการถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง นักวิจัยทั้งสองยังสรุปด้วยว่าการโน้มน้าวด้วยการบีบบังคับเช่นนี้ประสบความสำเร็จกับเชลยศึกเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และผลลัพธ์สุดท้ายของการบีบบังคับดังกล่าวยังคงไม่มั่นคงมาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่กลับคืนสู่สภาพเดิมในไม่ช้าหลังจากที่พวกเขาออกจากสภาพแวดล้อมที่ถูกบีบบังคับนั้น ใน ค.ศ. 1961 พวกเขาทั้งคู่ได้ตีพิมพ์หนังสือที่ขยายความจากการค้นพบเหล่านี้ โดยไชน์ได้ตีพิมพ์หนังสือ Coercive Persuasion[62] และลิฟตันตีพิมพ์หนังสือ Thought Reform and the Psychology of Totalism[63] นักเขียนที่ใหม่กว่า รวมถึงมีฮาอิล เฮลเลอร์ ได้เสนอว่าแบบจำลองการล้างสมองของลิฟตันอาจช่วยให้เข้าใจถึงการใช้โฆษณาชวนเชื่อในวงกว้างในรัฐคอมมิวนิสต์อื่น ๆ เช่น อดีตสหภาพโซเวียต[64]

ในบทสรุปที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1963 เอ็ดการ์ ไชน์ให้ข้อมูลเบื้องหลังของต้นกำเนิดปรากฏการณ์การล้างสมองว่า:

การปฏิรูปความคิดมีองค์ประกอบที่ปรากฏชัดเจนในวัฒนธรรมจีน (เน้นความละเอียดอ่อนระหว่างบุคคล การเรียนรู้แบบท่องจำ และการพัฒนาตนเอง) และในวิธีการบีบบังคับให้สารภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในศาลศาสนา (ศตวรรษที่ 13) และมีพัฒนาการเพิ่มเติมตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะโดยตำรวจลับรัสเซีย รวมไปถึงวิธีการจัดระเบียบเรือนจำเพื่อการแก้ไข โรงพยาบาลจิตเวช และสถาบันอื่น ๆ ที่มีจุดประสงค์เพื่อเปลี่ยนค่านิยม ตลอดจนวิธีการที่ใช้โดยนิกายทางศาสนา องค์กรภราดรภาพ ชนชั้นนำทางการเมืองหรือสังคมดั้งเดิม เพื่อการเปลี่ยนศาสนาหรือรับสมาชิกใหม่ เทคนิคการปฏิรูปความคิดนั้นสอดคล้องกับหลักการทางจิตวิทยา แต่ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนจากหลักการเหล่านั้น[65]

ทฤษฎีการควบคุมจิตใจจากยุคสงครามเกาหลีถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวลาต่อมา ตามความเห็นของนักจิตวิทยานิติเวช ดิก แอนโทนี สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ได้สร้างแนวคิดเรื่อง "การล้างสมอง" ขึ้นมาในฐานะกลยุทธ์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อบ่อนทำลายข้อกล่าวอ้างของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ว่าเชลยศึกชาวอเมริกันในค่ายคอมมิวนิสต์เกาหลีได้แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยความสมัครใจ แอนโทนีระบุว่า ผลการวิจัยที่เชื่อถือได้ชี้ให้เห็นว่าความกลัวและการถูกบังคับต่างหากที่ทำให้เชลยศึกชาวตะวันตกให้ความร่วมมือ ไม่ใช่การล้างสมอง เขายืนยันว่าหนังสือของฮันเตอร์ (ซึ่งเขาอ้างว่าเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามจิตวิทยา" ของ CIA ที่แฝงตัวในฐานะนักข่าว) ได้ผลักดันทฤษฎีการล้างสมองของ CIA ไปสู่สาธารณชน[66]

