เกียวโต
เกียวโต 京都市 เคียวโตะ | |
---|---|
| |
ที่ตั้งของนครเกียวโต (เน้นสีม่วง) ในจังหวัดเกียวโต | |
พิกัด: 35°0′42″N 135°46′6″E / 35.01167°N 135.76833°E | |
ประเทศ | ญี่ปุ่น |
ภูมิภาค | คันไซ |
จังหวัด | เกียวโต |
ก่อตั้ง | ค.ศ. 794 |
การปกครอง | |
• ประเภท | เทศบาลนคร นายกเทศมนตรี–สภา |
• องค์กร | เทศบาลนครเกียวโต สภานครเกียวโต |
• นายกเทศมนตรี | โคจิ มัตสึอิ (松井 孝治) |
พื้นที่ | |
• นครใหญ่ที่รัฐกำหนด | 827.83 ตร.กม. (319.63 ตร.ไมล์) |
ความสูงจุดสูงสุด | 971 เมตร (3,186 ฟุต) |
ความสูงจุดต่ำสุด | 9 เมตร (30 ฟุต) |
ประชากร (1 ตุลาคม ค.ศ. 2020)[1] | |
• นครใหญ่ที่รัฐกำหนด | 1,463,723 คน |
• อันดับ | ที่ 9 ในประเทศญี่ปุ่น |
• ความหนาแน่น | 1,800 คน/ตร.กม. (4,600 คน/ตร.ไมล์) |
• รวมปริมณฑล[1][2] | 3,783,014 คน |
สัญลักษณ์ | |
• ต้นไม้ | หลิว, เมเปิล และคัตสึระ |
• ดอกไม้ | คามิเลียญี่ปุ่น, กุหลาบพันปี และซาโตซากูระ |
เขตเวลา | UTC+9 (เวลามาตรฐานญี่ปุ่น) |
รหัสท้องถิ่น | 26100-9 |
ที่อยู่ศาลาว่าการ | 488 คามิฮนโนจิมาเอะโจ แยกถนนเทรามาจิ-ถนนโออิเกะ เขตนากาเงียว นครเกียวโต จังหวัดเกียวโต 604-8571 |
เว็บไซต์ | city.kyoto.lg.jp |
เกียวโต | |||||||
"เกียวโต" เมื่อเขียนด้วยคันจิ | |||||||
ชื่อภาษาญี่ปุ่น | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
คันจิ | 京都 | ||||||
ฮิรางานะ | きょうと | ||||||
คาตากานะ | キョウト | ||||||
|
เกียวโต (ญี่ปุ่น: 京都; โรมาจิ: Kyōto; ทับศัพท์: เคียวโตะ; [kʲoꜜːto] ( ฟังเสียง)) หรือทางการเรียกว่า นครเกียวโต (ญี่ปุ่น: 京都市; โรมาจิ: Kyōto-shi; ทับศัพท์: เคียวโตะ-ชิ; [kʲoːtoꜜɕi] ( ฟังเสียง)) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดเกียวโต ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันไซซึ่งอยู่บนเกาะฮนชู เกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ณ ค.ศ. 2020 นครเกียวโตมีจำนวนประชากร 1.46 ล้านคน จัดว่าเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 9 ของประเทศ ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 56.8) ของจังหวัดเกียวโตอาศัยอยู่ในนครเกียวโต นครเกียวโตเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของเขตมหานครเกียวโต ซึ่งเป็นเขตมหานครที่มีประชากรประมาณ 3.8 ล้านคนจากการสำรวจสำมะโนประชากร นอกจากนี้ นครเกียวโตยังเป็นส่วนหนึ่งของเขตมหานครเคฮันชิงร่วมกับนครโอซากะและนครโคเบะ
เกียวโตเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เดิมมีชื่อว่าเฮอังเกียว โดยจักรพรรดิคัมมุทรงเลือกเมืองนี้ให้เป็นที่ประทับแห่งใหม่ของราชสำนักญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ. 794 เฮอังเกียวถูกจัดวางตามหลักฮวงจุ้ยของจีนโบราณตามแบบจำลองของเมืองหลวงจีนโบราณอย่างฉางอานและลั่วหยาง จักรพรรดิญี่ปุ่นประทับอยู่ที่เกียวโตเป็นเวลา 11 ศตวรรษจนถึง ค.ศ. 1869 เกียวโตเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ที่เป็นกุญแจสำคัญของยุคมูโรมาจิ ยุคเซ็งโงกุ และสงครามโบชิงหลายครั้งด้วยกัน เช่น สงครามโอนิง เหตุการณ์ที่ฮนโนจิ เหตุการณ์ที่ประตูคิมมง และยุทธการโทบะ–ฟูชิมิ เมืองหลวงถูกย้ายจากเกียวโตไปยังโตเกียวหลังการปฏิรูปเมจิ เกียวโตเริ่มมีการปกครองในรูปแบบเทศบาลนครเมื่อ ค.ศ. 1889 เมืองนี้รอดพ้นจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และด้วยเหตุนี้ มรดกทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ก่อนสงครามส่วนใหญ่จึงได้รับการอนุรักษ์ไว้
เกียวโตถือเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นและเป็นจุดหมายปลายทางหลักด้านการท่องเที่ยว สำนักงานใหญ่ของหน่วยงานด้านวัฒนธรรมของรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเมืองนี้ เกียวโตเป็นที่ตั้งของวัดพุทธ ศาลเจ้าชินโต พระราชวัง และอุทยานจำนวนมาก ซึ่งบางแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก สถานที่สำคัญ ได้แก่ พระราชวังหลวงเกียวโต คิโยมิซูเดระ คิงกากูจิ กิงกากูจิ และเกียวโตทาวเวอร์ บริษัทวิดีโอเกมที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างนินเท็นโดก็มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเกียวโต นอกจากนี้ เกียวโตยังเป็นศูนย์กลางการศึกษาระดับสูงของประเทศอีกด้วย โดยมีสถาบันต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น
