กองทัพปลดปล่อยประชาชนในการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989
กองทัพปลดปล่อยประชาชนในการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 | |||||||
![]() รถถังในปักกิ่ง มิถุนายน ค.ศ. 1989 | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ผู้ประท้วง | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
|
ผู้นำนักศึกษา: แรงงาน: ปัญญาชน: | ||||||
กำลัง | |||||||
ทหาร 150,000–350,000 นาย[1] | ผู้ประท้วง 50,000–100,000 คน[2] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
ยืนยันผู้เสียชีวิตแล้ว 15 ราย[a] เสียชีวิต 23 ราย (กองทัพปลดปล่อยประชาชน 10 ราย และตำรวจติดอาวุธประชาชน 13 ราย)[b] บาดเจ็บ ~5000 ราย[b] รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ 60+ คัน รถตำรวจ 30+ คัน รถบรรทุกทหาร 1,000+ คัน พาหนะอื่น 120+ คัน[6] |
เสียชีวิต 218 ราย[c] เสียชีวิตหลายร้อยถึง ~2,600 ราย[d] บาดเจ็บ 7,000+ ราย |
ระหว่างการประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ในกรุงปักกิ่ง กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีส่วนสำคัญในการบังคับใช้กฎอัยการศึกโดยใช้กำลังเข้าปราบปรามการชุมนุมในเมือง[13] การสังหารผู้ประท้วงยังคงเป็นรอยแปดเปื้อนมรดกของผู้อาวุโสพรรคที่นำโดยเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุด และส่งผลเสียต่อผู้นำรุ่นใหม่ที่ก้าวหน้าในอาชีพการงานในฐานะเพื่อนร่วมงานที่มีแนวคิดสายกลางมากขึ้นแต่กลับถูกกวาดล้างหรือถูกละเลยในขณะนั้น[13] ในประเทศจีน บทบาทของกองทัพใน ค.ศ. 1989 ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในวงแคบของผู้นำพรรคและกองทัพปลดปล่อยประชาชน[13]
การวางกำลังในช่วงเริ่มต้นการประท้วง
[แก้]
ขบวนการนักศึกษาในกรุงปักกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1989 เกิดขึ้นจากการเสียชีวิตของหู เย่าปัง อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวันที่ 15 เมษายน ก่อนจะมีการประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 19 พฤษภาคม รัฐบาลได้เรียกทหารเข้ามาในเมืองเพื่อช่วยตำรวจรักษาความสงบเรียบร้อย วันที่ 22 เมษายน กองทหารรักษาการณ์ที่ 13 กองพันทหารรักษาการณ์ปักกิ่ง (กองพลรักษาการณ์ที่ 3) และทหารเกือบ 9,000 นายจากกองทัพที่ 38 (กองพลที่ 112, กองพลยานเกราะที่ 6, กองทหารช่างและสื่อสาร) ถูกส่งไปประจำการรอบมหาศาลาประชาชนในระหว่างพิธีศพของหู[14] นอกมหาศาลาในจัตุรัสเทียนอันเหมิน มีนักศึกษาเกือบ 100,000 คนรวมตัวกันในคืนวันที่ 21 เมษายน เพื่อไว้อาลัยหู[15]
กองทัพที่ 38 ถูกเรียกตัวมาปักกิ่งเป็นครั้งที่สองหลังมีการเผยแพร่บทบรรณาธิการ 26 เมษายน เพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังรักษาการณ์ปักกิ่งในการปกป้องจัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อต่อต้านนักศึกษาที่ออกมาประท้วง[14] นักศึกษาหลายแสนคนเดินขบวนจากวิทยาเขตไปยังใจกลางเมืองในวันที่ 27 เมษายน แต่ไม่ได้เข้าสู่จัตุรัส[15] มีทหารประมาณ 5,100 นายเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งที่สองนี้[15] ไม่มีการปะทะกับพลเรือนและทหารถอนกำลังออกในวันที่ 5 พฤษภาคม[15] กองกำลังรักษาการณ์ปักกิ่งถูกเรียกตัวให้เฝ้ามหาศาลาในวันที่ 4 พฤษภาคม สำหรับการประชุมคณะกรรมการธนาคารพัฒนาเอเชีย และระหว่างวันที่ 13–17 พฤษภาคม
การประกาศกฎอัยการศึก
[แก้]
วันที่ 11 พฤษภาคม ประธานาธิบดีหยาง ช่างคุนได้พบเติ้งเป็นการส่วนตัวเพื่อหารือเกี่ยวกับสาเหตุของการเคลื่อนไหวของนักศึกษา การสนับสนุนจากประชาชนที่ได้รับ และเหตุใดจึงยากที่จะหยุดยั้ง[16] เติ้งอธิบายว่าข้อเรียกร้องของประชาชนต่อการทุจริตของทางการนั้นเป็นที่ยอมรับได้ แต่แรงจูงใจของคนบางกลุ่มที่ใช้ข้อเรียกร้องนี้เป็นข้ออ้างในการโค่นล้มพรรคคอมมิวนิสต์นั้นไม่เป็นที่ยอมรับ[16] เขากล่าวเสริมว่าพรรคต้องใช้สันติวิธีแก้ไขปัญหาการเคลื่อนไหวของนักศึกษา แต่กรมการเมืองจะต้องพร้อมดำเนินการอย่างเด็ดขาด[16] วันที่ 13 พฤษภาคม ขณะที่นักศึกษาเริ่มอดอาหารประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน หยางและจ้าว จื่อหยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ให้ข้อสรุปแก่เติ้งเป็นการส่วนตัว[17] เติ้ง ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง แสดงความไม่พอใจของผู้อาวุโสพรรคต่อการที่รัฐบาลไม่สามารถยุติขบวนการนักศึกษาที่เคลื่อนไหวมานานเกือบเดือนได้[17] เขาได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด[17]
การปลดจ้าว จื่อหยาง
[แก้]
คืนวันที่ 16 พฤษภาคม สมาชิกคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้ง 5 คน ได้แก่ จ้าว จื่อหยาง, หลี่ เผิง, เฉียว ฉือ, หู ฉีลี่ และเหยา อี้หลิน พร้อมด้วยประธานาธิบดีหยาง ช่างคุน, ปั๋ว อีปัว รองผู้อำนวยการคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง ได้จัดการประชุมฉุกเฉินและตกลงที่จะ (1) ขอความเห็นจากเติ้ง เสี่ยวผิง และ (2) ให้จ้าว จื่อหยางเจรจากับนักศึกษาที่อดอาหาร[18] วันที่ 17 พฤษภาคม สมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญทั้ง 5 คนได้ไปยังบ้านพักของเติ้ง ซึ่งเติ้งได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการผ่อนปรนใด ๆ กับนักศึกษาอีกต่อไปและถึงเวลาที่ต้องเรียกร้องให้กองทัพบังคับใช้กฎอัยการศึก[19] สมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญเห็นชอบที่จะประชุมในช่วงเย็นเพื่อหารือถึงวิธีการบังคับใช้กฎอัยการศึก[18] คืนนั้น สมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญทั้ง 5 คนไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะใช้กฎอัยการศึกหรือไม่ โดยมีหลี่ เผิงและเหยา อี้หลินสนับสนุน จ้าว จื่อหยางและหู ฉีลี่คัดค้าน และเฉียว ฉืองดออกเสียง[20] จ้าวเสนอลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค แต่หยางห้ามไว้และขอลาป่วยสามวัน[20] ต่อมาจ้าว จื่อหยางก็หมดอิทธิพลทางการเมือง[20]
เช้าวันที่ 18 พฤษภาคม คณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง (ขาดจ้าว) พร้อมด้วยเฉิน ยฺหวิน, หลี่ เซียนเนี่ยน, เผิง เจิน, เติ้ง อิ่งเชา, ปั๋ว อีปัว และหวัง เจิ้น ผู้อาวุโสพรรค รวมถึงฉิน จีเหว่ย์, หง สฺเวจื้อ และหลิว หฺวาชิง สมาชิกคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง รวมตัวกันที่บ้านพักของเติ้ง[20] ในการประชุมครั้งนี้ ผู้นำได้มีมติว่า (1) จะประกาศกฎอัยการศึกในเช้าวันที่ 21 พฤษภาคม (2) จะจัดการประชุมเพิ่มเติมร่วมกับทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาลปักกิ่งในวันที่ 19 พฤษภาคม (3) ให้หยาง ช่างคุนเตรียมการกับกองทัพเพื่อตั้งกองบัญชาการกฎอัยการศึก (4) อธิบายการตัดสินใจดังกล่าวให้จอมพลสองคนที่เหลือ คือ เนี่ย หรงเจิน และสฺวี เซี่ยงเฉียน ทราบ และ (5) แจ้งการตัดสินใจของศูนย์พรรคฯ ให้คณะกรรมาธิการพรรคฯ ระดับมณฑลทราบ[20] บ่ายของวันที่ 18 พฤษภาคม คณะกรรมการการการทหารส่วนกลางได้แต่งตั้งหลิว หฺวาชิง เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของปฏิบัติการกฎอัยการศึก โดยมีฉือ เฮ่าเทียน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพปลดปล่อยประชาชน และโจว อีปิง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารปักกิ่ง เป็นรองผู้บัญชาการ[21] กำลังทหารที่บังคับใช้กฎอัยการศึกส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคทหารปักกิ่ง จี่หนาน และเฉิ่นหยาง[21] จากนั้นหลิว ฉือ และหยาง ช่างคุน ได้รายงานแก่เติ้งว่ากองกำลังกฎอัยการศึกจะระดมกำลังทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชนและตำรวจติดอาวุธของประชาชนจำนวน 180,000 นาย[21]
ภายในวันที่ 18 พฤษภาคม การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินมีผู้สนับสนุนถึงหนึ่งล้านคน[22] การประท้วงดังกล่าวส่งผลให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงในกลุ่มผู้นำระดับสูงของพรรครวมถึงกองทัพปลดปล่อยประชาชน วันที่ 17 พฤษภาคม ชายกว่า 1,000 คนจากกรมส่งกำลังบำรุงกองทัพปลดปล่อยประชาชนแสดงการสนับสนุนการเคลื่อนไหวโดยการเดินขบวนไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน และได้รับเสียงปรบมือชื่นชมอย่างกึกก้องจากผู้พบเห็น[23]
การตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกถูกต่อต้านโดยฉิน จีเหว่ย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในตอนแรก[13] หลังเข้าร่วมประชุมที่บ้านพักของเติ้ง ฉินปฏิเสธการส่งคำสั่งกฎอัยการศึกไปยังกองทัพทันที โดยอ้างว่าต้องได้รับการอนุมัติจากพรรคก่อน (จ้าว จื่อหยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ) ฉินโทรศัพท์ไปยังสำนักงานของจ้าวและหวังว่าเขาจะยกเลิกคำสั่งกฎอัยการศึก[13] เขาคอยคำตอบจากจ้าวนานถึงสี่ชั่วโมง แต่ก็ไม่เคยได้รับเลย[13] โดยที่ฉินไม่ทราบว่าจ้าวแพ้การชิงอำนาจและถูกขับออกจากตำแหน่งผู้นำแล้ว ต่อมาฉินสนับสนุนการปราบปรามทางทหารอย่างเปิดเผย แต่หลังจากนั้นอำนาจของเขาก็ลดลง[13]
ประกาศกฎอัยการศึก – 20 พฤษภาคม
[แก้]แม้กฎอัยการศึกจะมีกำหนดประกาศในวันที่ 21 พฤษภาคม แต่ข่าวการประกาศได้รั่วไหลออกสู่สาธารณชน ทำให้ต้องเร่งกำหนดการขึ้นมา[24] นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงประกาศกฎอัยการศึกอย่างเร่งด่วนในเช้าตรู่ของวันที่ 20 พฤษภาคม[24] คำสั่งที่ประกาศใช้ตามมาตรา 89 หมวด 16 ของรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลา 10.00 น. ใน 8 เขตเมืองของปักกิ่ง[24]
วันที่ 20 พฤษภาคม นายพลเกษียณอายุจำนวน 8 นายรวมถึงจาง อ้ายผิง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามในจดหมายประโยคเดียวเพื่อคัดค้านการใช้กำลัง:
เราขอความร่วมมือไม่ให้ทหารเข้ามาในเมืองและห้ามใช้กฎอัยการศึกในปักกิ่ง
— เย่ เฟย์, จาง อ้ายผิง, เซียว เค่อ, หยาง เต๋อจื้อ, เฉิน ไจ้เต้า, ซ่ง ฉือหลุน, หวัง ผิง และหลี่ จฺวี้ขุย, 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1989 จดหมายถึงคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง[25]
การระดมพล
[แก้]วันที่ 19 พฤษภาคม คณะกรรมการการทหารส่วนกลางเริ่มระดมหน่วยกองทัพปลดปล่อยประชาชนเพื่อเตรียมการสำหรับการประกาศกฎอัยการศึก นอกจากกองทหารรักษาการณ์ปักกิ่งและเทียนจินแล้ว ยังมีทหารอย่างน้อย 30 กองพลจาก 5 ใน 7 ภูมิภาคทหารของประเทศที่ถูกส่งมายังปักกิ่ง[ต้องการอ้างอิง] อย่างน้อย 14 ใน 24 กองทัพน้อยของกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้ส่งทหารเข้ามา การประมาณการที่เชื่อถือได้ระบุว่าจำนวนทหารที่ระดมอยู่ที่ประมาณ 180,000 ถึง 250,000 นาย[26]