นอกจากนี้ เฮอร์เบิร์ต บราวน์เนล จูเนียร์ อัยการสูงสุดสหรัฐ เคยกล่าวต่อสาธารณะว่า "หากเชลยศึกชาวอเมริกันให้ความร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ระหว่างที่ถูกคุมขังในเกาหลีเหนือ พวกเขาจะต้องเผชิญกับข้อหากบฏซึ่งอาจมีโทษถึงประหารชีวิต" ยิ่งไปกว่านั้น ทางการสหรัฐยังออกแถลงการณ์ระบุว่า: "ผู้ที่ให้ความร่วมมือกับคอมมิวนิสต์และลงนามในคำสารภาพเท็จ ควรถูกปลดออกจากกองทัพอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ได้รับเกียรติ" นอกเหนือจากการถูกคุกคามและกดดันจากรัฐบาลและกองทัพสหรัฐแล้ว เชลยศึกยังต้องเผชิญกับแรงกดดันทางจิตใจอย่างมากจากผลกระทบต่อครอบครัวของพวกเขา ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าทำไมเชลยศึกชาวอเมริกันจำนวนมากถึงกล่าวหาว่า "จีนทารุณเชลยศึก" หรือทำไมพวกเขาถึงเปลี่ยนคำให้การที่เคยสนับสนุนสาธารณรัฐประชาชนจีนหลังจากกลับถึงบ้านเกิดแล้ว[67][68]

เชลยศึกชาวจีน

[แก้]
เชลยศึกชาวจีนที่ถูกนาวิกโยธินสหรัฐ จับกุมในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1950

เชลยศึกต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่เข้าปฏิบัติการรับใช้ฝ่ายคอมมิวนิสต์

[แก้]

ในระหว่างการเจรจาพักรบที่พันมุนจ็อม อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการบรรลุข้อตกลงสงบศึกขั้นสุดท้ายในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 1951–1952 คือเรื่องการแลกเปลี่ยนเชลยศึก เมื่อมองเผิน ๆ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องถกเถียงกัน เนื่องจากอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม ได้กำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกทั้งหมดโดยทันทีและอย่างสมบูรณ์เมื่อสงครามสิ้นสุดลง อย่างไรก็ดี หลักการที่ดูตรงไปตรงมานี้สร้างความกังวลให้กับชาวอเมริกันจำนวนมาก เริ่มแรก ค่ายเชลยศึกของสหประชาชาติมีชาวเกาหลีมากกว่า 40,000 คน หลายคนถูกเกณฑ์ให้เข้ารับใช้กองทัพคอมมิวนิสต์และไม่ต้องการถูกส่งกลับไปยังเกาหลีเหนือเมื่อสงครามสิ้นสุดลง นอกจากนี้ เชลยศึกชาวเกาหลีเหนือและจีนจำนวนมากยังแสดงความจำนงที่จะไม่กลับไปยังบ้านเกิดของตน โดยเฉพาะเชลยศึกชาวจีน ซึ่งบางส่วนเป็นกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่ถูกคอมมิวนิสต์บังคับเกณฑ์เข้าประจำการในหน่วยทหารของกองทัพปลดปล่อยประชาชนในช่วงสงครามกลางเมืองจีนก่อนจะถูกส่งมายังเกาหลีในภายหลัง[69][70][การอ้างอิงวกเวียน]

ผลพวงจากสงครามเกาหลี

[แก้]

ใน ค.ศ. 2011 อดีตสมาชิกบางส่วนของกองทัพอาสาประชาชนได้เดินทางไปเยือนเกาหลีเหนืออีกครั้ง หลังจากนั้น พวกเขาแสดงความเห็นว่า "รู้สึกเสียใจมาก" และไม่พอใจกับการพัฒนาของเกาหลีเหนือหลังสงคราม "เราไปปลดปล่อยพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ" ชฺวี อิงขุยกล่าว[71]