ที่มาของชื่อ[แก้]
แต่เดิม เมืองนี้มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า เคียว (京) และ มิยาโกะ (都) หรือบางครั้งก็เรียกรวมว่า เคียวโนะมิยาโกะ (京の都) ต่อมาในศตวรรษที่ 11 เปลี่ยนชื่อเป็น เกียวโต (มีความหมายว่า เมืองหลวง) ตามคำของภาษาจีนของเมืองหลวงที่อ่านว่า จุงตู (京都)[3] แต่หลังจากที่เมืองเอโดะเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว (มีความหมายว่า "เมืองหลวงตะวันออก") ในปี ค.ศ. 1868 เมืองเกียวโตก็เปลี่ยนชื่อเป็น ไซเกียว (西京 มีความหมายว่า "เมืองหลวงตะวันตก") เป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็น เกียวโต ในเวลาต่อมา
ประวัติศาสตร์[แก้]
จุดเริ่มต้น[แก้]
แม้วาจะมีหลักฐานทางโบราณคดีว่ามีการตั้งถิ่นฐานที่เกาะญี่ปุ่นประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ก็แทบจะไม่พบหลักฐานกิจกรรมของมนุษย์ใด ๆ เลยในบริเวณนี้ จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่มีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่ศาลเจ้าชิโมงาโมะ
เฮอังเกียว[แก้]
ศตวรรษที่ 8 นักบวชในพุทธศาสนามีอิทธิพลอย่างมากและได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการในราชสำนักของสมเด็จพระจักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิตัดสินพระทัยที่จะย้ายนครหลวงไปยังภูมิภาคที่ห่างไกลจากอิทธิพลของพุทธศาสนา จักรพรรดิคัมมุทรงเลือกชัยภูมิแห่งใหม่ที่หมู่บ้านอูดะ
นครหลวงแห่งใหม่นี้ได้รับนามว่า เฮอังเกียว (平安京, "นครหลวงแห่งสันติและสงบสุข") ซึ่งนครหลวงแห่งใหม่นี้ได้แนวคิดมาจากนครหลวงฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง[4] เพียงแต่ปรับขนาดให้เล็กลง และต่อมาใน ค.ศ. 794 ก็ได้กลายเป็นนครที่ตั้งของราชสำนัก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอังในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามแม้ว่าภายหลัง รัฐบาลทหารจะตั้งเมืองอื่น ๆ เป็นศูนย์กลางทางอำนาจการปกครองที่ไม่ใช่เกียวโต (รัฐบาลโชกุนมูโรมาจิ) เช่น คามากูระ (โดยรัฐบาลโชกุนคามากูระ) หรือ เอโดะ (โดยรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ) แต่โดยทางนิตินัยแล้ว นครหลวงของญี่ปุ่นยังคงเป็นเกียวโตอันเป็นนครที่พระจักรพรรดิประทับอยู่ จนถึง ค.ศ. 1869 (ยุคฟื้นฟูจักรวรรดิ) ที่ราชสำนักได้ย้ายไปยังกรุงโตเกียว
เกียวโตได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงครามโอนินในช่วง ค.ศ. 1467-1477 และไม่ได้รับการบูรณะจนล่วงเข้าสู่กลางคริสต์ศตวรรษ 16 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิได้บูรณะเมืองขึ้นมาอีกครั้งโดยการสร้างถนนสายใหม่กลางกรุงเกียวโตจนมีถนนเชื่อมเมืองฝั่งเหนือกับฝั่งใต้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมีผังเมืองแบบบล็อกสี่เหลี่ยมแทนที่ผังเมืองแบบโบราณ ฮิเดโยชิยังได้สร้างกำแพงดินขึ้นมาเรียกว่า โอโออิ (御土居) รอบเมือง ถนนเทรามาจิในกลางกรุงเกียวโตจึงเป็นศูนย์กลางของวัดพุทธเมื่อฮิเดโยชิเริ่มรวบรวมวัดให้เป็นปึกแผ่น ในสมัยเอโดะ เกียวโตก็เป็นหนึ่งในสามเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับนครเอโดะและนครโอซากะ
ในช่วงกบฏฮามางูริ ในปี ค.ศ. 1864 บ้านเรือน 28,000 หลังได้รับความเสียหาย
ยุคใหม่[แก้]
เมื่อเริ่มต้นยุคเมจิ เมืองหลวงของจักรพรรดิได้ย้ายจากเกียวโตไปยังโตเกียวใน ค.ศ. 1869 ทำให้เศรษฐกิจของเกียวโตอ่อนแอลง จากนั้นก็ได้มีการจัดตั้งเทศบาลนครเกียวโตขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1889 มีการขุดการสร้างคลองส่งน้ำจากทะเลสาบบิวะใน ค.ศ. 1890 ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่ดำเนินการเพื่อฟื้นฟูเมือง จนกระทั่งนครเกียวโตมีจำนวนประชากรเกินหนึ่งล้านคนใน ค.ศ. 1932[5][6]
