ข้ามไปเนื้อหา

กระเปาะลำไส้ใหญ่อักเสบ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กระเปาะลำไส้ใหญ่อักเสบ
(diverticulitis)
ชื่ออื่นColonic diverticulitis
ลำไส้ใหญ่ส่วนคด (ส่วนซิกมอยด์) แสดงกระเปาะลำไส้อักเสบหลายถุง กระเปาะปรากฏอยู่ทั้งสองข้างของมัดกล้ามเนื้อตามยาว (taenium) ซึ่งพาดผ่านเนื้อเยื่อตัวอย่างในแนวโค้ง
สาขาวิชาศัลยกรรมทั่วไป
อาการปวดท้อง เป็นไข้ คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูก เลือดในอุจจาระ[1]
ภาวะแทรกซ้อนฝี ทางทะลุระหว่างอวัยวะ (fistula) ลำไส้ทะลุ (perforation)[1]
การตั้งต้นเกิดอย่างฉับพลัน, อายุ > 50 ปี[1]
สาเหตุไม่ชัดเจน[1]
ปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วน ไม่ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ประวัติในครอบครัว ใช้ยา NSAID[1][2]
วิธีวินิจฉัยตรวจเลือด, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, ส่องกล้องลำไส้ใหญ่, lower gastrointestinal series[A][1]
โรคอื่นที่คล้ายกันกลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น[2]
การป้องกันยาเมซาลาซีน, rifaximin[2]
การรักษายาปฏิชีวนะ อาหารเหลว เข้าโรงพยาบาล[1]
ความชุก3.3% (ประเทศพัฒนาแล้ว)[1][3]

กระเปาะลำไส้ใหญ่อักเสบ[4] หรือ โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ[5] หรือ ถุงลำไส้อักเสบ[6] (อังกฤษ: diverticulitis, colonic diverticulitis) เป็นโรคทางเดินอาหารที่มีลักษณะเฉพาะคือการอักเสบของถุงยื่นผิดปกติที่เรียกว่า กระเปาะลำไส้ (อังกฤษ: diverticula) ที่เกิดขึ้นตามผนังลำไส้ใหญ่[1] อาการมักรวมถึงการปวดท้องน้อยอย่างฉับพลัน แต่อาจค่อย ๆ เป็นภายในไม่กี่วัน[1] อาจมีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หรือท้องผูกร่วมด้วย[1] การมีไข้หรือมีเลือดในอุจจาระบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อน[1] อาจเกิดอาการเพียงครั้งเดียว อาจกำเริบซ้ำ ๆ หรืออาจเป็นแบบ "คุกกรุ่น" (อังกฤษ: smoldering) ไปอย่างต่อเนื่อง[2][7][8]

สาเหตุของโรคยังไม่ชัดเจน[1] ปัจจัยเสี่ยงอาจรวมถึงโรคอ้วน การไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ ประวัติในครอบครัว และยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs)[1][2] อาหารที่มีกากน้อยเป็นปัจจัยเสี่ยงหรือไม่นั้นยังไม่ชัดเจน[2] การมีถุงยื่นในลำไส้ใหญ่ที่ไม่อักเสบเรียกว่า ภาวะมีกระเปาะลำไส้ (diverticulosis)[1] จากนี้ประมาณ 10–25% จะเกิดการอักเสบเพราะติดเชื้อแบคทีเรีย[2][9] การวินิจฉัยโดยทั่วไปทำด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่การตรวจเลือด, การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ หรือการถ่ายเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่โดยสวนแบเรียม (lower gastrointestinal series[A]) ก็อาจช่วยด้วย[1] โรคที่ต้องวินิจฉัยแยกรวมถึงกลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น[2]

การป้องกันโรครวมถึงการเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงเช่น ลดความอ้วน ออกกำลังกาย และเลิกสูบบุหรี่[2] ยาเมซาลาซีนและ rifaximin ดูเหมือนจะช่วยป้องกันการกำเริบในผู้ที่มีกระเปาะลำไส้ได้[2] การหลีกเลี่ยงถั่วและเมล็ดพืชเพื่อป้องกันไม่แนะนำอีกต่อไป เพราะไม่มีหลักฐานว่ามีส่วนกระตุ้นให้กระเปาะลำไส้อักเสบ[1][10] ในรายที่อักเสบเล็กน้อย แนะนำให้รับยาปฏิชีวนะและทานอาหารเหลว[1] ในรายที่รุนแรง อาจต้องให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ เข้าโรงพยาบาล และงดอาหารและเครื่องดื่มโดยสิ้นเชิง[1] ยาโปรไบโอติกส์ยังไม่ชัดเจนว่ามีประโยชน์[2] ภาวะแทรกซ้อน เช่นการเกิดฝี (abscess) การเกิดทางทะลุระหว่างอวัยวะ (fistula) การทะลุ (perforation) ที่ลำไส้อาจต้องผ่าตัด[1]

โรคนี้พบอย่างสามัญในประเทศตะวันตก แต่พบน้อยในแอฟริกาและเอเชีย[1] ในประเทศตะวันตก ประมาณ 35% ของประชากรมีกระเปาะลำไส้ เทียบกับ 1% ในชนบทแอฟริกา[9] จากนี้ประมาณ 4–15% อาจเกิดกระเปาะลำไส้อักเสบได้[3] ในอเมริกาเหนือและยุโรป มักปวดท้องที่ด้านซ้ายล่าง (ลำไส้ใหญ่ส่วนคด) แต่ในเอเชีย มักเกิดทางด้านขวา (ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น)[2][11] โรคเกิดบ่อยขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น จาก 5% สำหรับผู้มีอายุต่ำกว่า 40 ปีไปจนถึง 50% สำหรับผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี[12][1] โรคนี้ยังเกิดเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาคของโลก[2] ในยุโรปปี 2003 มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 13,000 คน[2] เป็นโรคทางกายวิภาคที่พบบ่อยที่สุดของลำไส้ใหญ่[2] ในปี 2013 ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโรคกระเปาะลำไส้ในสหรัฐอเมริกาสูงถึงประมาณ 2,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 74,000 ล้านบาท) ต่อปี[2]

อาการ

[แก้]

