กรณีเรือคารีน เอ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กรณีเรือคารีน เอ
ส่วนหนึ่งของ การลุกฮือครั้งที่สอง
อุปกรณ์ทางทหารที่ยึดได้จากเอ็มวี "คารีน เอ"
อุปกรณ์ทางทหารที่ยึดได้จากเอ็มวี คารีน เอ
โดยเหล่าทะเลอิสราเอล
วัตถุประสงค์การยึดเรือเดินทะเลที่ใช้เครื่องยนต์ คารีน เอ
วันที่3 มกราคม 2002; 22 ปีก่อน (2002-01-03)
ผู้ลงมือกองเรือที่ 13
ผลลัพธ์ประสบความสำเร็จ

กรณีเรือคารีน เอ หรือที่เรียกว่า ปฏิบัติการ "เรือโนอาห์" (ฮีบรู: מבצע תיבת נוח) เป็นการปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 ที่กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เข้ายึดเอ็มวี คารีน เอ ตามที่กองกำลังป้องกันอิสราเอลเผย มันเป็นเรือขนส่งสินค้าของชาวปาเลสไตน์ในทะเลแดง[1] โดยพบว่าเรือได้บรรทุกอาวุธหนัก 50 ตัน ได้แก่ จรวดคัตยูชาระยะใกล้, ขีปนาวุธต่อต้านรถถัง และระเบิดอำนาจสูง[1][2][3]

ภูมิหลัง[แก้]

การสอบสวนก่อนหน้านี้ได้เปิดเผยว่ากัปตันเรือคือนาวาเอก โอมาร์ อาคาวี ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวฟะตะห์ตั้งแต่ ค.ศ. 1976 และอดีตสมาชิกขององค์การบริหารปาเลสไตน์[1][2][4] ตามรายการของลอยด์ ซึ่งติดตามบันทึกการขนส่งทั่วโลก ระบุว่าเรือได้ถูกซื้อเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2001 จากบริษัทของเลบานอนโดยองค์การบริหารปาเลสไตน์ ภายใต้ชื่ออาเดล มูกฮราบี[1] ผู้ซื้ออาวุธที่ถูกกล่าวหาคืออาเดล มูกฮราบี (หรือรู้จักกันในนามอาเดล ซาลาเมฮ์) เป็นอดีตสมาชิกเจ้าหน้าที่ของยัสเซอร์ อาราฟัต จนถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 "เมื่อเขาถูกไล่ออกเนื่องจากประกอบธุรกิจส่วนตัว ซึ่งขัดแย้งกับสถานะทางการของเขา"[5]

ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 มูกฮราบีได้ติดต่อกับชาวอิหร่านและฮิซบุลลอฮ์[1][2][6] มูกฮราบีเป็นหนึ่งในผู้ติดต่อสำคัญในระบบการรับอาวุธของชาวปาเลสไตน์ เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการตำรวจทางเรือปาเลสไตน์ จูมา ฆอลี และฟัตฮี กาเซ็ม ผู้บริหารของเขา วัตถุประสงค์ของพวกเขาคือการลักลอบอาวุธจำนวนมากสำหรับการใช้งานขององค์การบริหารปาเลสไตน์[1] การดำเนินการนี้รวมถึงการซื้อและอำนวยความสะดวกด้วยเรือ, การก่อรูปขบวนลูกเรือเดินเรือ, การวางแผนวิธีการจัดเก็บและซ่อนอาวุธ, การบรรทุกอาวุธเข้าไปในเรือ และส่งต่อไปยังองค์การบริหารปาเลสไตน์[1][3][4]

จากนั้นเรือก็แล่นไปยังประเทศซูดาน ซึ่งเต็มไปด้วยสินค้าปกติ และลูกเรือก็เปลี่ยนไปเป็นกำลังพลขององค์การบริหารปาเลสไตน์[2][4] มันเปลี่ยนชื่อจากริม เค เป็นคารีน เอ เมื่อจดทะเบียนในประเทศตองงาเมื่อวันที่ 12 กันยายน โดยทางตองงายืนยันว่าอับบาสยังคงเป็นเจ้าของเรือ[7] ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 พวกเขาล่องเรือไปยังท่าเรือโฮเดดาห์ในประเทศเยเมน หลังจากนั้น เรือก็บรรทุกอาวุธโดยชาวอิหร่านและฮิซบุลลอฮ์ ซึ่งในระหว่างการขนส่ง มันถูกควบคุมโดยกำลังพลขององค์การบริหารปาเลสไตน์[2] โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขนส่งอาวุธให้แก่ตำรวจทางเรือปาเลสไตน์ใกล้ชายหาดกาซา[1][3][4]