-
เกียวโตใน ค.ศ. 1891
-
ทิวทัศน์เกียวโตจากข้างวัดคิโยมิซูเดระ คริสต์ทศวรรษ 1870[7]
-
สะพานนันเซ็นจิ บนสะพานเป็นคลองส่งน้ำจากทะเลสาบบิวะ
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย[แก้]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาเคยมีแผนจะทิ้งระเบิดปรมาณูที่เกียวโต ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นศูนย์กลางทางปัญญาของญี่ปุ่น และมีชาวเมืองที่ "ดูมีความสุขกับการสร้างอาวุธ" แต่ในท้ายที่สุด เฮนรี แอล. สติมสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม ในยุคของประธานาธิบดีรูสเวลต์และประธานาธิบดีทรูแมนได้ถอดชื่อเกียวโตออกจากรายชื่อเมืองที่จะทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงปลายสงคราม และเปลี่ยนเป็นเมืองนางาซากิแทน นอกจากนี้ เมืองยังรอดพ้นจากการทิ้งระเบิดสงครามในสงครามอีกด้วย แม้จะมีการโจมตีทางอากาศอยู่บ้างประปราย
ผลจากการตัดสินใจครั้งนั้น ทำให้เกียวโตเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในญี่ปุ่นที่ยังมีสิ่งก่อสร้างในยุคก่อนสงครามหลงเหลืออยู่มากมาย เช่น บ้านโบราณที่รู้จักกันในชื่อ มาจิยะ แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเมืองก็กำลังทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของเกียวโตค่อย ๆ ถูกสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ กลืนหายไป
เกียวโตมีสถานะเป็นนครใหญ่ที่รัฐกำหนดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1956 ใน ค.ศ. 1994 อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ 17 แห่งในเกียวโตได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก และใน ค.ศ. 1997 เกียวโตก็เป็นสถานที่จัดการประชุมครั้งสำคัญว่าด้วยเรื่องการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก จนมีข้อบังคับออกมาเป็นพิธีสารเกียวโต (กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)
ภูมิศาสตร์[แก้]
เกียวโต ตั้งอยู่กลางหุบเขาในลุ่มน้ำยามาชิโระ (หรือลุ่มน้ำเกียวโต) ทางฝั่งตะวันออกของที่ราบสูงทัมบะ ลุ่มน้ำยามาชิโระนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาสามด้านคือ ฮิงาชิยามะ คิตายามะ และนิชิยามะ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเพียง 1,000 เมตร การที่มีภูมิประเทศอยู่ในแผ่นดินลักษณะนี้ทำให้เกียวโตมีฤดูร้อนที่อากาศร้อน และฤดูหนาวที่อากาศหนาว มีแม่น้ำสามสายไหลผ่านที่ราบลุ่มแห่งนี้คือ แม่น้ำอูจิ ทางทิศใต้ แม่น้ำคัตสึระ ทางทิศตะวันตก และแม่น้ำคาโมะ ทางทิศตะวันออก เมืองเคียวโตมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 17.9 ของพื้นที่ทั้งจังหวัดเกียวโตด้วยอาณาเขต 827.9 ตารางกิโลเมตร
เกียวโตเป็นเมืองที่สร้างตามจากหลักฮวงจุ้ยของจีน โดยได้รับอิทธิพลจากเมืองฉางอาน เมืองหลวงของราชวงศ์ถังของจีนในสมัยนั้น โดยมีพระราชวังหันหน้าไปทางทิศใต้ มีอูเกียว (ฝั่งขวาของพระนคร) อยู่ทางตะวันตก และมีซาเกียว (ฝั่งซ้ายของพระนคร) อยู่ทางตะวันออก
ทุกวันนี้ พื้นที่ธุรกิจส่วนใหญ่ของเกียวโตตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระราชวังเก่า แต่ได้รับความนิยมน้อยกว่าฝั่งเหนือของเมือง ทำให้ยังคงความชะอุ่มของสีเขียวจากธรรมชาติอยู่ สิ่งก่อสร้างที่อยู่รอบ ๆ พระราชวังไม่ได้ตั้งตามหลักฮวงจุ้ยแบบโบราณแล้ว แต่ตัวถนนของเกียวโตยังคงความเป็นเอกลักษณ์นี้ไว้อยู่
ภูมิอากาศ[แก้]
นครเกียวโตมีสภาพอากาศแบบค่อนข้างร้อนอบอ้าว ในช่วงฤดูร้อนจะร้อนและชื้นและในฤดูหนาวมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นประกอบกับมีหิมะเป็นครั้งคราว ฤดูฝนของเกียวโตเริ่มตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม
ข้อมูลภูมิอากาศของเกียวโต | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 19.9 (67.8) |
22.9 (73.2) |
25.7 (78.3) |
30.7 (87.3) |
