ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นูกูอาโลฟา"
ล ย้อนการแก้ไขที่อาจเป็นการทดลอง หรือก่อกวนด้วยบอต ไม่ควรย้อน? แจ้งที่นี่ ป้ายระบุ: ย้อนด้วยมือ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 227: | บรรทัด 227: | ||
==การปกครอง== |
==การปกครอง== |
||
[[ไฟล์:British High Commissioner's residence, Nukuʻalofa, Tonga.jpg|thumbnail|right|150px|สำนักงานข้าหลวงใหญ่สหราชอาณาจักร]] |
[[ไฟล์:British High Commissioner's residence, Nukuʻalofa, Tonga.jpg|thumbnail|right|150px|สำนักงานข้าหลวงใหญ่สหราชอาณาจักร]] |
||
กรุงนูกูอาโลฟาไม่ได้จัดเป็นเขตการปกครองหรือหมู่บ้านตามหลักการแบ่งเขตการปกครองของประเทศตองงา แต่เกิดจากการรวมกันของหมู่บ้านชุมชนเมือง 3 แห่งทางตอนเหนือของ |
กรุงนูกูอาโลฟาไม่ได้จัดเป็นเขตการปกครองหรือหมู่บ้านตามหลักการแบ่งเขตการปกครองของประเทศตองงา แต่เกิดจากการรวมกันของหมู่บ้านชุมชนเมือง 3 แห่งทางตอนเหนือของเกาะโตงาตาปูได้แก่ โกโลโฟโออู มาอูฟางา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตโกโลโฟโออู และโกโลโมตูอา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตโกโลโมตูอา<ref name=census/> ในบางครั้งเรียกรวมพื้นที่ของเขตโกโลโฟโออูและเขตโกโลโมตูอารวมกันว่า ''Greater Nuku'alofa''<ref>United Nations,"Compendium of Human Settlements Statistics 1995'', หน้า 25</ref> ดังนั้นอำนาจการดูแลพื้นที่ของกรุงนูกูอาโลฟาจึงอยู่ในขอบเขตของเจ้าหน้าที่ประจำเขตและเจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน<ref>{{cite web| url=https://www.clgf.org.uk/default/assets/File/Country_profiles/Tonga.pdf | title=THE LOCAL GOVERNMENT SYSTEM IN TONGA| publisher=Commonwealth Local Government Forum| accessdate=6 กรกฎาคม 2563}}</ref> อย่างไรก็ตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมีอยู่อย่างจำกัด<ref>Sansom,"Principles for Local Government Legislation: Lessons from the Commonwealth Pacific'', หน้า 21</ref> ดังนั้นหน้าที่การบริหารจัดการส่วนใหญ่ในการดูแลกรุงนูกูอาโลฟาจึงอยู่ภายใต้การจัดการของรัฐบาลตองงาเป็นหลัก |
||
กรุงนูกูอาโลฟาในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ จึงเป็นศูนย์กลางทางด้านการเมืองการปกครองของประเทศ โดยมีทั้งหน่วยงานด้าน |
กรุงนูกูอาโลฟาในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ จึงเป็นศูนย์กลางทางด้านการเมืองการปกครองของประเทศ โดยมีทั้งหน่วยงานด้านนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ รวมไปถึงพระราชวังหลวงตองงา ซึ่งเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระมหากษัตริย์ตองงาด้วย นอกจากนี้กรุงนูกูอาโลฟายังเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศจีน<ref>{{cite web| url=http://to.chineseembassy.org/eng/lxwm/ | title=Embassy of the People's Republic of China | publisher=Embassy of the People's Republic of China| accessdate=7 กรกฎาคม 2563}}</ref> ประเทศญี่ปุ่น<ref>{{cite web| url=https://www.ton.emb-japan.go.jp/itpr_en/about_e.html | title=Embassy of Japan in the Kingdom of Tonga | publisher=Embassy of Japan in the Kingdom of Tonga | accessdate=7 กรกฎาคม 2563}}</ref> และสหราชอาณาจักร |
||
==ประชากร== |
==ประชากร== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:04, 28 กรกฎาคม 2563
นูกูอาโลฟา | |
---|---|
Nukuʻalofa | |
ย่านกลางกรุง | |
แผนที่ประเทศตองงา | |
พิกัด: 21°8′9″S 175°12′32″W / 21.13583°S 175.20889°W | |
ประเทศ | ตองงา |
เขตปกครอง | โตงาตาปู |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 11.41 ตร.กม. (4.41 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 3 เมตร (10 ฟุต) |
ความสูงจุดสูงสุด | 6 เมตร (20 ฟุต) |
ความสูงจุดต่ำสุด | 0 เมตร (0 ฟุต) |
ประชากร (2016) | |
• ทั้งหมด | 23,221 คน |
• ความหนาแน่น | 2,035 คน/ตร.กม. (5,270 คน/ตร.ไมล์) |
เขตเวลา | UTC+13 (–) |
รหัสพื้นที่ | 676 |
ภูมิอากาศ | Af |
นูกูอาโลฟา (ตองงา: Nukuʻalofa) เป็นเมืองหลวงของตองงา มีประชากรทั้งหมด 23,221 คน เมืองนี้อยู่บนเกาะโตงาตาปู โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เนื้อมะพร้าวตากแห้ง กล้วย วานิลลา และงานฝีมือ
นูกูอาโลฟามีความสำคัญมากในทางด้านการค้าขาย การขนส่ง และเป็นศูนย์รวมทางสังคมของตองงา กรุงนูกูอาโลฟามีประชากรทั้งหมดร้อยละ 35 ของทั้งประเทศ ทั้งพระราชวัง โบถส์คริสต์เวสเลยัน และสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรัฐบาลล้วนอยู่ในเมืองนี้ทั้งสิ้น
ศัพทมูลวิทยา