ในช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001 มูกฮ์ราบีได้ให้คำแนะนำโดยละเอียดแก่เรือเพื่อแล่นไปยังชายหาดของเกาะเกชม ประเทศอิหร่าน[1][2] ที่นั่นมีเรือเฟอร์รีเข้ามาใกล้—ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอิหร่าน เรือเฟอร์รีลำนี้บรรจุอาวุธที่เก็บไว้ในลังไม้ขนาดใหญ่ 80 ลัง ซึ่งถูกย้ายไปบนเรือ จากนั้น กำลังพลของเรือได้ใส่อาวุธเหล่านี้ไว้ในภาชนะกันน้ำพิเศษ—ซึ่งผลิตในประเทศอิหร่านเท่านั้น ภาชนะเหล่านี้ลอยน้ำได้และมีระบบที่กำหนดได้ซึ่งกำหนดว่าจะจมอยู่ใต้น้ำลึกเพียงใด[1]

เมื่อการขนถ่ายเสร็จสิ้นเรือจำเป็นต้องเปลี่ยนการมุ่งหน้าไปยังท่าเรือโฮเดดาห์ เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค[1] หลังจากเรือข้ามคลองแล้วคาดว่าจะได้พบกับเรือลำเล็กอีกสามลำและจะถ่ายโอนของบรรทุกไปยังเรือเหล่านี้—ซึ่งเรือขนาดเล็กเหล่านี้ได้ซื้อล่วงหน้า[4] คาดว่าจากนั้นพวกเขาจะทิ้งอาวุธใกล้กับอัลอะรีช ประเทศอียิปต์[4] โดยผู้บัญชาการตำรวจทางเรือปาเลสไตน์ จูมา ฆอลี และผู้บริหาร ฟัตฮี กาเซ็ม จะรวบรวมอาวุธที่นั่น[1]

การขนส่งทางเรือ[แก้]

เรือลำดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 400,000 ดอลลาร์ โดยมีสินค้าพลเรือนที่ใช้ในการแอบซ่อนอาวุธประมาณ 3,000,000 ดอลลาร์ และอาวุธมีมูลค่าประมาณ 15,000,000 ดอลลาร์ ซึ่งการขนส่งทางเรือมีอาวุธดังต่อไปนี้:[1][2]

อัชเคลอนและเมืองชายฝั่งอื่น ๆ จะถูกคุกคามโดยจรวดคัตยูชาหากพวกเขาไปถึงฉนวนกาซา[1] ท่าอากาศยานนานาชาติเบนกูเรียนและเมืองใหญ่ ๆ ของอิสราเอลจะอยู่ในระยะของจรวดเหล่านี้หากตั้งอยู่ในเวสต์แบงก์[8] ของส่งยังรวมถึงเรือยางและอุปกรณ์ดำน้ำ อุปกรณ์นี้สามารถอำนวยความสะดวกในการโจมตีทางทะเลจากฉนวนกาซากับเมืองชายฝั่ง[1]

พลตรี เยดิดยา ยาอารี ผู้บัญชาการกองทัพเรืออิสราเอล ได้รายงานว่าอาวุธและยุทโธปกรณ์บรรจุในลัง 83 ลัง ในพลาสติกกันน้ำและติดกับทุ่น เพื่อให้สามารถปล่อยและเอากลับคืนในทะเลได้[ต้องการอ้างอิง]

การสกัดกั้น[แก้]

ภารกิจเริ่มต้นเมื่อ 04:45 น. ของวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2002 ในทะเลแดง ห่างจากประเทศอิสราเอล 500 กิโลเมตร (311 ไมล์)[2] โดยเรือกำลังแล่นอยู่ในน่านน้ำสากลระหว่างทางไปยังคลองสุเอซ[1] กองเรือ 13 หน่วยคอมมานโดของกองทัพเรืออิสราเอลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเฮลิคอปเตอร์และอากาศยานรบ ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ลูกเรือและเข้ายึดเรือลำดังกล่าวโดยไม่ทำการยิงแม้แต่นัดเดียว ซึ่งเรือดังกล่าวถูกนำไปยังไอลัตในคืนวันที่ 4 มกราคม[9]

พลตรี ชาอูล โมฟัซ เสนาธิการกองทัพอิสราเอล ได้ประกาศในการแถลงข่าวที่เทลอาวีฟเมื่อวันที่ 4 มกราคม ว่ากองทัพได้ยึดเรือลำดังกล่าวแล้ว ขณะที่นายพล แอนโทนี ซินนี กำลังพบกับยัสเซอร์ อาราฟัต เพื่อส่งเสริมการเจรจาระหว่างอิสราเอลกับองค์การบริหารปาเลสไตน์[9]

ผลที่ตามมา[แก้]