33.8 (92.8) |
36.8 (98.2) |
38.2 (100.8) |
39.8 (103.6) |
38.1 (100.6) |
32.2 (90) |
26.9 (80.4) |
22.8 (73) |
39.8 (103.6) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 8.9 (48) |
9.7 (49.5) |
13.4 (56.1) |
19.9 (67.8) |
24.6 (76.3) |
27.8 (82) |
31.5 (88.7) |
33.3 (91.9) |
28.8 (83.8) |
22.9 (73.2) |
17.0 (62.6) |
11.6 (52.9) |
20.8 (69.4) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 4.6 (40.3) |
5.1 (41.2) |
8.4 (47.1) |
14.2 (57.6) |
19.0 (66.2) |
23.0 (73.4) |
26.8 (80.2) |
28.2 (82.8) |
24.1 (75.4) |
17.8 (64) |
12.1 (53.8) |
7.0 (44.6) |
15.9 (60.6) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 1.2 (34.2) |
1.4 (34.5) |
4.0 (39.2) |
9.0 (48.2) |
14.0 (57.2) |
18.8 (65.8) |
23.2 (73.8) |
24.3 (75.7) |
20.3 (68.5) |
13.6 (56.5) |
7.8 (46) |
3.2 (37.8) |
11.7 (53.1) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | −11.9 (10.6) |
−11.6 (11.1) |
−8.2 (17.2) |
−4.4 (24.1) |
−0.3 (31.5) |
4.9 (40.8) |
10.6 (51.1) |
12.8 (55) |
7.1 (44.8) |
0.2 (32.4) |
−4.4 (24.1) |
−9.4 (15.1) |
−11.9 (10.6) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 50.3 (1.98) |
68.3 (2.689) |
113.3 (4.461) |
115.7 (4.555) |
160.8 (6.331) |
214.0 (8.425) |
220.4 (8.677) |
132.1 (5.201) |
176.2 (6.937) |
120.9 (4.76) |
71.3 (2.807) |
48.0 (1.89) |
1,491.3 (58.713) |
ปริมาณหิมะ ซม (นิ้ว) | 5 (2) |
8 (3.1) |
2 (0.8) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
0 (0) |
3 (1.2) |
18 (7.1) |
ความชื้นร้อยละ | 66 | 66 | 62 | 59 | 62 | 67 | 70 | 66 | 68 | 68 | 68 | 68 | 65.8 |
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 0.5 mm) | 7.8 | 9.2 | 11.9 | 10.6 | 11.4 | 12.9 | 12.9 | 8.7 | 11.0 | 8.8 | 7.6 | 8.1 | 120.9 |
วันที่มีหิมะตกโดยเฉลี่ย | 3.1 | 3.9 | 1.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 1.2 | 9.2 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 123.2 | 117.4 | 146.8 | 175.4 | 180.9 | 138.3 | 142.3 | 182.7 | 136.8 | 157.4 | 138.1 | 135.8 | 1,775.1 |
แหล่งที่มา 1: 平年値(年・月ごとの値) | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: (รายงานสภาพอากาศ) 観測史上1~10位の値(年間を通じての値) |
เขตการปกครอง[แก้]
ในคริสต์ทศวรรษ 1870 พื้นที่ที่เป็นนครเกียวโตในปัจจุบัน เดิมประกอบด้วยเขตคามิเงียว (เขตกรุงตอนบน) และเขตชิโมเงียว (เขตกรุงตอนล่าง) โดยที่สองเขตนี้มีฐานะเป็นเขตการปกครองที่แยกเป็นอิสระต่อกันภายในจังหวัดเกียวโต จนกระทั่งได้มีการจัดตั้งเทศบาลขึ้นด้วยการรวมทั้งสองเขตเข้าด้วยกันเป็นเทศบาลนครเกียวโตใน ค.ศ. 1889
ด้วยความที่นครเกียวโตได้มีการจัดตั้งเขตขึ้นมาใหม่ รวมถึงควบรวมเทศบาลจำนวนหลายเทศบาลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนครเกียวโต ซึ่งเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1920 ถึง 1970 จึงทำให้นครเกียวโตในปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 11 เขต (ญี่ปุ่น: 区; โรมาจิ: ku) โดยบรรดาเขตที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำคาโมะจะมีขนาดพื้นที่ที่เล็กและมีประชากรหนาแน่น ศาลาว่าการนครจะตั้งอยู่ในเขตนากาเงียว ส่วนศาลากลางจังหวัดเกียวโตจะตั้งอยู่ในเขตคามิเงียวในปัจจุบัน
ชื่อเขต | ประชากร (คน)[8] |
พื้นที่ (ตร.กม.) |
ความหนาแน่น (คน/ตร.กม.) |
แผนที่เขตของนครเกียวโต | ||
---|---|---|---|---|---|---|
ทับศัพท์ไทย | อักษรญี่ปุ่น | โรมาจิ | ||||
เขตคามิเงียว | 上京区 | Kamigyō-ku | 83,832 | 7.03 | 11,900 | |
เขตคิตะ | 北区 | Kita-ku | 117,165 | 94.88 | 1,230 | |
เขตชิโมเงียว | 下京区 | Shimogyō-ku | 82,784 | 6.78 | 12,200 | |
เขตซาเกียว | 左京区 | Sakyō-ku | 166,039 | 246.77 | 670 | |
เขตนากาเงียว※ | 中京区 | Nakagyō-ku | 110,488 | 7.41 | 14,900 | |