เมื่อศึกษาตามหลักศัพทมูลวิทยาพบว่านูกูอาโลฟา มีที่มาจากคำในภาษาตองงา 2 คำ คือคำว่า Nuku ซึ่งหมายถึง ที่พัก และคำว่า Alofa ซึ่งหมายถึง ความรัก ดังนั้นนูกูอาโลฟา จึงมีความหมายว่าที่พักแห่งความรัก[1] ในภาษาตองงาสามารถถอดชื่อเมืองหลวงแห่งนี้เป็นสัทอักษรได้ว่า /nuku.ˈəloʊfə/[2] นูกูอาโลฟาปรากฏชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในหนังสือของมิชชันนารีชาวอังกฤษที่ชื่อจอร์จ แวสัน ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1810 บอกเล่าถึงประสบการณ์ของเขาในการเดือนทางเยือนตองงาในปี ค.ศ. 1797 โดยสะกดชื่อว่า Noogollefa[3] สาเหตุที่การสะกดต่างจากปัจจุบัน เนื่องจากการพัฒนาตัวอักษรละตินเพื่อเขียนภาษาตองงาได้เริ่มจริงจังในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1820–1830[4][5]
ภูมิศาสตร์
ภูมิประเทศ
กรุงนูกูอาโลฟาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะโตงาตาปู ซึ่งเป็นเกาะปะการังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะตองงา[6] ห่างไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงซูวาเมืองหลวงของฟีจีเป็นระยะทางประมาณ 750 กิโลเมตรและห่างจากนครออกแลนด์ของนิวซีแลนด์ประมาณ 2,000 กิโลเมตร[7] ครอบคลุมพื้นที่ 11.41 ตารางกิโลเมตร และหากนับรวมพื้นที่ปริมณฑลด้วยจะครอบคลุมพื้นที่ 34.82 ตารางกิโลเมตร[8] ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบ มีระดับความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลประมาณ 4 เมตร[9] ทรัพยากรดินโดยรวมมีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากเถ้าถ่านภูเขาไฟจากเกาะข้างเคียง[10] และดินในบริเวณใกล้ชายฝั่งตอนเหนือของกรุงนูกูอาโลฟามีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกมากที่สุดบนเกาะโตงาตาปู[11] ส่วนทรัพยากรน้ำนั้น กรุงนูกูอาโลฟาพึ่งพาการใช้ระบบน้ำใต้ดินเป็นหลัก โดยส่งผ่านท่อไปตามครัวเรือนต่างๆ อย่างไรก็ตามพบว่าครัวเรือนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งนิยมใช้น้ำที่มาจากน้ำฝนมากกว่า เนื่องจากพื้นที่โดยรวมค่อนข้างต่ำ การวางท่อประปาใกล้ทะเลจึงมักพบปัญหาน้ำทะเลรุกล้ำเข้ามา ส่งผลให้รสชาติไม่เป็นที่น่าพอใจ[12] นอกจากนี้บางส่วนยังพบการปนเปื้อนของน้ำใต้ดินจากน้ำเสียอีกด้วย[13]
บริเวณพื้นที่ทางทะเลที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงนูกูอาโลฟามีพื้นที่อนุรักษ์หรือพื้นที่สงวนทางทะเลที่สำคัญหลายแห่ง เช่น แนวปะการังโมอูนู ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 0.506 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงนูกูอาโลฟา[14] แนวปะการังปาไงโมตู ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 1.325 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงนูกูอาโลฟา[15] และลากูนฟางาอูตาและฟางากาเกา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 22.273 ตารางกิโลเมตร โดยกรุงนูกูอาโลฟามีพื้นที่ติดต่อกับลากูนนี้ทางทิศใต้[16] เป็นต้น
ภูมิอากาศ
ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพิน กรุงนูกูอาโลฟามีลักษณะภูมิอากาศแบบป่าดิบชื้น โดยได้รับอิทธิพลจากลมค้าตะวันออกเฉียงใต้[17] ฤดูกาลในกรุงนูกูอาโลฟาเหมือนกับฤดูกาลโดยทั่วไปของประเทศตองงา ซึ่งมี 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูแล้ง โดยจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤศจิกายน–เมษายน ซึ่งช่วงเดือนมกราคม–มีนาคม จะเป็นช่วงเดือนที่ฝนตกมากที่สุด และฤดูแล้งระหว่างเดือนพฤษภาคม–ตุลาคม[17] ด้วยกรุงนูกูอาโลฟาไม่มีเดือนใดที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 60 มิลลิเมตร (2.4 นิ้ว) จึงกล่าวได้ว่าไม่มีฤดูแล้งที่แท้จริง[18] อย่างไรก็ตามในระยะหลังปริมาณน้ำฝนเริ่มลดน้อยลงเล็กน้อยและมีความผันผวนของปริมาณน้ำฝนเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนและปรากฏการณ์เอลนีโญ[17] สำหรับอุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงนูกูอาโลฟาอยู่ที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียส (75 องศาฟาเรนไฮต์) โดยเดือนมกราคม–มีนาคม เป็นช่วงที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุด ในขณะที่เดือนมิถุนายน–สิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำที่สุด[18] จากการเก็บข้อมูลสภาพภูมิอากาศของกรุงนูกูอาโลฟาย้อนกลับไปตั้งแต่ ค.ศ. 1949 พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยพิ่มขึ้นประมาณ 0.4–0.6 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา[17]
ข้อมูลภูมิอากาศของนูกูอาโลฟา | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 32 (90) |
32 (90) |
31 (88) |
30 (86) |
30 (86) |
28 (82) |
28 (82) |
28 (82) |
28 (82) |
29 (84) |
30 (86) |
31 (88) |
32 (90) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 29.4 (84.9) |
29.9 (85.8) |
29.6 (85.3) |
28.5 (83.3) |
26.8 (80.2) |
25.8 (78.4) |
24.9 (76.8) |
24.8 (76.6) |
25.3 (77.5) |
26.4 (79.5) |
27.6 (81.7) |
28.7 (83.7) |
27.3 (81.1) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 26.4 (79.5) |
26.8 (80.2) |
26.6 (79.9) |
25.3 (77.5) |
23.6 (74.5) |
22.7 (72.9) |
21.5 (70.7) |
21.5 (70.7) |
22.0 (71.6) |
23.1 (73.6) |
24.4 (75.9) |
25.6 (78.1) |
24.1 (75.4) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 23.4 (74.1) |