การท้าทายของสฺวี ฉินเซียน
[แก้]ขนาดที่พิเศษของการระดมพลอาจได้รับแรงกระตุ้นจากความกังวลเรื่องการขัดคำสั่ง สฺวี ฉินเซียน ผู้บัญชาการกองทัพที่ 38 ซึ่งเป็นกองทัพที่มีอุปกรณ์ครบครันที่สุดของภูมิภาคทหารปักกิ่ง ปฏิเสธที่จะบังคับใช้กฎอัยการศึก สฺวีกล่าวว่าเขาไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งระดมพลด้วยวาจาได้และเรียกร้องให้ทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อได้รับแจ้งจากกองบัญชาการภูมิภาคทหารภาคปักกิ่งว่า "เป็นภาวะสงคราม" และจะมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรภายหลัง สฺวีซึ่งเคยไปปักกิ่งในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิกล่าวว่าไม่มีสงครามและย้ำการปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว[27] ประธานาธิบดีหยาง ช่างคุนส่งโจว อีปิง ผู้บัญชาการกองบัญชาการภูมิภาคไปยังเป่าติ้งเพื่อเกลี้ยกล่อมสฺวี[25] สฺวีถามโจวว่าผู้อำนวยการทั้งสามของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางได้อนุมัติคำสั่งกฎอัยการศึกหรือไม่ โจวตอบว่าแม้เติ้ง เสี่ยวผิง ประธาน และหยาง ช่างคุน เลขาธิการจะอนุมัติ แต่จ้าว จื่อหยาง รองประธานคนที่หนึ่งกลับไม่อนุมัติ หากจ้าวไม่อนุมัติ สฺวีก็ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งและขอลาป่วย เขาถูกศาลทหารตัดสินและกองทัพที่ 38 ภายใต้การนำของเขาถูกระดมพลเพื่อบังคับใช้กฎอัยการศึก
ภายหลังคการขัดคำสั่งของสฺวี กองทัพที่ 12 ซึ่งเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นผู้นำด้วยตนเองในช่วงสงครามกลางเมืองจีนก็ถูกขนส่งทางอากาศจากหนานจิง[28] กองทัพที่ 12 เป็นหน่วยเดียวที่ถูกการระดมมาจากภูมิภาคทหารหนานจิง
หน่วยระดมพล
[แก้]

การศึกษาของอู๋ เหรินหฺวาได้ระบุถึงการมีส่วนร่วมของหน่วยต่อไปนี้ในปฏิบัติการกฎอัยการศึก[ต้องการอ้างอิง]
- กองทหารรักษาการณ์ปักกิ่ง: กองพลรักษาการณ์ที่ 1 และ 3
- กองทหารรักษาการณ์เทียนจิน (กองพลรถถังที่ 1: ตั้งอยู่ที่อำเภอจี้ เทียนจิน ขนส่งด้วยยานยนต์จากที่นั่น
- กองพลทหารปืนใหญ่ที่ 14 (ตั้งอยู่ในหฺวายไหล มณฑลเหอเป่ย์): กองพันปืนใหญ่ 5 กองพัน ขนส่งทางรถไฟจากชาเฉิง มณฑลเหอเป่ย์
- กองทัพที่ 24 (ตั้งอยู่ในเฉิงเต๋อ มณฑลเหอเป่ย์): กองพลทหารราบที่ 70 กองพลทหารราบที่ 72 กองพลน้อยรักษาการณ์ที่ 7 ขนส่งด้วยยานยนต์จากหลวนผิงและอำเภอหลวน
- กองทัพที่ 27 (ตั้งอยู่ในฉือเจียจวง มณฑลเหอเป่ย์): กองพลทหาาราบที่ 79 และ80 กองพลน้อยทหารปืนใหญ่ ขนส่งทางยานยนต์จากสิงไถ ฮั่วลู่ และหันตาน
- กองทัพที่ 28 (ตั้งอยู่ในต้าถง มณฑลชานซี): กองพลทหารราบที่ 82 และ 83 การขนส่งทางยานยนต์จากหงถงและจี่หนิง มองโกเลียใน
- กองทัพที่ 38 (ตั้งอยู่ในเป่าติ้ง มณฑลเหอเป่ย์): กองพลทหารราบที่ 112 และ 113 กองพลรถถังที่ 6 กองพลน้อยทหารปืนใหญ่ กองพันทหารช่าง กองพันทหารสื่อสาร ขนส่งทางยานยนต์จากเป่าติ้ง ม่านเฉิง และอำเภอซินเฉิง มณฑลเหอเป่ย์
- กองทัพที่ 63 (ตั้งอยู่ในไท่หยวน มณฑลชานซี): กองพลทหารราบที่ 187 และ188 ขนส่งทางยานยนต์จากยฺหวีจื้อและอี้โจว
- กองทัพที่ 65 (ตั้งอยู่ในจางเจียโข่ว มณฑลเหอเป่ย์): กองพลทหารราบที่ 193 และ 194 กองหนุนที่ 3 ขนส่งทางยานยนต์จากเซฺวียนฮฺว่า
- กองทัพที่ 20 (ตั้งอยู่ในไคเฟิง มณฑลเหอหนาน): กองพลทหารราบที่ 58 และ 128 ขนส่งทางยานยนต์จากสฺวี่ชางและเติงเฟิง
- กองทัพที่ 26 (ตั้งอยู่ในไหลหยาง มณฑลชานตง): กองพลทหารราบที่ 138 ขนส่งทางอากาศจากอำเภอเจียว
- กองทัพที่ 54 (ตั้งอยู่ในซินเซียง มณฑลเหอหนาน): กองพลทหารราบที่ 127 และ 162 ขนส่งทางยานยนต์จากลั่วหยางและอันหยาง
- กองทัพที่ 67 (ตั้งอยู่ในจือปั๋ว มณฑลชานจง): กองพลทหารราบที่ 199 ขนส่งทางยานยนต์จากจัวผิง
- กองทัพที่ 39 (ตั้งอยู่ในอิ๋งโข่ว มณฑลเหลียวหนิง): กองพลทหารราบที่ 115 และ 116 กองพันสื่อสาร ขนส่งทางรถไฟและยานยนต์จากอำเภอไก้และอำเภอซินเฉิง
- กองทัพที่ 40 (ตั้งอยู่ในจิ่นโจว มณฑลเหลียวหนิง): กองพลทหารราบที่ 118 กองพลน้อยทหารปืนใหญ่ ขนส่งทางยานยนต์จากอำเภออี้และจิ่นโจว
- กองทัพที่ 64 (ตั้งอยู่ในต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง): กองพลทหารราบที่ 190 ขนส่งทางยานยนต์จากต้าเหลียน
- กองทัพที่ 12 (ตั้งอยู่ในสฺวีโจว มณฑลเจียงซู): กองพลทหารราบที่ 34, 36 และ 110 กองพันทหารปืนใหญ่ กองพันต่อสู้อากาศยาน ขนส่งทางอากาศจากสฺวีโจวและหนานจิง
- เหล่าส่งทางอากาศที่ 15 (ตั้งอยู่ในเซี่ยวก่าน มณฑลหูเป่ย์): กองพลส่งทางอากาศที่ 43 และ 44 ขนส่งทางอากาศจากไคเฟิงและกว๋างฉุ่ย มณฑลหูเป่ย์
ทหารส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชาวนาที่ไม่เคยไปปักกิ่งและไม่เข้าใจสถานการณ์ที่พวกเขาจะต้องเผชิญ หลายคนตั้งตารอการเดินทางเยือนเมืองหลวงเป็นครั้งแรกเป็นการส่วนตัวและคาดหวังว่าจะได้รับการต้อนรับจากคนในพื้นที่ หน่วยทหารจากภูมิภาคอื่นพูดภาษาเหนือต่างจากพลเมืองปักกิ่งทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น[29] ทหารถูกห้ามสื่อสารกับประชาชนโดยเด็ดขาด อุปสรรคด้านภาษาทำให้ทหารที่อยากรู้อยากเห็นไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการนักศึกษาได้นอกจากข้อมูลที่ได้จากสายการบังคับบัญชาของตน
หน่วยระดมพลบางหน่วยเผชิญกับผู้ประท้วงซึ่งเป็นพลเรือนก่อนถึงปักกิ่ง บ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม ชาวเป่าติ้งได้ปิดกั้นกองพันทั้ง 4 ของกองทัพที่ 38 ไม่ให้ออกจากเมือง[30] กองทัพที่ 38 ถูกบังคับให้ใช้เส้นทางอื่นออกจากเป่าติ้งก่อนจะกลับมารวมกันอีกครั้งบนทางหลวงสู่ปักกิ่ง[30] กองทัพที่ 27 ยังถูกปิดกั้นในเป่าติ้งในวันที่ 19 พฤษภาคมโดยฝูงชนที่ตะโกนคำขวัญต่อต้านการทุจริตและถ่มน้ำลายใส่ทหาร และถูกบังคับให้เปลี่ยนเส้นทางเข้าสู่ปักกิ่งผ่านจัวโจว[31] กำลังของกองทัพที่ 64 ซึ่งเดินทางโดยรถไฟถูกปิดกั้นเป็นเวลา 2 วันโดยนักศึกษาและประชาชนจากถังชานซึ่งนอนบนทางรถไฟที่เฉียนอาน มณฑลเหอเป่ย์ ระหว่างวันที่ 21–23 พฤษภาคม[32]
ความพยายามบังคับใช้กฎอัยการศึก
[แก้]
คืนวันที่ 19 พฤษภาคม หน่วยขั้นสูงจากกองทัพที่ 27, 38 และ 63 เดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งก่อนที่กฎอัยการศึกจะถูกประกาศต่อสาธารณะ แต่เมื่อข่าวกฎอัยการศึกรั่วไหลออกไป นักศึกษาและชาวเมืองก็จัดขบวนเพื่อปิดกั้นกองกำลังในเขตชานเมือง[37] วันที่ 20 พฤษภาคม หน่วยทหารจากกองบัญชาการรักษาการณ์ปักกิ่งที่ 24, 27, 28, 38, 63, 65, กองทัพที่ 39, 40, 54 และ 67 ได้รุกคืบเข้าเมืองจากทุกทิศทาง[38] พวกเขาถูกหยุดและถูกล้อมโดยพลเรือนนับหมื่นคนที่ตั้งด่านตรวจและแออัดอยู่รอบขบวนรถที่เฟิงไถ ลิ่วหลี่เฉียว ชาจื้อโข่ว หูเจียโหลว กู่เฉิง ชิงเหอ อู่เคอซง ถนนฟู่ซิงและจุดอื่น ๆ นอกถนนวงแหวนที่สาม[39] เหล่าส่งอากาศที่ 15 ลงจอดที่ท่าอากาศยานหนานยฺเวี่ยนทางตอนใต้ของเมือง[39] การขนส่งทางอากาศยังคงดำเนินต่อไปสู่หนานยฺเวี่ยนอีกเป็นเวลาสามวัน เฮลิคอปเตอร์ 5 ลำของกองทัพที่ 38 ปรากฏเหนือจัตุรัสเทียนอันเหมินและทิ้งใบปลิวเรียกร้องให้ผู้ประท้วงออกจากจัตุรัส[33][40] กองทัพที่ 65 พยายามหลายครั้งที่จะรุกคืบไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมินจากทางตะวันตกแต่ก็ถูกบังคับให้ถอยกลับเข้าสู่เขตฉือจิ่งชานและไห่เตี้ยน[39] หน่วยเดียวที่เคลื่อนพลเข้าเมืองคือกองพลปืนทหารใหญ่ที่ 14 ซึ่งเดินทางโดยรถไฟจากชาเหอ แต่หน่วยนี้ถูกล้อมโดยพลเรือนเมื่อถึงสถานีรถไฟปักกิ่ง[39]
ทหารจำนวนมากยังคงถูกล้อมเป็นเวลาหลายวัน ระหว่างนี้ การเผชิญหน้าระหว่างทหารและนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสันติ นักศึกษาบางส่วนได้รับการฝึกอบรมกับกองทัพที่ 38 ในช่วงฤดูร้อนในฐานะสมาชิกกองหนุน[41] บางสถานที่ ทหารและผู้ประท้วงร่วมกันร้องเพลงลัทธิเหมา และชาวบ้านนำอาหารและน้ำมาให้ทหารที่ติดอยู่[42]
อุบัติการณ์ต้าจิ่ง
[แก้]ที่ต้าจิ่งในเขตเฟิงไถ เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและทหาร[43] คืนวันที่ 19 พฤษภาคม ขณะกรมทหารปืนใหญ่และยานเกราะที่ 337 และ 338 ของกองพลที่ 113 ของกองทัพที่ 38 กำลังเคลื่อนพลไปยังสะพานต้าจิ่ง นักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่งที่ขวางทางอยู่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับตำรวจปราบจลาจลที่พยายามเคลียร์ทาง[43] ฝูงชนสามารถกันหน่วยไว้บนสะพานและหมู่บ้านชาวัวที่อยู่ใกล้เคียงได้[44] แม้หน่วยบางส่วนจะถอยไปยังโรงเรียนมัธยมใกล้เคียง แต่หน่วยอื่น ๆ ก็ต้องติดอยู่เป็นเวลาสามวันสี่คืน[45] วันที่ 22 พฤษภาคม ผู้บังคับการกรมทหารได้เจรจากับแกนนำนักศึกษาในจัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่ออนุญาตให้หน่วยต่าง ๆ ล่าถอยได้[46] การเจรจาล้มเหลวเมื่อนักศึกษาพยายามกดดันให้ทหารทิ้งพาหนะและอาวุธไว้[46] เวลา 20:00 น. ทหารจับมือกันและผลักดันไปทางโกดังเฟิงไถตะวันตก และถูกฝูงชนโจมตี ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก[43][47] นักศึกษาหลายคนที่พยายามปกป้องทหารยังถูกหินกระแทก[47][43] ต่อมาได้จับกุมผู้ต้องสงสัย 10 รายซึ่งไม่ใช่นักศึกษาแต่อย่างใด[43]
ถอยกลับ
[แก้]วันที่ 24 พฤษภาคม ทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชนถอนกำลังออกจากเขตเมืองปักกิ่ง[48] ความพยายามที่ล้มเหลวในการควบคุมผู้ประท้วงที่มากขึ้นในกรุงปักกิ่งทำให้ผู้นำพรรคต้องเรียกหน่วยกองทัพปลดปล่อยประชาชนเพิ่มเติม ทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชนถูกขังเดี่ยวและเข้ารับการปรับทัศนคติเพื่อปลูกฝังและสร้างความเชื่อว่าความวุ่นวายในเมืองหลวงจำเป็นต้องถูกปราบปราม[49]
การบังคับใช้กฎอัยการศึก
[แก้]วันที่ 2 มิถุนายน เติ้ง เสี่ยวผิงและผู้อาวุโสพรรคหลายคนได้พบกับสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองที่เหลืออยู่ 3 คน ได้แก่ หลี่ เผิง, เฉียว ฉือ และเหยา อี้หลิน[50] พวกเขาตกลงที่จะเคลียร์พื้นที่เพื่อให้ "การจลาจลยุติลงและความสงบเรียบร้อยกลับคืนสู่เมืองหลวง"[50] เวลา 16:30 น. ของวันที่ 3 มิถุนายน สมาชิกกรมการเมืองทั้ง 3 คนได้พบกับฉิน จีเหว่ย์, หง สฺเวจื้อ, หลิว หฺวาชิง, ฉือ เฮ่าเถียน และหยาง ไป่ปิง สมาชิกคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง จ้าว หนานฉี่ หัวหน้าฝ่ายส่งกำลังบำรุงกองทัพปลดปล่อยประชาชน หลี่ ซีหมิง เลขาธิการพรรคประจำปักกิ่ง เฉิน ซีถง นายกเทศมนตรีปักกิ่ง หลัว ก้าน เลขาธิการคณะมนตรีรัฐกิจ โจว อีปิง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารปักกิ่ง และหลิว เจิ้นหฺวา กรรมาธิการการเมือง เพื่อหารือถึงขั้นตอนสุดท้ายสำหรับการบังคับใช้กฎอัยการศึก:[50]
- ปฏิบัติการปราบจลาจลปฏิวัติจะเริ่มในเวลา 21:00 น.