เพื่อรำลึกถึงปีที่ 70 การเข้าร่วมสงครามเกาหลีของกองทัพอาสาประชาชน คิม จ็อง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือได้เดินทางไปเยือนสุสานทหารใน ค.ศ. 2020[72] หนังสือพิมพ์ The Pyongyang Times บรรยายถึงทหารเหล่านั้นว่ามี 'ความหาญกล้าที่หาใดเสมอเหมือน จิตวิญญาณแห่งมวลชนและวีรกรรมอันเป็นสากล' พร้อมทั้งบรรยายถึงความช่วยเหลืออื่น ๆ ที่กองทัพอาสาประชาชนมอบให้[73] จีนจัดการประชุมในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 เพื่อรำลึกถึงวาระครบรอบ 70 ปีการเข้าร่วมสงครามของกองทัพอาสาประชาชน[74]

มรดก

[แก้]

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี

[แก้]

มรดกของกองทัพอาสาประชาชนได้รับการรำลึกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ด้วยสุสานทหารที่เสียชีวิตของกองทัพอาสาประชาชนจีน ซึ่งตั้งอยู่ในเทศมณฑลโฮชัง มีการส่งพวงหรีดและกระเช้าดอกไม้เพื่อรำลึกถึงคุณูปการของพวกเขาที่มีต่อสงคราม[75][72]

สาธารณรัฐประชาชนจีน

[แก้]

สำหรับชาวจีนหลายคน สงครามเกาหลีได้รับการยกย่องโดยทั่วไปว่าเป็นสงครามที่ทรงเกียรติในประวัติศาสตร์จีน กองทัพอาสาประชาชนเป็นกองทัพจีนกลุ่มแรกในรอบศตวรรษที่สามารถต้านทานกองทัพตะวันตกในความขัดแย้งครั้งสำคัญได้ พวกเขาได้รับสมญาว่า "ผู้เป็นที่รักยิ่ง" (最可爱的人)" ซึ่งมาจากเรียงความที่เขียนโดยเว่ย์ เว่ย์ใน ค.ศ. 1951 ชื่อเรื่อง "ใครคือผู้เป็นที่รักยิ่ง?"[76] เรื่องราวความกล้าหาญของสมาชิกกองทัพอาสาประชาชนยังคงได้รับการส่งเสริมโดยรัฐบาลจีนมาจนถึงทุกวันนี้ และปรากฏอยู่ในตำราเรียน ความเต็มใจของจีนที่จะช่วยเหลือเกาหลีเหนือในการต่อสู้กับสหรัฐและการแสดงแสนยานุภาพที่พวกเขาเข้าร่วม เป็นสัญญาณว่าจีนกำลังจะกลับมาเป็นมหาอำนาจของโลกอีกครั้ง

จากข้อมูลอย่างเป็นทางการของจีน มีทหารในกองทัพอาสาประชาชนเสียชีวิตในสงครามเกาหลี 390,000 นาย แบ่งเป็นเสียชีวิตในสนามรบ 110,400 นาย เสียชีวิตจากบาดแผล 21,600 นาย เสียชีวิตจากความเจ็บป่วย 13,000 นาย สูญหาย/ตกเป็นเชลย 25,600 นาย และบาดเจ็บอีก 260,000 นาย อย่างไรก็ดี แหล่งข้อมูลตะวันตกและแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ประเมินว่ามีทหารจีนเสียชีวิตในสนามรบหรือเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ ความอดอยาก สภาพอากาศ และอุบัติเหตุประมาณ 400,000 นาย และบาดเจ็บประมาณ 486,000 นาย จากกำลังพลทั้งหมดประมาณ 3 ล้านนายที่จีนส่งเข้าร่วมในสงคราม เหมา อั้นอิง (毛岸英) ลูกชายคนโตและคนเดียวที่สุขภาพแข็งแรงของเหมา เจ๋อตง เป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพอาสาประชาชนระหว่างสงคราม และเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของสหประชาชาติ[77]

สงครามยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์จีน–โซเวียตเสื่อมถอยลง แม้จีนจะมีเหตุผลของตนเองในการเข้าร่วมสงคราม (เช่น การมีรัฐกันชนเชิงยุทธศาสตร์ในคาบสมุทรเกาหลี) มุมมองที่ว่าสหภาพโซเวียตใช้จีนเป็นตัวแทนยังคงมีร่วมกันในกลุ่มประเทศตะวันตก จีนต้องใช้เงินกู้ของโซเวียตซึ่งเดิมทีมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหายเพื่อจ่ายค่าอาวุธจากโซเวียต

สาธารณรัฐจีน

[แก้]

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง จากจำนวนเชลยศึกของกองทัพอาสาประชาชนที่ถูกคุมตัวโดยกองกำลังสหประชาชาติ มีจำนวน 14,235 นายถูกส่งตัวไปยังไต้หวัน[78]:514–5[78]:496 พวกเขาเริ่มเดินทางมาถึงไต้หวันในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1954 และได้รับการสมญาว่า "วีรบุรุษผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์" (反共義士) เพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขา วันที่ 23 มกราคมในไต้หวันจึงกลายเป็นวันเสรีภาพโลก (自由日)

สงครามเกาหลียังนำไปสู่ผลกระทบอื่น ๆ ที่คงอยู่ยาวนาน จนกระทั่งสงครามนี้เกิดขึ้น สหรัฐส่วนใหญ่ได้ละทิ้งรัฐบาลของเจียง ไคเชก ซึ่งถอยร่นไปยังไต้หวัน และไม่มีแผนจะเข้าแทรกแซงในสงครามกลางเมืองจีน การเริ่มต้นของสงครามเกาหลีทำให้แนวนโยบายที่ปล่อยให้ไต้หวันตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีก การตัดสินใจของทรูแมนที่จะส่งกองกำลังอเมริกันเข้าไปยังช่องแคบไต้หวันยังเป็นการยับยั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนจากการรุกรานข้ามช่องแคบไต้หวัน บรรยากาศต่อต้านคอมมิวนิสต์ในโลกตะวันตกซึ่งเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสงครามเกาหลีและสงครามเย็นมีส่วนทำให้สหรัฐไม่เต็มใจจะให้การรับรองทางการทูตแก่สาธารณรัฐประชาชนจีนจนกระทั่ง ค.ศ. 1979 ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสาธารณรัฐจีนและจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงตึงเครียด และจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงอ้างสิทธิ์ในอธิปไตยเหนือไต้หวัน

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. แหล่งข้อมูลตะวันตกมักเรียกกองทัพอาสาประชาชนจีนโดยใช้คำว่า กองกำลังคอมมิวนิสต์จีน (CCF) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกควบคู่กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนในช่วงสงครามเย็น