23.7 (74.7) |
23.6 (74.5) |
22.1 (71.8) |
20.3 (68.5) |
19.5 (67.1) |
18.1 (64.6) |
18.2 (64.8) |
18.6 (65.5) |
19.7 (67.5) |
21.1 (70) |
22.5 (72.5) |
20.9 (69.6) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 16 (61) |
17 (63) |
15 (59) |
15 (59) |
13 (55) |
11 (52) |
10 (50) |
11 (52) |
11 (52) |
12 (54) |
13 (55) |
16 (61) |
10 (50) |
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) | 174 (6.85) |
210 (8.27) |
206 (8.11) |
165 (6.5) |
111 (4.37) |
95 (3.74) |
95 (3.74) |
117 (4.61) |
122 (4.8) |
128 (5.04) |
123 (4.84) |
175 (6.89) |
1,721 (67.76) |
ความชื้นร้อยละ | 77 | 78 | 79 | 76 | 78 | 77 | 75 | 75 | 74 | 74 | 73 | 75 | 76 |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย | 17 | 19 | 19 | 17 | 15 | 14 | 15 | 13 | 13 | 11 | 12 | 15 | 180 |
แหล่งที่มา: Weatherbase[18] |
การปกครอง
กรุงนูกูอาโลฟาไม่ได้จัดเป็นเขตการปกครองหรือหมู่บ้านตามหลักการแบ่งเขตการปกครองของประเทศตองงา แต่เกิดจากการรวมกันของหมู่บ้านชุมชนเมือง 3 แห่งทางตอนเหนือของเกาะโตงาตาปูได้แก่ โกโลโฟโออู มาอูฟางา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตโกโลโฟโออู และโกโลโมตูอา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตโกโลโมตูอา[8] ในบางครั้งเรียกรวมพื้นที่ของเขตโกโลโฟโออูและเขตโกโลโมตูอารวมกันว่า Greater Nuku'alofa[19] ดังนั้นอำนาจการดูแลพื้นที่ของกรุงนูกูอาโลฟาจึงอยู่ในขอบเขตของเจ้าหน้าที่ประจำเขตและเจ้าหน้าที่ประจำหมู่บ้านที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน[20] อย่างไรก็ตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมีอยู่อย่างจำกัด[21] ดังนั้นหน้าที่การบริหารจัดการส่วนใหญ่ในการดูแลกรุงนูกูอาโลฟาจึงอยู่ภายใต้การจัดการของรัฐบาลตองงาเป็นหลัก
กรุงนูกูอาโลฟาในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ จึงเป็นศูนย์กลางทางด้านการเมืองการปกครองของประเทศ โดยมีทั้งหน่วยงานด้านนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ รวมไปถึงพระราชวังหลวงตองงา ซึ่งเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระมหากษัตริย์ตองงาด้วย นอกจากนี้กรุงนูกูอาโลฟายังเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศจีน[22] ประเทศญี่ปุ่น[23] และสหราชอาณาจักร
ประชากร
ปี | ประชากร | ±% |
---|---|---|
1931 | 4,005 | — |
1956 | 9,202 | +129.8% |
1966 | 15,545 | +68.9% |
1976 | 18,312 | +17.8% |
1986 | 21,383 | +16.8% |
1996 | 22,400 | +4.8% |
2006 | 23,658 | +5.6% |
2011 | 24,229 | +2.4% |
2016 | 23,221 | −4.2% |
สำมะโนประชากรของนูกูอาโลฟา[24][25] |
หมู่บ้าน | ประชากร[8] |
---|---|
โกโลโฟโออู | 8,265 |
โกโลโมตูอา | 7,595 |
มาอูฟางา | 7,361 |
รวม | 23,221 |
จากการทำสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2016 พบว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงนูกูอาโลฟามีทั้งสิ้น 23,221 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 23.20 ของประชากรทั้งประเทศ และหากรวมประชากรในเขตปริมณฑลของกรุงนูกูอะโลฟาจะมีประชากรรวมกัน 35,184 คน โดยมีความหนาแน่นของประชากรเท่ากับ 2035 คนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร[8] ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 ประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงนูกูอาโลฟามีเพียงร้อยละ 10 จากประชากรของทั้งประเทศ[26] แต่นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 เป็นต้นมา ประชากรในกรุงนูกูอาโลฟาเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด[27] เนื่องจากประชากรในชนบทต้องการแสวงหาโอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ ประกอบกับพื้นที่ชนบทมีข้อจำกัดทางด้านการขยายที่ดินทำการเกษตร ส่งผลให้ประชากรในเขตเกาะต่าง ๆ ลดน้อยลงเป็นอย่างมาก[26] แต่ในปี ค.ศ. 2016 อัตราการเติบโตของประชากรในกรุงนูกูอาโลฟากลับลดลง ซึ่งลักษณะเช่นนี้พบได้ทั่วไปเกือบทุกเมืองในประเทศตองงา[8] อย่างไรก็ตามมีการคาดหมายว่าประชากรของกรุงนูกูอาโลฟาอาจเพิ่มสูงได้ถึง 45,000 คน ในปี ค.ศ. 2030[28] ประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงนูกูอาโลฟาจัดว่าเป็นประชากรเพียงกลุ่มเดียวในประเทศที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง โดยเกณฑ์การจัดเขตเมืองของประเทศตองงากำหนดให้เขตเมืองคือหมู่บ้านที่มีประชากรเกิน 5,000 คน ซึ่งพบได้เฉพาะในกรุงนูกูอาโลฟาเท่านั้น[8]
โครงสร้างประชากรของกรุงนูกูอาโลฟามีประชากรเชื้อชาติตองงาและลูกครึ่งตองงาเป็นประชากรกลุ่มหลัก มีจำนวน 22,117 คน (ร้อยละ 95.25) รองลงมาคือชาวจีน 369 คน (ร้อยละ 1.59) ส่วนที่เหลือเป็นชาวยุโรป ชาวฟีจี ชาวเอเชียและกลุ่มประชากรที่มาจากหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก[8] ประชากรส่วนมากสามารถใช้ภาษาตองงาและภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ แต่ประชากรโดยรวมเริ่มมีค่านิยมให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาตองงามากขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากหลักสูตรของโรงเรียนมัธยมในกรุงนูกูอาโลฟา และกิจการด้านสื่อของประเทศ[29]
