ดาวิด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก กษัตริย์ดาวิด)
ดาวิด
דָּוִד
King David Playing the Harp (1622)
โดยเคราร์ด ฟัน โฮนต์ฮอสต์
กษัตริย์แห่งอิสราเอล
ครองราชย์fl. ป. 1000 ปีก่อน ค.ศ.
ก่อนหน้าอิชโบเชท[1][2]
ถัดไปซาโลมอน
มเหสี
พระมเหสี 8 พระองค์:
พระราชบุตร
พระราชโอรสธิดา 18+ พระองค์ รวมถึง:
ราชสกุลราชวงศ์ดาวิด
พระราชบิดาเจสซี
พระราชมารดาNitzevet (ทาลมุด)

กษัตริย์ดาวิด[3] หรือ พระเจ้าดาวิด (อังกฤษ: David; Biblical Hebrew: דָּוִד, อักษรโรมัน: Dāwīḏ, แปลว่า ผู้เป็นที่รัก)[a][5] เป็นกษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชอาณาจักรอิสราเอลที่รวมเป็นหนึ่งตามคัมภีร์ฮีบรู[6][7] นักประวัติศาสตร์ในตะวันออกใกล้โบราณยอมรับว่าดาวิดน่าจะมีชีวิต ป. 1000 ปีก่อน ค.ศ. แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักพระองค์ในฐานะบุคคลทางประวัติศาสตร์

รายงานจากผลงานชาวยิวอย่าง Seder Olam Rabbah, Seder Olam Zutta และ Sefer ha-Qabbalah (ทั้งหมดเขียนขึ้นเมื่อพันกว่าปีต่อมา) ดาวิดขึ้นคอรงราชย์เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์เมื่อ 885 ปีก่อน ค.ศ.[8] แผ่นศิลาจารึกเทลดาน ศิลาจารึกภาษาแอราเมอิกที่ประดิษฐานโดยกษัตริย์แห่งอารัม-ดามัสกัสในปลายศตวรรษที่ 9/ต้นศตวรรษที่ 8 ก่อน ค.ศ. เพื่อรำลึกถึงชัยชนะเหนือกษัตริย์ศัตรูทั้งสอง มีวลี bytdwd (𐤁𐤉𐤕𐤃𐤅𐤃) ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่แปลได้เป็น "ราชวงศ์ดาวิด" ศิลาจารึกเมชาที่กษัตริย์เมชาแห่งโมอับประดิษฐานขึ้นในศตวรรษที่ 9 ก่อน ค.ศ. อาจสื่อถึง "ราชวงศ์ดาวิด" แม้ว่าจะเป็นประเด็นโต้แย้ง[9][10] นอกจากนี้ ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับดาวิดมาจากวรรณกรรมพระคัมภีร์ที่มีการท้าทายในด้านหลักฐานประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง[11] และมีข้อมูลที่เป็นรูปธรรมและไม่มีปัญหาเกี่ยวกับดาวิดน้อยมาก[12]

ตามรายงานจากพระคัมภีร์ ดาวิดมีคุณธรรมและเป็นนักการทหารที่มีความสามารถ นอกจากนี้ยังเป็นนักดนตรี กวี (เป็นผู้เขียนเพลงสดุดีหลายเพลง) พระเจ้าดาวิดขณะทรงพระเยาว์เป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะธรรมดา แต่เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและมีพระอุปนิสัยกล้าหาญไม่เกรงกลัวใคร โดยทรงอาสาเข้าต่อสู้ตัวต่อตัวกับโกลิอัท นักรบร่างมหึมาผู้เป็นทหารเอกของชาวฟิลิสตีน และสามารถสังหารโกลิอัทลงได้ จึงมีความดีความชอบได้มารับใช้พระเจ้าซาอูล (Saul) ในฐานะนายพลและที่ปรึกษาทางทหารคนสนิท และยังทรงเป็นพระสหายสนิทกับ โจนาธาน พระราชบุตรของพระเจ้าซาอูล ต่อมาพระเจ้าซาอูลเกิดระแวงว่าดาวิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ จึงพยายามกำจัดดาวิด แต่พระเจ้าซาอูลและโจนาธานพ่ายแพ้เสด็จสวรรคตในการรบ ดาวิดจึงได้รับการเจิมขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล ต่อมาพระเจ้าดาวิดทรงพิชิตเยรูซาเลมได้ และนำหีบแห่งพันธสัญญาเข้ามาประดิษฐานในเมือง แต่เนื่องจากทรงประพฤติผิดทางเพศต่อนางแบธชีบา ทำให้พระองค์ถูกพระเจ้าตำหนิติเตียนและทำให้ทรงหมดความชอบธรรมที่จะสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในเยรูซาเลม

ดาวิดยังปรากฏในงานเขียนและประเพณีมุขปาฐะชาวยิวสมัยหลังพระคัมภีร์ และได้รับการอ้างอิงในพันธสัญญาใหม่ ชาวคริสต์ยุคแรกตีความชีวิตของเยซูชาวนาซาเรธที่อ้างถึงพระเมสซิยาห์ในคัมภีร์ฮีบรูและถึงดาวิด พระเยซูได้รับการล่าวถึงว่าเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงจากดาวิดในพระวรสารนักบุญมัทธิวและพระวรสารนักบุญลูกา ส่วนในอัลกุรอานและฮะดีษระบุว่าดาวิดเป็นกษัตริย์อิสราเอลและศาสนทูตของอัลลอฮ์[13][14] ดาวิดในพระคัมภีร์สร้างแรงบันดาลใจในการตีความทางศิลปะและวรรณกรรมมาหลายศตวรรษ

ในพระคัมภีร์[แก้]

ผู้ได้รับเลือก[แก้]

พระเจ้าไม่โปรดปรานกษัตริย์ซาอูล เพราะพระเจ้าทรงบัญชาให้ซาอูลไปทำลายล้างศัตรูของชนชาติอิสราเอล แต่ซาอูลกลับละโมบหวังเอาสมบัติของชนชาติศัตรูแทนที่จะฟังคำสั่งของพระเจ้า พระเจ้าจึงทอดทิ้งซาอูล และสั่งให้ประกาศก ซามูเอล ออกไปตามหาคนจะมาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลคนใหม่ ทันทีที่ซามูเอลได้พบกับดาวิดซึ่งกำลังเลี้ยงแกะอยู่ พระเจ้าก็กล่าวต่อซามูเอลว่า "เจิมดาวิดเสีย เพราะนี่คือกษัตริย์"[15]

ดาวิดเล่นพิณต่อหน้าซาอูล[แก้]

เมื่อซาอูลทรงถูกทรมานจากสิ่งชั่วร้าย คนรับใช้ก็แนะนำซาอูลให้เรียกตัวดาวิดผู้มีความเชี่ยวชาญในการเล่นพิณ เป็นผู้มีศักดิ์เป็นนายทหารเก่งกล้า และเป็นผู้รู้จักพูด และเป็นผู้นับถือ พระเจ้า ให้มาช่วย ดาวิดจึงได้เข้ามารับราชการกับซาอูล และเป็นคนโปรดของซาอูล เมื่อใดที่ซาอูลไม่สบายดาวิดก็เล่นพิณถวายจนทรงรู้สึกปกติ[16]

ดาวิดและโกลิอัท[แก้]

ในระหว่างที่ซาอูลเป็นกษัตริย์ ชาวอิสราเอลมักถูกรุกรานโดยชาวฟิลลิสเตีย (Philistia) ที่อยู่ทางตอนใต้ของอิสราเอล ขณะที่ดาวิดนำเสบียงไปส่งให้พี่ชายผู้ติดทัพอยู่กับซาอูล ดาวิดก็ได้ข่าวว่าชาวฟิลลิสเตียมึนักต่อสู้ยักษ์ชื่อ โกลิอัท ซึ่งฟิลลิสเตียก็ท้าให้ชาวอิสราเอลส่งนักสู้มารบกับโกลิอัทให้รู้แพ้รู้ชนะ