โรคกระเปาะลำไส้อักเสบมักแสดงเป็นอาการปวดท้องเฉียบพลันบริเวณช่องท้องส่วนล่าง[1] ผู้ป่วยมักมีค่า "ซี-รีแอคทีฟ โปรตีน" สูงและมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง[13] ในเอเชีย อาการปวดมักเกิดทางด้านขวา คือลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ในอเมริกาเหนือและยุโรป มักเกิดทางด้านซ้ายล่าง คือลำไส้ใหญ่ส่วนคด[2][11] อาจมีไข้ คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือท้องผูกร่วมด้วย อาจมีเลือดในอุจจาระ[1] กระเปาะลำไส้สัมพันธ์กับการถ่ายอุจจาระบ่อยกว่าปกติ ซึ่งขัดกับความเชื่อที่แพร่หลายว่า ผู้มีกระเปาะลำไส้จะท้องผูก[14]

ภาวะแทรกซ้อน

[แก้]
พยาธิสภาพของลำไส้ใหญ่ที่ผ่าตามยาว (เยื่อบุด้านในอยู่ด้านบน เยื่อหุ้มด้านนอกอยู่ล่าง) แสดงกระเปาะลำไส้อักเสบที่มีฝีสองแห่ง (ลูกศรสีขาว) สีเข้มทางด้านขวาเป็นเครื่องหมาย/รอยสักที่ทำอาศัยกล้องบนลำไส้ใหญ่ก่อนหน้านี้เพื่อระบุตำแหน่ง

ในกระเปาะลำไส้อักเสบที่มีภาวะแทรกซ้อน กระเปาะลำไส้อาจแตก ทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่ออกจากลำไส้สู่ภายนอกได้ หากการติดเชื้อแพร่กระจายไปยังเยื่อบุช่องท้อง ก็จะเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ บางครั้ง กระเปาะที่อักเสบอาจทำให้ลำไส้ตีบ ส่งผลให้เกิดภาวะลำไส้อุดตัน ในบางราย ลำไส้ส่วนที่อักเสบอาจยึดกับกระเพาะปัสสาวะหรืออวัยวะอื่นในอุ้งเชิงกราน (pelvic cavity) ทำให้เกิดทางทะลุ (fistula) คือช่องเชื่อมต่อที่ผิดปกติระหว่างอวัยวะกับโครงสร้างหรืออวัยวะข้างเคียง คือลำไส้ใหญ่กับอวัยวะที่อยู่ติดกัน

พยาธิสภาพที่เกี่ยวข้องอาจรวมถึง[15]

สาเหตุและการป้องกัน

[แก้]

สาเหตุของกระเปาะลำไส้อักเสบยังไม่ชัดเจน การเกิดกระเปาะลำไส้คาดว่าเกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างอายุกับอาหาร จุลชีพในลำไส้ใหญ่ ปัจจัยทางพันธุกรรม การเคลื่อนไหวของลำไส้ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของลำไส้ใหญ่[16]

ปัจจัยเสี่ยง

[แก้]

พันธุกรรม

[แก้]

การทบทวนปี 2021 ประมาณว่า 50% ของความเสี่ยงการเกิดกระเปาะลำไส้อักเสบมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม[17] การศึกษาปี 2012 ประมาณว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนราว 40% ของสาเหตุ โดยสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีร่วมกัน (ในครอบครัวเดียวกัน) มีส่วน 60%[18]

การมีปัญหาสุขภาพอื่นร่วมด้วย

[แก้]

ภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดกระเปาะลำไส้อักเสบ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง และการกดภูมิคุ้มกัน[19] ระดับวิตามินดีต่ำสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดกระเปาะลำไส้อักเสบที่เพิ่มขึ้น[20][21]

ความถี่การถ่ายอุจจาระ

[แก้]

การศึกษาปี 2022 พบว่า การถ่ายอุจจาระบ่อยดูเหมือนจะเป็นปัจจัยเสี่ยงการเกิดกระเปาะลำไส้ใหญ่อักเสบในอนาคตทั้งในชายหญิง[22][23]

น้ำหนักตัว

[แก้]

โรคอ้วนถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อกระเปาะลำไส้อักเสบ[24] มีงานศึกษาบางงานที่พบสหสัมพันธ์ของความชุกกระเปาะลำไส้อักเสบที่สูงขึ้นกับน้ำหนักเกินและโรคอ้วน[25][26] แต่ก็ยังไม่ยุติว่านี่เป็นเหตุหรือไม่[27]

อาหาร

[แก้]

บทบาทของเส้นใยอาหารต่อกระเปาะลำไส้อักเสบยังไม่ชัดเจน[24] แม้มักจะกล่าวว่า การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่หลักฐานสนับสนุนจริง ๆ ก็ยังไม่ชัดเจน[24] การศึกษาปี 2012 พบว่าอาหารที่มีกากใยสูงและการขับถ่ายบ่อยขึ้นกลับสัมพันธ์กับความชุกโรคที่สูงขึ้น ไม่ใช่ลดลง[28]

ไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่าการหลีกเลี่ยงถั่วและเมล็ดพืชช่วยป้องกันไม่ให้กระเปาะลำไส้ลุกลามไปเกิดการอักเสบอย่างเฉียบพลันได้[10][29] จริง ๆ แล้ว การบริโภคถั่วและข้าวโพดมากขึ้นอาจช่วยหลีกเลี่ยงกระเปาะลำไส้อักเสบในชายวัยผู้ใหญ่ได้[29]

การบริโภคเนื้อแดงโดยเฉพาะที่ไม่แปรรูป สัมพันธ์กับความเสี่ยงกระเปาะลำไส้อักเสบที่สูงขึ้น[30][31][32]