การนับถือศาสนาของประชากรในกรุงนูกูอาโลฟาคล้ายคลึงกับการนับถือศาสนาของประชากรตองงาทั่วไป โดยประชากรส่วนใหญ่ในกรุงนูกูอาโลฟานับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนมาก โดยแบ่งเป็นคริสตจักรฟรีเวสเลยันจำนวน 8,491 คน (ร้อยละ 36.67) โรมันคาทอลิกจำนวน 4,374 คน (ร้อยละ 18.83) ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายจำนวน 2,754 คน (ร้อยละ 11.86) นอกจากนั้นนับถือศาสนาคริสต์นิกายอื่น ๆ เช่น คริสตจักรอิสระตองงา แองกลิคัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประชากรที่นับถือศาสนาอื่น โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดคือกลุ่มผู้นับถือศาสนาบาไฮจำนวน 167 คน (ร้อยละ 0.72) และศาสนาพุทธจำนวน 21 คน (ร้อยละ 0.09)[8]
วัฒนธรรม
สถาปัตยกรรม
ด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญตองงาที่ให้สิทธิ์แก่ชายอายุ 16 ปีขึ้นไป สามารถถือครองที่ดินสำหรับทำการเกษตรและที่ดินสำหรับสร้างที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ประชาชนชาวตองงาเปลี่ยนรูปแบบที่อยู่อาศัยจากการที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นการอยู่แบบแยกครอบครัวมากขึ้น โดยแต่ละครอบครัวจะมีการสร้าง ฟาเล (ตองงา: fale) สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย และมีการแบ่งพื้นที่สำหรับการซักล้าง การทำอาหารและพื้นที่เลี้ยงหมู[30] ด้วยการเจริญเติบโตของกรุงนูกูอาโลฟาและการติดต่อกับชาติตะวันตก ความนิยมการสร้างบ้านด้วยงานสถาปัตยกรรมแบบฟาเลได้เปลี่ยนไปเป็นแบบสมัยนิยมมากขึ้น[31] เช่น พระราชวังหลวงตองงาที่สร้างขึ้นในลักษณะของอาคารสองชั้นในรูปแบบวิกตอเรีย เป็นต้น[32] อย่างไรก็ตามงานสถาปัตยกรรมแบบฟาเลยังคงอยู่ในรูปแบบของศาสนสถานของคริสต์ศาสนาและอาคารสำคัญหลายแห่ง[33] โดยนำวิธีการก่อสร้างสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการก่อสร้าง[34] เช่น อาสนวิหารเซนต์แมรี พิพิธภัณฑ์ตองงา อาคารรัฐสภาและศูนย์วัฒนธรรม เป็นต้น[31]
อาหาร
อาารทะเลเป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในกรุงนูกูอาโลฟา ซึ่งมีการจัดจำหน่ายอาหารเหล่านี้ทั้งในร้านอาหารและร้านค้าข้างถนน[35] โดยอาหารที่ถือได้ว่าขึ้นชื่อที่สุดของกรุงนูกูอาโลฟาและประเทศตองงาเป็นอาหารที่มีมะพร้าวและเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบ เช่น โอตาอีกา ('Ota 'ika) ซึ่งเป็นการนำเนื้อปลาทะเลสดหมักกับน้ำกะทิ[36] และลู (Lū) ซึ่งเป็นการนำเนื้อสัตว์และกะทิพันด้วยใบเผือก[36] เป็นต้น นอกจากอาหารพื้นเมืองแล้ว พบว่าภายในกรุงนูกูอาโลฟามีการจำหน่ายอาหารนานาชาติด้วย เช่น อาหารจีนและอาหารตะวันตก เป็นต้น[37]
เทศกาล
ในฐานะที่กรุงนูกูอาโลฟาเป็นเมืองหลวงและชุมชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ดังนั้นกิจกรรมและเทศกาลหลายอย่างจึงจัดขึ้นในเมืองนี้ ทั้งกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับวันสากล ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ วันศุกร์ประเสริฐและวันคริสต์มาส เป็นต้นแล้ว[38][39] ยังมีวันหยุดและเทศกาลที่เกี่ยวเนื่องกับประเทศตองงาด้วย งานเทศกาลที่ถือได้ว่ามีการจัดอย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือเทศกาลเฮอิลาลา ซึ่งมีการจัดเฉลิมฉลองขึ้นเป็นเวลา 2–3 สัปดาห์ในระหว่างเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม[40] โดยเทศกาลนี้เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1980 เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของสมเด็จพระราชาธิบดีเตาฟาอาเฮา ตูโปอูที่ 4[41] ในช่วงเทศกาล ชาวตองงาจะรวมตัวกันเพื่อร่วมชมขบวนพาเหรด เข้าร่วมการประกวดในกิจกรรมดนตรีและรับประทานอาหารในบริเวณรอบตัวเมือง พร้อมทั้งสนทนาพูดคุยกับเพื่อนและบุคคลในครอบครัว[38][42] กิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเทศกาลนี้คือการประกวดนางงาม Miss Heilala ซึ่งมีสาวงามจากตองงาและต่างประเทศเข้าร่วมการประกวด[43] นอกจากเทศกาลเฮอิลาลา มีงานเทศกาลที่เกี่ยวเนื่องกับประเทศตองงาอื่นที่จัดทั่วไปในกรุงนูกูอาโลฟา เช่น งานเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระมหากษัตริย์และรัชทายาท งานวันตองงา ซึ่งจัดในวันที่ 4 พฤศจิกายนของทุกปี เพื่อเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ เป็นต้น[38] อย่างไรก็ตามในบางครั้งกรุงนูกูอาโลฟามักมีเทศกาลเฉลิมฉลองพิเศษเกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลมักประกาศให้วันเฉลิมฉลองดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการแบบกรณีพิเศษด้วย เห็นได้จากการจัดงานเฉลิมฉลองให้กับทีมรักบี้ลีกตองงาที่สามารถทำการแข่งขันชนะทีมสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียเป็นครั้งแรก[44]
กีฬา