ดาวิดยืนยันกับพี่ชายว่ามีความสามารถจะต่อสู้กับโกลิอัทได้ ซาอูลทรงส่งดาวิดไปต่อสู้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่ดาวิดกลับได้รับชัยชนะโดยล้มโกลิอัทด้วยการเหวี่ยงหินก้อนเดียว พวกฟิลลิสเตียเห็นเช่นนั้นก็วิ่งหนีขวัญเสีย ชาวอิสราเอลจึงได้รับชัยชนะ

ดาวิดนำหัวโกลิอัทมาถวายซาอูล ทรงถามว่าเป็นบุตรใคร ดาวิดตอบว่า "ข้าเป็นบุตรของเจสสีชาวเบธเลเฮมผู้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์"[17]

ศัตรูของซาอูล[แก้]

หลังจากได้รับชัยชนะซาอูลก็ทรงแต่งตั้งให้ดาวิดเป็นแม่ทัพและยกมิคาลผู้เป็นพระธิดาให้ดาวิด ดาวิดก็ได้รับชัยชนะในการต่อสู้อีกหลายศึก จนพวกผู้หญิงกล่าวกันว่า "พระเจ้าซาอูลสังหารข้าศึกเป็นพัน และดาวิดสังหารเป็นแสน"

ดาวิดเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนมาก ซาอูลกลับทรงระแวงว่าจะชิงอาณาจักร จึงพยายามสังหารด้วยกลอุบายหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ กลับยิ่งทำให้ดาวิดเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะกับโจนาธานพระโอรสของซาอูลเอง โจนาธานเตือนดาวิดถึงแผนของซาอูล ดาวิดจึงหนีเข้าป่า[18]

ลี้ภัย[แก้]

เมื่อหนีไปดาวิดก็รวบรวมกำลังผู้ที่ถูกข่มเหงโดยซาอูล ขณะที่ลี้ภัยดาวิดก็ได้รับเมืองซิคแล็กเป็นบรรณาการจากพระเจ้าอาชิส (King Achish) กษัตริย์ฟิลลิสเตียแห่งแกธ แต่ดาวิดก็ยังเป็นวีรบุรุษของชาวอิสราเอล ต่อมาพระเจ้าอาชิสยกทัพไปต่อสู้กับซาอูล แต่ดาวิดก็ไม่ได้ร่วมในการสงครามครั้งนี้ เพราะถูกกล่าวหาโดยชาวฟิลลิสเตียถึงความไม่น่าไว้ใจในความจงรักภักดีต่อฟิลลิสเตีย

เป็นกษัตริย์[แก้]

ซาอูลและโจนาธานถูกปลงพระชนม์โดยฟิลลิสเตียระหว่างสงคราม ดาวิดมีความโศกเศร้าต่อการสูญเสียเป็นอันมาก[19]

หลังจากนั้นดาวิดก็เดินทางไปเฮโบรน เพื่อไปได้รับการเจิมเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองอาณาจักรยูดาห์ ขณะที่ อิชโบเชธ (Ish-Bosheth) พระโอรสของซาอูล ได้รับการเจิมเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองอาณาจักรอิสราเอลทางตอนเหนือ[20]

ดาวิดกับอิชโบเชธก็ทำสงครามกันจนอิชโบเชธถูกลอบปลงพระชนม์ ผู้ลอบสังหารก็นำพระเศียรของอิชโบเชธมาถวายดาวิดเพราะหวังจะได้รับรางวัล แต่ดาวิดสั่งประหารชีวิตผู้ที่ปลงพระชนม์อิชโบเชธ ในฐานะที่เป็นอาชญากร[21]

