ข้ามไปเนื้อหา

กระแสลมหมุนขั้วโลก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บริเวณความกดอากาศต่ำเหนือรัฐเกแบ็ก รัฐนิวบรันสวิก และรัฐเมน ซึ่งเป็นผลจากการอ่อนกำลังลงของกระแสลมหมุนขั้วโลกเหนือในเช้าวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1985 ซึ่งอากาศหนาวเย็นจัดเป็นประวัติการณ์

กระแสลมหมุนขั้วโลก[1] (อังกฤษ: polar vortex) หรือ กระแสอากาศวนแถบขั้วโลก[2] (circumpolar whirl) คือกระแสอากาศเย็นจัดที่พัดวนรอบขั้วโลกทั้งสองขั้วเป็นบริเวณกว้าง กระแสลมหมุนรอบขั้วยังปรากฏในเทหวัตถุแบบดาวเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเองและมีแกนเอียงน้อยด้วย[3] ศัพท์ กระแสลมหมุนขั้วโลก อาจใช้เพื่อสื่อถึงปรากฏการณ์ที่แตกต่างกันสองปรากฏการณ์ ได้แก่ กระแสลมหมุนขั้วโลกชั้นสแตรโทสเฟียร์และกระแสลมหมุนขั้วโลกชั้นโทรโพสเฟียร์ กระแสลมหมุนขั้วโลกทั้งในชั้นสแตรโทสเฟียร์และชั้นโทรโพสเฟียร์ต่างพัดไปในทิศทางเดียวกันกับการหมุนของโลก แต่ทั้งสองก็เป็นปรากฏการณ์ที่แยกจากกันโดยมีขนาด โครงสร้าง วัฏจักรตามฤดูกาล และผลกระทบต่อลมฟ้าอากาศแตกต่างกันไป

กระแสลมหมุนขั้วโลกในชั้นสแตรโตสเฟียร์เป็นบริเวณที่มีลมพัดหมุนวนแบบไซโคลนด้วยความเร็วสูง ที่ความสูงประมาณ 15–50 กิโลเมตร ในบริเวณละติจูดสูงกว่า 50 องศาขึ้นไป และมีความแรงมากที่สุดในฤดูหนาว กระแสลมหมุนนี้ก่อตัวขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงในช่วงที่อุณหภูมิในเขตอาร์กติกหรือแอนตาร์กติกลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อราตรีขั้วโลกเริ่มต้นขึ้น ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างขั้วโลกกับเขตร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดลมแรง และปรากฏการณ์กอรียอลิสทำให้เกิดการหมุนวนขึ้น กระแสลมหมุนขั้วโลกในชั้นสแตรโตสเฟียร์จะสลายตัวในฤดูใบไม้ผลิเมื่อราตรีขั้วโลกสิ้นสุดลง ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการอุ่นขึ้นอย่างฉับพลันของชั้นสแตรโตสเฟียร์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกระแสลมวนในชั้นสแตรโตสเฟียร์สลายตัวในฤดูหนาว และอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาพอากาศที่พื้นผิวโลก[ต้องการอ้างอิง]

กระแสลมหมุนขั้วโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์มักได้รับการนิยามว่าเป็นบริเวณถัดจากกระแสลมกรดในชั้นโทรโพสเฟียร์ขึ้นไปทางขั้วโลก โดยขอบด้านใกล้เส้นศูนย์สูตรอยู่ที่ประมาณละติจูด 40–50 องศา และแผ่ขยายจากพื้นผิวโลกขึ้นไปถึงความสูงประมาณ 10 ถึง 15 กิโลเมตร วัฏจักรประจำปีของกระแสลมหมุนในชั้นโทรโพสเฟียร์แตกต่างจากกระแสลมหมุนในชั้นสแตรโตสเฟียร์ เนื่องจากกระแสลมหมุนในชั้นโทรโพสเฟียร์มีอยู่ตลอดทั้งปี แต่ก็คล้ายคลึงกับกระแสลมหมุนในชั้นสแตรโตสเฟียร์ตรงที่มีความแรงมากที่สุดในฤดูหนาวเมื่อแถบขั้วโลกมีอากาศเย็นที่สุด

กระแสลมหมุนขั้วโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ได้รับการอธิบายครั้งแรกใน ค.ศ. 1853[4] ส่วนการอุ่นขึ้นอย่างฉับพลันของกระแสลมหมุนในชั้นสแตรโตสเฟียร์ได้รับการค้นพบใน ค.ศ. 1952 จากการตรวจวัดด้วยเครื่องวิทยุหยั่งอากาศที่ระดับความสูงมากกว่า 20 กิโลเมตร[5] กระแสลมหมุนขั้วโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ได้รับการกล่าวถึงบ่อยครั้งในข่าวและสื่อเกี่ยวกับลมฟ้าอากาศในฤดูหนาวที่หนาวจัดของทวีปอเมริกาเหนือใน ค.ศ. 2013–2014 ทำให้ศัพท์นี้กลายเป็นที่นิยมในฐานะคำอธิบายอุณหภูมิที่หนาวเย็นมาก กระแสลมหมุนขั้วโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากขึ้นใน ค.ศ. 2021 อันเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่หนาวเหน็บสุดขั้วในภาคกลางของสหรัฐ โดยผู้เชี่ยวชาญได้เชื่อมโยงผลกระทบของกระแสลมหมุนนี้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ[6]

การพร่องของโอโซนเกิดขึ้นมากที่สุดภายในบริเวณกระแสลมหมุนขั้วโลกโดยเฉพาะเหนือซีกโลกใต้ และจะพร่องลงมากที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ​​​​​​​​​​​​​​​​

อ้างอิง

[แก้]
  1. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสภา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, 2563, หน้า 455.
  2. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสภา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, 2563, หน้า 117.
  3. Read, P.L. (August 2011). "Dynamics and circulation regimes of terrestrial planets". Planetary and Space Science. 59 (10): 900–914. Bibcode:2011P&SS...59..900R. doi:10.1016/j.pss.2010.04.024.
  4. "Air Maps", Littell's Living Age No. 495, 12 November 1853, p. 430.
  5. "GEOS-5 Analyses and Forecasts of the Major Stratospheric Sudden Warming of January 2013" (Press release). Goddard Space Flight Center. สืบค้นเมื่อ January 8, 2014.
  6. Plumer, Brad (16 February 2021). "A Glimpse of America's Future: Climate Change Means Trouble for Power Grids". The New York Times.