ข้ามไปเนื้อหา

กรณีพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แผนที่กำหนดเขต ค.ศ. 1909 (แผนที่ภาคผนวก I ของคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ) ที่ส่งผลให้เกิดกรณีพิพาท

กรณีพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา (อังกฤษ: Thai–Cambodian border dispute) เป็นกรณีพิพาทเรื่องอาณาเขตระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา เกี่ยวกับพื้นที่ชายแดนบางส่วน กรณีพิพาทนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 หลังจากที่กัมพูชาได้รับเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส โดยมีจุดมุ่งหมายหลักอยู่ที่การครอบครองปราสาทพระวิหาร คดีนี้ถูกนำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งตัดสินเมื่อปี พ.ศ. 2505 ให้กัมพูชาชนะคดี ประเด็นนี้ถูกระงับไปในช่วงหลายทศวรรษต่อมาเมื่อเกิดสงครามกลางเมืองกัมพูชา แต่ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขเนื่องจากไม่มีการกำหนดเขตแดนร่วมกัน ข้อพิพาทนี้ปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งอย่างเปิดเผยในปี พ.ศ. 2551 หลังจากที่กัมพูชาเสนอปราสาทพระวิหารให้คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จัดการชุมนุมโจมตีรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ในประเด็นนี้ การปะทะกันดังกล่าวนำไปสู่การขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาในปี พ.ศ. 2505 ซึ่งมีคำวินิจฉัยออกมาเมื่อปี พ.ศ. 2556 ในระหว่างความขัดแย้งรอบนี้ ข้อพิพาทยังเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนที่ทับซ้อนกันในจุดอื่น ๆ รวมถึงบริเวณโดยรอบปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นโบราณสถานของเขมร ความขัดแย้งคลี่คลายลงนานกว่าทศวรรษ จนกระทั่งปะทุขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นการสู้รบที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดกรณีพิพาท

ข้อพิพาทส่วนใหญ่เกิดจากสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ในปี ร.ศ. 122 และ ร.ศ. 125 ซึ่งกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนสุดท้ายระหว่างสยาม (ชื่อในขณะนั้นของประเทศไทย) กับอินโดจีนของฝรั่งเศส ซึ่งเขตแดนดังกล่าวสืบทอดมาถึงกัมพูชาด้วย แม้ว่าสนธิสัญญาจะกำหนดส่วนที่เกี่ยวข้องของเขตแดนไว้ตามแนวสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรัก แต่การปักปันเขตแดนโดยนักสำรวจชาวฝรั่งเศส กลับทำให้ได้แผนที่ที่เบี่ยงเบนไปจากเส้นแบ่งเขตในพื้นที่ ซึ่งทำให้เกิดกรณีพิพาทในปัจจุบัน รวมถึงบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร แม้ว่าไทยจะโต้แย้งต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าไม่เคยอนุมัติแผนที่ดังกล่าว และที่ตั้งของปราสาทบนหน้าผาซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าจากฝั่งไทย บ่งชี้ว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย แต่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกลับพิพากษาให้ประเทศกัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดี โดยส่วนใหญ่อาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าสยามไม่เคยประท้วงแผนที่อย่างเป็นทางการ หรืออ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของปราสาทในขณะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส กัมพูชายังมองว่าตนเองมีสิทธิเรียกร้องปราสาทโดยชอบธรรมเนื่องจากมีความผูกพันทางวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกว่าในฐานะที่สืบทอดอาณาจักรพระนคร

ทั้งสองประเทศยังอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลขนาดใหญ่อันเป็นผลมาจากการอ้างสิทธิบนไหล่ทวีป (เขตเศรษฐกิจจำเพาะ) ที่ประกาศโดยกัมพูชาในปี พ.ศ. 2515 และไทยในปี พ.ศ. 2516 บันทึกความเข้าใจที่ลงนามในปี พ.ศ. 2544 ตกลงที่จะร่วมกันพัฒนาพื้นที่พิพาททางตอนใต้ของเส้นขนานที่ 11 องศาเหนือ แม้ว่าจะมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ภูมิหลัง

[แก้]