เมื่อพระโอรสของซาอูลสิ้นพระชนม์ลง พวกปุโรหิตชาวอิสราเอลก็เดินทางมาเฮโบรน เพื่อมาทำพิธียกดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรยูดาห์และอาณาจักรอิสราเอล ขณะนั้นดาวิดมีพระชนมพรรษา 30 ปี[22]

กษัตริย์ดาวิด[แก้]

เมื่อพระเจ้าดาวิดได้ชัยชนะในการโจมตีป้อมเยบูไซท์ (Jebusite) ของเมืองเยรูซาเลม ก็ยกเยรูซาเลมขึ้นเป็นเมืองหลวง “พระเจ้าฮิรามแห่งไทเร (Tyre) ก็ส่งผู้ถือสาส์นมาถึงพระเจ้าดาวิดพร้อมกับต้นซีดาร์ และช่างไม้และปูนเพื่อสร้างวังของดาวิด”[23] พระเจ้าดาวิดก็นำหีบแห่งพันธสัญญา (Ark of the Covenant) มาเยรูซาเลมโดยตั้งใจประดิษฐานในวัดที่สร้างใหม่[24] แต่พระเจ้าก็ทรงกล่าวกับผู้เผยพระวจนะเนธาน (Prophet Nathan) ห้ามและกล่าวว่าการสร้างวัดต้องรอต่อมาให้ชนรุ่นหลังสร้าง แต่พระเจ้าก็ทรงทำพันธสัญญากับดาวิดว่าดาวิดจะเป็นผู้สร้างตระกูลดาวิด (House of David) และ “บัลลังก์ของเจ้าจะเป็นบัลลังก์ที่ยืนยาวตลอดไป”[25]

หลังจากนั้นกษัตริย์ดาวิดก็ทรงขยายอำนาจ ได้รับชัยชนะต่อ โซบาท์ (Zobah) และ อารัม (Aram) (ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย), บริเวณเอโดม (Edom) และ โมอับ (Moab) (ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์แดน), ฟิลลิสเตีย และดินแดนอื่น ๆ[26]

ในคัมภีร์กุรอาน[แก้]