ส่วนบนของเสากระโดงเรืออาวุธคารีน เอ ซึ่งถูกกองทัพเรืออิสราเอลเข้ายึด

อิสราเอลและสหรัฐกล่าวหาว่าฮิซบุลลอฮ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรืออาวุธของปาเลสไตน์ที่อิสราเอลยึด สมาชิกฮิซบุลลอฮ์สามคนถูกจับในประเทศจอร์แดน ที่พยายามลักลอบขนจรวดคัตยูชาไปสู่ชาวปาเลสไตน์ (ภายหลังผู้ต้องขังได้รับอิสรภาพจากชาวจอร์แดนตามคำร้องขอของรัฐบาลเลบานอน) ส่วนเรือประมงอีกลำที่บรรทุกอาวุธไปสู่ชาวปาเลสไตน์ถูกอิสราเอลจมนอกชายฝั่งเลบานอนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002 ซึ่งอิสราเอลตั้งข้อกล่าวหาว่าซื้ออาวุธและสินค้าทางทหารด้วยความช่วยเหลือของฮิซบุลลอฮ์ ส่วนฮิซบุลลอฮ์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดส่งอาวุธ[10] รายงานของอิสราเอลระบุว่าเรือลำที่ซื้อมาจากประเทศเลบานอนได้บรรทุกอาวุธที่เกาะคิชของอิหร่านในกลางดึกนอกชายฝั่งประเทศอิหร่าน โดยแล่นผ่านอ่าวโอมาน, ทะเลอาหรับ, อ่าวเอเดน และทะเลแดง[11]

ยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำปาเลสไตน์ ได้ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใๆ[8] ขณะที่กองกำลังป้องกันอิสราเอลได้ยืนยันว่าอาวุธนั้นกักเก็บไว้สำหรับองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ และแหล่งที่มาอื่น ๆ ได้มุ่งเสนอว่าอาวุธดังกล่าวอาจมุ่งหน้าไปยังประเทศเลบานอนแทน เพื่อการใช้ของกลุ่มอิสลามผู้ทำสงครามอย่างฮิซบุลลอฮ์[5] ส่วนนักวิชาการบางคน เช่น แมทธิว เลวิตต์,[12] แอนโทนี คอร์เดสแมน[13] และเอเฟรม คาร์ช[14] ยังสนับสนุนมุมมองที่ว่าเรือลำดังกล่าวลักลอบขนอาวุธของอิหร่านไปยังองค์การบริหารปาเลสไตน์[8]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ่านเพิ่ม[แก้]

  • Brig. Gen. Amos Gilboa, A Raid on the Red Sea: The Israeli Capture of the Karine A, Yonah Jeremy Bob (Editor, Translator), Potomac Books, 2021

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 "Seizing of the Palestinian weapons ship Karine A". IDF. 4 January 2002. สืบค้นเมื่อ 12 December 2009.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 "Statement by IDF Chief-of-Staff Lt.-Gen. Shaul Mofaz regarding interception of ship Karine A". IDF. 4 January 2002. สืบค้นเมื่อ 12 December 2009.
  3. 3.0 3.1 3.2 "Address by Prime Minister Ariel Sharon following the seizing of the ship Karine A". Eilat: IDF. 6 January 2002. สืบค้นเมื่อ 12 December 2009.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 Griffin, Jennifer (7 January 2002). "Prison interview with Palestinian ship captain smuggling 50 tons of weapons". Jerusalem: Fox News. สืบค้นเมื่อ 12 December 2009.
  5. 5.0 5.1 "The Strange Affair of Karine-A", Brian Whitaker, Guardian, January 21, 2002.
  6. "Reaction of FM Peres to seizing of the Karine A". IDF. 4 January 2002. สืบค้นเมื่อ 12 December 2009.
  7. "Weapons ship mystery deepens". BBC. 2002-01-10. สืบค้นเมื่อ 2008-06-26.
  8. 8.0 8.1 8.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ 20 years in jail
  9. 9.0 9.1 "IDF Seizes PA Weapons Ship: The Karine A Affair". Jewish Virtual Library. สืบค้นเมื่อ June 26, 2008.
  10. Katyusha Rocket Global Security
  11. Bennet, James (January 12, 2002). "Seized Arms Would Have Vastly Extended Arafat Arsenal". New York Times. สืบค้นเมื่อ May 7, 2010.
  12. Hamas: Politics, Charity, and Terrorism in the Service of Jihad, by Matthew Levitt, 2006, p. 176.
  13. The Israeli-Palestinian War: Escalating to Nowhere, by Anthony H. Cordesman 2005, p. 277.
  14. Arafat's War: The Man and His Battle for Israeli Conquest, by Efraim Karsh, 2004, p. 236.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]