จักรวรรดิเขมรแผ่ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11–13 ครอบคลุมพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป และมีโบราณสถานสมัยพระนครจำนวนมากพบได้ทั่วพื้นที่ซึ่งในปัจจุบันไม่เพียงแต่ในกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไทยและลาวด้วย ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อฝรั่งเศสสถาปนารัฐในอารักขาบนพื้นที่ประเทศกัมพูชา พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบันส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสยาม ผลจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ทำให้สยามถูกบังคับให้ยอมสละการอ้างสิทธิ์ในดินแดนรัฐบรรณาการลาวและกัมพูชาให้กับอินโดจีนของฝรั่งเศส การเจรจาที่ตามมานำไปสู่สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 122 ซึ่งสยามได้ยกพื้นที่เพิ่มเติมบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง และสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 125 ซึ่งยกพื้นที่กัมพูชาตอนใน รวมถึงเมืองพระนคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเขมร สนธิสัญญาเหล่านี้กำหนดเขตแดนระหว่างสยามและอินโดจีนของฝรั่งเศส แนวพรมแดนที่ติดกับประเทศไทยนี้สืบทอดต่อโดยกัมพูชาและลาวเมื่อทั้งสองประเทศได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2497

ในบรรดาเขตแดนที่กำหนดโดยสนธิสัญญาต่าง ๆ เขตแดนระหว่างพื้นที่ซึ่งปัจจุบันคือภาคเหนือของกัมพูชา (รวมถึงจังหวัดอุดรมีชัยและจังหวัดพระวิหาร) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของไทย (บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี) กำหนดตามแนวสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรัก สนธิสัญญายังกำหนดให้มีการกำหนดเขตแดนโดยคณะกรรมการผสมซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของไทยและฝรั่งเศส ดังนั้น จึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการสองคณะขึ้นตามสนธิสัญญาแต่ละฉบับ เพื่อกำกับดูแลการทำงานของนักสำรวจชาวฝรั่งเศส แผนที่ที่ได้จากการสำรวจได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่ในกรุงปารีส และส่งมอบให้กับรัฐบาลทั้งสอง ต่อมาพบว่าแผนที่มีความเบี่ยงเบนอย่างมีนัยสำคัญจากแนวสันปันน้ำในหลายพื้นที่ รวมถึงพื้นที่ของปราสาทที่ปัจจุบันเป็นข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปราสาทพระวิหาร[1] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยไม่ได้โต้แย้งแผนที่ในขณะนั้น และเอกสารที่เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้บ่งชี้ว่าตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2454 รัฐบาลทราบดีว่าแผนที่ที่ใช้ได้แสดงให้เห็นว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตดินแดนกัมพูชา[2]

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลทหารของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ได้ร่วมมือกับจักรวรรดิญี่ปุ่น และบุกครองอินโดจีนของฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2483 เพื่อสานต่ออุดมการณ์ชาตินิยมแบบรวมกลุ่มไทย และทวงคืนดินแดนที่ไทยเคยมองว่าเป็นดินแดนที่ไทยเสียไป ไทยได้ผนวกดินแดนบางส่วนที่ถูกยกให้ใน พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450 เข้าเป็นส่วนหนึ่งชั่วคราว แต่ต้องสละกลับไปเมื่อสงครามสิ้นสุดลงด้วยการยอมจำนนของญี่ปุ่น[3][4]

คดีปราสาทพระวิหาร

[แก้]

การอ้างสิทธิทางทะเล

[แก้]
การอ้างสิทธิทับซ้อนบนไหล่ทวีปของไทยและกัมพูชา

ตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ซึ่งทั้งสองประเทศได้ลงนามกันใน พ.ศ. 2501 กัมพูชาและไทยได้ประกาศอ้างสิทธิบนไหล่ทวีปฝ่ายเดียวใน พ.ศ. 1515 และ พ.ศ. 2516 ตามลำดับ ไหล่ทวีปของทั้งสองประเทศมีความทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนที่เท่ากันระหว่างชายฝั่งกัมพูชาและชายฝั่งทางใต้ของไทยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของอ่าวไทยที่แตกต่างกัน รวมถึงข้ออ้างเขตแดนด้านข้างที่ขัดแย้งกันระหว่างเกาะกูดของไทย และเกาะกงของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอ้างสิทธิของกัมพูชาที่ครอบคลุมน่านน้ำโดยรอบครึ่งส่วนตอนใต้ของเกาะกูดในประเทศไทยโดยตรง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกฎหมายระหว่างประเทศ และอ้างโดยอิงจากการตีความสนธิสัญญา ร.ศ. 125 ซึ่งนักวิชาการอธิบายว่า "น่าสงสัย" และ "น่าสงสัยอย่างยิ่ง"[5] แต่ไทยปฏิเสธ

ทั้งสองประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจใน พ.ศ. 2544 ซึ่งตกลงร่วมกันพัฒนาพื้นที่พิพาททางตอนใต้ของเส้นขนานที่ 11 องศาเหนือ และกำหนดเขตแดนในพื้นที่ทางเหนือของเส้นขนาน อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้ามีน้อยมากนับตั้งแต่นั้นมา[5]

คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม

[แก้]

ในปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาตกลงร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission; JBC) เพื่อดูแลเรื่องการกำหนดเขตชายแดนไทย–กัมพูชา และในปี พ.ศ. 2543 ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อวางกรอบกระบวนการ[6]

ความขัดแย้ง พ.ศ. 2551

[แก้]

กรณีพิพาทนี้ปรากฏอีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 เมื่อรัฐบาลกัมพูชาเตรียมเสนอปราสาทพระวิหาร ให้คณะกรรมการมรดกโลกขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และรัฐบาลไทยที่นำโดยคณะรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ได้ลงนามในแถลงการณ์สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวในตอนแรก แต่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลฉวยโอกาสนี้โจมตีรัฐบาลในฐานะส่วนหนึ่งของการประท้วง นำไปสู่ วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2551 รัฐบาลสมัครเผชิญกับกระแสชาตินิยม จึงเปลี่ยนจุดยืนและถอนการสนับสนุน สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อหน่วยทหารเผชิญหน้ากันในพื้นที่พิพาท ก่อให้เกิดการปะทะกันด้วยอาวุธหลายครั้ง และยังมีกรณีพิพาทขึ้นในพื้นที่ทับซ้อนอื่น ๆ ตลอดแนวชายแดน รวมถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทขอมโบราณ เช่น ปราสาทตาเมือนธม และ ปราสาทตาควาย[7]

ความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่การร้องขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความเกี่ยวกับดินแดนที่ครอบคลุมคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยในปี พ.ศ. 2556 ศาลได้วินิจฉัยว่าดินแดนดังกล่าวครอบคลุมถึงหน้าผาที่ตั้งปราสาท (ซึ่งในคดีเรียกว่า ชะง่อนผา) แต่ไม่ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบทั้งหมด รวมถึงเนินภูมะเขือที่อยู่ใกล้เคียง

ความขัดแย้ง พ.ศ. 2568

[แก้]

ในปี พ.ศ. 2568 ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในพื้นที่พิพาทหลายแห่งตามแนวชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปะทะกันในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม[8] หลังจากมีเหตุการณ์ทางการทูตและการเมืองหลายครั้ง วิกฤตการณ์ดังกล่าวได้ปะทุขึ้นเป็นเหตุปะทะด้วยอาวุธอย่างเปิดเผยในวันที่ 24 กรกฎาคม[9] ก่อนที่ไทยและกัมพูชาจะตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 28 กรกฎาคม [10]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Office of the Geographer (1966). International Boundary Study No. 40 Cambodia – Thailand Boundary (PDF). US Department of State, Bureau of Intelligence and Research.
  2. Roth, William (2023). "'The Incident of 1911': The Real Truth in the Temple of Preah Vihear Case". Thai Legal Studies. 3 (1): 19–68. doi:10.54157/tls.262099.
  3. Landon, Kenneth Perry (November 1941). "Thailand's Quarrel with France in Perspective". The Far Eastern Quarterly. 1 (1): 25–42. doi:10.2307/2049074. JSTOR 2049074.
  4. Deth, Sok Udom (2020). A History of Cambodia-Thailand Diplomatic Relations 1950–2020 (Revised and updated version ed.). Glienicke: Galda Verlag. pp. 18–20. ISBN 9783962031305.
  5. 1 2 Schofield, Clive (2008). "Maritime Claims, Conflicts and Cooperation in the Gulf of Thailand". Ocean Yearbook Online (ภาษาอังกฤษ). 22 (1): 75–116. Bibcode:2008OceYb..22...75S. doi:10.1163/221160008X00064. ISSN 2211-6001.
  6. Singhaputargun, Nichan (2016). "The Thailand–Cambodia Preah Vihear Temple Dispute: Its Past, Present and Future". ใน Oishi, Mikio (บ.ก.). Contemporary Conflicts in Southeast Asia. Asia in Transition 3. Vol. 3. pp. 111–135. doi:10.1007/978-981-10-0042-3_6. ISBN 978-981-10-0040-9.
  7. Ciorciari, John D. (Fall 2009). "Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihear". Stanford Program on International and Cross-Cultural Education (ภาษาอังกฤษ). Stanford University. สืบค้นเมื่อ 26 July 2025.
  8. Burke, Kieran. "Cambodian soldier killed in clash with Thai army – DW – 05/28/2025". dw.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-16.
  9. Lendon, Brad (2025-07-25). "Thai-Cambodian conflict pits a well-equipped US ally against a weaker adversary with strong China links". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-16.
  10. "Cambodia and Thailand agree to 'immediate and unconditional ceasefire'". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2025-08-16.

เอกสารอ้างอิงทั่วไป

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]