หลังจากสมัยของนบีมูซาแล้ว พวกอิสรออีลต้องเดินทางระหกเหินและไม่สามารถรวมตัวเป็นชาติที่เข้มแข็งได้ ดังนั้น ชาวอิสรออีลจึงต้องถูกชาวอื่นรุกรานและกดขี่ข่มเหงมาตลอด ในสมัยนั้น ดาวูดเป็นเด็กคนหนึ่งที่เกิดในเชื้อสายของอิสรออีลและเป็นที่มีความกล้าหาญมาก นบีซามูเอลจึงได้แต่งตั้งชาวอิสรออีลคนหนึ่งซื่อฏอลูตขึ้นเป็นกษัตร์ย์และบอกพวกเขาว่า อัลลอฮได้ทรงแต่งตั้งฏอลูตให้เป็นกษัตริย์สำหรับพวกแล้ว นบีซามูเอลจึงได้กล่าวว่า อัลลอฮได้ทรงประทานพลังความรู้และพลังกายแก่เขาอย่างมากมายมหาศาล และอัลลอฮทรงมีอำนาจที่จะทรงประทานอาณาจักรของพระองค์แก่ใครก็ได้ ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะอัลลอฮเป็นผู้ทรงรอบรู้ พวกอิสรออีลจึงได้เฝ้ารอและก็ได้พบหีบใบนั้นจริง ๆ ชาวอิสรออีลจึงมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาขณะที่ออกเดินทางไปกับกองทหารเพื่อต่อสู้กับพวกฟิลิสตีนที่มารุกราน ฏอลูตต้องการจะดูว่าคนของเขาศรัทธาในอัลลอฮและเชื่อฟังแค่ไหน จึงบอกไปว่า "อัลลอฮกำลังจะทดลองพวกเจ้าด้วยลำน้ำสายหนึ่ง ใครก็ตามที่หยุดดื่มน้ำจากลำสายนี้ คน ๆ นั้นก็ไม่ใช่พวกของฉัน" ถึงแม้จะบอกว่านั้นเป็นการทดสอบจากอัลลอฮ แต่พวกอิสรออีลส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อและหยุดดื่มน้ำกัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อฟังฏอลูตและไม่ได้ดื่มน้ำ ดังนั้น ฏอลูตจึงได้คัดเอาคนที่เชื่อฟังร่วมทางไปกับเขา แต่ผู้ศรัทธาในอัลอฮจำนวนหนึ่งได้กล่าวว่า มีบ่อยไปที่คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมากได้ด้วยอำนาจของอัลลอฮ เพราะอัลลอฮจะทรงอยู่กับผู้อดทน เมื่อกองทัพของฏอลูตเผชิญหน้ากับกองทัพชาวฟิลิสตีน ซึ่งนำโดยญาลูต (หรือโกลิอัท) พวกอิสรออีลจึงได้วิงวอนต่ออัลลอฮว่า พระผู้อภิบาลของเรา ขอพระองค์ได้ทรงประทานความอดทนแก่เราและทรงปฏิเสธศรัทธาด้วยเถิด ถ้าพวกเก่งจริงก็ส่งคนมีฝีมือมาต่อสู้กันตัวต่อตัว แต่ในเวลานั้นดาวูดได้อยู่ในที่นั้นด้วย เขาจึงได้ขออนุญาตออกไปต่อสู้ญาลูต หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดาวูดก็สามารถสังหารญาลูตได้ในที่สุด ดาวูดจึงได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาวอิสรออีล ฏอลูตได้ยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขาและหลังจากที่ฏอลูตเสียชีวิตแล้ว นบีดาวูดมีลูกชายคนหนึ่งชื่อสุลัยมาซึ่งต่อมาได้เป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขาและยังเป็นนบีคนสำคัญคนหนึ่ง ขณะที่นบีดาวูดเป็นกษัตริย์ปกครองชาวอิสรออีลอยู่ วันหนึ่งชาวอิสรออีลสองคนได้มาขอให้ท่านตัดสินกรณีขัดแย้งระหว่างเขาทั้งสอง นบีดาวูดได้ตัดสินให้เจ้าของแพะมอบแพะทั้งหมดที่เข้ากินต้นไม้ใบหญ้าให้แก่เจ้าของที่ดินที่ได้รับความเสียหาย ถึงต้นไม้ใบหญ้าจะเสียหาย แต่ที่ดินยังคงอยู่ ดังนั้น จึงไม่ควรให้เจ้าของที่ดินยึดแพะทั้งหมดเอาไว้เลย เมื่อต้นไม้ใบหญ้าเติบโตใหม่แล้ว เจ้าของที่ก็ควรจะคืนแพะให้แก่เจ้าของเดิมไป นบีดาวูดเห็นด้วยกับคำแนะนำของสุลัยมานเพราะเป็นความยุติธรรมและท่านได้ตัดสินไปตามนั้น นอกจากนั้นแล้ว คัมภีร์กุรอานยังได้บอกให้เรารู้ว่าอัลลอฮได้ทรงสอนท่านนบีดาวูดให้รู้จักการนำเอาเหล็กมาทำเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ

บางท่านให้ทัศนะว่า เพลงสดุดีเป็นคัมภีร์ "ซะบูร" ที่ถูกประทานแก่ "นบีดาวูด" (ดาวิด) ทั้งบท ไม่มีหลักฐานยืนยัน[27]

ดูเพิ่ม[แก้]

หมายเหตุ[แก้]

  1. อาหรับ: داود (รูปสะกดดั้งเดิม), داوود, Dāwūd; กรีกคอยนี: Δαυΐδ, อักษรโรมัน: Dauíd; ละติน: Davidus, David; กืออึซ: ዳዊት, Dawit; อาร์มีเนียเก่า: Դաւիթ, Dawitʿ; สลาวอนิกคริสตจักรเก่า: Давíдъ, Davidŭ; น่าจะหมายถึง "ผู้เป็นที่รัก"[4]

อ้างอิง[แก้]

  1. Garfinkel, Yosef; Ganor, Saar; Hasel, Michael G. (2018). In the Footsteps of King David: Revelations from an Ancient Biblical City. Thames & Hudson. p. 182. ISBN 978-0-50077428-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-11. สืบค้นเมื่อ 2020-10-05.
  2. Avioz, Michael (2015). Josephus' Interpretation of the Books of Samuel. Bloomsbury. p. 99. ISBN 9780567458575. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-11. สืบค้นเมื่อ 2020-10-04.
  3. 2 ซามูลเอล 6:12, พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน, สมาคมพระคริสตธรรมไทย
  4. Botterweck, G. Johannes; Ringgren, Helmer (1977). Theological Dictionary of the Old Testament. Wm. B. Eerdmans. p. 158. ISBN 978-0-8028-2327-4.
  5. "Strong's Hebrew: 1732. דָּוִיד (David) -- perhaps "beloved one," a son of Jesse". biblehub.com.
  6. Carr, David M. (2011). An Introduction to the Old Testament: Sacred Texts and Imperial Contexts of the Hebrew Bible. John Wiley & Sons. p. 58. ISBN 978-1-44435623-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-11. สืบค้นเมื่อ 2020-10-05.
  7. Falk, Avner (1996). A Psychoanalytic History of the Jews. Fairleigh Dickinson University Press. p. 115. ISBN 978-0-83863660-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-11. สืบค้นเมื่อ 2020-10-04.
  8. Ben Halpetha, Jose (1971). M.D. Yerushalmi (บ.ก.). Seder Olam Rabba (ภาษาฮิบรู). Gil Publishers, in affiliation with the Haredi Youth Organization. OCLC 233090728., s.v. Seder Olam Zutta, p. 107 (who gives the year of his ascension as 2875 anno mundi).
  9. "New reading of Mesha Stele could have far-reaching consequences for biblical history". phys.org. สืบค้นเมื่อ 2021-07-22.
  10. Amanda Borschel-Dan. "High-tech study of ancient stone suggests new proof of King David's dynasty". The Times of Israel. สืบค้นเมื่อ 2021-07-22.
  11. Writing and Rewriting the Story of Solomon in Ancient Israel; by Isaac Kalimi; page 32; Cambridge University Press, 2018; ISBN 9781108471268
  12. Moore & Kelle 2011, pp. 232–233.
  13. "David". Oxford Islamic Studies. Oxford. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 November 2018. สืบค้นเมื่อ 10 March 2021.
  14. Manouchehri, Faramarz Haj; Khodaverdian, Shahram (28 September 2017). "David (Dāwūd)". Encyclopaedia Islamica. Brill. สืบค้นเมื่อ 10 March 2021.
  15. 1 ซามูเอล 16:11
  16. 1 ซามูเอล 16:14-23
  17. 1 ซามูเอล 17
  18. 1 ซามูเอล 18[ลิงก์เสีย]
  19. 2 ซามูเอล 1[ลิงก์เสีย]
  20. 2 ซามูเอล 2:1-10[ลิงก์เสีย]
  21. 2 ซามูเอล 4[ลิงก์เสีย]
  22. 2 ซามูเอล 5[ลิงก์เสีย]
  23. 2 ซามูเอล 5[ลิงก์เสีย]
  24. 2 ซามูเอล 6[ลิงก์เสีย]
  25. 2 ซามูเอล 7[ลิงก์เสีย]
  26. 2 ซามูเอล 8[ลิงก์เสีย]
  27. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2013-01-02.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]