อ้างอิง

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Тараптардың күштері және шығындар". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 29, 2013. สืบค้นเมื่อ February 10, 2019.
  2. "China welcomes return of CPV soldiers' remains for 10 consecutive years". english.www.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2024-04-20.
  3. "Identities of ten Chinese People's Volunteers martyrs confirmed – Ministry of National Defense". eng.mod.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2024-04-20.
  4. Ryan, Mark A.; Finkelstein, David M.; McDevitt, Michael A. (2003). Chinese warfighting: The PLA experience since 1949. Armonk, NY: M.E. Sharpe. p. 125. ISBN 0-7656-1087-6.
  5. 1 2 3 4 5 Roe, Patrick C. (May 4, 2000). The Dragon Strikes. Presidio. ISBN 0-89141-703-6.
  6. PLA Military Science Academy (Sep 2000). 《抗美援朝战争史》 [History of War to Resist America and Aid Korea]. Vol. I. Beijing: Chinese Military Science Academy Publishing House. ISBN 7-80137-390-1.
  7. Chen, Jian (1992). "China's Changing Aims during the Korean War, 1950—1951". The Journal of American-East Asian Relations. 1 (1): 8–41. ISSN 1058-3947. JSTOR 23613365. สืบค้นเมื่อ 26 January 2021.
  8. Stokesbury 1990, p. 83.
  9. Offner, Arnold A. (2002). Another Such Victory: President Truman and the Cold War, 1945–1953. Stanford, CA: Stanford University Press. p. 390. ISBN 978-0804747745.
  10. Sheng, Michael. "Mao's Role in the Korean Conflict: A Revision". Twentieth Century China, Volume 39, Issue 3, pp. 269–290. September 2014. Quote: "But Mao's eagerness to be a part of the Korean revolutionary cause against American aggressors continued at home. On August 5, Mao telegraphed Gao Gang (高岗 1905–1954), the Commander and Commissar of the NDA, that there will probably have no military operation (for the NDA) in August, but (it) should be prepared for combat in early September. Every unit should be ready within this month in order to move to the front to fight. When commanders reported that it was unlikely that the troops could reach combat-ready status so quickly, Mao moved his timetable back a little, but on August 18 he demanded that the NDA must be ready for combat before September 30. Historian Chen Jian is correct that Mao had been inclined to send Chinese troops to Korea in later August and early September, and that the Chinese intervention was delayed in part due to reluctance on the part of Stalin and Kim."
  11. Barnouin & Yu 2006, p. 144.
  12. Halberstam 2007, pp. 355–56.
  13. Halberstam 2007, p. 359.
  14. Chinese Military Science Academy (September 2000). 抗美援朝战争史 [History of War to Resist America and Aid Korea] (ภาษาจีน). Vol. I. Beijing: Chinese Military Science Academy Publishing House. pp. 35–36. ISBN 978-7801373908.
  15. Chinese Military Science Academy (September 2000). 抗美援朝战争史 [History of War to Resist America and Aid Korea] (ภาษาจีน). Vol. I. Beijing: Chinese Military Science Academy Publishing House. p. 160. ISBN 978-7801373908.
  16. Halberstam 2007, p. 360.
  17. Barnouin & Yu 2006, pp. 146, 149.
  18. Halberstam 2007, p. 361.
  19. Cumings 2005, p. 266.
  20. 1 2 3 Zhao, Suisheng (2022). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 32. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
  21. Barnouin & Yu 2006, pp. 147–48.
  22. 1 2 Stokesbury 1990, p. 102.
  23. Appleman 1998.
  24. Chinese Reds Enter the Korean War – The Big Picture (Archive)
  25. 1 2 3 Farrar-Hockley, Anthony (June 1984). "A Reminiscence of the Chinese People's Volunteers in the Korean War". The China Quarterly. 98 (98): 287–304. doi:10.1017/S0305741000016830. JSTOR 653817.
  26. The ‘Mao suit’: how a military-style uniform changed the face of China – and clothed Australian prisoners during the Korean War. The Conversation. July 26, 2023. Antonia Finnane เก็บถาวร สิงหาคม 5, 2023 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  27. Centrefire automatic submachine gun – Type 50 (PPSh-41) – 1953 Royal Armouries Museum