รักบี้ยูเนียนเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศตองงา[45] เมื่อทีมรักบี้ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ มักมีการจัดงานเฉลิมฉลองทั่วไปในกรุงนูกูอาโลฟา[46] โดยมีกะลาสีเรือและมิชชันนารีเป็นผู้นำกีฬารักบี้มาเผยแพร่ที่กรุงนูกูอาโฟลและบริเวณใกล้เคียงเป็นที่แรก[47] รักบี้ทีมชาติตองงาจะใช้สนามกีฬาเตอูฟาอีวาในกรุงนูกูอาโลฟาเป็นสนามเหย้า[48] ในระดับท้องถิ่นเมื่อมีการแข่งกีฬารักบี้ชิงชนะเลิศระดับชาติ จะใช้สนามกีฬาเตอูฟาอีวาเป็นสนามกีฬาที่ใช้จัดการแข่งขันเช่นกัน โดยมักได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก[49] นอกจากกีฬารักบี้แล้ว มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลและกรีฑาที่สนามกีฬาแห่งนี้เช่นกัน[50]
กรุงนูกูอาโลฟาได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพในมหกรรมกีฬาหลายรายการ โดยจะใช้สนามกีฬาเตอูฟาอีวาเป็นสนามกีฬาหลัก การแข่งขันระดับประเทศที่จัดในกรุงนูกูอาโลฟาเป็นประจำทุกปีคือการแข่งขันกีฬาระหว่างวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นในเดือนเมษายนเป็นประจำทุกปี[51] นอกจากนี้กรุงนูกูอาโลฟาเคยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาในระดับนานาชาติหลายรายการ เช่น เซาธ์แปซิฟิกมินิเกมส์ 1989[52] การแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โอเชียเนีย 1998[53]และการแข่งขันกรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โอเชียเนีย 1998[54] เป็นต้น
การศึกษา
ระบบการศึกษาตองงากำหนดให้เด็กที่อายุ 7–14 ปีต้องเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ โดยแบ่งเป็นชั้นประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 4 ปี และการศึกษาระดับหลังมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา[55] ซึ่งการจัดการเรียนการสอนจะใช้ภาษาตองงาและภาษาอังกฤษในการจัดการเรียนการสอน โดยจะเพิ่มการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น เมื่ออยู่ในระดับชั้นที่สูงขึ้น[56] เมื่อพิจารณาจากคุณวุฒิทางการศึกษาและการศึกษาต่อในระดับสูงพบว่าประชากรในกรุงนูกูอาโลฟามีวุฒิการศึกษาและอัตราการเข้าศึกษาต่อในระดับสูงสูงที่สุดในประเทศตองงา โดยมีประชากรนูกูอาโลฟาร้อยละ 17 สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ซึ่งมากกว่าประชากรกลุ่มอื่นในประเทศที่มีเพียงร้อยละ 9 เท่านั้น[7]
ภายในกรุงนูกูอาโลฟามีสถานศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา โดยสถานศึกษาเหล่านี้จะอยู่ภายใต้การจัดการของรัฐบาลตองงา โบสถ์และเอกชน[57] สำหรับสถานศึกษาระดับประถมศึกษามีรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการเป็นส่วนมากและนักเรียนส่วนใหญ่เรียนในสถานศึกษาเหล่านี้[58] ในขณะที่ระดับมัธยมศึกษา มีโรงเรียนมัธยมของรัฐ 1 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองนี้คือโตงาไฮสคูล[59] โดยโตงาไฮสคูลเป็น 1 ใน 2 โรงเรียนมัธยมของรัฐที่ตั้งอยู่บนเกาะโตงาตาปู และถือได้ว่าทั้ง 2 แห่งนี้ มีจำนวนนักเรียนรวมกันมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนมัธยมของรัฐโรงเรียนอื่นในตองงา[60] ในระดับหลังมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาส่วนใหญ่มีเอกชนเป็นเจ้าของ เช่น สถาบันอาเทนซี มหาวิทยาลัยนานาชาติคิง เป็นต้น[61][62] ส่วนสถาบันระดับอุดมศึกษาของรัฐบาลที่ตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ เช่น สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น[63][64]
การคมนาคม
ทางบก
กรุงนูกูอาโลฟามีเส้นทางถนนซึ่งเชื่อมกับพื้นที่อื่นบนเกาะโตงาตาปู โดยเชื่อมต่อกับฮาอะตาฟู ซึ่งเป็นชุมชนด้านตะวันตกสุดของเกาะเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) และเชื่อมต่อกับนีอูโตอัว ซึ่งเป็นชุมชนด้านตะวันออกสุดของเกาะเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที)[65] นอกจากนี้รัฐบาลตองงาได้พิจารณาสร้างสะพานข้ามลากูนฟางาอูตาเพื่อเชื่อมระหว่างกรุงนูกูอาโลฟาและพื้นที่ด้านใต้ของเกาะโตงาตาปู ซึ่งสามารถลดระยะทางและเวลาการเดินทางระหว่างสนามบินนานาชาติฟูอาอะโมตูและเมืองหลวงได้[66] ตามกฎหมายของประเทศตองงา ผู้ขับขี่สามารถขับรถภายในกรุงนูกูอาโลฟา ซึ่งเป็นเขตเมืองได้ไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[67] ปัจจุบันกรุงนูกูอาโลฟาประสบปัญหากับการจราจรติดขัด[68] สภาพถนนโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ได้ มีเป็นหลุมเป็นบ่อและแคบในบางจุด[69] โดยการก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนนในกรุงนูกูอาโลฟาอยู่ภายใต้การดูแลของกรมโยธาธิการ ซึ่งมักประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการดำเนินงาน[70] ในอดีตเคยมีเส้นทางรถไฟจากลากูนผ่านกรุงนูกูอาโลฟามุ่งสู่ท่าเรือ แต่ไม่มีให้เห็นในปัจจุบันแล้ว โดยไม่มีทั้งข้อมูลการก่อสร้างและสาเหตุการยกเลิกเส้นทาง เหลือไว้เพียงแค่ชื่อถนนรถไฟภายในกรุงนูกูอาโลฟาเท่านั้น[71]