การวิเคราะห์ปี 2017 พบว่าการรับประทานอาหารที่มีเนื้อแดง ธัญพืชขัดสี และผลิตภัณฑ์นมไขมันสูงในปริมาณมากสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดกระเปาะลำไส้อักเสบที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสีสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง ชายกลุ่มบริโภคอาหารตะวันตกที่ได้คะแนนสูงสุด (ท๊อป 20%) มีอัตราส่วนการเกิดโรคแบบหลายตัวแปร (multivariate hazard ratio) ที่ 1.55 (ช่วงความเชื่อมั่น [CI] 95% ระหว่าง 1.20–1.99) เทียบกับกลุ่มที่มีคะแนนต่ำสุด อาหารที่บริโภคเร็ว ๆ นี้สัมพันธ์กับกระเปาะลำไส้อักเสบยิ่งกว่าอาหารที่บริโภคในระยะยาว ความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานอาหารกับโรค ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกินเนื้อแดงและใยอาหาร[33] การทบทวนอย่างเป็นระบบปี 2012 ไม่พบงานศึกษาคุณภาพสูง แต่ก็พบว่า การศึกษาและแนวทางการปฏิบัติสนับสนุนอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อรักษาโรคที่มีอาการ[34] การทบทวนปี 2011 พบว่าอาหารที่มีกากใยสูงอาจช่วยป้องกันโรคกระเปาะลำไส้ โดยไม่มีหลักฐานด้วยว่าอาหารกากใยน้อยช่วยในการรักษาโรค[35] การศึกษาในระยะยาวปี 2011 พบว่าอาหารมังสวิรัติและอาหารกากใยสูงสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงในการเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตจากกระเปาะลำไส้อักเสบ[36]

แม้จะมีข้อเสนอว่ายาโปรไบโอติกส์อาจมีประโยชน์ในการรักษา แต่หลักฐานในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถสนับสนุนหรือปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้[37]

พยาธิสภาพ

[แก้]

กระเปาะลำไส้ด้านขวาเป็นการเลื่อนเล็ก ๆ (micro-hernia) ของเยื่อเมือกลำไส้ใหญ่และชั้นใต้เยื่อเมือกผ่านชั้นกล้ามเนื้อของลำไส้ใหญ่ตรงจุดที่หลอดเลือดวิ่งผ่าน[2] ส่วนกระเปาะลำไส้ด้านซ้ายเป็นกระเปาะลำไส้เทียม เพราะการเลื่อนไม่ได้ผ่านทุกชั้นของผนังลำไส้ใหญ่[2] กระเปาะลำไส้อักเสบเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในลำไส้ รวมถึงแรงดันสูงจากการบีบตัวที่รุนแรงผิดปกติ[38]

การวินิจฉัย

[แก้]
กระเปาะลำไส้อักเสบในช่องท้องส่วนล่างด้านซ้าย ที่เห็นในมุมมองตามแกน (axial) เป็นภาพเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ความผิดปกติอยู่ในเส้นวงกลม)
กระเปาะลำไส้อักเสบที่เห็นในมุมมองแบ่งหน้าหลัง (coronal) เป็นภาพเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
กระเปาะลำไส้อักเสบ แสดงการอักเสบเฉียบพลันแบบมีหนองกระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อไขมันชั้นใต้เยื่อเลื่อม

ผู้ที่มีอาการตามที่กล่าวมักได้รับการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ซีทีสแกน)[39]

อัลตราซาวด์อาจใช้ตรวจในเบื้องต้นได้ สิ่งที่สามารถพบได้จากอัลตราซาวด์ ได้แก่ การโป่งของผนังลำไส้ที่ไม่ยุบตัว ผนังลำไส้หนาและสะท้อนเสียงน้อย หรือพบก้อนอุจจาระอุดตันที่ผนังลำไส้ อนึ่ง อาจพบอาการบวมน้ำของผนังลำไส้ร่วมกับเยื่อแขวนลำไส้ที่อยู่ติดกันโดยสะท้อนเสียงมาก

อย่างไรก็ตาม เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ก็เป็นเครื่องมือหลักในการวินิจฉัยกระเปาะลำไส้อักเสบและภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง[15] การวินิจฉัยกระเปาะลำไส้อักเสบเฉียบพลันจะทำได้อย่างมั่นใจก็ต่อเมื่อพบส่วนที่มีกระเปาะลำไส้[40] ภาพซีทีสแกนจะแสดงผนังลำไส้หนาขึ้นเฉพาะที่ พร้อมการอักเสบที่ลามเข้าไปยังไขมันรอบลำไส้ใหญ่[41] ภาวะแทรกซ้อนที่เห็นได้ในภาพซีทีสแกน ได้แก่ ฝี ลำไส้ทะลุ (perforation) หลอดเลือดพอร์ทัลอักเสบ (pylephlebitis) การอุดตันของลำไส้ เลือดออก และทางทะลุระหว่างอวัยวะ (fistula)[15]

ในระยะเฉียบพลันของกระเปาะลำไส้อักเสบ มีข้อห้ามไม่ให้สวนแป้งแบเรียมและส่องกล้องลำไส้ใหญ่ เพราะเสี่ยงลำไส้ทะลุ (perforation)[42][43]

การจำแนกตามความรุนแรง

[แก้]

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือมีภาวะแทรกซ้อน

[แก้]

กระเปาะลำไส้อักเสบเฉียบพลันที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน หมายถึงการอักเสบเฉพาะที่ของกระเปาะลำไส้ใหญ่โดยไม่มีฝีหรือการทะลุ (perforation)[44] กระเปาะลำไส้อักเสบที่มีภาวะแทรกซ้อนรวมถึงการมีฝี เยื่อบุช่องท้องอักเสบ การอุดตัน การตีบ และ/หรือทางทะลุระหว่างอวัยวะ (fistula) ประมาณ 12% ผู้ป่วยกระเปาะลำไส้อักเสบจะมีภาวะแทรกซ้อน[45]

ระบบการจำแนก

[แก้]

มีการตีพิมพ์ระบบจำแนกความรุนแรงอย่างน้อย 4 ระบบในวรรณกรรมทางการแพทย์ การจำแนกแบบเยอรมันปี 2015[46] ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยแยกตามนี้[47]

  • ระยะ 0 – กระเปาะลำไส้ที่ไม่มีอาการ
  • ระยะ 1a – กระเปาะลำไส้ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  • ระยะ 1b – กระเปาะลำไส้อักเสบที่มีหนองรอบ ๆ (phlegmonous peridiverticulitis)
  • ระยะ 2a – กระเปาะลำไส้อักเสบที่ทะลุ (perforation) โดยซ่อนอยู่ มีฝีขนาดไม่เกิน 1 ซม.
  • ระยะ 2b – กระเปาะลำไส้อักเสบ มีฝีใหญ่กว่า 1 ซม.
  • ระยะ 3a – กระเปาะลำไส้อักเสบที่มีอาการ แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  • ระยะ 3b – กระเปาะลำไส้อักเสบที่เป็นซ้ำ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  • ระยะ 3c – กระเปาะลำไส้อักเสบที่เป็นซ้ำ และมีภาวะแทรกซ้อน

