อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
| |
---|---|
วันลงนาม | 9 ธันวาคม 1948 |
ที่ลงนาม | ปารีส |
วันมีผล | 12 มกราคม 1951 |
ผู้ลงนาม | 41 |
ภาคี | 144 (รายชื่อ) |
ผู้เก็บรักษา | เลขาธิการสหประชาชาติ |
อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (อังกฤษ: Convention on the Prevention and Punishment of the Crime of Genocide) เป็นสนธิสัญญาซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีข้อมติที่ 260 ตกลงรับเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1948 และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 1951[1] อนุสัญญานี้กำหนดบทอธิบายศัพท์ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ตามกฎหมาย และเป็นผลมาจากการรณรงค์ยาวนานหลายปีของราฟาเอล เล็มกิน (Raphael Lemkin) นักนิติศาสตร์ แยร์ ออรอน (Yair Auron) นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอล กล่าวว่า "เมื่อราฟาเอล เล็มกิน สร้างศัพท์ว่า 'ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์' เมื่อปี 1944 นั้น เขาเอาการทำลายล้างชาวอาร์เมเนียเมื่อปี 1915 มาเป็นตัวอย่างสำคัญของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"[2] อนุสัญญากำหนดให้รัฐทั้งหลายที่เข้าร่วมอนุสัญญาต้องป้องกันและลงโทษการกระทำทั้งหลาย ๆ ที่ก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งในยามสงบและยามรบ ปัจจุบัน มีรัฐ 144 รัฐให้สัตยาบันแก่อนุสัญญานี้แล้ว
บทอธิบายศัพท์ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"[แก้]
อนุสัญญานี้ ข้อ 2 กำหนดบทอธิบายศัพท์ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ว่า เป็น
...การอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่กระทำลงโดยเจตนาจะทำลายกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือศาสนาทั้งกลุ่มหรือบางส่วน คือ
- (ก) ฆ่าสมาชิกของกลุ่ม
- (ข) ทำให้สมาชิกของกลุ่มได้รับอันตรายแก่กายหรือใจอย่างสาหัส
- (ค) กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้กลุ่มมีสภาพชีวิตที่คาดหมายได้ว่า จะก่อความเสื่อมโทรมทางกายทุกส่วนหรือบางส่วน
- (ง) ใช้มาตรการอันประสงค์จะป้องกันการกำเนิดภายในกลุ่ม
- (จ) ใช้กำลังโยกย้ายถ่ายเทเด็กของกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง
— อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ข้อ 2[3]
นอกจากนี้ ข้อ 3 ของอนุสัญญา กำหนดความผิดอาญาที่จะต้องถูกลงโทษตามอนุสัญญานี้ คือ
- (ก) ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- (ข) สมคบกันเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- (ค) ปลุกปั่นโดยตรงและเปิดเผยเพื่อให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- (ง) พยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- (จ) ร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
— อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ข้อ 3[3]
อนุสัญญานี้ได้รับการตกลงรับเพื่อกำหนดการทั้งหลายที่กระทำลงทำนองเดียวกับในเหตุการณ์นาซีเยอรมนีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เป็นความผิด เดิมที ต้นร้างกำหนดให้การฆ่าทางการเมืองเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย แต่สหภาพโซเวียต และชาติอื่น ๆ แย้งว่า การกระทำต่อกลุ่มที่ระบุว่ายึดถือความเห็นทางการเมืองหรือมีสถานะทางสังคมบางอย่างนั้นไม่ควรถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์[4][5] ต่อมาเมื่อประนีประนอมทางการเมืองและการทูตกันแล้ว จึงตัดข้อความดังกล่าวออก
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "Status of the Convention". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-24. สืบค้นเมื่อ 2014-02-16.
- ↑ Auron, Yair, The Banality of Denial, (Transaction Publishers, 2004), 9.
- ↑ 3.0 3.1 Text of the Convention on the Prevention and Punishment of the Crime of Genocide, website of the UNHCHR.
- ↑ Robert Gellately & Ben Kiernan (2003). The Specter of Genocide: Mass Murder in Historical Perspective. Cambridge, UK: Cambridge University Press. p. 267. ISBN 0-521-52750-3.
- ↑ Staub, Ervin. The Roots of Evil: The Origins of Genocide and Other Group Violence. Cambridge, UK: Cambridge University Press. p. 8. ISBN 0-521-42214-0.]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- (อังกฤษ) อนุสัญญา คำอธิบาย และสมาชิก - หอสมุดโสตทัศนูปกรณ์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ สหประชาชาติ
- (อังกฤษ) อนุสัญญา คำอธิบาย และสมาชิก - คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