เขตนิชิเกียว | 西京区 | Nishikyō-ku | 149,837 | 59.24 | 2,530 | |
เขตฟูชิมิ | 伏見区 | Fushimi-ku | 277,858 | 61.66 | 4,510 | |
เขตมินามิ | 南区 | Minami-ku | 101,970 | 15.81 | 6,450 | |
เขตยามาชินะ | 山科区 | Yamashina-ku | 135,101 | 28.70 | 4,710 | |
เขตอูเกียว | 右京区 | Ukyō-ku | 202,047 | 292.07 | 690 | |
เขตฮิงาชิยามะ | 東山区 | Higashiyama-ku | 36,602 | 7.48 | 4,890 | |
หมายเหตุ: ※ เขตนากาเงียวเป็นศูนย์กลางการบริหาร |
การเมืองการปกครอง[แก้]
นครเกียวโตมีการปกครองในรูปแบบนายกเทศมนตรี–สภา มีนายกเทศมนตรีเป็นผู้บริหาร และสภาเทศบาลนครเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ
สภานครเกียวโต[แก้]
สภานครเกียวโตเป็นฝ่ายนิติบัญญัติของนครเกียวโต มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งจำนวน 67 คน และมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ณ ค.ศ. 2024 เสียงข้างมากในสภานครเกียวโตเป็นของกลุ่มพันธมิตรระหว่างสมาชิกที่สังกัดพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP), พรรคโคเม และกลุ่มพลเมืองประชาธิปไตย (Democratic Civic Forum)
ชื่อกลุ่มการเมืองของสมาชิกสภา | จำนวนที่นั่ง (ณ วันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2024)[9] |
---|---|
พรรคเสรีประชาธิปไตย | 18 |
พรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น/พรรคเกียวโต/พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน | 18 |
พรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น | 14 |
พรรคโคเม | 11 |
กลุ่มพลเมืองประชาธิปไตย (Democratic Civic Forum) | 2 |
อิสระ | 4 |
รายชื่อนายกเทศมนตรี[แก้]
ในระยะแรกตั้งแต่การก่อตั้งเทศบาลนครเกียวโตจนถึง ค.ศ. 1898 ผู้ว่าราชการจังหวัดเกียวโตจะทำหน้าที่เป็นนายกเทศมนตรีนครเกียวโตควบคู่กันไปด้วย ต่อมาตั้งแต่ ค.ศ. 1898 จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเริ่มมีตำแหน่งนายกเทศมนตรีที่มาจากการเสนอชื่อโดยสภานครเกียวโตและได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของญี่ปุ่น
ตั้งแต่ ค.ศ. 1947 นายกเทศมนตรีนครเกียวโตได้รับเลือกโดยการเลือกตั้งโดยตรงให้ดำรงตำแหน่ง 4 ปี เรื่อยมาจนถึง ค.ศ. 2024 มีนายกเทศมนตรีจำนวน 10 คนที่ได้รับเลือกโดยการเลือกตั้ง แม้ว่านายกเทศมนตรีบางคนจะลาออกหรือเสียชีวิตระหว่างดำรงตำแหน่ง แต่ก็ไม่มีนายกเทศมนตรีคนใดแพ้การเลือกตั้งอีกครั้งในสมัยต่อมาในช่วงหลังสงคราม ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเกียวโต ค.ศ. 2024 ผู้สมัครอิสระ โคจิ มัตสึอิ ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีครั้งแรก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคโคเม พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน
ลำดับที่ | ชื่อ[10] | เข้ารับตำแหน่ง[10] | ออกจากตำแหน่ง[10] |
---|---|---|---|
1 | มาซาโอะ คัมเบะ (神戸正雄) | 7 เมษายน ค.ศ. 1947 | 6 มกราคม ค.ศ. 1950 |
2 | กิโซ ทากายามะ (高山義三) | 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 | 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1966 |
3 | เซอิจิ อิโนอูเอะ (井上清一) | 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1966 | 8 มกราคม ค.ศ. 1967 |
4 | คิโยชิ โทมิอิ (富井清) | 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1971 |
5 | โมโตกิ ฟูนาฮาชิ (舩橋求己) | 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1971 | 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 |
6 | มาซาฮิโกะ อิมางาวะ (今川正彦) | 1 กันยายน ค.ศ. 1981 | 29 สิงหาคม ค.ศ. 1989 |
7 | โทโมยูกิ ทานาเบะ (田邊朋之) | 30 สิงหาคม ค.ศ. 1989 | 29 มกราคม ค.ศ. 1996 |
8 | โยริกาเนะ มาซูโมโนะ (桝本頼兼) | 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 | 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 |