  28. Type 50 Imperial War Museum
  29. Peng, Dehuai (1984). "The War to Resist U.S. Aggression and Aid Korea". ใน Grimes, Sarah (บ.ก.). Memoirs of a Chinese Marshal: The Autobiographical Notes of Peng Dehuai (1898–1974). แปลโดย Zheng, Longpu. Foreign Languages Press Beijing. pp. 474–475. ISBN 0-8351-1052-4.
  30. "Pyongyang taken as UN retreats, 1950". BBC Archive (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-08-22.
  31. The Strange Connection: U.S. Intervention in China, 1944–1972 by Bevin Alexander ISBN 0-313-28008-8, ISBN 978-0-313-28008-5 p. 117
  32. Zhang 1995, p. 152.
  33. Chinese Question Role in Korean War, from POW-MIA InterNetwork เก็บถาวร 2007-10-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  34. GlobalSecurity.org – Korean War
  35. Li Tso-Peng, "Strategy: One Against Ten, Tactics: Ten Against One." Foreign Languages Press, Peking 1966, pp. 4–5.
  36. Ryan, Mark A.; Finkelstein, David M.; McDevitt, Michael A. (2003). Chinese warfighting: The PLA experience since 1949. Armonk, New York: M.E. Sharpe. p. 126. ISBN 0-7656-1087-6.
  37. Appleman, Roy E. "Chapter XXXIX, The Big Question". South to the Naktong, North to the Yalu. p. 719. CMH Pub 202-1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 2, 2013. สืบค้นเมื่อ July 29, 2010.
  38. 1 2 3 4 5 Mahoney 2001, p. 35
  39. 1 2 3 4 5 6 Mahoney 2001, p. 36
  40. Mahoney 2001, pp. 36–37
  41. 1 2 Mahoney 2001, p. 37
  42. "[]李奇微:《朝鲜战争回忆录》". A Da Capo paperback. 1986年.
  43. Halberstam, David (2007年). 《The Coldest Winter: America and the Korean War》. Hyperion. ISBN 9781401300524.
  44. 1 2 Mahoney 2001, p. 105
  45. 1 2 Mahoney 2001, p. 106
  46. Kinkhead 1981, p. 94.
  47. Lech 2000, p. 38.
  48. Lech 2000, pp. 2, 57.
  49. Kinkhead 1981, p. 141.
  50. 1 2 Lech 2000, p. 2.
  51. 1 2 Lech 2000, p. 73.
  52. Zhang 1995, p. 168.
  53. Lech 2000, p. 146.
  54. Marks, John (1979). "8. Brainwashing". The Search for the Manchurian Candidate: The CIA and Mind Control. New York: Times Books. ISBN 0-8129-0773-6. สืบค้นเมื่อ 2008-12-30. In September 1950, the Miami News published an article by Edward Hunter titled " 'Brain-Washing' Tactics Force Chinese into Ranks of Communist Party." It was the first printed use in any language of the term "brainwashing," which quickly became a stock phrase in Cold War headlines. Hunter, a CIA propaganda operator who worked under cover as a journalist, turned out a steady stream of books and articles on the subject.
  55. Harper, Douglas. "brainwashing". Online Etymology Dictionary. Dictionary.com. สืบค้นเมื่อ January 15, 2012.
  56. Taylor, Kathleen (2006). Brainwashing: The Science of Thought Control. Oxford: Oxford University Press. p. 5. ISBN 978-0-19-920478-6. สืบค้นเมื่อ 2010-07-02.
  57. Browning, Michael (2003-03-14). "Was Kidnapped Utah Teen Brainwashed?". Palm Beach Post. Palm Beach. ISSN 1528-5758. During the Korean War, captured American soldiers were subjected to prolonged interrogations and harangues by their captors, who often worked in relays and used the "good-cop, bad-cop" approach, alternating a brutal interrogator with a gentle one. It was all part of "Xi Nao," washing the brain. The Chinese and Koreans were making valiant attempts to convert the captives to the communist way of thought.
  58. Ford RC (1990). Captured in Tibet. Oxford [Oxfordshire]: Oxford University Press. ISBN 0-19-581570-X.
  59. Ford RC (1997). Wind Between the Worlds: Captured in Tibet. SLG Books. ISBN 0-9617066-9-4.
  60. Lifton, Robert J. (April 1954). "Home by Ship: Reaction Patterns of American Prisoners of War Repatriated from North Korea". American Journal of Psychiatry. 110 (10): 732–739. doi:10.1176/ajp.110.10.732. PMID 13138750. สืบค้นเมื่อ 2008-03-30. Cited in Thought Reform and the Psychology of Totalism