สำหรับการขนส่งสาธารณะในกรุงนูกูอาโลฟานั้น มีสถานีรถโดยสารอยู่ 2 สถานี คือ สถานีบนถนนวูนาฝั่งตรงข้ามกับสำนักงานการท่องเที่ยว ซึ่งมีเส้นทางวิ่งผ่านรอบ ๆ กรุงนูกูอาโลฟาและสถานีที่อยู่ตรงข้ามกับที่ทำการของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีเส้นทางไปส่วนตะวันออกและตะวันตกของเกาะ อย่างไรก็ตามรถโดยสารมีกำหนดการเดินทางที่ไม่แน่นอน โดยมีกำหนดเวลาให้บริการระหว่างเวลา 08.00 น. – 17.00 น. และหยุดให้บริการในวันอาทิตย์[72] นอกจากนี้ยังมีการให้บริการแท็กซี่ในเขตกรุงนูกูอาโลฟาด้วย แต่แท็กซี่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการรับส่งผู้โดยสารในวันอาทิตย์เช่นกัน[73]
ทางน้ำ
ท่าเรือนูกูอาโลฟาเป็นท่าเรือน้ำลึกเพียงแห่งเดียวของประเทศ ในอดีตเคยใช้ท่าเรือวูนาเป็นท่าเรือนานาชาติ แต่ถูกแผ่นดินไหวทำลายในปี ค.ศ. 1977 และได้ซ่อมแซมกลับมาใช้ใหม่ได้ในปี ค.ศ. 2012 ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นท่าเรือสำหรับเรือสำราญและจุดพักเรือของกองทัพเรือต่างประเทศ[74] สำหรับท่าเรือนูกูอาโลฟาเป็นทั้งท่าเรือรับส่งสินค้านานาชาติ และเป็นท่าเรือศูนย์กลางในการเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงนูกูอาโลฟาและส่วนอื่น ๆ ของประเทศ โดยสามารถใช้ท่าเรือแห่งนี้เพื่อเดินทางไปเขตการปกครองอื่น ๆ ในประเทศตองงา โดยมีเรือเดินทางไปเออัววันละ 2 รอบ ฮาอะไปและวาวาอูสัปดาห์ละ 2 รอบ รวมถึงมีเรือที่ให้บริการโดยผู้ประกอบการท้องถิ่นเดินทางไปเกาะขนาดเล็กอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ เช่น ปาไงโมตู โนมูกา เป็นต้น[75]
ทางอากาศ
สนามบินนานาชาติฟูอาอะโมตู (IATA: TBU, ICAO: NFTF) ตั้งอยู่ห่างจากกรุงนูกูอาโลฟาไปทางใต้ประมาณ 21 กิโลเมตร (13 ไมล์) โดยเป็นสนามบินที่มีความหนาแน่นของผู้ใช้บริการสูงที่สุดในประเทศตองงา ผู้ที่เดินทางมาประเทศตองงาสามารถเปลี่ยนเครื่องบินได้ที่สนามบินแห่งนี้เพื่อเดินทางไปส่วนอื่นของประเทศ[76] ปัจจุบันสนามบินนานาชาติแห่งนี้มีเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกรวม 62 เที่ยวบิน เชื่อมต่อ 5 เมืองใน 8 ประเทศ[77] มีสายการบินเรียลตองงาใช้สนามบินแห่งนี้เป็นฐานการบิน และมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงกรุงนูกูอาโลฟากับเกาะรอบนอก เช่น ฮาอะไป นีอูอาโตปูตาปู เออัว เป็นต้น อย่างไรก็ตามสนามบินนานาชาติแห่งนี้ยังไม่มีการเชื่อมโยงกับการขนส่งมวลชนสาธารณะ ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากกรุงนูกูอาโลฟาต้องใช้แท็กซี่หรือบริการรับส่งสนามบินของที่พักเพื่อเดินทางมาเท่านั้น[76]
เมื่องพี่น้อง
กรุงนูกูอาโลฟามีเมืองพี่น้อง ดังนี้
อ้างอิง
เชิงอรรถ
- ↑ CIA. "Australia–Oceania: Tonga". สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ LEXICO. "Nuku'alofa:Definition of Nuku'alofa by Oxford Dictionary". สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Vason, An authentic of narrative of four years residence at one of the Friendly Islands, หน้า 68
- ↑ Paul, Peoples of the Pacific: The History of Oceania to 1870
- ↑ Tzan, William Taylor and the Mapping of the Methodist Missionary Tradition, หน้า 109
- ↑ Lal,The Pacific Islands: An Encyclopedia, หน้า 100
- ↑ 7.0 7.1 "Tonga 2016 Census of Population and Housing Volume 2:ANALYTICAL REPORT" (PDF). citypopulation. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 8.7 "Tonga 2016 Census of Population and Housing Volume 1:BASIC TABLES AND ADMINISTRATIVE REPORT" (PDF). Tonga Statistics Department. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Elevation of Nuku`alofa,Tonga Elevation Map, Topo, Contour". FloodMap.net. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Gibbs, Soils of Tongatapu, Tonga, หน้า 5 - 6
- ↑ Gibbs, Soils of Tongatapu, Tonga, หน้า 10
- ↑ "Tonga Water Supply System Description Nuku'alofa/ Lomaiviti" (PDF). Water Safety Plan Programme:Kingdom Of Tonga. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Connell, Pacific 2010: Urbanisation in Polynesia, หน้า 126
- ↑ "Mounu Reef, Tonga". Pacific Islands Protected Area Portal. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Pangaimotu Reef, Tonga". Pacific Islands Protected Area Portal. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Fanga'uta and Fanga Kakau Lagoons, Tonga". Pacific Islands Protected Area Portal. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 "The Kingdom of Tonga's Initial National Communication" (PDF). The Kingdom of Tonga’s Initial National Communication. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 18.0 18.1 18.2 "Nuku'alofa Climate Info". Weatherbase. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ United Nations,"Compendium of Human Settlements Statistics 1995, หน้า 25