9 | ไดซากุ คาโดกาวะ (門川大作) | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 | 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 |
10 | โคจิ มัตสึอิ (松井孝治) | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 | ปัจจุบัน |
ประชากร[แก้]
เกียวโตเคยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในญี่ปุ่น ก่อนจะถูกโอซากะและเอโดะ (โตเกียว) แซงไปในช่วงท้ายศตวรรษที่ 16 ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เกียวโตทำการค้ากับโคเบะและนาโงยะในปริมาณมาก ช่วงหลังสงคราม ในปี 1947 เกียวโตมีประชากรเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นอีกครั้ง และประชากรค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนมาอยู่อันดับ 5 ของญี่ปุ่นในปี 1960 และหล่นมาอยู่อันดับ 7 ในปี 1990 จนกระทั่งปี 2012 ก็มีประชากรมากสุดเป็นอันดับ 8 ของญี่ปุ่น
|
|
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ที่มา: [5] |
วัฒนธรรม[แก้]
แม้เกียวโตจะถูกรบกวนด้วยสงคราม ไฟไหม้ และแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในช่วงที่เป็นเมืองหลวงตลอด 11 ศตวรรษที่ผ่านมา แต่เกียวโตก็รอดพ้นจากการโจมตีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งยังถูกถอดออกจากรายชื่อเมืองที่จะถูกทิ้งระเบิดปรมาณูจากกองทัพสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายสงคราม และเปลี่ยนไปเป็นเมืองนางาซากิแทน ด้วยเหตุผลที่ว่า เฮนรี แอล. สติมสัน รัฐมนตรีสงครามของสหรัฐต้องการจะรักษาวัฒนธรรมนี้ไว้ และได้รู้จักเมืองเกียวโตนี้จากการไปเยือนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตและจากการไปฮันนีมูน[11][12]
เกียวโตมีสถานที่สำคัญทางศาสนากว่า 2,000 แห่ง เป็นวัดทางศาสนาพุทธ 1,600 แห่ง และทางลัทธิชินโต 400 แห่ง มีพระราชวัง สวน และสิ่งก่อสร้างที่ยังคงความดั้งเดิมไว้มาก มีวัดที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง อาทิ วัดคิโยมิซุที่สร้างโดยใช้เสาหลักปักตามเนินของภูเขา วัดคิงกากุ (วัดศาลาทอง), วัดกิงกากุ (วัดศาลาเงิน) และ วัดเรียวอังที่มีสวนหินที่โด่งดัง ศาลเจ้าเฮอังเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงในลัทธิชินโต สร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเฉลิมพระเกียรติองค์จักรพรรดิและให้ระลึกถึงราชวงศ์แรกและราชวงศ์สุดท้ายที่ประทับอยู่ที่เกียวโต
ราชวงศ์ของญี่ปุ่นมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่สามแห่งของเกียวโต ได้แก่ เขตเกียวเอ็งของเกียวโต อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังเกียวโต และพระราชวังเซ็นโตะ ที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นหลายร้อยปี เขตพระราชวังหลวงคัตสึระ อันเป็นสมบัติทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญของชาติ และเขตพระราชวังชูงากุ อันเป็นสวนที่สวยที่สุดแหงหนึ่งของญี่ปุ่น
บริเวณอื่น ๆ ของเกียวโต ก็มีความสำคัญทางวัฒนธรรมเช่นกัน เช่น อาราชิยามะ ย่านกิอง ย่านเกอิชา พนโตโจ ตลอดจนถนนสายนักปราชญ์ และคลองอีกหลาย ๆ แห่ง
อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 1994 ซึ่งประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ศาลเจ้าคาโมะ, วัดเคียวโอโกโกกุ (วัดโท), วัดคิโยมิซุ, วัดโดโงะ, วัดนินนะ, วัดไซโฮ, วัดเท็นรีว, วัดโรกูอง (วัดคิงกากุ), วัดจิโช (วัดกิงกากุ), วัดเรียวอัง, วัดฮงงัน, วัดโคซัง และปราสาทนิโจ ที่สร้างโดย โชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุ และมีอีกหลายแห่งที่อยู่นอกเมืองที่อยู่ในรายชื่อมรดกโลกด้วย
เกียวโตเป็นเมืองที่มีอาหารญี่ปุ่นรสชาติโอชะอยู่มากมาย การที่เกียวโตเป็นเมืองที่ห่างไกลจากทะเลและมีวัดพุทธอยู่มากมายทำให้มีนำผักมาเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร จนผักของเกียวโตมีชื่อเสียงขึ้นมา ที่เรียกว่า เคียวยาไซ (京野菜)
เกียวโตยังมีสำเนียงภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า เคียวโกโตบะ หรือ เกียวโตเบ็ง อันเป็นหนึ่งในรูปแบบของสำเนียงคันไซ เมื่อครั้งที่เกียวโตเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นนั้น สำเนียงเกียวโตถือเป็นภาษาราชการของญี่ปุ่นและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเป็นสำเนียงโตเกียว อันเป็นภาษามาตรฐานสมัยใหม่ของญี่ปุ่น ส่วนที่โดดเด่นของสำเนียงเกียวโตคือ การที่คำกริยาจะลงท้ายด้วย -ฮารุ เป็นต้น
เศรษฐกิจ[แก้]
เศรษฐกิจที่สำคัญในเกียวโตนั้นมาจากอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ นครเกียวโตนั้นยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่บริษัทชั้นนำมากมาย อาทิ นินเทนโด, ออมรอน เป็นต้น แต่ทั้งนี้ การท่องเที่ยวยังเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเกียวโต จากการที่เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมนั้น ทำให้ในแต่ละวัน มีนักเรียน-นักศึกษาจากทั่วประเทศรวมถึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาทัศนศึกษาและท่องเที่ยวในเกียวโต และจากการสำรวจและจัดอันดับระดับภูมิภาคในปี 2007 นครเกียวโตได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่สองในเมืองที่น่าสนใจที่สุดของญี่ปุ่น รองจากนครซัปโปโระ[13]
นอกจากนี้ งานฝีมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นยังเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของเกียวโต ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยช่างฝีมือในโรงงานขนาดเล็ก กิโมโนของเกียวโตนั้นยังมีชื่อเสียงอย่างมาก จากการที่เกียวโตเป็นเมืองที่ยังคงเป็นศูนย์กลางของการผลิตกิโมโนชั้นนำ อย่างไรก็ตามธุรกิจชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน จากการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลด้านช่างฝีมือที่มีคุณภาพ
มหาวิทยาลัย[แก้]
เกียวโตเป็นสถานที่ตั้งของสถาบันระดับอุดมศึกษา 37 แห่ง นับเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยมีมหาวิทยาลัยเกียวโตเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศและของโลก และยังมีสถาบันเทคโนโลยีเกียวโตเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น มีชื่อเสียงในสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยโดชิชะและมหาวิทยาลัยริตสึเมกังก็เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงในแถบเคฮันชิงเช่นกัน
การคมนาคม[แก้]
การขนส่งทางราง[แก้]
สถานีเกียวโต เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของเมือง เป็นสถานีที่รวมเอาห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้าอิเซะตัน และสำนักงานราชการหลาย ๆ แห่งเอาไว้ในตึกสูง 15 ชั้น มีรถไฟชิงกันเซ็งสายโทไกโดวิ่งผ่านและเชื่อมต่อกับรถไฟของบริษัทเจอาร์เวสต์
นอกจากนี้ ยังมีรถไฟเอกชนอย่าง รถไฟเคฮัง รถไฟฮันกีว รถไฟคินเต็ตสึ และสายอื่น ๆ ให้บริการรับส่งผู้โดยสารจากเกียวโตสู่พื้นที่อื่น ๆ ในแถบคันไซ โดยรถไฟเจอาร์เวสต์และรถไฟคินเตะสึจะเชื่อมต่อที่สถานีเกียวโต ขณะที่รถไฟฮันกีวจะเชื่อมต่อกับเกียวโตที่สถานีชิโจ คาวารามาจิ อันเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าและย่านบันเทิงของเกียวโตมาตั้งแต่สมัยโบราณ
รถไฟใต้ดิน[แก้]
สำนักงานขนส่งนครเกียวโต เป็นผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินนครเกียวโต ซึ่งมีอยู่สองสายหลักคือ
- สายคาราซูมะ: ทอดยาวตามแนวเหนือใต้
- สายโทไซ: ทอดยาวตามแนวตะวันออกและตะวันตก
รถไฟความเร็วสูง[แก้]
รถไฟชิงกันเซ็งสายโทไกโดเชื่อมต่อเมืองเกียวโตกับนาโงยะ โยโกฮามะ และโตเกียวในทิศตะวันออก ตลอดจนโอซากะ โคเบะ โอกายามะ ฮิโรชิมะ คิตากีวชู และฟูกูโอกะทางทิศตะวันตก
ท่าอากาศยาน[แก้]
ท่าอากาศยานที่ใกล้กับเกียวโตที่สุดคือ ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ และ ท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ ในจังหวัดโอซากะ โดยมีรถไฟเชื่อมต่อกับท่าอากาศยานทั้งสอง ใช้เวลาจากสถานีเกียวโตถึงท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ 73 นาที
รถประจำทาง[แก้]