ณ ปี 2022 ยังมีระบบจำแนกประเภทอื่น ๆ ที่ใช้อยู่ด้วย[46] ความรุนแรงของกระเปาะลำไส้อักเสบสามารถจัดระดับทางรังสีวิทยาได้โดยใช้ระบบ Hinchey Classification[48]

กระเปาะลำไส้อักเสบแบบคุกกรุ่น

[แก้]

ในกระเปาะลำไส้อักเสบแบบคุกกรุ่น (SmD) อาการจะกำเริบซ้ำบ่อย [7] แต่ไม่ลุกลามไปมีภาวะแทรกซ้อน[8] ประมาณ 5% ของผู้ป่วยจะเกิดภาวะเช่นนี้[49] โรคแบบคุกกรุ่นคิดเป็น 4–10% ของกรณีที่ผ่าตัด[50]

การวินิจฉัยแยกโรค

[แก้]

การวินิจฉัยต้องแยกโรคต่าง ๆ รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเหตุขาดเลือด (ischemic colitis) และโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) รวมถึงโรคระบบทางเดินปัสสาวะและทางนรีเวชวิทยาหลายประการ ในผู้ไม่มีอาการแทรกซ้อน จะพบมะเร็งได้น้อยกว่า 1%[51]

พยากรณ์โรค

[แก้]
  • ประมาณว่า 5%[52] จนถึง 10–25% ของผู้ที่มีกระเปาะลำไส้จะเกิดการอักเสบ[53]
  • ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจะหายดีหลังการรักษา ระยะฟื้นตัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 14 วัน ประมาณ 5% ของผู้ป่วยจะมีโรคแบบคุกกรุ่น[52]
  • กระเปาะลำไส้อักเสบจะกลับมาเป็นซ้ำในคนไข้ประมาณ ⅓ โดยราว 50% จะกลับเป็นซ้ำภายในหนึ่งปี และ 90% ในห้าปี โดยเกิดบ่อยในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า ผู้ที่มีฝีเมื่อวินิจฉัยครั้งแรก และหลังเกิดภาวะแทรกซ้อน[52]
  • ประมาณ 5% ของผู้ที่เป็นโรคกระเปาะลำไส้จะเกิดภาวะแทรกซ้อนเมื่อเฝ้าติดตามนาน 10–30 ปี ความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบหรือไส้ทะลุ จะสูงขึ้นเมื่อเกิดกระเปาะลำไส้อักเสบเป็นครั้งแรก โดยความเสี่ยงจะลดลงในแต่ละครั้งที่เกิดซ้ำ ผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องจะเสี่ยงการกลับเป็นซ้ำพร้อมกับภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ทะลุ สูงกว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติถึง 5 เท่า[52]
  • เกณฑ์การตัดสินใจผ่าตัดยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงและยังพัฒนาอยู่[54][53][55][56]
  • หลังการผ่าตัดรักษา ประมาณ 25% ของผู้ป่วยยังคงมีอาการอยู่[52]

การรักษา

[แก้]

สำหรับกระเปาะลำไส้อักเสบที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน การให้ของเหลวอาจเพียงพอหากไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย[47][57]

อาหาร

[แก้]

ผู้ป่วยกระเปาะลำไส้อักเสบอาจให้รับอาหารที่มีกากใยน้อย[58] หรืออาจให้ทานอาหารเหลว[59] แต่ทั้งสองก็ยังไม่มีหลักฐานว่ามีผลลัพธ์ที่ดีกว่า[57]

ยา

[แก้]

ยาปฏิชีวนะ

[แก้]

กระเปาะลำไส้อักเสบที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนและไม่มีการอักเสบทั่วร่างกาย "ไม่ควร" รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ[60][47][61][62] สำหรับกระเปาะลำไส้อักเสบฉับพลันที่เป็นน้อย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และไม่มีหนอง การรักษาตามอาการ การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และการไม่ให้อาหารทางปากให้ผลไม่แย่กว่าการผ่าตัดทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง และดูเหมือนจะให้ผลลัพธ์เท่ากันในระยะ 24 เดือน หากพบฝีจากการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หลักฐานและแนวทางเวชปฏิบัติบางส่วนเบื้องต้นแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะทางปากหรือทางหลอดเลือดดำในรายที่มีฝีขนาดเล็กกว่า 5 ซม. และไม่มีการอักเสบทั่วร่างกาย แต่ถ้าฝีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. อาจต้องระบายหนองทางผิวหนังหรือการผ่าตัดส่องกล้อง (laparoscopic)[60][63]

งานวิเคราะห์อภิมานพบว่า ยาปฏิชีวนะ rifaximin ช่วยบรรเทาอาการและลดภาวะแทรกซ้อนได้[64] แต่คุณภาพทางวิทยาศาสตร์ของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีข้อสงสัย[47]

เมซาลาซีน

[แก้]

เมซาลาซีน/เมซาลามีน (mesalazine/mesalamine) เป็นยาต้านการอักเสบที่ใช้รักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)[65] การศึกษาในวงจำกัดพบว่า ผู้ป่วยกระเปาะลำไส้อักเสบและผู้มีกระเปาะลำไส้ที่มีอาการ ทั้งสองดีขึ้นเมื่อรักษาด้วยเมซาลาซีน[66] ยาอาจช่วยลดการกลับเป็นซ้ำของโรคกระเปาะลำไส้ที่มีอาการแต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน[67] ในปี 2022 ประเทศเยอรมนีได้ออกแนวทางการใช้เมซาลาซีน เพื่อรักษากระเปาะลำไส้อักเสบฉับพลันที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน[68]

ศัลยกรรม

[แก้]

การผ่าตัดมีข้อบ่งชี้เป็นการเกิดฝีหรือทางทะลุระหว่างอวัยวะ (fistula) และลำไส้แตกร่วมกับเยื่อบุช่องท้องอักเสบ[38] แต่นี่เกิดไม่บ่อย[38] การผ่าตัดฉุกเฉินจำเป็นในกรณีที่เยื่อบุช่องท้องอักเสบจากกระเปาะลำไส้อักเสบที่ทะลุ (perforation)[60][63] หรือลำไส้แตก[69]