- หน่วยทหารควรจะรวมตัวกันที่จัตุรัสภายในเวลา 01:00 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน และจะต้องเคลียร์จัตุรัสให้เรียบร้อยภายในเวลา 06:00 น.
- ต้องไม่มีความล่าช้าใด ๆ
- ห้ามไม่ให้บุคคลใดขัดขวางการเคลื่อนพลของกองกำลังบังคับใช้กฎอัยการศึก กองกำลังสามารถกระทำการเพื่อป้องกันตนเองและใช้วิธีการใด ๆ เพื่อขจัดสิ่งกีดขวางได้
- สื่อของรัฐจะส่งคำเตือนไปยังประชาชน
เย็นวันนั้น ผู้นำได้ติดตามความคืบหน้าของทหารจากสำนักงานใหญ่ในมหาศาลาประชาชนและจงหนานไห่[50] การรักษาความปลอดภัยในบริเวณเขตจงหนานไห่ได้รับการเสริมกำลังโดยกำลังจากกองพลทหารรักษาการณ์ที่ 1 และ 3 ของกองทหารรักษาการณ์ปักกิ่ง ซึ่งเป็นหน่วยของกองทัพที่ 65[50] ต่อมากองทัพที่ 27 ก็ได้ส่งหน่วยมาด้วย[50]
การแฝงตัวอย่างลับ ๆ – 2–3 มิถุนายน
[แก้]วันที่ 2 มิถุนายน ทหารหลายหน่วยถูกเคลื่อนย้ายอย่างลับ ๆ เข้าไปในมหาศาลาประชาชนทางด้านตะวันตกของจัตุรัส และบริเวณกระทรวงความมั่นคงมหาชนทางตะวันออกของจัตุรัส[51]
- กองทัพที่ 27 ส่งทหารส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาโดยรถโดยสารที่ไม่มีเครื่องหมายจากเขตเฟิงไถไปยังมหาศาลาในคืนวันที่ 2 มิถุนายน[52] ชาวบ้านพบความเคลื่อนไหวจึงตรึงขบวนรถไว้ที่จุดต่าง ๆ ทางใต้ของปักกิ่ง รวมถึงบริเวณใกล้สวนเถาหรานถิงประมาณ 2,000 แห่ง[52] ทหารจำนวนมากลงจากรถและเดินเท้าต่อไปหรือหลบภัยในอาคารรัฐบาลระหว่างทาง[52] ภายในเช้าตรู่ของวันที่ 4 มิถุนายน ทหารจากกองทัพที่ 27 ประมาณ 7,000 นายได้รวมตัวกันที่มหาศาลาประชาชน[53] ทหารอีก 800 นายได้รับที่พักชั่วคราวที่โรงเรียนกีฬาในตงตาน[53]
- กองทัพที่ 65 แบ่งทหารออกเป็นกลุ่มย่อยละ 3 ถึง 5 นาย แต่ละกลุ่มมีทหารที่คุ้นเคยกับเมืองนี้และสามารถพูดภาษาจีนกลางสำเนียงปักกิ่งอย่างน้อย 1 คน พวกเขาสวมเสื้อผ้าธรรมดาและส่งตัวโดยวิธีการต่าง ๆ จากฉือจิ่งชานในวันที่ 2 มิถุนายน ไม่ว่าจะด้วยรถโดยสาร รถไฟ รถไฟใต้ดิน หรือการเดินเท้าไปยังจงหนานไห่[54] จากนั้นทหารก็เคลื่อนเข้าสู่มหาศาลาประชาชนผ่านอุโมงค์ [54] ภายในคืนวันที่ 2 มิถุนายน ทหารจากกองทัพที่ 65 กว่า 10,000 นายก็ได้มารวมตัวกันที่มหาศาลา[54]
- กองทัพที่ 24 ออกจากจุดรวมพลในเขตทงโจวในคืนวันที่ 2 มิถุนายน และเข้าสู่เมืองภายใต้ความมืดโดยทหารส่วนใหญ่ออกจากพาหนะและเดินเท้า[55] พวกเขาถูกพบโดยสายตรวจรถจักรยานยนต์ของพ่อค้าแม่ค้าในเมือง ซึ่งเรียกชาวบ้านที่กำลังนอนหลับให้มาปิดล้อม[55] กองทัพที่ 24 ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสตามที่ชาวบ้านสงสัย แต่ย้ายไปยังบริเวณกระทรวงความมั่นคงมหาชนซึ่งอยู่ด้านหลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ[55]
- กองพลที่ 187 ของกองทัพที่ 63 แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาเดินทางโดยรถไฟใต้ดินจากฉือจิ่งชานเข้าสู่เมือง[56] ในเวลานั้น รถไฟใต้ดินปักกิ่งยังไม่ถึงจัตุรัสเทียนอันเหมิน ดังนั้นกองทัพจึงออกจากสถานีที่เฉียนเหมิน ฉงเหวินเหมิน และสถานีรถไฟปักกิ่ง และเดินเท้าไปยังมหาศาลาประชาชน[56] ในช่วงบ่ายของวันที่ 2 มิถุนายน ชาวเมืองสังเกตเห็นกลุ่มวัยรุ่นแห่ออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินซึ่งก่อนหน้านี้ปิดให้บริการ จึงรีบวิ่งไปกันทางออกสถานี[56] นักศึกษาที่ออกลาดตระเวนได้สั่งให้กลุ่มชายต้องสงสัยแสดงบัตรประจำตัว ทำให้ทหารที่ปลอมตัวต้องแยกย้ายกันไป มีเพียงสองในสามของกองพลที่ 187 เท่านั้นที่สามารถไปถึงมหาศาลาได้ภายในเวลา 03:00 น. ของวันที่ 3 มิถุนายน แม้ส่วนที่เหลือจะกลับเข้าร่วมกับหน่วยในที่สุด[57] กองพลที่ 187 ใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันที่ 3 มิถุนายนในการปกป้องเขตของมหาศาลา บางครั้งต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาประท้วงอย่างตึงเครียด[58]
ทหารจำนวนมากที่แฝงตัวเข้าไปในใจกลางเมืองไม่ได้พกอาวุธใด ๆ จึงต้องส่งมอบให้ด้วยพาหนะที่ไม่มีเครื่องหมาย เช้าวันที่ 3 มิถุนายน รถโดยสารคันหนึ่งซึ่งบรรทุกทหารจากกองทัพที่ 27 แต่งกายนอกเครื่องแบบและสินค้าซุกซ่อน ได้แก่ ปืนไรเฟิลจู่โจมกว่า 100 กระบอก ปืนกลเบา 5 กระบอก วิทยุ 2 เครื่อง และกระสุนปืนกว่า 10,000 นัด ถูกนักศึกษาสกัดที่ลิ่วปู้โข่วทางตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมิน[59] นักศึกษากลุ่มดังกล่าวได้ล้อมรถโดยสารและยึดอาวุธบางส่วนไว้เป็นหลักฐานถึงเจตนาอันชั่วร้ายของรัฐบาล[59] เวลา 14.05 น. ทหารและตำรวจติดอาวุธประชาชนกว่า 800 นายในชุดปราบจลาจลจากกองทหารรักษาการณ์ปักกิ่งรีบรุดออกจากจงหนานไห่เพื่อยึดอาวุธที่ซ่อนไว้คืน[60] เวลาเดียวกัน ทหารที่ไม่มีอาวุธนับพันนายจากกองทัพที่ 27 และ 63 ก็ออกจากมหาศาลาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของฝูงชน[61] หน่วยตำรวจติดอาวุธประชาชนพร้อมกระบองและอุปกรณ์ปราบจลาจลต่อสู้ฝ่ากำแพงผู้ประท้วงเพื่อยึดอาวุธไว้ได้[62] ในระหว่างการประท้วงที่เทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 เป็นครั้งแรกที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเพื่อขับไล่ผู้ประท้วง[63]
การเคลื่อนพล – 3–4 มิถุนายน
[แก้]เวลา 18.30 น. ของวันที่ 3 มิถุนายน รัฐบาลเทศบาลปักกิ่งและกองบัญชาการกฎอัยการศึกได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแนะนำให้ประชาชน "อยู่ห่างจากถนนและจัตุรัสเทียนอันเหมิน"[64] ประกาศนี้ถูกออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นเวลาหลายชั่วโมง[64] ขณะเดียวกัน ผู้ประท้วงได้ใช้เครื่องขยายเสียงของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในกรุงปักกิ่งเพื่อเรียกร้องให้นักศึกษาและประชาชนติดอาวุธและรวมตัวกันที่สี่แยกและจัตุรัส[64]
จากทิศตะวันตก
[แก้]

วันที่ 3 มิถุนายน เวลา 20.00 น. กองทัพที่ 38 นำโดยจาง เหมย์ยฺเหวี่ยน ผู้บัญชาการชั่วคราว เริ่มเคลื่อนพลจากบริเวณที่ตั้งสำนักงานทหารในเขตฉือจิ่งชานและเฟิงไถทางตะวันตกของปักกิ่งไปตามส่วนขยายของถนนฉางอานตะวันตกเข้าสู่จัตุรัสทางทิศตะวันออก[51] เวลา 21.30 น. กองทัพเผชิญกับการล้อมที่ผู้ประท้วงเตรียมไว้ที่กงจู่เฝิน เขตไห่เตี้ยน[65] ทหารพร้อมชุดปราบจลาจลปะทะกับผู้ประท้วงโดยยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ขณะเดียวกันผู้ประท้วงยังขว้างก้อนหิน อิฐ และขวดใส่พวกเขาด้วย[65] ทหารส่วนอื่นก็ยิงปืนเตือนขึ้นฟ้า แต่ไม่ได้ผล[65] เวลา 22.10 น. เจ้าหน้าที่ทหารหยิบเครื่องขยายเสียงขึ้นมาเรียกร้องให้ผู้ประท้วงสลายตัว[65]
เวลาประมาณ 22.30 น. กองทัพที่ 38 เปิดฉากยิงผู้ประท้วงที่สี่แยกอู่เคอซงบนถนนฉางอาน ห่างจากจัตุรัสไปทางตะวันตกประมาณ 10 กิโลเมตร[65][66] ฝูงชนตกตะลึงที่กองทัพใช้กระสุนจริง และถอยกลับไปทางสะพานมู่ซีตี้[65] ซ่ง เสี่ยวหมิง ช่างเทคนิคอวกาศวัย 32 ปี เสียชีวิตที่อู่เคอซง นับเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกที่ได้รับการยืนยันในคืนนั้น[ต้องการอ้างอิง] ทหารถูกกล่าวหาว่าใช้กระสุนปืนที่ขยายตัวและแตกกระจายเมื่อเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดบาดแผลที่ใหญ่ขึ้น[67] จากการศึกษาของอู๋ เหรินหฺวา พบว่ากองทัพที่ 38 ได้สังหารผู้ประท้วงพลเรือนมากกว่าหน่วยอื่นใด แม้กองทัพจะมีชื่อเสียงในขณะนั้นว่าเป็นมิตรกับชาวเมืองก็ตาม[ต้องการอ้างอิง] มีรายงานผู้เสียชีวิตตลอดแนวถนนฉางอานที่หนานหลี่ชื่อลู่, ฟู่ซิงเหมิน, ซีตาน, ลิ่วปู้โข่ว และเทียนอันเหมิน ผู้เสียชีวิตมีตวน ฉางหลาง นักศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชิงหฺวา ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าถูกยิงเข้าที่หน้าอกขณะพยายามเจรจากับทหารที่ซีตาน[ต้องการอ้างอิง]
เวลา 22.30 น. กองพลที่ 188 ของกองทัพที่ 63 เคลื่อนพลจากเขตชานเมืองด้านตะวันตกตามเส้นทางที่กองทัพที่ 38 เคลียร์ไว้ และไปถึงมหาศาลาประชาชนทางด้านตะวันออกของจัตุรัส[51][แหล่งอ้างอิงอาจไม่น่าเชื่อถือ] กองทัพที่ 28 ซึ่งออกเดินทางจากเขตเหยียนชิ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดในวันที่ 3 มิถุนายน พยายามเดินตามเส้นทางนี้ไปตามถนนฉางอานตะวันตกแต่การดำเนินการกลับหยุดชะงักที่มู่ซีตี้ในเช้าตรู่ของวันที่ 4 มิถุนายน[51]
การรุกคืบของกองทัพถูกหยุดลงอีกครั้งที่มู่ซีตี้ ห่างจากจัตุรัสไปทางตะวันตกประมาณ 5 กิโลเมตร โดยพวกเขาเผชิญกับการล้อมอีกครั้งซึ่งประกอบด้วยรถโดยสารประจำทางไฟฟ้าแบบข้อต่อที่วางขวางสะพานแล้วจุดไฟเผา[68] หน่วยปราบปรามจลาจลพยายามบุกสะพานแต่ถูกโต้กลับด้วยอิฐที่ผู้ประท้วงเตรียมไว้ล่วงหน้า[69] ทหารประจำการบุกขึ้นไปบนสะพานและตะโกนว่า "ถ้าไม่มีใครโจมตีฉัน ฉันก็จะไม่โจมตีใคร แต่ถ้ามีคนโจมตีฉัน ฉันก็ต้องโจมตีพวกเขา" พร้อมหันอาวุธไปที่ฝูงชน ทหารสลับกันยิงขึ้นฟ้าและยิงใส่ผู้ประท้วงโดยตรง[70][71][68] จากบันทึกรายชื่อผู้เสียชีวิตโดยกลุ่มมารดาเทียนอันเหมิน พบว่ามีผู้เสียชีวิตที่มู่ซีตี้ 36 ราย รวมถึงหวัง เว่ย์ผิง แพทย์ที่ดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปทางตะวันออก การยิงก็เกิดขึ้นอย่างไม่เลือกหน้า โดยมี "การยิงแบบสุ่ม" สังหารทั้งผู้ประท้วงและผู้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง[72][73] [70] มีผู้เสียชีวิตหลายรายในอพาร์ทเมนต์ของเจ้าหน้าที่พรรคระดับสูงซึ่งมองเห็นถนน[71][73] ทหารระดมยิงถล่มอาคารอพาร์ตเมนต์ และมีบางคนที่อยู่ภายในหรือบนระเบียงห้องก็ถูกยิงด้วย[74][71][75][73] กองทัพที่ 38 ยังใช้รถลำเลียงพลหุ้มเกราะเพื่อบุกฝ่าการล้อม[71] เมื่อกองทัพเคลื่อนทัพไป พบผู้เสียชีวิตตามถนนฉางอาน เหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนถนนระยะทาง 2 ไมล์จากมู่ซีตี้ไปยังซีตาน ซึ่ง "รถบรรทุกของกองทัพปลดปล่อยประชาชน 65 คันและตำรวจติดอาวุธประชาชน 47 คัน ... ถูกทำลายจนหมดสิ้น และพาหนะทางทหารอื่น ๆ อีก 485 คันได้รับความเสียหาย"[72]