โครงข่ายรถประจำทางมหานครของเกียวโตและโครงข่ายเอกชนเป็นเครือข่ายที่ให้บริการค่อนข้างครอบคลุมตัวเมือง และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน ทั้งรถโดยสารทั่วไปและรถโดยสารสำหรับนักท่องเที่ยว มีการประกาศเป็นภาษาอังกฤษและแสดงข้อความถึงจุดจอดเป็นอักษรละตินอีกด้วย
รถประจำทางในเมืองส่วนใหญ่จะมีราคาเดียว และยังมีบัตรโดยสารแบบวันเดียวและแบบขึ้นได้ไม่จำกัดรอบจำหน่ายเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเยี่ยมชมสถานที่หลาย ๆ แห่งในเกียวโตภายในเวลาอันสั้น
จักรยาน[แก้]
การปั่นจักรยานก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเมืองเกียวโต เพราะสภาพภูมิประเภทศและขนาดของเมืองนับว่าเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการเที่ยวโดยจักรยาน นอกจากนี้ อัตราการขโมยจักรยานยังมีอัตราที่ต่ำ แต่การหาพื้นที่จอดจักรยานนับว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร
การคมนาคมทางน้ำ[แก้]
เกียวโตมีแม่น้ำและคลองหลายสายไหลผ่าน ทั้งแม่น้ำเซตะและอูจิ (แม่น้ำโยโดะ) แม่น้ำคาโมะ และแม่น้ำคัตสึระ นอกจากนี้ คลองทะเลสาบบิวะก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเช่นกัน
การท่องเที่ยว[แก้]
มรดกโลกโดยยูเนสโก[แก้]
"สมบัติของชาติ" ราว 20% และ "สมบัติสำคัญทางวัฒนธรรม" ราว 14% ของญี่ปุ่นนั้นอยู่ในเกียวโต ในปี ค.ศ. 1994 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ให้การรับรองกลุ่มมรดกโลกในนครเกียวโต ในนามของ อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ (เมืองเกียวโต อูจิ และอตสึ) ซึ่งในเกียวโตมีทั้งหมด 17 สถานที่ด้วยกัน คือ
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 "2020 Population Census". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 16, 2022. สืบค้นเมื่อ July 16, 2022.
- ↑ "京都都市圏の範囲及び取組" (ภาษาญี่ปุ่น). 京都都市圏自治体ネットワーク. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 24, 2017. สืบค้นเมื่อ July 16, 2022.
- ↑ Lowe, John. (2000). Old Kyoto: A short Social History, p. x.
- ↑ Ebrey, Walthall & Palais 2006, p. 103 .
- ↑ 5.0 5.1 人口・世帯の時系列データ (XLSX). City of Kyoto. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2017. สืบค้นเมื่อ April 15, 2018.
- ↑ City of Kyoto (2003). "情報統計担当(京都市の統計情報)/よくある質問/人口・世帯". สืบค้นเมื่อ July 5, 2010.
- ↑ Lyman, Benjamin Smith (2020-08-03). "FSA A1999.35 092: Kyoto: View from Kiyomizudera". Smithsonian (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-26. สืบค้นเมื่อ 2022-07-16.
- ↑ 令和2(2020)年国勢調査. City of Kyoto. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 5, 2022. สืบค้นเมื่อ September 5, 2022.
- ↑ 議員名簿・京都市会. Kyoto City Assembly. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 21, 2022. สืบค้นเมื่อ February 25, 2024.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 歴代市長、副市長・助役一覧. Kyoto City. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 19, 2022. สืบค้นเมื่อ February 25, 2024.
- ↑ "The Manhattan Project, Department of Energy at mbe.doe.gov". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-28. สืบค้นเมื่อ 2013-09-25.
- ↑ HyperHistory.net Dec. 22, 2009. Retrieved August 7, 2010
- ↑ "Sapporo picked as "most attractive town" for 2nd consecutive year — J-Cast". En.j-cast.com. 2007-07-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-10. สืบค้นเมื่อ 2010-03-07.
ข้อมูลเพิ่มเติม[แก้]
- Kyoto Travel Guide — City of Kyoto and Kyoto Tourism Council
- Kyoto City Local Government (อังกฤษ)
- Kyoto's temples & shrines เก็บถาวร 2011-09-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน— Information on 26 temples and shrines.
- Photos of Kyoto, mostly temples and shrines.