- ↑ "THE LOCAL GOVERNMENT SYSTEM IN TONGA" (PDF). Commonwealth Local Government Forum. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Sansom,"Principles for Local Government Legislation: Lessons from the Commonwealth Pacific, หน้า 21
- ↑ "Embassy of the People's Republic of China". Embassy of the People's Republic of China. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Embassy of Japan in the Kingdom of Tonga". Embassy of Japan in the Kingdom of Tonga. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Connell, Pacific 2010: Urbanisation in Polynesia, หน้า 33
- ↑ "Population and Housing Census". Tonga Statistics Department. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 26.0 26.1 "Tonga: Migration and the Homeland". Migration Policy Institute. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Connell, Pacific 2010: Urbanisation in Polynesia, หน้า 33
- ↑ "Nuku'alofa Urban Development Sector Project" (PDF). Asian Development Bank. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Making a Case for Tongan as an Endangered Language" (PDF). Yuko Otsuka. สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Grant,The Handbook of Contemporary Indigenous Architecture, หน้า 698 - 699
- ↑ 31.0 31.1 Bill McKay. "A guide to the architecture of the Pacific: Kingdom of Tonga". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Charmaine 'Ilaiu. "Building Tonga's Western fale". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Bill McKay. "A field guide to the architecture of the South Pacific". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Paula Folau Nonu. "RECONNECTING WITH THE PAST:TRADITIONAL TONGAN ARCHITECTURE AS AN EDUCATIONAL DEVICE FOR THE TONGAN PEOPLE". สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "TONGA-SHOPPING & FOOD". สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 36.0 36.1 "The Guide to Nuku'alofa on a Budget". สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Top Cheap Eats in Nuku'alofa". สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 38.0 38.1 38.2 "Events, Conferences, Public Holidays & Festivals in Tonga". Tonga Pocket Guide. สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "TONGA PUBLIC HOLIDAYS FOR 2020" (PDF). Government of Tonga. สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tonga postpones Heilala 2020 because of Covid-19 threat". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Heilala Festival 2017 In Tonga". Pacific Tourism Organization. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tongan Heilala Festival and Birthday Celebrations". Ashley Cultra. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "HEILALA FESTIVAL 2015". Kingdom Travel. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tonga declares public holiday to celebrate rugby league win". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "tonga". Topend Sports Network. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tonga celebrates rugby league winners". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Roca, Alexis. "The development of rugby in the Pacific Islands" (PDF). สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Attention NRL: A glorious future awaits in the Pacific". ROAR. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Marist win best way to end rugby season: Father Selwyn". Tonga Daily News. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Sport: Tonga's Teufaiva Stadium set to re-open". Radio New Zealand. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "2019 Inter-College Sports Competition wraps up". Matangi Tonga. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Third South Pacific Mini Games" (PDF). Olympic Review. International Olympic Committee. 1989. p. 112. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF 0.2 MB)เมื่อ 27 May 2015. สืบค้นเมื่อ 27 May 2015.
- ↑ "OCEANIA CHAMPIONSHIPS". Athletics Weekly. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "OCEANIA JUNIOR CHAMPIONSHIPS". Athletics Weekly. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ MOET. "Tonga School Level Structure". สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ MEIDECC. "Minister of Education introduces new language policy for Tongan schools". สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ MOET,REPORT OF THE MINISTRY OF EDUCATION AND TRAINING 2013, หน้า 186
- ↑ MOET,REPORT OF THE MINISTRY OF EDUCATION AND TRAINING 2013, หน้า 186–187
- ↑ "Tonga High School celebrates 72nd anniversary". matangitonga. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Secondary General information". MOET. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "ʻATENISI INSTITUTE". ʻATENISI INSTITUTE. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "contact". King's International University. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "TIST". TIST. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tongan Institute of Higher Education". Tongan Institute of Higher Education. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tonga Road Network". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tonga look at possible bridge out of Nuku'alofa". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Rental Cars". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Traffic jams increasing with growing demand for vehicles in 2018". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Driving in Tonga". สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Logistics Capacity Assessment" (PDF). สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Railways in Tonga". สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Bus". สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Taxi". สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Vuna Wharf" (PDF). สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tonga Port of Nuku'alofa". สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 76.0 76.1 "FUA'AMOTU INTERNATIONAL AIRPORT". สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Tongatapu Fuaʻamotu International Airport TBU". สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Whitby's Twin Towns". สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)
บรรณานุกรม
- Vason, George (1810). An authentic of narrative of four years residence at one of the Friendly Islands. J. Staford. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2020.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - D'Arcy, Paul (2008). Peoples of the Pacific: The History of Oceania to 1870. Routledge. ISBN 0754662217.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Tzan, Douglas D. (2019). William Taylor and the Mapping of the Methodist Missionary Tradition. Lexington Books. ISBN 1498559085.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Connell, John (1995). Pacific 2010: Urbanisation in Polynesia. National Centre for Development Studies, Research School of Pacific and Asian Studies, Australian National University. ISBN 9780731519545.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Gibbs, H.S. (1976). Soils of Tongatapu, Tonga. N.Z. soil survey report. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2020.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Lal, Brij V. (2000). The Pacific Islands: An Encyclopedia. University of Hawaii press. ISBN 082482265X.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - United Nations. Department for Economic and Social Information and Policy Analysis. Statistics Division, United Nations Centre for Human Settlements (1995). Compendium of Human Settlements Statistics 1995. United Nations. ISBN 9211613787.
{{cite book}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help); Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Sansom, Graham (2013). Principles for Local Government Legislation: Lessons from the Commonwealth Pacific. Commonwealth Secretariat. ISBN 9781849290890.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Asian Development Bank (2012). The State of Pacific Towns and Cities: Urbanization in ADB's Pacific Developing Member Countries. Asian Development Bank. ISBN 9789290928706.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Dorall, Cheryl (2004). Commonwealth Ministers Reference Book 2003. Commonwealth Secretariat. ISBN 0850927935.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - Grant, Elizabeth (2018). The Handbook of Contemporary Indigenous Architecture. Springer. ISBN 9811069042.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - MOET (2013). REPORT OF THE MINISTRY OF EDUCATION AND TRAINING 2013. Government of Tonga.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help)