การเสียชีวิตที่น่าสนใจใกล้กับซีตานคือการเสียชีวิตของร้อยโทหลิว กั๋วเกิง วัย 25 ปี ผู้บัญชาการกองร้อยของกองทัพปลดปล่อยประชาชน เผยให้เห็นความต่างอย่างชัดเจนระหว่างเรื่องเล่าที่ฝ่ายต่าง ๆ ยกย่องหรือประณามข้อเสนอของกองทัพฯ เกี่ยวกับการสู้รบ[76] ทั้งสองฝ่ายเล่าว่าพบศพของหลิวถูกเผาและควักไส้ออก แขวนคออยู่บนรถโดยสารใกล้ซีตาน โดยสวมเพียงถุงเท้าและหมวก[77] ภาพศพของเขาถูกเผยแพร่โดยสื่อทั้งที่สนับสนุนและต่อต้านกองทัพฯ[76] ตามรายงานอย่างเป็นทางการ หน่วยของหลิวถูกล้อม และรถที่เสียหายไม่กี่คันตกอยู่ด้านหลังขบวนรถที่เหลือ จากนั้นหลิวก็เดินเท้าไปรับสหายของเขา แต่กลับถูกจับได้ที่ลิ่วปู้โข่วและถูกทุบตีเป็นเวลานานถึงชั่วโมง เขาหนีไปได้แต่ถูกจับกลับมาและถูกฆ่า[78] ต่อมาเขาได้รับการประกาศให้เป็น "ผู้เสียสละของชาติ" และ "วีรบุรุษของประชาชน"[79] ตามรายงานอีกทางหนึ่งที่ต่อต้านกองทัพฯ หลิวถูกจับและถูกแขวนคอหลังจากสังหารคนสี่คน (รวมทั้งเด็กหนึ่งคน)[78] ในระยะใกล้ด้วยปืนไรเฟิลจู่โจมของเขา มีการเขียนคำขวัญที่บรรยายถึงการกระทำของเขาที่ถูกกล่าวหาไว้ที่ด้านข้างรถโดยสารซึ่งเป็นจุดที่ร่างของเขาถูกแขวนไว้[80]
จากทิศใต้
[แก้]เหล่าส่งทางอากาศที่ 15 และกลุ่มทัพที่ 54 ออกเดินจากท่าอากาศยานปักกิ่งหนานยฺเวี่ยนในเวลา 02.00 น. มุ่งหน้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมินจากทางทิศใต้ โดยมีหน่วยตำรวจฯ ทำหน้าที่เป็นหน่วยนำ[38][81] พวกเขาเผชิญการต่อต้านจากผู้ประท้วงซึ่งใช้รถโดยสารและรถบรรทุกตั้งด่านตรวจ[38] ความพยายามเริ่มแรกของกองกำลังตำรวจฯ ที่จะสลายกำลังป้องกันด้วยกระบองไม่มีประสิทธิผล[38] รถถังและรถลำเลียงพลหุ้มเกราะสามารถฝ่าด่านตรวจได้อย่างง่ายดาย แต่การต่อต้านกลับยิ่งแข็งแกร่งเมื่อกองทัพฯ รุกคืบเข้าไปในเมืองมากขึ้น นักรบในเมืองใช้แท่งเหล็กจากเครื่องกั้นถนนทำลายสายพานและล้อรถ ก่อนจะคลุมด้วยผ้าห่มที่ชุบน้ำมันเบนซินแล้วจุดไฟเผา เจ้าหน้าที่กองทัพฯ ที่ออกจากรถถูกโจมตีด้วยก้อนหินและระเบิดเพลิง[38] แลร์รี วอร์ตเซิล ตั้งข้อสังเกตว่ากลยุทธ์การรุมโจมตีนี้ได้รับการซ้อมและฝึกฝนมาอย่างชัดเจน ผู้ประท้วงใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการต่อสู้บนท้องถนนในที่อื่น ๆ รอบเมือง โดยเฉพาะในระหว่างการสู้รบที่มู่ซีตี้ เขาสังเกตว่า "เมื่อถึงเวลานี้ เมื่อเห็นเพื่อนทหารของตนเสียชีวิต พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัว กรรมาธิการการเมืองได้บอกพวกเขาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ว่ามี "อาชญากรต่อต้านการปฏิวัติ" ในเมือง" ตามที่คาดไว้ทหารตอบโต้ด้วยการเปิดฉากยิง" [38] ตลอดการสู้รบ รถหุ้มเกราะที่ชำรุดทำให้การเคลื่อนที่ของรถบรรทุกและกำลังพลของกองทัพช้าลง[38]
กองทัพที่ 20 ภายใต้การนำของเหลียง กวางเลี่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในอนาคต ได้เคลื่อนทัพไปทางเหนือจากอำเภอต้าซิง และมุ่งหน้าต่อไปทางใต้ของจัตุรัสเทียนอันเหมินผ่านต้าหงเหมิน หย่งติ้งเหมิน และเจิ้งหยางเหมิน[51] เวลา 02:00 น. ทหารประมาณ 880 นายจากกรมทหารที่ 173 กองพลที่ 58 ของกองทัพที่ 20 ถูกล้อมโดยชาวเมืองหลายหมื่นคนนอกประตูทางตะวันออกของหอสักการะฟ้าในเขตเขตฉงเหวิน ประมาณ 300 นายที่ถูกตรึงไว้กับกำแพงด้านนอกบริเวณหอ เมื่อผู้บัญชาการกรมทหารบอกกับฝูงชนว่าทหารของเขาหิว กระหายน้ำ และเหนื่อยล้า ชาวบ้านก็นำโซดา ขนมและผลไม้มาด้วย และนำทหารที่ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล[ต้องการอ้างอิง]
กองทัพที่ 12 ถูกส่งทางอากาศไปยังท่าอากาศยานหนานยฺเวี่ยนในวันที่ 4 มิถุนายน และไม่ได้ถูกส่งไปที่เมืองนั้น[51][38]
จากทิศตะวันออก
[แก้]
เวลา 20.00 น. กองทัพที่ 39 ออกจากท่าอากาศยานทหารซานเจี้ยนฟางในอำเภอทงและเดินเท้าไปทางตะวันออกสู่จัตุรัสผ่านเขตเฉาหยางและตงเฉิง[51] กองทัพที่ 67 ออกจากอำเภอทงและย้ายจากติ้งฝู่จวง ต้าเป่ย์เหยา, ฮูเจียโหลว เจี้ยนกั๋วเหมิน ถนนฉางอานตะวันออกไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน[51] กองพลทหารปืนใหญ่ที่ 14 ออกเดินจากสถานีรถไฟปักกิ่งและเคลื่อนพลไปทางตะวันออกของจัตุรัส[82]
เวลา 22:00 น. หมู่แรกของกองพลยานเกราะที่ 1 ออกจากหยางจาในอำเภอทงและเคลื่อนพลไปทางตะวันตกตามทางหลวงปักกิ่ง–ถังชาน[83] ก่อนหน้านี้ เวลา 16:00 น. หน่วยนี้ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนพลจากซานเหอในมณฑลเหอเป่ย์ไปยังค่ายทหารของกองบัญชาการรักษาการณ์ปักกิ่งที่หยางจา[83] ที่ปาหลี่เฉียว การเคลื่อนพลของหน่วยแรกถูกหยุดลงโดยกลุ่มผู้ประท้วงและรถโดยสารที่พังเสียหาย ในเวลาเที่ยงคืน หน่วยแนวหน้าที่มีรถตำรวจฯ สามคันแยกออกจากหน่วยหลักเพื่อหาเส้นทางใหม่และเคลื่อนพลไปยังทางหลวงปักกิ่ง–เทียนจิน[83] หน่วยหลักตามมา ตลอดสี่ชั่วโมงถัดมา หน่วยยานเกราะได้บุกโจมตีผ่านทางแยกที่มีสิ่งกีดขวางที่ฉือหลี่พู่, ปาหลี่จวง, ฮูเจียโหลว, ต้าเป่ย์เหยาและเจี้ยนกั๋วเหมิน และไปถึงจัตุรัสในเวลาประมาณ 05:00 น.[83] หมู่แรกที่เหลือตามมาในเวลา 05:40 น.[83]
หมู่ที่ 2 ของกองพลยานเกราะที่ 1 ออกจากซานเหอในคืนวันที่ 3 มิถุนายน และเผชิญกับสิ่งกีดขวางมากมายก่อนที่การรุกคืบจะหยุดลงอย่างสมบูรณ์ที่ชวงจิ่ง ที่ซึ่งประชาชนกั้นถนนด้วยรถบรรทุกหลายสิบคันและล้อมขบวนรถ ชาวบ้านที่โกรธแค้นแจ้งกับทหารว่าเกิดการนองเลือดในเมืองและได้ทุบทำลายไฟและปืนกลของรถบางคัน[83] มีทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก[83] สฺวี ชิ่งเหริน ผู้บัญชาการกองพล และอู๋ จงหมิง กรรมาธิการการเมือง เลือกที่จะไม่ทำร้ายพลเรือนและอยู่ที่ชวงจิ่งต่อไปเป็นเวลา 13 ชั่วโมงตั้งแต่เวลา 06:40 น. ถึง 19:40 น. ระหว่างนี้ชาวบ้านได้นำอาหารและน้ำไปให้ทหาร[83] หน่วยรถถังของหมู่ที่ 2 มาถึงจัตุรัสในเวลา 01:40 น. ของวันที่ 5 มิถุนายน และทหารบางส่วนมาถึงในวันที่ 7 มิถุนายน[83]
การขัดคำสั่งของกองพลที่ 116 กองทัพที่ 39
[แก้]เย็นวันที่ 3 มิถุนายน ซฺวี่ เฟิง ผู้บัญชาการกองพล เปลี่ยนมาสวมชุดนอกเครื่องแบบและออกลาดตระเวนรอบเมืองด้วยตนเอง[84] เมื่อกลับมา เขาก็บอกผู้ใต้บังคับบัญชาว่า "อย่าตามหาเขา" และก็ขึ้นรถสื่อสารของกองพล[84] หลังจากนั้น กองพลก็ยังคงนิ่งเงียบทางวิทยุและไม่ได้รุกคืบเข้าสู่ปักกิ่ง ยกเว้นกรมทหารที่ 347 ภายใต้การนำของอ้าย หูเชิง ซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งและเดินทางไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 4 มิถุนายน[84] วันที่ 5 มิถุนายน กองพลที่เหลือได้รับการอารักขาโดยหน่วยอื่นไปยังจัตุรัส[84] ต่อมาซฺวี่ถูกลงโทษทางวินัยฐานต่อต้านโดยไม่ใช้ความรุนแรง[84]
จากทิศเหนือ
[แก้]กองทัพที่ 40 ออกจากท่าอากาศยานบินปักกิ่งในเวลา 15:35 น. และมุ่งหน้าเข้าเมืองจากทางตะวันออกเฉียงเหนือผ่านทางหลวงสนามบิน ไท่หยางกง, ซานยฺเหวียนเฉียว และตงจื๋อเหมิน[51]
กองทัพที่ 64 ออกจากจุดรวมพลที่ท่าอากาศยานทหารชาเหอในอำเภอชางผิง ทางตอนเหนือของเมือง และเคลื่อนทัพลงใต้ไปตามหม่าเตี้ยน, ชิงเหอ, ถนนซฺเว่-ยฺเหวียน, เหอผิงหลี่ สู่เต๋อเชิ่งเหมิน[51]
มุ่งหน้าสู่จัตุรัส – 4 มิถุนายน
[แก้]ประมาณ 01:30 น. กองทัพที่ 38 และเหล่าส่งทางอากาศที่ 15 เดินทางมาถึงปลายจัตุรัสทางเหนือและใต้ตามลำดับ[ต้องการอ้างอิง] กองพลทหารปืนใหญ่ที่ 14 มาถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีน ทางตะวันออกของจัตุรัสในเวลา 00:15 น.[82] กองทัพที่ 27 และ 65 กรูออกมาจากมหาศาลาประชาชนทางตะวันตกของจัตุรัส กองทัพที่ 63 ยึดครองพื้นที่ด้านตะวันออกของจัตุรัส[ต้องการอ้างอิง] กองทัพที่ 24, 39, 54 และกองพลทหารปืนใหญ่ที่ 14 ควบคุมพื้นที่รอบจัตุรัส และเวลา 02:00 น. การล้อมก็เสร็จสิ้น[ต้องการอ้างอิง] ฝูงชนที่พยายามกลับเข้าสู่จัตุรัสจากถนนฉางอานตะวันออกถูกไล่ออกไปด้วยการยิงปืน เวลานั้น มีนักศึกษาหลายพันคนรวมตัวกันอยู่รอบอนุสาวรีย์วีรชนภายในจัตุรัส[ต้องการอ้างอิง]
ขณะที่นักศึกษากำลังถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไร โฮ่ว เต๋อเจี้ยนก็เจรจากับกองทัพเพื่อขอผ่านออกจากจัตุรัสอย่างปลอดภัย เวลา 03:30 น. ตามคำแนะนำของแพทย์ 2 คนในค่ายกาชาด โฮ่ว เต๋อเจี้ยนและจัวขึ้นรถพยาบาลไปยังมุมตะวันออกเฉียงเหนือของจัตุรัสและพูดคุยกับจี้ ซินกั๋ว กรรมาธิการการเมืองของกรมทหารที่ 336 ซึ่งส่งต่อคำร้องไปยังกองบัญชาการ ซึ่งตกลงอนุญาตให้นักศึกษาเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างปลอดภัย[85] เวลา 04:00 น. ไฟบนจัตุรัสดับลงกะทันหัน เป็นสัญญาณว่ากองทัพหมดความอดทนแล้ว เพื่อทำลายขวัญกำลังใจของนักศึกษา กองร้อยที่ 5 ของกองพลน้อยที่ 2 กรมทหารที่ 334 ได้ทำลายรูปปั้นเทพีประชาธิปไตยที่ปลายด้านเหนือของจัตุรัส[86] เวลา 04:30 น. ไฟก็สว่างขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ทหารเริ่มเคลื่อนพล ภายใต้การนำของอู่ ยฺหวินผิง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบ กองพลส่งทางอากาศที่ 44 ทหารได้เคลื่อนพลเข้าสู่อนุสาวรีย์ และเวลาประมาณ 04:40 น. ได้เปิดเครื่องขยายเสียงให้เหล่านักศึกษา[50] เมื่อถึงเวลานั้น นักศึกษาส่วนใหญ่ได้รับการเกลี้ยกล่อมจากหลิว เสี่ยวปัว และโฮ่ว เต๋อเจี้ยน ให้ออกจากจัตุรัสไปแล้ว นักศึกษาออกจากจัตุรัสไปทางตะวันออกเฉียงใต้ บางคนโดนทหารตีระหว่างทาง จากนั้นรถของกองทัพก็วิ่งทับเมืองเต็นท์ ทำให้เกิดการถกเถียงกันว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ ภายในเวลา 05:30 น. จัตุรัสก็ถูกเคลียร์[ต้องการอ้างอิง] เศษซากต่าง ๆ ถูกยกออกมาด้วยเฮลิคอปเตอร์
มีนักศึกษาอย่างน้อย 3 รายเสียชีวิตจากการยิงปืนในและรอบจัตุรัส หลังจากบริเวณจัตุรัสถูกเคลียร์ การปะทะกันระหว่างชาวบ้านและทหารก็ดำเนินต่อไปอีกหลายวัน กองทัพ โดยเฉพาะหน่วยข่าวกรอง ดำเนินการจับกุม "พวกอันธพาลหัวรุนแรง" จำนวนมาก บางหน่วยมีส่วนร่วมในการทรมาน[ต้องการอ้างอิง]
การดำเนินการภายหลังการเคลียร์จัตุรัส
