ข้ามไปเนื้อหา

กลองมโหระทึก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กลองมโหระทึกจากวัฒนธรรมดงเซิน ในพิพิธภัณฑ์กีเม กรุงปารีส

กลองมโหระทึก บ้างเรียก กลองกบ เป็นโบราณวัตถุที่พบในวัฒนธรรมต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนใต้ของประเทศจีน กลองมีลักษณะเป็นกลองตั้งมีตั้งแต่ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ หล่อด้วยสำริดโดยใช้วิธีหล่อแบบขี้ผึ้งหาย (lost-wax casting method) ใช้เป็นเครื่องดนตรีและวัตถุบูชา โดยมักประดับด้วยลวดลายเรขาคณิต ฉากชีวิตประจำวันและสงคราม ภาพสัตว์ นก และเรือ[1] ส่วนใหญ่นิยมลวดลายเป็นวงโคจรของดวงดาวที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง กลองมโหระทึกถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศเวียดนาม

สันนิษฐานว่ามีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมดงเซินมีอายุประมาณ 2,000 ปีจนถึง 1,000 กว่าปีก่อนคริสตกาล มีศูนย์กลางอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแขวงทันหัวของเวียดนามตอนเหนือ หรือที่เรียกว่าแคว้นตันเกี๋ย

กลองมโหระทึกในประเทศไทยมีปรากฏอยู่ในจารึกตั้งแต่ยุคก่อนสุโขทัย ในบทพระอัยการสมัยอยุธยา มีความชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งประโคมกลองมโหระทึกในในงานพระราชพิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์ เช่น การเสด็จออกมหาสมาคมในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา พระราชพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพ ในอดีตก็จะมีการย่ำมโหรทึกไปพร้อมกับการประโคมแตรสังข์ ตีกลองชนะ[2] ในประเทศไทยมีพบในทั่วทุกภาคโดยพบมากที่สุดในภาคใต้ รองมาเป็นภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ตามลำดับ[3]

ประวัติ

[แก้]
กลองดงเซินที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ ปารีส

บันทึกแรกสุดที่กล่าวถึงกลองปรากฏใน Shi Ben หนังสือจีนที่มีอายุถึงศตวรรษที่ 3 ก่อน ค.ศ. โฮ่วฮั่นชู หนังสือราชวงศ์ฮั่นตอนปลายที่มีอายุถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 กล่าวถึงหม่า ยฺเหวียน ขุนพลฮั่น รวบรวมกลองมโหระทึกจากเวียเนามเหนือเพื่อนนำมาหลอมและหล่อใหม่เป็นม้าสำริด[4]

กลองมโหระทึกได้รับการบูชาในศาสนาพื้นเมืองเวียดนาม[5] Thần Đồng Cổ (เทพเจ้ากลองมโหระทึก) กับกลองมโหระทึกที่ขุดพบได้รับการบูชาในวิหารหลายแห่ง เช่น วิหาร Đồng Cổ ที่ทัญฮว้า และวิหาร Cao Sơn ในฮานอย[6] หนังสือ Việt Điện U Linh Tập ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 กล่าวถึงลัทธิกลองมโหระทึกที่ปรากฏแรกสุดถึง ค.ศ. 1020[7]

ใน ค.ศ. 1902 Franz Heger นักโบราณคดีชาวออสเตรีย ได้ตีพิมพ์ชุดสะสมกลองมโหระทึกขนาดใหญ่จำนวน 165 ใบ โดยแบ่งกลองออกเป็น 4 ประเภท[8] นักโบราณคดีจีนแบ่งกลองเหล่านี้ออกเป็นกลองเยฺว่ที่หนักกว่า เช่นกลองดงเซิน และกลอง Dian ที่แบ่งออกเป็น 8 ประเภทย่อย ได้แก่: Wanjiaba, Shizhaishan, Lengshuichong, Zunyi, Majiang, Beiliu, Lingshan และ Ximeng

ประเทศจีนช่วงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าใน ค.ศ. 1958 ถึง 1960 ผู้คนถูกระดมพลเพื่อรวบรวมวัสดุโลหะทั้งหมด รวมถึงเครื่องทองสัมฤทธิ์โบราณ นำมาหลอมเพื่อผลิตเหล็กกล้าในเตาเผาหลังบ้าน ทำให้กลองมโหระทึกโบราณจำนวนมากถูกทำลายลง[9]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Heidhues, Mary Somers (2000). Southeast Asia: A Concise History. London: Thames and Hudson. pp. 19–20.
  2. "กลองมโหระทึก". ไทยศึกษา.
  3. สุกัญญา เบาเนิด สรุปโดย ปิยชาติ สึงตี. "บรรยายสาธารณะเรื่อง "ความก้าวหน้าทางโบราณคดี มโหระทึกสองฝี่งโขง สวันนะเขต-มุกดาหาร"". มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์.
  4. "Dong Son Drums - Symbols of a Maritime Bronze Age Society in Asia".
  5. "Results of survey and excavations undertaken at Dong Co temple relic, Tu Liem district, Hanoi". Vietnam Museum of History.
  6. "Tạ Đức, Cao Sơn, Bronze Drums, Nationalism and History – le Minh Khai's SEAsian History Blog (And More!)".
  7. "Đền Đồng Cổ". Hanoi Tourism Department.
  8. Higham, Charles (1996). The Bronze Age of Southeast Asia. Cambridge World Archaeology. ISBN 0-521-56505-7.
  9. "Vanishing bronze drums raise concern". Shenzhen Daily. 1 November 2012.