การผ่าตัดเมื่อมีฝีหรือทางทะลุระหว่างอวัยวะ (fistula) อาจมีข้อบ่งชี้แบบต้องทำเร่งด่วนหรือแบบเลือกได้ การผ่าตัดแบบเลือกจะพิจารณาเวลาที่เหมาะสมจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะของโรค อายุของผู้ป่วย สุขภาพทั่วไป ความรุนแรง/ความถี่ของการกำเริบ และอาการยังคงอยู่หรือไม่หลังจากเหตุการณ์เฉียบพลันครั้งแรก โดยมาก ถือว่ามีข้อบ่งชี้เมื่อความเสี่ยงจากการผ่าตัดมีน้อยกว่าความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากโรค โดยไม่ควรทำก่อนหกสัปดาห์หลังจากฟื้นตัวจากเหตุการณ์เฉียบพลัน[70]

ระบาดวิทยา

[แก้]

กระเปาะลำไส้อักเสบพบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ ในประเทศตะวันตก โรคกระเปาะลำไส้มักเกิดที่ลำไส้ใหญ่ส่วนคดมากที่สุด โดยพบในผู้ป่วยกระเปาะลำไส้อักเสบ 95%[71] พบในประชากรประมาณ 5–45% โดยความชุกเพิ่มขึ้นตามอายุ จากน้อยกว่า 20% ในผู้มีอายุ 40 ปี จนถึง 60% ในผู้มีอายุ 60 ปี[71]

โรคกระเปาะลำไส้ด้านซ้ายที่เกิดในลำไส้ใหญ่ส่วนคด พบได้บ่อยที่สุดในประเทศตะวันตก ในขณะที่โรคกระเปาะลำไส้ด้านขวา ซึ่งเกิดที่ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น พบได้บ่อยกว่าในเอเชียและแอฟริกา[11] ในผู้ที่เกิดกระเปาะลำไส้ ประมาณ 4–15% จะลุกลามเป็นกระเปาะลำไส้อักเสบ[3]

การศึกษาปี 2009 ที่โรงพยาบาลราชวิถีพบว่า เกิดกระเปาะลำไส้ที่ด้านขวาร้อยละ 42 ที่ด้านซ้ายร้อยละ 35 และตลอดลำไส้ใหญ่ร้อยละ 23[72]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. 1.0 1.1 lower gastrointestinal series เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้ตรวจและวินิจฉัยปัญหาของลำไส้ใหญ่ เป็นการถ่ายภาพเอกซเรย์โดยใส่แบเรียมซัลเฟตซึ่งเป็นสารทึบรังสี เข้าสู่ลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนทวารหนัก

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 1.22 1.23 "Diverticular Disease". www.niddk.nih.gov. กันยายน 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มิถุนายน 2016. สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2016.
  2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 2.14 2.15 2.16 2.17 2.18 Tursi, A (มีนาคม 2016). "Diverticulosis today: unfashionable and still under-researched". Therapeutic Advances in Gastroenterology. 9 (2): 213–28. doi:10.1177/1756283x15621228. PMC 4749857. PMID 26929783.
  3. 3.0 3.1 3.2 Pemberton, John H (16 มิถุนายน 2016). "Colonic diverticulosis and diverticular disease: Epidemiology, risk factors, and pathogenesis". UpToDate. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มีนาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2017.
  4. ศรีวานิชภูมิ, นันทภรณ์; อจละนันท์, นรินทร์ (2021). "โรคจากกระเปาะลำไส้ใหญ่ (Colonic diverticular disease)" (PDF). จุลสาร สมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย. 28 (129): 75–101. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 14 เมษายน 2025.
  5. "โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ - ลัดคิวหมอ 30/10/66". RAMA CHANNEL, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี. 11 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2025.
  6. "diverticulitis", Longdo Dict, อังกฤษ-ไทย: คลังศัพท์ไทย โดย สวทช., สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2025, ถุงลำไส้อักเสบ, ไดเวอร์ติคูไลติส, โรค, สำไส้หย่อน, โรคกระเปาะของลำไส้ใหญ่อักเสบ, ไดเวอร์ติคุไลติส [การแพทย์]
  7. 7.0 7.1 Rink, Andreas D.; Nousinanou, Maria Eleni; Hahn, Jasmina; Dikermann, Michael; Paul, Claudia; Vestweber, Karl-Heinz (12 ตุลาคม 2019). "[Smoldering diverticultis – still a type of chronic recurrent diverticulitis with good indication for surgery? – Surgery for smoldering diverticulitis]". Zeitschrift für Gastroenterologie. 57 (10): 1200–1208. doi:10.1055/a-0991-0700. PMID 31610583. S2CID 204702433.
  8. 8.0 8.1 "Colonic Diverticular Disease".
  9. 9.0 9.1 Mandell, Douglas, and Bennett's Principles and Practice of Infectious Diseases. Churchill Livingstone. 2014. p. 986. ISBN 9781455748013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 สิงหาคม 2016.
  10. 10.0 10.1 Young-Fadok, TM (ตุลาคม 2018). "Diverticulitis". New England Journal of Medicine. 379 (17): 1635–42. doi:10.1056/NEJMcp1800468. PMID 30354951. S2CID 239933906.
  11. 11.0 11.1 11.2 Feldman, Mark (2010). Sleisenger & Fordtran's Gastrointestinal and liver disease pathophysiology, diagnosis, management (9th ed.). [S.l.]: MD Consult. p. 2084. ISBN 9781437727678. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 สิงหาคม 2016.
  12. Young-Fadok TM (2018). "Diverticulitis". The New England Journal of Medicine. 379 (17): 1635–1642. doi:10.1056/NEJMcp1800468. PMID 30354951. S2CID 239933906.
  13. Swanson, Sophia M.; Strate, Lisa L. (2018). "Acute Colonic Diverticulitis". Annals of Internal Medicine. 168 (9): ITC65–ITC80. doi:10.7326/AITC201805010. PMC 6430566. PMID 29710265.
  14. Peery, Anne F.; Keku, Temitope O.; Galanko, Joseph A.; Sandler, Robert S. (15 มกราคม 2022). "Colonic Diverticulosis Is Not Associated With Painful Abdominal Symptoms in a US Population". Gastro Hep Advances. 1 (4): 659–665. doi:10.1016/j.gastha.2022.04.001. PMC 9273073. PMID 35821706.
  15. 15.0 15.1 15.2 Onur, MR; Akpinar, E; Karaosmanoglu, AD; Isayev, C; Karcaaltincaba, M (กุมภาพันธ์ 2017). "Diverticulitis: a comprehensive review with usual and unusual complications". Insights into Imaging. 8 (1): 19–27. doi:10.1007/s13244-016-0532-3. PMC 5265196. PMID 27878550.
  16. Tursi, Antonio (28 มีนาคม 2016). "Diverticulosis today: unfashionable and still under-researched". Therapeutic Advances in Gastroenterology. 9 (2): 213–228. doi:10.1177/1756283X15621228. PMC 4749857. PMID 26929783.
  17. "AGA Clinical Practice Update on Medical Management of Colonic Diverticulitis: Expert Review – Gastroenterology".
  18. Granlund, J.; Svensson, T.; Olén, O.; Hjern, F.; Pedersen, N. L.; Magnusson, P. K. E.; Schmidt, P. Thelin (28 พฤษภาคม 2012). "The genetic influence on diverticular disease – a twin study". Alimentary Pharmacology & Therapeutics. 35 (9): 1103–1107. doi:10.1111/j.1365-2036.2012.05069.x. PMID 22432696 – โดยทาง PubMed.
  19. Böhm, Stephan K. (29 เมษายน 2015). "Risk Factors for Diverticulosis, Diverticulitis, Diverticular Perforation, and Bleeding: A Plea for More Subtle History Taking". Viszeralmedizin. 31 (2): 84–94. doi:10.1159/000381867. PMC 4789955. PMID 26989377.
  20. Ferguson, LR; Laing, B; Marlow, G; Bishop, K (มกราคม 2016). "The role of vitamin D in reducing gastrointestinal disease risk and assessment of individual dietary intake needs: Focus on genetic and genomic technologies". Mol Nutr Food Res. 60 (1): 119–33. doi:10.1002/mnfr.201500243. PMID 26251177.
  21. "Effect of monthly vitamin D on diverticular disease hospitalization: Post-hoc analysis of a randomized controlled trial – Clinical Nutrition".
  22. Jovani, Manol; Ma, Wenjie; Staller, Kyle; Joshi, Amit D.; Liu, Po-Hong; Nguyen, Long H.; Lochhead, Paul; Cao, Yin; Tam, Idy; Wu, Kana; Giovannucci, Edward L.; Strate, Lisa L.; Chan, Andrew T. (28 กุมภาพันธ์ 2022). "Frequency of Bowel Movements and Risk of Diverticulitis". Clinical Gastroenterology and Hepatology. 20 (2): 325–333.e5. doi:10.1016/j.cgh.2021.01.003. PMC 8957846. PMID 33418133.
  23. "Bowel Movement Frequency Linked to Increased Diverticulitis Risk in 2 Prospective Cohort Studies – Clinical Gastroenterology and Hepatology".
  24. 24.0 24.1 24.2 Templeton, AW; Strate, LL (August 2013). "Updates in diverticular disease". Current Gastroenterology Reports. 15 (8): 339. doi:10.1007/s11894-013-0339-z. PMC 3832741. PMID 24010157.
  25. Mari, Amir; Sbeit, Wisam; Haddad, Haya; Abboud, Wisam; Pellicano, Rinaldo; Khoury, Tawfik (2021). "The impact of overweight on diverticular disease: a cross-sectional multicenter study". Polish Archives of Internal Medicine. 132 (3). doi:10.20452/pamw.16177. PMID 34935318.