[แก้]รถถังพบกับนักศึกษาที่ลิ่วปู้โข่ว
[แก้]
เวลาประมาณ 05:20 น. หมู่แรกของกองพลยานเกราะที่ 1 ได้รับคำสั่งให้สลายการชุมนุมรอบจงหนานไห่[83] ภายใต้การบังคับบัญชาของหลัว กัง ผู้บัญชาการกรม และเจีย เจิ้นหลู กรรมาธิการการเมือง รถถัง 8 คันออกจากจัตุรัสและเคลื่อนไปทางตะวันตกตามถนนฉางอาน[83] การรุกคืบของพวกเขาถูกหยุดยั้งโดยนักศึกษาหลายร้อยคนที่นอนอยู่บนถนน โดยพวกเขาปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหวแม้จะได้รับคำเตือนด้วยวาจาและการยิงปืนขึ้นฟ้าก็ตาม[83] จากนั้นรถถังก็ยิงแก๊สน้ำตาที่เป็นเกรดทหารออกมาซึ่งทำให้เหล่านักศึกษาทนไม่ไหว[83] รถถังมาถึงประตูซินหฺวาของจงหนานไห่ในเวลา 07:25 น. โดยรถถังบางคันอยู่เฝ้าประตู ส่วนคันอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก[83] เมื่อถึงทางแยกลิ่วปู้โข่ว รถถังก็พุ่งเข้ามาหานักศึกษาหลายพันคนซึ่งเพิ่งจะอพยพออกจากจัตุรัสเทียนอันเหมิน และกำลังเดินอยู่ในช่องจักรยานข้างถนนกลับไปยังมหาวิทยาลัย[83] รถถัง 3 คันยิงแก๊สน้ำตาใส่นักศึกษาและอีกคันคือรถถังหมายเลข 106 ขับรถเข้าไปในกลุ่มฝูงชน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 รายและบาดเจ็บอย่างน้อย 9 ราย รวมทั้งฟาง เจิ้ง[83] หลัว กัง ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการกองพล อ้างในบันทึกความทรงจำของเขาว่ารถถังภายใต้การบังคับบัญชาของเขาไม่ได้ทับใครเลย[83]
การขัดคำสั่งของกองทัพที่ 28 ที่มู่ซีตี้
[แก้]กองทัพที่ 28 โดดเด่นในด้านการบังคับใช้กฎอัยการศึกอย่างไม่โต้ตอบ หน่วยที่นำโดยเฮ่อ เหยียนราน ผู้บัญชาการ และจาง หมิงชุน กรรมาธิการการเมืองจาง และมีฐานที่มั่นอยู่ที่ต้าถง มณฑลชานซี ได้รับคำสั่งระดมพลในวันที่ 19 พฤษภาคม[87] พวกเขาเดินหน้านำหน่วยยานยนต์ไปยังอำเภอเหยียนชิ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของใจกลางกรุงปักกิ่ง เมื่อมีคำสั่งให้เข้าเมืองในวันที่ 3 มิถุนายน กองทัพที่ 28 ได้เผชิญหน้ากับประชาชนที่ออกมาประท้วงบนเส้นทางแต่ไม่ได้เปิดฉากยิง และไม่ทันกำหนดการไปถึงจัตุรัสเทียนอันเหมินในเวลา 05:30 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน[87] เวลา 07:00 น. กองทัพที่ 28 ได้เผชิญหน้ากับชาวบ้านที่โกรธแค้นที่มู่ซีตี้บนถนนฉางอานตะวันตกทางตะวันตกของจัตุรัส[87] ชาวบ้านเล่าให้ทหารฟังถึงเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าและให้ทหารดูเสื้อเปื้อนเลือดของเหยื่อ เวลาเที่ยงวัน หลิว หฺวาชิง ผู้บัญชาการปฏิบัติการบังคับใช้กฎอัยการศึก ได้สั่งให้หวัง ไห่ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชน บินเหนือมู่ซีตี้ด้วยเฮลิคอปเตอร์และสั่งให้กองทัพที่ 28 โจมตีโต้กลับผ่านเครื่องขยายเสียง[87] แต่บนพื้นดิน ผู้บัญชาการกองทัพที่ 28 กลับไม่ปฏิบัติตาม[87] แต่กองทัพกลับละทิ้งตำแหน่งของตนพร้อมกัน เวลาประมาณ 17:00 น. ทหารหลายนายได้ถอยร่นเข้าไปในพิพิธภัณฑ์การทหารแห่งการปฏิวัติของประชาชนจีนที่อยู่ใกล้เคียง ในบรรดาหน่วยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการปราบปราม กองทัพที่ 28 เสียยุทโธปกรณ์มากที่สุด โดยพาหนะ 74 คัน รวมถึงรถลำเลียงพลหุ้มเกราะ 31 คัน และรถสื่อสาร 2 คัน ถูกเผาไป[87] ต่อมาหน่วยดังกล่าวได้ถูกถอดออกและสั่งให้ดำเนินการปรับโครงสร้างใหม่เป็นเวลา 6 เดือน[87] หลังจากนั้นผู้บังคับบัญชาทุกนายถูกลดตำแหน่งและย้ายไปประจำหน่วยอื่น[87]
การชุมนุมที่ถนนฉางอานตะวันออก
[แก้]ต่อมาในช่วงเช้า ผู้ประท้วงหลายพันคนพยายามเข้าสู่จัตุรัสจากทางตะวันออกเฉียงเหนือบนถนนฉางอานตะวันออกซึ่งถูกกั้นโดยทหารราบหลายแถว[88] หลายคนที่อยู่ในฝูงชนเป็นพ่อแม่ของผู้ประท้วงที่อยู่ในจัตุรัส[88] ขณะที่ฝูงชนเข้าใกล้ทหาร เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้ส่งเสียงเตือน และทหารก็เริ่มยิงปืน[88] ฝูงชนรีบวิ่งกลับลงไปตามถนนต่อหน้านักข่าวที่อยู่ในโรงแรมในปักกิ่ง[88] ผู้ประท้วงนับสิบถูกยิงที่ด้านหลังขณะหลบหนี[88] ต่อมาฝูงชนพากันถอยกลับไปหาทหาร ซึ่งเปิดฉากยิงอีกครั้งจนต้องล่าถอยไป[88][89] ฝูงชนพยายามอีกหลายครั้งแต่ไม่สามารถเข้าไปในจัตุรัสซึ่งปิดไม่ให้ประชาชนเข้าเป็นเวลาสองสัปดาห์ [90]
นักศึกษากลับมหาวิทยาลัย
[แก้]ต่อมาในช่วงเช้า นักศึกษาหลายพันคนกำลังเดินกลับมหาวิายาลัยและพบกับขบวนรถจากกองพลที่ 190 ของกองทัพที่ 64 ใกล้กับถนนซฺเว่-ยฺเหวียน[91] นักศึกษากั้นขบวนรถและแสดงร่างของลฺหวี่ เผิง วัย 9 ขวบซึ่งถูกยิงเสียชีวิตในคืนก่อนที่ฟู่ซิงเหมินให้ผู้บัญชาการดู[91] การเห็นเด็กน้อยทำให้ฝูงชนโกรธเคือง[92] ผู้บังคับบัญชาสั่งลูกน้องไม่ให้ยิงแล้วถอยกลับ ต่อมาในช่วงบ่ายวันนั้น รถ 27 คันของกองทัพที่ 64 ถูกเผาใกล้กับสะพานหม่าเตี้ยน[91]
5–7 มิถุนายน
[แก้]วันที่ 5 มิถุนายน หลังจากยึดจัตุรัสได้แล้ว กองทัพก็เริ่มกลับมาควบคุมถนนสายหลักในเมือง โดยเฉพาะถนนฉางอาน ขบวนรถถังของกองยานเกราะที่ 1 เคลื่อนออกจากจัตุรัสและมุ่งหน้าไปทางตะวันออกบนถนนฉางอานและพบกับผู้ประท้วงเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่กลางถนน สื่อตะวันตกจับภาพเหตุการณ์เผชิญหน้าสั้น ๆ ระหว่างชายคนดังกล่าวกับรถถังได้ที่ด้านบนโรงแรมปักกิ่ง ขณะที่คนขับรถถังพยายามที่จะแซง ชายคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาในเส้นทางของรถถัง เขายืนท้าทายอยู่หน้ารถถังสักพัก จากนั้นจึงปีนขึ้นไปบนป้อมปืนของรถถังนำเพื่อพูดคุยกับทหารที่อยู่ข้างใน หลังกลับมาอยู่ในตำแหน่งหน้ารถถัง ชายคนดังกล่าวก็ถูกกลุ่มคนดึงตัวไปข้าง ๆ[67] ชาร์ลี โคล จากนิวส์วีก อ้างว่าชายคนดังกล่าวเป็นสายลับของรัฐบาลจีน[93] ในขณะที่แจน หว่อง จากเดอะโกลบแอนด์เมล คิดว่าชายคนดังกล่าวเป็นเพียงผู้เห็นเหตุการณ์ที่กังวลเท่านั้น[94]
ตามรายงานของหลี เสี่ยวหมิง นายทหารในกองพลที่ 116 ทหารในหน่วยของเขาได้ยิงใส่ฝูงชนที่ล้อมทหารคนอื่น ๆ อยู่ด้านนอกสำนักข่าวซินหัว โดยทหารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ยิงขึ้นฟ้าหรือลงพื้นดินเพื่อข่มขู่ฝูงชน[84] เขาประมาณการว่ามีทหารน้อยกว่า 1 ใน 1,000 นายที่ยิงใส่ฝูงชน เพราะไม่เช่นนั้น "เลือดคงไหลนองถนนเหมือนแม่น้ำ" เพราะต้องใช้ "ทหารเพียง 10 นายเท่านั้นที่ยิงกระสุนจนหมดเพื่อสังหารผู้คน 300–400 คน"[84]
วันที่ 7 มิถุนายน ทหารจากกองทัพที่ 39 ได้ยิงถล่มอพาร์ทเมนต์ของสถานทูตที่ถนนเจี้ยนกั๋วเหมินนอกหลังมีรายงานว่ามือปืนจากทิศทางดังกล่าวได้ยิงทหารเสียชีวิต 1 นาย คือจาง ลี่เจี้ย และทำให้ทหารอีก 3 นายได้รับบาดเจ็บ[84][95] แลร์รี วอร์ตเซิล เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทางทหารประจำสถานทูตสหรัฐ กล่าวว่าเขาได้รับคำเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการยิงพร้อมทั้งระบุเวลาที่ชัดเจน รวมถึงระบุอาคารและชั้นที่ควรหลีกเลี่ยง[38]
การต่อต้านคำสั่งกฎอัยการศึกของกองทัพ
[แก้]ก่อนวันที่ 3–4 มิถุนายน
[แก้]ทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าร่วมในการชุมนุมของขบวนการนักศึกษาในจัตุรัสเทียนอันเหมินก่อนและหลังการประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 20 พฤษภาคม[96] วันที่ 16 พฤษภาคม วันเดียวกับที่มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียต พบกับเติ้ง เสี่ยวผิง ทหาร 1,000 นายได้ร่วมขบวนพาเหรดกับนักศึกษาไปตามถนนฉางอาน[97][98] วันที่ 23 พฤษภาคม นักเรียนนายเรือ 100 นายเดินผ่านจัตุรัสเทียนอันเหมิน พร้อมตะโกนว่า "จงโค่นหลี่ เผิง"[99] ทหารถูกส่งไปปักกิ่งในคืนก่อนและหลังการประกาศกฎอัยการศึก ในระหว่างการฝึกพวกเขาถูกสอนให้เชื่อฟังคำสั่งและไม่ตั้งคำถามถึงความต้องการของพรรค[100] พวกเขายังได้รับคำสั่งไม่ให้รับอาหารจากนักศึกษาหรือสนทนากับพวกเขา[101] อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทหารกองทัพฯ ทุกคนจะปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านี้ ชาวปักกิ่งนำอาหารและเครื่องดื่มมาให้ซึ่งทหารที่ฝ่าฝืนคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็รับไว้[102] เฉิน กวาง ซึ่งถูกส่งไปปราบปรามการเคลื่อนไหวในวันที่ 19 พฤษภาคม เล่าถึงนักศึกษาเหล่านี้ว่า "พวกเขาเป็นมิตรมาก และมีรอยยิ้มที่สดใส จิตวิญญาณของพวกเขาเต็มไปด้วยการต้อนรับ"[103] เมื่อกองทัพล่าถอย นักศึกษาได้ถือป้ายที่มีข้อความว่า "กองทัพฯ มาตามคำสั่ง เราสนับสนุนคุณ พวกคุณกลับบ้านไปเถอะ"[104] เฉินแนะนำว่าการกระทำนี้ทำให้เขาตั้งคำถามถึงจุดประสงค์ของตนในการระงับการเคลื่อนไหว เขาพูดว่า "ทันใดนั้นคุณก็รู้สึกเหมือนว่าคุณไม่เข้าใจสังคมนี้... คุณเริ่มคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ก่อนหน้านั้น คุณไม่ได้มีจิตสำนึกแบบนั้น"[105]
ต่อมาในวันที่ 29 พฤษภาคม ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือได้ส่งรายงานไปยังศูนย์กลางพรรคเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจนำกฎอัยการศึกมาใช้[106] อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทหารเรือยังได้รวมข้อกังวลที่ระบุไว้ในรายงานของตนด้วย พวกเขาไม่สนับสนุนการประณามจ้าว จื่อหยาง และกังวลว่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมั่นคงหรือไม่[107] พวกเขายังเสนอให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนรับฟังความต้องการของนักศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความมั่นคงมหาชน การทุจริต และความไม่สมดุลระหว่างค่าจ้าง[107] ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง เติ้ง เสี่ยวผิง และคำสั่งของเขาเผชิญกับการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่กองทัพฯ ทั้งระดับสูงและระดับกลางหลังจากการประกาศกฎอัยการศึก[108] ทหารผ่านศึกและผู้นำทหารระดับสูงหลายคนยังได้ลงนามในคำร้องเพื่อต่อต้านทหารที่ใช้กำลังกับผู้ประท้วง เช่น เนี่ย หรงเจิน, สฺวี เซียงเฉียน, จาง อ้ายผิง และเย่ เฟย์[99]