  61. Schein, Edgar (May 1956). "The Chinese Indoctrination Program for Prisoners of War: A Study of Attempted Brainwashing". Psychiatry. 19 (2): 149–172. doi:10.1080/00332747.1956.11023044. PMID 13323141. Cited in Thought Reform and the Psychology of Totalism
  62. Schein, Edgar H. (1971). Coercive Persuasion: A Socio-Psychological Analysis of the "Brainwashing" of American Civilian Prisoners by the Chinese Communists. New York: W.W. Norton. ISBN 0-393-00613-1.
  63. Lifton, RJ (1989) [1961]. Thought Reform and the Psychology of Totalism; a Study of "Brainwashing" in China. Chapel Hill: University of North Carolina Press. ISBN 0-8078-4253-2.
  64. Heller, Mikhail (1988). Cogs in the Soviet Wheel: The Formation of Soviet Man. Translated by David Floyd. London: Collins Harvill. ISBN 0-00-272516-9. Dr [Robert J.] Lifton draws attention to a fact of exceptional importance: the effect of 'brainwashing' and its methods is felt even by those whom he calls the 'apparent resisters', those who seem not to succumb to the intoxication. This study showed that they do assimilate what has been hammered into their brain but the effect comes only a certain time after their liberation, like the explosion of a delayed-action bomb. It is not hard to imagine the effect which 'education' and 're-education' has upon the Soviet citizen, who is exposed from the day he is born to 'brainwashing', bombarded every day, round the clock, by all the means of propaganda and persuasion. Heller's footnote explains the phrase "the means of propaganda and persuasion" as "[t]he official name for the means of communication in the USSR. The accepted abbreviation is SMIP [literally from the Russian phrase meaning 'means of mass information and propaganda']."
  65. Schein, Edgar Henry (1963). "Brainwashing". Encyclopædia Britannica. Vol. 4 (14th (revised) ed.). Encyclopædia Britannica, Inc. p. 91.
  66. Anthony, Dick (1999). "Pseudoscience and Minority Religions: An Evaluation of the Brainwashing Theories of Jean-Marie". Social Justice Research. 12 (4): 421–456. doi:10.1023/A:1022081411463. S2CID 140454555.
  67. Stephen L·Endicott,Germ Warfare and"Plausible Denial":the Korean War,1952~1953,Modern China,Vol.5,No.1,Jan.1979,P87~89
  68. New York Times,Aug.15,1953;Canadian Far Eastern Newsletter,Nov.1953
  69. Birtle, Andrew J. The Korean War: Years of Stalemate. United States Army Center of Military History. p. 17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 14, 2007. สืบค้นเมื่อ August 9, 2010.
  70. Operation Big Switch
  71. "志愿军老兵重返朝鲜谈感受:他们水深火热 很痛心". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 1, 2017. สืบค้นเมื่อ March 2, 2012.
  72. 1 2 "Supreme Leader Kim Jong Un sends flower baskets in honour of CPV martyrs". www.pyongyangtimes.com.kp. สืบค้นเมื่อ 2021-03-18.
  73. "CPV performs distinguished services on Korean front". www.pyongyangtimes.com.kp. สืบค้นเมื่อ 2021-03-18.
  74. Myers, Steven Lee; Buckley, Chris (2020-10-23). "In Xi's Homage to Korean War, a Jab at the U.S." The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-26. สืบค้นเมื่อ 2020-10-27.
  75. "Chinese martyrs honoured". www.pyongyangtimes.com.kp. สืบค้นเมื่อ 2021-03-18.
  76. Wei, Wei (1951). "Who are the Most Beloved People?(谁是最可爱的人)(In Chinese)". People's Daily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 3, 2016. สืบค้นเมื่อ October 2, 2018.
  77. The Cold War, The Korean War: An Overview
  78. 1 2 Hermes, Walter (1992). United States Army in the Korean War: Truce Tent and Fighting Front. United States Army Center of Military History. ISBN 9781410224842. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2012. บทความนี้รวมเอาเนื้อความจากแหล่งอ้างอิงนี้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ

แหล่งที่มา

[แก้]