  26. Shih, Chi-Wei; Chen, Yu-Hsin; Chen, Wei-Liang (15 มกราคม 2022). "Percentage of body fat is associated with increased risk of diverticulosis: A cross-sectional study". PLOS ONE. 17 (3): e0264746. Bibcode:2022PLoSO..1764746S. doi:10.1371/journal.pone.0264746. PMC 8887776. PMID 35231075.
  27. Böhm, Stephan K. (15 ตุลาคม 2021). "Excessive Body Weight and Diverticular Disease". Visceral Medicine. 37 (5): 372–382. doi:10.1159/000518674. PMC 8543333. PMID 34722720.
  28. Peery, Anne F.; Barrett, Patrick R.; Park, Doyun; Rogers, Albert J.; Galanko, Joseph A.; Martin, Christopher F.; Sandler, Robert S. (15 กุมภาพันธ์ 2012). "A High-Fiber Diet Does Not Protect Against Asymptomatic Diverticulosis". Gastroenterology. 142 (2): 266–72.e1. doi:10.1053/j.gastro.2011.10.035. PMC 3724216. PMID 22062360.
  29. 29.0 29.1 Weisberger, L; Jamieson, B (กรกฎาคม 2009). "Clinical inquiries: How can you help prevent a recurrence of diverticulitis?". Journal of Family Practice. 58 (7): 381–2. PMID 19607778.
  30. Y, Cao; Ll, Strate; Br, Keeley; I, Tam; K, Wu; El, Giovannucci; At, Chan (28 มีนาคม 2018). "Meat intake and risk of diverticulitis among men". Gut. 67 (3): 466–472. doi:10.1136/gutjnl-2016-313082. PMC 5533623. PMID 28069830.
  31. Peery, Anne F. (24 มีนาคม 2021). "Management of colonic diverticulitis". BMJ. 372: n72. doi:10.1136/bmj.n72. PMID 33762260. S2CID 232326924 – โดยทาง www.bmj.com.
  32. Peery, Anne F.; Shaukat, Aasma; Strate, Lisa L. (3 กุมภาพันธ์ 2021). "AGA Clinical Practice Update on Medical Management of Colonic Diverticulitis: Expert Review". Gastroenterology. 160 (3): 906–911.e1. doi:10.1053/j.gastro.2020.09.059. PMC 7878331. PMID 33279517. Best practice 10
  33. Strate, Lisa L; Keeley, Brieze R; Cao, Yin; Wu, Kana; Giovannucci, Edward L; Chan, Andrew T (12 เมษายน 2017). "Western Dietary Pattern Increases, Whereas Prudent Dietary Pattern Decreases, Risk of Incident Diverticulitis in a Prospective Cohort Study". Gastroenterology. 152 (5): 1023–1030.e2. doi:10.1053/j.gastro.2016.12.038. PMC 5367955. PMID 28065788.
  34. Ünlü, C; Daniels, L; Vrouenraets, BC; Boermeester, MA (เมษายน 2012). "A systematic review of high-fiber dietary therapy in diverticular disease". International Journal of Colorectal Disease. 27 (4): 419–27. doi:10.1007/s00384-011-1308-3. PMC 3308000. PMID 21922199.
  35. Tarleton, S; DiBaise, JK (เมษายน 2011). "Low-residue diet in diverticular disease: putting an end to a myth". Nutrition in Clinical Practice. 26 (2): 137–42. doi:10.1177/0884533611399774. PMID 21447765.
  36. Crowe, Francesca L; Appleby, Paul N; Allen, Naomi E; Key, Timothy J (19 กรกฎาคม 2011). "Diet and risk of diverticular disease in Oxford cohort of European Prospective Investigation into Cancer and Nutrition (EPIC): prospective study of British vegetarians and non-vegetarians". The BMJ. 343: d4131. doi:10.1136/bmj.d4131. PMC 3139912. PMID 21771850.
  37. Lahner, E; Bellisario, C; Hassan, C; Zullo, A; Esposito, G; Annibale, B (มีนาคม 2016). "Probiotics in the Treatment of Diverticular Disease. A Systematic Review". Journal of Gastrointestinal and Liver Diseases. 25 (1): 79–86. doi:10.15403/jgld.2014.1121.251.srw. hdl:11573/866049. PMID 27014757. S2CID 19519787.
  38. 38.0 38.1 38.2 Morris, AM; Regenbogen, SE; Hardiman, KM; Hendren, S (15 มกราคม 2014). "Sigmoid diverticulitis: a systematic review". JAMA. 311 (3): 287–97. doi:10.1001/jama.2013.282025. PMID 24430321.
  39. Lee, Kyoung Ho; Lee, Hye Seung; Park, Seong Ho; Bajpai, Vasundhara; Choi, Yoo Shin; Kang, Sung-Bum; Kim, Kil Joong; Kim, Young Hoon (2007). "Appendiceal Diverticulitis". Journal of Computer Assisted Tomography. 31 (5): 763–9. doi:10.1097/RCT.0b013e3180340991. PMID 17895789. S2CID 1027938.
  40. Horton, KM; Corl, FM; Fishman, EK (2000). "CT evaluation of the colon: inflammatory disease". Radiographics. 20 (2): 399–418. doi:10.1148/radiographics.20.2.g00mc15399. PMID 10715339.
  41. "CT scan of diverticulitis". ClariPACS. 2017. สืบค้นเมื่อ 19 มิถุนายน 2017.
  42. Sai, V. F.; Velayos, F; Neuhaus, J; Westphalen, A. C. (2012). "Colonoscopy after CT Diagnosis of Diverticulitis to Exclude Colon Cancer: A Systematic Literature Review". Radiology. 263 (2): 383–390. doi:10.1148/radiol.12111869. PMC 3329267. PMID 22517956.
  43. Tursi, A (2015). "The role of colonoscopy in managing diverticular disease of the colon" (PDF). Journal of Gastrointestinal and Liver Diseases. 24 (1): 85–93. doi:10.15403/jgld.2014.1121.tur. PMID 25822438. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 สิงหาคม 2017.
  44. Sartelli, Massimo; Weber, Dieter G.; Kluger, Yoram; Ansaloni, Luca; และคณะ (7 พฤษภาคม 2020). "2020 update of the WSES guidelines for the management of acute colonic diverticulitis in the emergency setting". World Journal of Emergency Surgery. 15 (1): 32. doi:10.1186/s13017-020-00313-4. PMC 7206757. PMID 32381121.
  45. Peery, Anne F.; Shaukat, Aasma; Strate, Lisa L. (28 กุมภาพันธ์ 2021). "AGA Clinical Practice Update on Medical Management of Colonic Diverticulitis: Expert Review". Gastroenterology. 160 (3): 906–911.e1. doi:10.1053/j.gastro.2020.09.059. PMC 7878331. PMID 33279517.
  46. 46.0 46.1 Kruis, W; Germer, CT; Böhm, S; Dumoulin, FL; Frieling, T; Hampe, J; Keller, J; Kreis, ME; Meining, A; Labenz, J; Lock, JF; Ritz, JP; Schreyer, A; Leifeld, L (28 พฤศจิกายน 2022). "German guideline diverticular disease/diverticulitis: Part I: Methods, pathogenesis, epidemiology, clinical characteristics (definitions), natural course, diagnosis and classification". United European Gastroenterology Journal. 10 (9): 923–939. doi:10.1002/ueg2.12309. PMC 9731664. PMID 36411504.
  47. 47.0 47.1 47.2 47.3 Kruse, Elena; Leifeld, Ludger (28 เมษายน 2015). "Prevention and Conservative Therapy of Diverticular Disease". Viszeralmedizin. 31 (2): 103–106. doi:10.1159/000377651. PMC 4789966. PMID 26989379.