3–4 มิถุนายน
[แก้]นักวิชาการประมาณการว่าในตอนเย็นของวันที่ 3 มิถุนายน เติ้งได้ส่งทหารจำนวน 150,000 ถึง 350,000 นายพร้อมปืนใหญ่หนักเพื่อเข้าและล้อมปักกิ่ง[1] อย่างไรก็ตาม ทหารจำนวนมากในกองทัพปลดปล่อยประชาชนไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งบังคับใช้กฎอัยการศึกในคืนนั้น[109] ทหารบางส่วนมีความขัดแย้งทางอารมณ์และลังเลที่จะหันอาวุธไปที่นักศึกษา พวกเขาเชื่อว่ากองทัพฯ เป็นของประชาชน และพวกเขาควรต่อสู้เพื่อพวกเขา ไม่ใช่ต่อสู้กับพวกเขา[1] พวกเขาได้รับการเตือนถึงความรู้สึกนี้จากผู้คนที่อยู่แถวนั้นและผู้ประท้วงระหว่างความพยายามหลายครั้งในการเคลียร์จัตุรัสก่อนและในคืนที่เกิดการสังหารหมู่[110]
ดังนั้นหน่วยกองทัพฯ บางหน่วยจึงไม่มีกระสุนติดตัวมาเมื่อเข้าสู่ปักกิ่ง รวมถึงหน่วยกองทัพที่ 40[111][112] มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่พรรคสงสัยว่าหน่วยนี้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งกฎอัยการศึกที่ประกาศโดยหลี่ เผิง[113] นักข่าวชาวอเมริกันอ้างว่าในคืนที่เกิดการสังหารหมู่ ทหารหน่วยที่ 38 บอกกับพลเรือนและผู้สังเกตการณ์ว่าถ้าพวกเขามีอาวุธ พวกเขาคงจะใช้ต่อสู้กับทหารที่ยิงพลเรือน[112] นอกจากนี้ ทหารบางส่วนของกองทัพฯ ก็ได้ลงจากรถถังและพาหนะของกองทัพอื่น ๆ โดยเต็มใจ และไม่ได้หยุดยั้งพลเรือนจากการเผาทำลายพวกมัน[112] เฉิน กวาง ทหารกองทัพฯ กล่าวว่าเขาไม่เคยคิดที่จะหนีทัพ แต่เกิดขึ้นในคืนเกิดการสังหารหมู่ โดยมีทหารประมาณ 400 นายหนีทัพในคืนวันที่ 3 มิถุนายน[114] [115] รายงานของจีนระบุว่าทหารเหล่านี้สูญหายระหว่างปฏิบัติหน้าที่[112]
รายงานยอดนิยมระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปักกิ่งปกป้องพลเมืองและใช้อาวุธกับทหารที่กำลังเข้ามา[116]
ในที่สุด หลี เสี่ยวหมิงก็เป็นเจ้าหน้าที่ในกองพลที่ 116 ในกลุ่มทัพที่ 39 และเป็นหนึ่งในทหารคนแรก ๆ ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินต่อสาธารณะ ทหารบางนายในกองพลที่ 116 ไม่สนับสนุนความรุนแรงต่อนักศึกษาและรู้สึกเห็นใจเหยื่อของการสังหารหมู่ครั้งนี้[117] ซฺวี่ เฟิง ผู้บัญชาการกองพล ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังคำสั่งและแสร้งทำเป็นไม่รับข้อความใด ๆ จากเจ้าหน้าที่ระดับสูง[117] ดังนั้นในวันที่ 4 มิถุนายน แทนที่จะเข้าเมือง หน่วยกลับวนรอบปักกิ่งอย่างต่อเนื่อง[117] ภายในวันที่ 5 มิถุนายน กองพลได้รับการอารักขาเข้าสู่เมืองเพื่อช่วยทำความสะอาด พวกเขาต้องเผชิญกับโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากรถถังและกระสุน รวมถึงเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วจัตุรัส[117]
หลังคืนวันที่ 4 มิถุนายน
[แก้]ภายหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ ทหารกองทัพฯ หลายพันนายมารวมตัวกันที่ปักกิ่งโดยมีรายงานว่าเกิดการสู้รบภายในระหว่างหน่วยต่าง ๆ[113] ความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการสังหารหมู่ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ากองทัพสนามที่ 27 เป็นผู้ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับพลเรือนและนักศึกษาในปักกิ่งในคืนที่เกิดการสังหารหมู่ และยังถือว่าเป็นกองทัพที่ภักดีต่อเติ้ง เสี่ยวผิงมากที่สุด[118] ดังนั้นจึงมีข่าวลือว่าหน่วยนี้ปะทะกับทหารจากกองทัพที่ 16 เนื่องจากมีบางคนระบุว่าหน่วยนี้ต่อต้านการปฏิบัติต่อนักศึกษาอย่างเปิดเผย[113] วันที่ 6 มิถุนายน สองวันหลังจัตุรัสถูกเคลียร์ กองทัพสนามที่ 27 ยังคงเล็งรถถังและอาวุธไปที่ชายแดนปักกิ่งเพื่อต้านภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมถึงกองกำลังที่ต้องสงสัยว่าไม่จงรักภักดี[113] หน่วยทหารจำนวน 400 นายได้รับการเฝ้าระวังตลอดเวลาและมีอาวุธปืนจากกองทัพสนามที่ 27 เล็งมาที่พวกเขาเพื่อเลี่ยงการกระทำที่ไม่จงรักภักดี[113]
ที่วิทยาเขตมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศปักกิ่ง มีการติดโปสเตอร์ประณามบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการปราบปรามนักศึกษาในวันที่ 4 มิถุนายน[99] คาดว่าเป็นฝีมือทหารนำมาติดไว้[99]
การสูญเสียชีวิต
[แก้]จากแหล่งข่าวของรัฐบาล ทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชน 10 นายและทหารตำรวจติดอาวุธประชาชน 13 นายเสียชีวิต[4][5] สื่อของรัฐบาลในขณะนั้นรายงานว่าทหาร ตำรวจติดอาวุธ และตำรวจเทศบาลปักกิ่ง "หลายสิบนาย" เสียชีวิตและมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน[6] จากการศึกษาในเวลาต่อมาของอู่ เหรินหฺวา ซึ่งเข้าร่วมการประท้วง พบว่าสามารถยืนยันผู้เสียชีวิตในกลุ่มทหารและตำรวจติดอาวุธได้เพียง 15 รายเท่านั้น[3] มากกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากผู้ประท้วงโดยตรง:
- ทหาร 6 นายจากกองทัพที่ 38 ได้แก่ หวัง ฉี่ฟู่, ลี่ เชียง, ตู้ หวยชิ่ง, หลี่ ตงกั๋ว, หวัง เสี่ยวปิง และสฺวี หรูจฺวิน เสียชีวิตเมื่อรถบรรทุกที่พวกเขาโดยสารพลิกคว่ำและเกิดเพลิงไหม้ที่ถนนจุ้ยเวย์ในเวลาประมาณ 01:10 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน;[119]
- ยฺวี่ หรงลู่ ช่างภาพในหน่วยโฆษณาชวนเชื่อของกองทัพที่ 39 ซึ่งไม่ได้สวมเครื่องแบบขณะถ่ายภาพและถูกยิงเสียชีวิต (และนับเป็นผู้เสียชีวิตจาก "การยิงกันเอง") ในเวลาประมาณ 02:00 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน;[119]
- หวัง จิ่งเฉิง ผู้บังคับหมวดจากกองทัพที่ 24 เสียชีวิตจากอาการหัวใจวายในวันที่ 4 กรกฎาคม[3]
ผู้เสียชีวิตอีก 7 รายที่อาจนับเป็นผู้เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่เกิดขึ้นหลังจากทหารเปิดฉากยิงใส่ฝูงชนเป็นครั้งแรกในเวลา 22:00 น. ของวันที่ 3 มิถุนายน[3]
- หลิว กั๋วเกิง ผู้บังคับหมวดกองทัพที่ 63 เสียชีวิตในเวลาประมาณ 4.00 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน ทางตะวันตกของซีตาน;[3]
- จุย กั๋วเจิ้ง พลทหารในกองทัพที่ 39 ถูกแทงเสียชีวิตบนสะพานคนเดินที่ฉงเหวินเหมินในเวลาประมาณ 04.40 น.;[3]
- หม่า กั๋วเซฺวียน ผู้บังคับหมวดในกองทัพที่ 54 ถูกโจมตีในเวลา 01.00 น. ที่ไช่ชื่อโข่วและเสียชีวิตจากบาดแผลที่โรงพยาบาลตำรวจติดอาวุธประชาชน;[3]
- หวัง จินเหว่ยฺ ร้อยโทในกองทัพที่ 54 เสียชีวิตบนถนนซินหฺวาใต้ในเวลาประมาณ 04:30 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน;[3]
- หลี่ กั๋วรุ่ย เจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธประชาชน ได้รับบาดเจ็บที่สะพานฟู่เฉิงเหมินในเวลาประมาณ 05:00 น. และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลเหรินหมิน;[3]
- หลิว เยี่ยนพัว เจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธประชาชน ได้รับบาดเจ็บที่ซีตานในเวลาประมาณ 01:00 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลเหรินหมิน;[3] และ
- จาง ลี่เจี๋ย พลทหารในกองทัพที่ 39 ถูกยิงจากอพาร์ตเมนต์ทูตบนถนนเจี้ยนกัวเหมินนอกในวันที่ 7 มิถุนายน[3]
ผลกระทบ
[แก้]
ข่าวลือ
[แก้]ในช่วงไม่กี่วันหลังวันที่ 4 มิถุนายน มีข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่ชาวปักกิ่งว่ากองทัพที่ 27 ก่ออาชญากรรมโหดร้ายที่สุด ขณะที่กองทัพที่ 38 กลับเป็นมิตรกับประชาชน[120] เชื่อกันว่ากองทัพที่ 27 นั้นนำโดยหลานชายของประธานาธิบดีหยาง ช่างคุน และเชื่อกันว่ามีความภักดีต่อเขาอย่างสุดใจ[121] ชาวบ้านเล่าถึงทหารกองดังกล่าวว่าเป็น "คนป่าเถื่อนที่ไม่รู้หนังสือ และรู้เพียงแต่วิธีฆ่าเท่านั้น"[122] เชื่อกันว่าทหารบางนายถูกวางยาและถูกแจกกระสุนที่ดัดแปลงเพื่อเพิ่มอาการบาดเจ็บ[22] มีรายงานการยิงพลเรือนที่ไม่มีอาวุธจากด้านหลังโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า[123] และแม้แต่รายงานที่กองทัพที่ 27 บังคับทหารกองอื่นให้สังหารนักศึกษาที่ออกมาประท้วง[124] สื่อตะวันตกรายงานว่า "กองทัพที่ 27 เป็นที่เกลียดชังอย่างมากในปักกิ่ง"[122]
ยังมีรายงานการเผชิญหน้าระหว่างหน่วยทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่ 27 ด้วย[122] กล่าวกันว่ากองทัพที่ 16 ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือกองทัพที่ 38 แต่ต้องการใช้กำลังให้น้อยที่สุด กองทัพที่ 27 เพิกเฉยต่อคำวิงวอนของกองทัพที่ 16 และเดินเท้าต่อไปยังจัตุรัสเทียนอันเหมิน[125] วันที่ 6 มิถุนายน เจ้าหน้าที่สหรัฐได้ยืนยันรายงานที่เกี่ยวข้องกับการยิงกันระหว่างกองทัพที่ 16 และ 27 ในเขตชานเมืองของปักกิ่ง[41] มีรายงานว่าในวันที่ 7 มิถุนายน กองทัพที่ 38 เผชิญกับเหล่าส่งทางอากาศที่ 27 และ 15[26]
หน่วยอื่นที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้านกองทัพที่ 27 คือ กองทัพที่ 40 ซึ่งได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพลเรือนในอาณาเขตปิดล้อมรอบถนนสนามบิน พลเรือนแลกเปลี่ยนอาหารและเสบียงรวมถึงให้การสนับสนุนทางจิตใจแก่กองทัพที่ 40[122] แม้จะมีหลายคนต่อต้านกองทัพที่ 27 ที่ไม่มีระเบียบวินัย แต่ก็ไม่มีกองทัพใดโดดเด่นเท่ากับกองทัพที่ 38[126] ในตอนแรกกองทัพที่ 38 ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งในการเข้าเมือง จึงถูกแทนที่ด้วยกองทัพที่ 27 อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 6 มิถุนายน กองทัพที่ 38 ถูกส่งกลับไปยังปักกิ่งเพื่อให้กองทัพที่ 27 ปลดพวกเขาจากตำแหน่งที่ยึดครอง ชาวปักกิ่งบางส่วนต้อนรับกองทัพอันเป็นที่รักของพวกเขากลับมา และถือว่า "กองทัพที่ 38 เป็นกองทัพของประชาชน!"[122]
ข่าวลือดังกล่าวสร้างแรงบันดาลใจให้ชาวฉือเจียจวงออกมาประท้วงบริเวณนอกกองบัญชาการกองทัพที่ 27[127] เจ้าหน้าที่และสมาชิกครอบครัวของกองทัพที่ 27 ตกเป็นเป้าของการดูถูกและล้อเลียนในบ้านเกิดของพวกเขา[127]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1990 ทหารที่ลาออกจากกองทัพที่ 38 เล่าถึงประสบการณ์ของเขาในการปราบปรามการชุมนุมประท้วงของนักศึกษา โดยอ้างว่าหน่วยของเขาถูกหลอกให้เปิดฉากยิงผู้ประท้วง ขณะที่พวกเขากำลังเข้าใกล้จัตุรัสในคืนวันที่ 3 มิถุนายน ทหารและหน่วยของเขาไม่เต็มใจจะยิงใส่ฝูงชนที่ขวางทางพวกเขา แต่พวกเขากลับยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่ผู้ประท้วงและเปิดทางให้พวกเขาไปยังจัตุรัส ขณะที่หน่วยทหารกำลังเดินทัพ ก็ได้มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วหมู่ทหารว่าเพื่อนร่วมหน่วยกว่าร้อยคนหายตัวไปและคาดว่าถูกนักศึกษาสังหาร จึงได้ทำการนับและยืนยันได้ว่ามีทหารสูญหายไป 100 นาย เหตุการณ์นี้ทำให้ทหารตกใจและโกรธผู้ประท้วง หลังจากนั้นไม่นานก็มีคำสั่งให้ยิงใส่ฝูงชนและปฏิบัติตามอย่างร้ายแรง หลังร่วมปฏิบัติการกวาดล้างจัตุรัสสำเร็จแล้ว หน่วยทหารก็ได้เริ่มปฏิบัติการทำความสะอาด ในขณะนี้ ทหารหนึ่งร้อยนายที่สูญหายไปปรากฏตัวอีกครั้งโดยไม่ได้รับอันตราย โดยอ้างว่าได้ทิ้งหน่วยของตนชั่วคราว ทหารที่ไม่ทราบชื่อได้เล่าเรื่องนี้ให้แม่ของเขาฟัง และข่าวลือก็แพร่กระจายจากตรงนั้นกระทั่งไปถึงหูของแพต วอร์ดลอว์ กงสุลใหญ่สหรัฐในเซี่ยงไฮ้ในขณะนั้นในที่สุด วอร์ดลอว์แสดงความเห็นว่าไม่ควรนำแหล่งที่มามาเป็นข้อเท็จจริง แต่ควรเป็นตัวอย่างของข่าวลือที่แพร่สะพัดในประเทศจีนในช่วงนั้น[128]
เติ้ง เสี่ยวผิงกล่าวชื่นชมกองทัพ
[แก้]วันที่ 9 มิถุนายน เติ้ง เสี่ยวผิงปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มต้นการประท้วง โดยกล่าวสุนทรพจน์ขอบคุณและชื่นชมการบังคับใช้กฎอัยการศึกของกองทัพ[129] องค์การพรรคฯ ได้สนับสนุนประชาชนให้ศึกษาเนื้อหาของสุนทรพจน์ดังกล่าว[129] เขาประณามการประท้วงดังกล่าวว่าเป็นกบฏต่อต้านการปฏิวัติเพื่อโค่นพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเหตุให้การใช้กำลังมีความชอบธรรมอย่างยิ่ง[129] การร้องเรียนของผู้ประท้วงเรื่องการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการปกปิดแรงจูงใจแอบแฝงของพวกเขา[129] เติ้งกล่าวว่าความมั่นคงของกองทัพ ซึ่งเป็น "กำแพงเหล็กและเหล็กกล้า" ของพรรคและประเทศ "ทำให้การจัดการกับเรื่องปัจจุบันง่ายขึ้น"[129] เขาได้ตั้งชื่อทหาร 12 นายที่เสียชีวิตในปฏิบัติการครั้งนี้ว่า "ผู้เสียสละ" และยกย่องทหารอีก 13 นายให้เป็น "ผู้พิทักษ์สาธารณรัฐ"[6]
กฎอัยการศึกถูกยกเลิกในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1990[6]
การศึกษาและการฝึกอบรมทางทหารในประเทศจีน
[แก้]หลังจากขบวนการนักศึกษาถูกปราบปราม คณะกรรมการการศึกษาแห่งรัฐของจีนได้สั่งให้มีการฝึกทหารเป็นเวลา 1 ปีแก่เด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งและมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นในสถาบันการทหาร[130][131]
ผลลัพธ์สำหรับบุคลากรกองทัพ
[แก้]ผลของการขัดคำสั่ง
[แก้]ระหว่างการปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เจ้าหน้าที่กองทัพฯ ประมาณ 3,500 นายไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง[132] ในช่วงไม่กี่วันหลังวันที่ 4 มิถุนายน สื่อตะวันตกรายงานว่าเจ้าหน้าที่ทหารถูกประหารชีวิตและนายพลถูกนำขึ้นศาลทหาร[133] แม้จะยังไม่ได้รับการยืนยันการประหารชีวิตก็ตาม ใน ค.ศ. 1989 ผู้นำกองทัพได้ปรับย้ายผู้บัญชาการจากภูมิภาคทหารทั้ง 7 แห่งลงสู่ระดับกองพลเพื่อให้แน่ใจว่ามีความจงรักภักดี[132] นับตั้งแต่ปีมานี้ ไม่เคยเกิดการไม่เชื่อฟังคำสั่งภายในกองทัพฯ มากขนาดนี้มาก่อน
พลเอก สฺวี ฉินเซียน แห่งกองทัพที่ 38 ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะบังคับใช้กฎอัยการศึก ถูกปลดจากอำนาจ ถูกตัดสินจำคุก 5 ปีและถูกขับออกจากพรรค ซฺวี่ เฟิง ผู้บัญชาการกองพลที่ 116 กองทัพที่ 39 ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะนำกำลังของเขาเข้าเมืองในวันที่ 3 มิถุนายน ถูกลดตำแหน่ง กองทัพที่ 28 ทั้งหมดที่ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่มู่ซีตี้ ได้รับคำสั่งให้ปรับโครงสร้างใหม่เป็นเวลา 6 เดือน[87] พลเอก เฮ่อ เหยียนหราน ผู้บัญชาการกองทัพที่ 28 ถูกศาลทหารตัดสินลงโทษ และพร้อมกับจาง หมิงชุน กรรมาธิการการเมือง และชิว จินไค่ เสนาธิการ ได้ถูกลงโทษทางวินัย ลดตำแหน่ง และย้ายไปประจำหน่วยอื่น[87]
การเลื่อนตำแหน่ง
[แก้]เจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างจริงจังได้รับการยกย่องและเลื่อนตำแหน่ง หลิว หฺวาชิง ผู้บัญชาการกองกำลังกฎอัยการศึก ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางใน ค.ศ. 1990 และในที่สุดก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง ฉือ เฮ่าเถียน รองผู้บัญชาการฯ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใน ค.ศ. 1993 เหลียง กวางเลี่ย ผู้บัญชาการกองทัพที่ 20 ผู้ซึ่งเข้ามาสืบทอดตำแหน่งเสนาธิการกองทัพปลดปล่อยประชาชนต่อจากฉือใน ค.ศ. 1992 ในที่สุดก็ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใน ค.ศ. 2008 อ้าย หู่เชิง ผู้นำกรมทหารที่ 347 สู่จัตุรัสเทียนอันเหมินขณะที่กำลังที่เหลือของกองพลที่ 116 ภายใต้การนำของซฺวี่ เฟิงขัดคำสั่งกฎอัยการศึก ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง อ้ายเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลใน ค.ศ. 1995 และกองทัพที่ 39 ใน ค.ศ. 2002 ใน ค.ศ. 2007 เขาได้รับตำแหน่งเสนาธิการภูมิภาคทหารเฉิงตู
การเซ็นเซอร์เหรียญ
[แก้]ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2024 หน่วยงานตรวจพิจารณาได้ลบโพสต์สื่อสังคมที่มีภาพเหรียญที่มอบให้แก่ทหารกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่เข้าร่วมการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989[134]
อ้างอิง
[แก้]หมายเหตุ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Scobell, "Why the People's Army Fired," 201.
- ↑ Zhao, D. p. 171
- ↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 (Chinese) Wu Renhua, "戒严部队军警的死亡情况" 《1989天安门事件二十周年祭》 No. 9 Accessed 2013-06-07
- ↑ 4.0 4.1 4.2 L. Zhang 2001, p. 436.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Frontline: Memory of Tiananmen 2006.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 (Chinese) "历程:奉命执行北京市部分地区戒严任务" Xinhua 2005-07-31
- ↑ How Many Died 1990.
- ↑ U.S. G.P.O., p. 445.
- ↑ Brook 1998, p. 154.
- ↑ Kristof:Reassessing Casualties.
- ↑ Secretary of State's.
- ↑ Brook 1998, p. 161.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 John Garnaut, "How top generals refused to march on Tiananmen Square" Sydney Morning Herald 2010-06-04
- ↑ 14.0 14.1 Wu 2009, p. 86, 432.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 Wu 2009, p. 86.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Wu 2009, p. 14.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Wu 2009, p. 15.
- ↑ 18.0 18.1 Wu 2009, p. 10.
- ↑ Wu 2009, p. 11.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 Wu 2009, p. 12.
- ↑ 21.0 21.1 21.2 Wu 2009, p. 17.
- ↑ 22.0 22.1 Benedict Stavis. "China Explodes at Tiananmen" Asian Affairs, 17; 2. 51–61. Taylor & Francis, Ltd. 1990 (accessed February 17, 2011).
- ↑ "PLA Personnel Join Demonstration" Daily Report. Hong Kong HSIN WAN PO in Chinese 17 May 1989.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 Wu 2009, p. 21.
- ↑ 25.0 25.1 Zhang 2001, p. 265.
- ↑ 26.0 26.1 Media reports initially estimated troop deployments in the range 100,000 to 150,000. Bernard E. Trainor. "Turmoil in China; Legions of Soldiers Encircling Beijing: Loyalty to Whom?" The New York Times, June 07, 1989 (accessed February 17, 2011).
- ↑ (Chinese) "六四抗命将军22年首现身—宁杀头,不作历史罪人" Deutsche Welle 2011-02-16
- ↑ (Chinese) "十大王牌军第6位:第12集团军" เก็บถาวร พฤศจิกายน 5, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 2007-07-31
- ↑ Melissa Roberts. "The Choice: Duty to People or Party" Christian Science Monitor, May 23, 1989 (accessed November 21, 2010).
- ↑ 30.0 30.1 Wu 2009, p. 95.
- ↑ Wu 2009, p. 172-73.
- ↑ Wu 2009, p. 530-31.
- ↑ 33.0 33.1 James C. Mulvenon and Richard Yang eds. The People's Liberation Army in the Information Age Rand Corporation, 1999, p. 52
- ↑ Image of helicopter dropping leaflets over Tiananmen Square
- ↑ "Image of helicopter over Tiananmen Square on May 20, 1989
- ↑ "SA 342L Gazelle Attack Helicopter" Sinodefence.com เก็บถาวร 2012-08-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 2007-06-11
- ↑ (Chinese) Wu Renhua, "89天安门事件大事记:5月19日 星期五" Accessed 2013-07-10
- ↑ 38.0 38.1 38.2 38.3 38.4 38.5 38.6 38.7 38.8 Larry Wortzel, "The Tiananmen Massacre Reappraised: Public Protest, Urban Warfare, and the People's Liberation Army" in Andrew Scobell, Larry M. Wortzel, eds. Chinese National Security Decisionmaking Under Stress pp. 72, 77–78 Diane Publishing, 2005
- ↑ 39.0 39.1 39.2 39.3 (Chinese) "89天安门事件大事记:5月20日 星期六" Accessed 2013-07-10
- ↑ (Chinese) Gallery: "64 存照:八九年六四图片回顾 (中)" 2007-06-03
- ↑ 41.0 41.1 Trainor, Bernard E.; Times, Special To the New York (1989-06-06). "Crackdown in Beijin – Civil War For Army?". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2023-03-03.
- ↑ Geremie Barmé & John Crowley. Gate of heavenly Peace. DVD. Directed by Richard Gordon and Carma Hinton. San Francisco, CA : Distributed by NAATA/CrossCurrent Media, 1997.
- ↑ 43.0 43.1 43.2 43.3 43.4 "記憶"標準化"的一個實例──解讀"戒嚴一日"的篩選". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-02-10.
- ↑ Wu 2009, p. 98.
- ↑ Wu 2009, p. 99.
- ↑ 46.0 46.1 Wu 2009, pp. 100–101.
- ↑ 47.0 47.1 Wu 2009, p. 102.
- ↑ "Secretary of State's Morning Summary for 3 June 1989". George Washington University (accessed November 19, 2010).
- ↑ Zhang 2001, p. 349-353.
- ↑ 50.0 50.1 50.2 50.3 50.4 50.5 50.6 (Chinese) Wu Renhua, "天安门广场清场命令的下达 " 《1989天安门事件二十周年祭》之五 Accessed 2013-06-30
- ↑ 51.00 51.01 51.02 51.03 51.04 51.05 51.06 51.07 51.08 51.09 (Chinese) Wu Renhua, "戒严部队的挺进目标和路线" 《1989天安门事件二十周年祭》系列之十三
- ↑ 52.0 52.1 52.2 Wu 2009, p. 177-179.
- ↑ 53.0 53.1 Wu 2009, p. 180.
- ↑ 54.0 54.1 54.2 Wu 2009, p. 304-305.
- ↑ 55.0 55.1 55.2 Wu 2009, p. 327-331.
- ↑ 56.0 56.1 56.2 Wu 2009, p. 208.
- ↑ Wu 2009, p. 209.
- ↑ Wu 2009, p. 212-13.
- ↑ 59.0 59.1 Wu 2009, p. 439.
- ↑ Wu 2009, p. 440.
- ↑ Wu 2009, p. 439-40.
- ↑ Wu 2009, p. 441.
- ↑ Wu 2009, p. 442.
- ↑ 64.0 64.1 64.2 Nathan 2002, pp. 489.
- ↑ 65.0 65.1 65.2 65.3 65.4 65.5 Nathan, Andrew J.; Link, Perry; Liang, Zhang (2002). "The Tiananmen Papers". Foreign Affairs. 80 (1): 2–48. doi:10.2307/20050041. JSTOR 20050041. สืบค้นเมื่อ 4 July 2023.
- ↑ Brown, Jeremy (2021). June Forth: The Tiananmen Protests and Beijing Massacre of 1989. Cambridge University Press. p. 112. ISBN 978-1107657809.
- ↑ 67.0 67.1 Thomas 2006.
- ↑ 68.0 68.1 John Pomfret interview 2006.
- ↑ Nathan 2002, pp. 492.
- ↑ 70.0 70.1 Nathan 2002, pp. 493.
- ↑ 71.0 71.1 71.2 71.3 Timothy Brook interview 2006.
- ↑ 72.0 72.1 Baum 1996, p. 283.
- ↑ 73.0 73.1 73.2 Lim 2014a, p. 38.
- ↑ Richelson & Evans 1999b.
- ↑ Martel 2006.
- ↑ 76.0 76.1 Berry 2008, pp. 302–3.
- ↑ Lim 2014a, p. 16.
- ↑ 78.0 78.1 Brook 1998, p. 130.
- ↑ Berry 2008, p. 303.
- ↑ Lim 2014a, pp. 16–17.
- ↑ "14-August 15 1989" (PDF). The George Washington University.
- ↑ 82.0 82.1 (Chinese) Wu Renhua, "89天安门事件大事记:6月4日 星期日" Accessed 2013-07-02
- ↑ 83.00 83.01 83.02 83.03 83.04 83.05 83.06 83.07 83.08 83.09 83.10 83.11 83.12 83.13 83.14 83.15 83.16 (Chinese) Wu Renhua, "吴仁华:六四事件中的坦克第一师" DWnews.com เก็บถาวร ธันวาคม 17, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 2013-06-04
- ↑ 84.0 84.1 84.2 84.3 84.4 84.5 84.6 84.7 (Chinese) Fang Bing, "参与六四镇压军官公开事件真相" Voice of America 2002-05-30
- ↑ (Chinese) Wu Renhua, "天安门事件的最后一幕" Accessed 2013-07-02
- ↑ 张东旭, "推倒‘女神'像" in 总政文化部征文办公室编, 《戒严一日》 (1989) pp. 259–62
- ↑ 87.00 87.01 87.02 87.03 87.04 87.05 87.06 87.07 87.08 87.09 (Chinese) 英年早逝的'六四'抗命将领张明春少将 เก็บถาวร 2013-12-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 2011-01-17
- ↑ 88.0 88.1 88.2 88.3 88.4 88.5 Thomas 2006, 32:23–34:50.
- ↑ "Interview with Jan Wong". PBS. 11 April 2006. สืบค้นเมื่อ 9 November 2009.
- ↑ Karl Schoenberger, "8 Sentenced to Die in Beijing Fighting: Are Convicted of Beating Soldiers, Burning Vehicles" L.A. Times, 1989-06-18
- ↑ 91.0 91.1 91.2 Wu 2009, p. 534.
- ↑ Wu 2009, p. 534-35.
- ↑ "Picture Power:Tiananmen Standoff". BBC News. สืบค้นเมื่อ October 7, 2005.
- ↑ Jan, Wong. "Jan Wong, August 1988 – August 1994". The Globe and Mail. สืบค้นเมื่อ 9 July 2023.
- ↑ Kristof, Nicholas D. (June 8, 1989). "TURMOIL IN CHINA; FOREBODING GRASPS BEIJING; ARMY UNITS CRISSCROSS CITY; FOREIGNERS HURRY TO LEAVE". The New York Times. New York Times. สืบค้นเมื่อ 3 July 2023.
- ↑ .1. Scobell, Andrew. "Why the People's Army Fired on the People: The Chinese Military and Tiananmen." Armed Forces & Society 18, no. 2 (1992): 193–213.
- ↑ 3. Secretary of State's Morning Summary for June 6, 1989, China: Descent into Chaos, June 6, 1989. Tiananmen Square 1989: The Declassified History, George Washington University Archives. (accessed March 26, 2018) https://nsarchive2.gwu.edu //NSAEBB/NSAEBB16/docs/doc 19.pdf
- ↑ Scobell, "Why the People's Army Fired," 199.
- ↑ 99.0 99.1 99.2 99.3 Scobell, "Why the People's Army Fired," 200.
- ↑ Lim, Louisa. The People's Republic of Amnesia: Tiananmen Revisited. Oxford University Press, USA, 2014.
- ↑ Lim, "The People's Republic of Amnesia," 11.
- ↑ Lim, "The People's Republic of Amnesia," 11.
- ↑ Lim, "The People's Republic of Amnesia," 12.
- ↑ Lim, "The People's Republic of Amnesia," 13.
- ↑ Lim, "The People's Republic of Amnesia," 13.
- ↑ Zhang, Liang, Andrew J. Nathan, Perry Link, and Orville Schell. The Tiananmen papers. PublicAffairs, 2008. 321.
- ↑ 107.0 107.1 The Tiananmen Papers., 321.
- ↑ 14. Cable, From: Department of State, Wash DC, To: U.S. Embassy Beijing, and All Diplomatic and Consular Posts, TFCHO1: SITREP 1, 1700 EDT, June 3, 1989. Tiananmen Square 1989: The Declassified History, George Washington University Archives. (accessed March 26, 2018). https://nsarchive2.gwu.edu/NSAEBB/NSAEBB47/doc12.pdf
- ↑ The Tiananmen Papers., 349.
- ↑ The Tiananmen Papers., 388.
- ↑ Southerl, Daniel. "Chinese Army Units Seen Near Conflict." Washington Post, June 6, 1989. Accessed March 27, 2018. [1][ลิงก์เสีย] /1989/06/06/chinese-army-units-seen-near-conflict/d6c31719-c4ef-49b5-b6db-0f87d48b5dfa/
- ↑ 112.0 112.1 112.2 112.3 "Secretary of State's Morning Summary," 27.
- ↑ 113.0 113.1 113.2 113.3 113.4 Southerl, "Chinese Army Units."
- ↑ Why the People's Army Fired. p. 204. JSTOR 45305304. สืบค้นเมื่อ 24 June 2023.
- ↑ Lim, "The People's Republic of Amnesia," 21.
- ↑ Li, Xiaoming. "An Officer's Memories of Martial Law in 1989." Interview by Yu Wang. Human Rights in China, February 16, 2003. https://www.hrichina.org /en/content/4772
- ↑ 117.0 117.1 117.2 117.3 Li, "An Officer's Memories."
- ↑ "Secretary of State's Morning Summary," 21.
- ↑ 119.0 119.1 Wu 2009, p. 62.
- ↑ Ming Pao. "Reports Indiscriminate Killing, Some Troops Refusing to Obey Orders" BBC Summary of the World Broadcasts, June 6, 1989. http://www.lexisnexis.com (accessed November 21, 2010).
- ↑ NICHOLA D. KRISTOF, "China Whispers of Plots and Man Called Yang" N.Y. Times Oct. 24, 1989
- ↑ 122.0 122.1 122.2 122.3 122.4 Daniel Southerland & John Burgess. "Residents in Beijing Welcome Some Troops" The Washington Post, June 7, 1989.
- ↑ Michael Browning. "Signs of Serious Rifts in the People's Army" The Advertiser, June 6, 1989. http://www.lexisnexis.com (accessed November 21, 2010).
- ↑ Jan Wong. "Army that cleared Tiananmen killed rival troops, sources say." The Globe and Mail, June 8, 1989.
- ↑ "China believed close to civil war; Troops reported battling each other, Li said to have survived murder bid: [EARLY Edition 1]." The Gazette, June 6, 1989.
- ↑ "Chinese troops open fire again: Report has army split :[FINAL Edition]." The Windsor Star, June 5, 1989.
- ↑ 127.0 127.1 (Chinese) Lin Bin, "8964大屠杀 二十八军抗命" 2009-06-02
- ↑ Wardlaw, "Blood and Bitterness: A Soldier's Tale of Tiananmen", (WikiLeaks, WikiLeaks cable), accessed April 3, 2016, https://wikileaks.org/plusd/cables/90SHANGHAI2272_a.html
- ↑ 129.0 129.1 129.2 129.3 129.4 "Deng's June 9 Speech: 'We Faced a Rebellious Clique' and 'Dregs of Society'". New York Times. 30 June 1989. สืบค้นเมื่อ 1 May 2012.
- ↑ "Second Chinese College Sends Freshmen for Year of Army Training". Associated Press (ภาษาอังกฤษ). 1990-09-21. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-02. สืบค้นเมื่อ 2012-10-19.
- ↑ Wudunn, Sheryl (1989-08-15). "Chinese College Freshmen to Join Army First". The New York Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-16. สืบค้นเมื่อ 2012-09-29.
- ↑ 132.0 132.1 Chong-Pin Lin. "China's Restive Army". Wall Street Journal, Oct 09 1991.
- ↑ "Officers who refused to halt protests executed :[Final Edition]." The Gazette, June 12, 1989.
- ↑ "Chinese censors remove video showing off Tiananmen massacre medal". Radio Free Asia (ภาษาอังกฤษ). March 21, 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-03-24.
บรรณานุกรม
[แก้]- Baum, Richard (1996). Burying Mao: Chinese Politics in the Age of Deng Xiaoping. Princeton University Press. ISBN 978-0691036373. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 July 2020. สืบค้นเมื่อ 1 April 2019.
- "Interview with John Pomfret". Frontline. PBS. 11 April 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2009. สืบค้นเมื่อ 9 November 2009.
- "Interview with Timothy Brook". Frontline. PBS. 11 April 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2011. สืบค้นเมื่อ 9 November 2009.
- Lim, Louisa (2014). The People's Republic of Amnesia: Tiananmen Revisited. Oxford University Press. ISBN 978-0199347704. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 July 2020. สืบค้นเมื่อ 1 April 2019.
- Martel, Ed (11 April 2006). "'The Tank Man,' a 'Frontline' Documentary, Examines One Man's Act in Tiananmen Square". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2019. สืบค้นเมื่อ 16 March 2019.
- Nathan, Andrew (2002). "On the Tiananmen Papers". Foreign Affairs. 80 (1): 2–48. doi:10.2307/20050041. JSTOR 20050041.
- Richelson, Jeffrey T.; Evans, Michael L., บ.ก. (1 June 1999). "Tiananmen Square, 1989: The Declassified History – Document 13: Secretary of State's Morning Summary for June 4, 1989, China: Troops Open Fire" (PDF). National Security Archive. George Washington University. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2017. สืบค้นเมื่อ 4 August 2008.
- Wu, Renhua (2009). 六四事件中的戒严部队 [Military Units Enforcing Martial Law During the June 4 Incident] (ภาษาจีน). Hong Kong: 真相出版社. ISBN 978-0-9823203-8-9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2007. สืบค้นเมื่อ 2013-07-16.
- Zhang, Liang (2001). Nathan, Andrew; Link, Perry (บ.ก.). The Tiananmen Papers. Public Affairs. ISBN 978-1-58648-122-3.
- "How Many Really Died? Tiananmen Square Fatalities". Time. June 4, 1990.
- United States. Congress. Senate. Committee on Foreign Relations. Subcommittee on East Asian and Pacific Affairs (1991). Sino-American relations: One year after the massacre at Tiananmen Square. U.S. G.P.O.
- Brook, Timothy (1998). Quelling the People: The Military Suppression of the Beijing Democracy Movement. Stanford: Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-3638-1.
- "Secretary of State's Morning Summary for 3 June 1989". George Washington University. สืบค้นเมื่อ August 4, 2008.
- Kristof, Nicholas D. (21 June 1989). "A Reassessment of How Many Died in the Military Crackdown in Beijing". The New York Times.
- "The Memory Of Tiananmen – The Tank Man". www.pbs.org. Frontline – PBS.
- Thomas, Antony (2006). The Tank Man (Video). PBS. สืบค้นเมื่อ 2013-07-02.
- Zhang, Liang (2001). Nathan, Andrew; Link, Perry (บ.ก.). The Tiananmen Papers: The Chinese Leadership's Decision to Use Force, in Their Own Words. Public Affairs. ISBN 978-1-58648-122-3.
- Berry, Michael (2008). A History of Pain: Trauma in Modern Chinese Literature and Film. Columbia University Press. ISBN 9780231512008.