ข้ามไปเนื้อหา

กฎหมายสัญชาติไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กฎหมายสัญชาติไทย
สภาร่างรัฐธรรมนูญ
ผู้พิจารณาสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ผู้ลงนามพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันลงนาม21 กรกฎาคม พ.ศ. 2508
ผู้ลงนามรับรองจอมพลถนอม กิตติขจร
วันประกาศ4 สิงหาคม พ.ศ. 2508
วันเริ่มใช้5 สิงหาคม พ.ศ. 2508
ท้องที่ใช้ประเทศไทย
การร่าง
ชื่อร่างร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ....
ผู้เสนอคณะรัฐมนตรี
การยกร่างในชั้นสภาล่าง
การยกร่างในชั้นสภาสูง
การพิจารณาในสภานิติบัญญัติ
การแก้ไขเพิ่มเติม
  • พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535
  • พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535
  • พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551
  • พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2555
การยกเลิก
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สถานะ: ยังใช้บังคับ

กฎหมายสัญชาติไทย พระราชบัญญัติสัญชาติฉบับแรกของประเทศไทยประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2456 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบัญญัติสัญชาติฉบับใหม่ประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2508 ในรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร แทนที่ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 ที่ประกาศใช้ในรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม

สิทธิโดยสายโลหิต

[แก้]

สิทธิโดยสายโลหิตเป็นวิธีการหลักในการได้รับสัญชาติไทย บุคคลใดซึ่งเป็นบุตรของมารดาหรือบิดาซึ่งมีสัญชาติไทย ย่อมเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ[1]

การสืบสายโลหิตฝ่ายพ่อต้องอาศัยการส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันว่าเป็นลูกที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หรือการทดสอบดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางชีววิทยา

สิทธิโดยแผ่นดิน

[แก้]

พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 และพระราชบัญญัติหลังจากนั้นส่วนใหญ่ได้รวมหลักการของสิทธิโดยแผ่นดินไว้ด้วย แม้ว่าในบางครั้งจะมีข้อจำกัดต่าง ๆ ก็ตาม[2] พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 ได้ยกเลิกบทบัญญัติเรื่องสิทธิโดยแผ่นดินในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 เพื่อตอบสนองต่อความกังวลเกี่ยวกับการผสมผสานเชื้อชาติกับบุตรหลานของผู้อพยพชาวจีน แต่สิทธิโดยแผ่นดินก็ได้รับการฟื้นคืนกลับมาในพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2499[3] ในปี พ.ศ. 2515 เนื่องด้วยมีการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและเกิดความกังวลเรื่องคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ชายแดน จอมพลถนอม กิตติขจร ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ จึงออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 เพิกถอนสัญชาติไทยแก่บุคคลซึ่งเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวแต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย[4][5] เรื่องนี้ก่อให้เกิดความยากลำบากแก่ชาวเขาในพื้นที่ชายแดนที่ไม่ได้ลงทะเบียนในสำมะโนประชากรปี พ.ศ. 2499 เพราะไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าพ่อแม่เป็นคนไทย ไม่ใช่เข้ามาในประเทศในฐานะผู้ลี้ภัย[6][7]

มาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ให้คืนสัญชาติแก่ผู้ถูกเพิกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 และให้บุคคลที่เกิดในประเทศไทยก่อนพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ใช้บังคับ สามารถยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทะเบียนได้รายงานถึงความยากลำบากในการขอให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการลงทะเบียน ภายหลังจากพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ บุคคลแรกที่ได้รับสัญชาติตามมาตรา 23 คือฟองจันทร์ สุขเสน่ห์ บุตรของมิชชันนารีชาวอเมริกันที่สอนชาวมลาบรีหรือเผ่าตองเหลือง ซึ่งเกิดในจังหวัดเชียงใหม่[6][8]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. "NATIONALITY ACT B.E.2508" (PDF). Refworld.org. สืบค้นเมื่อ 17 July 2019.
  2. Loos 2006, p. 134
  3. Suryadinata 1997, p. 251
  4. Yang 2009
  5. "Thailand". Republic of the Philippines: Office of the Solicitor General. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-26. สืบค้นเมื่อ 2012-06-22.
  6. 6.0 6.1 "Reaching out to the people languishing in nowhere land". Bangkok Post. 2012-06-10. สืบค้นเมื่อ 2012-09-21.
  7. Hobbes, Necia (2009-01-31). "Thailand: Legal Obstacles to Citizenship for Indigenous Groups". Jurist Legal News and Research International Edition. สืบค้นเมื่อ 2013-01-23.
  8. Napaumporn 2011

อ้างอิง

[แก้]

อ่านเพิ่มเติม

[แก้]