  48. Klarenbeek, B. R.; De Korte, N; Van Der Peet, D. L.; Cuesta, M. A. (2011). "Review of current classifications for diverticular disease and a translation into clinical practice". International Journal of Colorectal Disease. 27 (2): 207–214. doi:10.1007/s00384-011-1314-5. PMC 3267934. PMID 21928041.
  49. "CKS is only available in the UK".
  50. Strate, LL; Morris, AM (เมษายน 2019). "Epidemiology, Pathophysiology, and Treatment of Diverticulitis". Gastroenterology. 156 (5): 1282–1298.e1. doi:10.1053/j.gastro.2018.12.033. PMC 6716971. PMID 30660732.
  51. Rottier, SJ; van Dijk, ST; van Geloven, AAW; และคณะ (กรกฎาคม 2019). "Meta-analysis of the role of colonoscopy after an episode of left-sided acute diverticulitis". The British Journal of Surgery. 106 (8): 988–997. doi:10.1002/bjs.11191. PMC 6618242. PMID 31260589.
  52. 52.0 52.1 52.2 52.3 52.4 "Diverticulitis prognosis".
  53. 53.0 53.1 Linzay, Catherine D.; Pandit, Sudha (2023-01-14). "Acute Diverticulitis". StatPearls. StatPearls Publishing. PMID 29083630.
  54. Hanna, Mark H; Kaiser, Andreas M (7 มีนาคม 2021). "Update on the management of sigmoid diverticulitis". World Journal of Gastroenterology. 27 (9): 760–781. doi:10.3748/wjg.v27.i9.760. PMC 7941864. PMID 33727769.
  55. Rook, Jordan M.; Dworsky, Jill Q.; Curran, Thomas; Banerjee, Sudeep; Kwaan, Mary R. (1 พฤษภาคม 2021). "Elective surgical management of diverticulitis". Current Problems in Surgery. 58 (5): 100876. doi:10.1016/j.cpsurg.2020.100876. PMID 33933211.
  56. Sartelli, Massimo; Weber, Dieter G.; Kluger, Yoram; และคณะ (7 พฤษภาคม 2020). "2020 update of the WSES guidelines for the management of acute colonic diverticulitis in the emergency setting". World Journal of Emergency Surgery. 15 (1): 32. doi:10.1186/s13017-020-00313-4. PMC 7206757. PMID 32381121.
  57. 57.0 57.1 van Dijk, S. T.; Rottier, S. J.; van Geloven, A. A. W.; Boermeester, M. A. (28 กุมภาพันธ์ 2017). "Conservative Treatment of Acute Colonic Diverticulitis". Current Infectious Disease Reports. 19 (11): 44. doi:10.1007/s11908-017-0600-y. PMC 5610668. PMID 28942590.
  58. Spirt, Mitchell (2010). "Complicated Intra-abdominal Infections: A Focus on Appendicitis and Diverticulitis". Postgraduate Medicine. 122 (1): 39–51. doi:10.3810/pgm.2010.01.2098. PMID 20107288. S2CID 46716128.
  59. "Diverticulitis – Diagnosis and treatment – Mayo Clinic". www.mayoclinic.org.
  60. 60.0 60.1 60.2 Sartelli, Massimo; Weber, Dieter G.; Kluger, Yoram; และคณะ (7 พฤษภาคม 2020). "2020 update of the WSES guidelines for the management of acute colonic diverticulitis in the emergency setting". World Journal of Emergency Surgery. 15 (1): 32. doi:10.1186/s13017-020-00313-4. ISSN 1749-7922. PMC 7206757. PMID 32381121.
  61. de Korte, N; Unlü, C; Boermeester, MA; Cuesta, MA; Vrouenreats, BC; Stockmann, HB (มิถุนายน 2011). "Use of antibiotics in uncomplicated diverticulitis". Br. J. Surg. 98 (6): 761–7. doi:10.1002/bjs.7376. PMID 21523694. S2CID 32230475.
  62. Peery, Anne F.; Shaukat, Aasma; Strate, Lisa L. (12 กุมภาพันธ์ 2021). "AGA Clinical Practice Update on Medical Management of Colonic Diverticulitis: Expert Review". Gastroenterology. 160 (3): 906–911.e1. doi:10.1053/j.gastro.2020.09.059. PMC 7878331. PMID 33279517.
  63. 63.0 63.1 Nascimbeni, R.; Amato, A.; Cirocchi, R.; และคณะ (2021). "Management of perforated diverticulitis with generalized peritonitis. A multidisciplinary review and position paper". Techniques in Coloproctology. 25 (2): 153–165. doi:10.1007/s10151-020-02346-y. ISSN 1123-6337. PMC 7884367. PMID 33155148.
  64. Bianchi, M.; Festa, V.; Moretti, A.; Ciaco, A.; Mangone, M.; Tornatore, V.; Dezi, A.; Luchetti, R.; De Pascalis, B.; Papi, C.; Koch, M. (28 เมษายน 2011). "Meta-analysis: long-term therapy with rifaximin in the management of uncomplicated diverticular disease". Alimentary Pharmacology & Therapeutics. 33 (8): 902–910. doi:10.1111/j.1365-2036.2011.04606.x. PMID 21366632 – โดยทาง PubMed.
  65. "Mesalazine: A medicine that treats inflammatory bowel conditions including ulcerative colitis and Crohn's disease". 21 กรกฎาคม 2021.
  66. Lenza, Christopher; Das, Kiron M. (2011). "Mesalamine in the Treatment of Diverticular Disease". Journal of Clinical Gastroenterology. 45: S53–S61. doi:10.1097/MCG.0b013e3182107a37. S2CID 78890788.
  67. Iannone, Andrea; Ruospo, Marinella; Wong, Germaine; Barone, Michele; Principi, Mariabeatrice; Di Leo, Alfredo; Strippoli, Giovanni F. M. (16 กันยายน 2018). "Mesalazine for People with Diverticular Disease: A Systematic Review of Randomized Controlled Trials". Canadian Journal of Gastroenterology & Hepatology. 2018: 5437135. doi:10.1155/2018/5437135. PMC 6167594. PMID 30320044.
  68. Peery, Anne F. (12 พฤศจิกายน 2022). "New German guidelines for the management of diverticulitis". United European Gastroenterology Journal. 10 (9): 913–914. doi:10.1002/ueg2.12331. PMC 9731652. PMID 36302089.
  69. "What's the diverticulitis surgery?". Digestive Disorders portal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2010. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2010.
  70. "Diverticulitis - Digestive Disorders". Merck Manual Consumer Version. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 เมษายน 2025. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน 2025.
  71. 71.0 71.1 Nallapeta, Naren S.; Farooq, Umer; Patel, Krunal (2022), "Diverticulosis", StatPearls, Treasure Island (FL): StatPearls Publishing, PMID 28613522, สืบค้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2022
  72. ศรีวานิชภูมิ & อจละนันท์ 2021, p. 76 อ้างอิง
    • Rungjiratananon, S; Sirinthornpunya, S (2009). "Prevalence of colonic diverticulosis in irritable bowel syndrome patients compared to other patients in Rajavithi hospital". Thai J Gastroenterol. 10 (3): 148–51.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]


การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก