กลองมโหระทึก

กลองมโหระทึก บ้างเรียก กลองกบ เป็นโบราณวัตถุที่พบในวัฒนธรรมต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนใต้ของประเทศจีน กลองมีลักษณะเป็นกลองตั้งมีตั้งแต่ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ หล่อด้วยสำริดโดยใช้วิธีหล่อแบบขี้ผึ้งหาย (lost-wax casting method) ใช้เป็นเครื่องดนตรีและวัตถุบูชา โดยมักประดับด้วยลวดลายเรขาคณิต ฉากชีวิตประจำวันและสงคราม ภาพสัตว์ นก และเรือ[1] ส่วนใหญ่นิยมลวดลายเป็นวงโคจรของดวงดาวที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง กลองมโหระทึกถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศเวียดนาม
สันนิษฐานว่ามีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมดงเซินมีอายุประมาณ 2,000 ปีจนถึง 1,000 กว่าปีก่อนคริสตกาล มีศูนย์กลางอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแขวงทันหัวของเวียดนามตอนเหนือ หรือที่เรียกว่าแคว้นตันเกี๋ย
กลองมโหระทึกในประเทศไทยมีปรากฏอยู่ในจารึกตั้งแต่ยุคก่อนสุโขทัย ในบทพระอัยการสมัยอยุธยา มีความชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งประโคมกลองมโหระทึกในในงานพระราชพิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์ เช่น การเสด็จออกมหาสมาคมในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา พระราชพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพ ในอดีตก็จะมีการย่ำมโหรทึกไปพร้อมกับการประโคมแตรสังข์ ตีกลองชนะ[2] ในประเทศไทยมีพบในทั่วทุกภาคโดยพบมากที่สุดในภาคใต้ รองมาเป็นภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ตามลำดับ[3]
ประวัติ
[แก้]
บันทึกแรกสุดที่กล่าวถึงกลองปรากฏใน Shi Ben หนังสือจีนที่มีอายุถึงศตวรรษที่ 3 ก่อน ค.ศ. โฮ่วฮั่นชู หนังสือราชวงศ์ฮั่นตอนปลายที่มีอายุถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 กล่าวถึงหม่า ยฺเหวียน ขุนพลฮั่น รวบรวมกลองมโหระทึกจากเวียเนามเหนือเพื่อนนำมาหลอมและหล่อใหม่เป็นม้าสำริด[4]
กลองมโหระทึกได้รับการบูชาในศาสนาพื้นเมืองเวียดนาม[5] Thần Đồng Cổ (เทพเจ้ากลองมโหระทึก) กับกลองมโหระทึกที่ขุดพบได้รับการบูชาในวิหารหลายแห่ง เช่น วิหาร Đồng Cổ ที่ทัญฮว้า และวิหาร Cao Sơn ในฮานอย[6] หนังสือ Việt Điện U Linh Tập ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 กล่าวถึงลัทธิกลองมโหระทึกที่ปรากฏแรกสุดถึง ค.ศ. 1020[7]
ใน ค.ศ. 1902 Franz Heger นักโบราณคดีชาวออสเตรีย ได้ตีพิมพ์ชุดสะสมกลองมโหระทึกขนาดใหญ่จำนวน 165 ใบ โดยแบ่งกลองออกเป็น 4 ประเภท[8] นักโบราณคดีจีนแบ่งกลองเหล่านี้ออกเป็นกลองเยฺว่ที่หนักกว่า เช่นกลองดงเซิน และกลอง Dian ที่แบ่งออกเป็น 8 ประเภทย่อย ได้แก่: Wanjiaba, Shizhaishan, Lengshuichong, Zunyi, Majiang, Beiliu, Lingshan และ Ximeng
ประเทศจีนช่วงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าใน ค.ศ. 1958 ถึง 1960 ผู้คนถูกระดมพลเพื่อรวบรวมวัสดุโลหะทั้งหมด รวมถึงเครื่องทองสัมฤทธิ์โบราณ นำมาหลอมเพื่อผลิตเหล็กกล้าในเตาเผาหลังบ้าน ทำให้กลองมโหระทึกโบราณจำนวนมากถูกทำลายลง[9]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Heidhues, Mary Somers (2000). Southeast Asia: A Concise History. London: Thames and Hudson. pp. 19–20.
- ↑ "กลองมโหระทึก". ไทยศึกษา.
- ↑ สุกัญญา เบาเนิด สรุปโดย ปิยชาติ สึงตี. "บรรยายสาธารณะเรื่อง "ความก้าวหน้าทางโบราณคดี มโหระทึกสองฝี่งโขง สวันนะเขต-มุกดาหาร"". มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์.
- ↑ "Dong Son Drums - Symbols of a Maritime Bronze Age Society in Asia".
- ↑ "Results of survey and excavations undertaken at Dong Co temple relic, Tu Liem district, Hanoi". Vietnam Museum of History.
- ↑ "Tạ Đức, Cao Sơn, Bronze Drums, Nationalism and History – le Minh Khai's SEAsian History Blog (And More!)".
- ↑ "Đền Đồng Cổ". Hanoi Tourism Department.
- ↑ Higham, Charles (1996). The Bronze Age of Southeast Asia. Cambridge World Archaeology. ISBN 0-521-56505-7.
- ↑ "Vanishing bronze drums raise concern". Shenzhen Daily. 1 November 2012.