ฟรานซิส ฟริธ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟรานซิส ฟริทธ์ (1857)

Francis Frith (ฟรานซิส ฟริทธ์) เกิดที่ เชสเตอร์ฟิลด์ เดอร์บีไซร์ ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1822 และเสียชีวิตในปี ค.ศ.1898 เขาก่อตั้งบริษัท ตีพิมพ์ภาพถ่ายทิวทัศน์ ที่เมือง ซีเกต ที่ซูเร่ ในปี 1859 ก่อนที่จะเดินทางไปถ่ายรูปยังตะวันออกกลางเป็นครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายในช่วงฤดูร้อนของปีเดียวกัน ฟริทธ์ เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยมากกว่านักธุรกิจรุ่นเดียวกัน และสามารถทำสิ่งที่ตนเองรัก ให้เป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจได้ โดยการบันทึกภาพสถานที่ที่น่าสนใจ ที่เขามีโอกาสไปท่องเที่ยว ให้เป็นสิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไปในความทรงจำ โดยถ่ายทอดมาในภาพถ่าย เขาแต่งงาน กับ แมรี่ แอน โรสลิง ในปี ค.ศ.1860 และมีบุตรด้วยกัน 6 คน โดยที่พี่ชายของภรรยา ซึ่งก็คือ อัลเฟรด โรสลิง ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างภาพสมัครเล่น แต่มีพรสวรรค์สูงมาก และจากความสัมพันธ์ทางครอบครัวนี้เอง ที่เป็นแรงผลักดัน ให้ ฟริทธ์ ได้ก้าวมาเป็นช่างภาพ ในปี 1856 เขาได้ออกเดินทาง เพื่อการเก็บภาพอันน่าจดจำเป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่ อียิปต์และปาเลสไตน์ ที่ซึ่งมีแดดแผดเผาร้อนระอุ จนทำให้ ฟริทธ์ ต้องไปล้างอัดรูปในสุสาน วัด และ ในถ้ำ เมื่อ ฟริทธ์ เดินทางกลับมา เขาก็สามารถต่อรองทำสัญญากับบริษัท 2 แห่ง เพื่อทำเป็นอัลบั้มตีพิมพ์ภาพถ่ายของเขา และล้างอัดภาพให้มีขนาดใหญ่ (16”x 20”) เพื่อขายภาพเป็นภาพๆไป ต่อมาในปี 1857 ก็มีบริษัทอีกแห่งหนึ่ง ได้ลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ซ้ำ และผลงานของเขาก็เป็นที่รู้จักแพร่หลายในการตีพิมพ์ครั้งหลังสุดในปีดังกล่าวนี้เอง นอกจากนี้ ในปี 1857 นี้ เขาก็ออกเดินทางท่องโลกกว้างอีกครั้ง โดยคราวนี้ไปยัง เยรูซาเล็ม,ซีเรีย และ เลบานอน เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ในความสำเร็จของการตีพิมพ์ และจัดจำหน่าย อัลบั้มรวมชุด “อียิปต์ และ ปาเลสไตน์” ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาต้องออกเดินทางครั้งที่ 3 ในช่วงฤดูร้อน ของปี ค.ศ.1859 มุ่งหน้าไปผจญภัยยังอาณาจักรตอนใต้ ของตะวันออกกลาง ไกลยิ่งกว่าที่จะมีช่างภาพคนใดเคยได้มีโอกาสไปถึง ณ โซเลบ ใน นิวเบีย ที่ต้องเดินทางข้ามทะเลทราย ไซไน อันกว้างใหญ่ และปิดการเดินทางด้วยการย้อนขึ้นไปทางเหนือจนถึง เยรูซาเล็ม ก่อนจะเดินทางกลับบ้านหลังจากใช้เวลาในการเดินทางทำงานเก็บภาพยังสถานที่เหล่านั้นได้ 1 ปีเต็ม ฟรานซิส ฟริทธ์ มาจากครอบครัวเคร่งศาสนา และเป็นคนที่เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาคริสต์อย่างแท้จริง เป็นนักเทศน์สั่งสอน และเป็น นักเขียนทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองในช่วงเวลาว่าง และยังเป็นคนรักครอบครัว โดยที่จะเห็นได้จากการที่เขามักจะพาครอบครัวของเขาทุกคน ซึ่งประกอบด้วย ภรรยาและลูกทั้ง 6 คน ผู้รับใช้ 2 คน และ ผู้ช่วยช่างภาพอีก 4 คน ออกเดินทางไปกับเขาด้วยเพื่อ ทำงานถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในอังกฤษ “ฟริทธ์” มีความสามารถในการหลอมรวมจิตวิญญาณทางศิลปะให้ไปด้วยกันกับ กลยุทธ์ทางการค้าขาย ทำธุรกิจ อย่างไรก็ตามเขาก็พยายามให้ผลงานทุกชิ้นของเขาได้มาตรฐาน ตามหลักการในการนำเสนอภาพถ่ายของเขาที่มีอยู่ว่า “กล้องถ่ายรูปไม่เคยโกหกเมื่อได้ลงมือถ่ายภาพ” เขาจะพิถีพิถันอย่างมากในการนำเสนอ จากสิ่งที่เรามองเห็นเป็น 3 มิติ ลงเป็นภาพถ่าย 2 มิติ ให้สมจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการเฝ้าเพียรหาจุดสนใจ และ สภาพแสง ที่เหมาะสมของแต่ละสถานที่ ของแต่ละสิ่งของ เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุด เอกลักษณ์ในผลงานภาพถ่ายของ ฟริทธ์ อยู่ที่เขาจะพยายามเก็บภาพ คนให้มีอยู่ในภาพทิวทัศน์ต่างๆ เพื่อให้ภาพสื่ออารมณ์ สื่อความหมาย และยังเป็นการแสดง หลักฐาน ข้อมูลเฉพาะบางอย่างของช่วงเวลานั้นๆ เช่น ลักษณะการดำเนินชีวิต, แฟชั่น ของคนในยุคนั้น ยานพาหนะ และ งานอดิเรกที่เป็นที่แพร่หลายของคนในขณะนั้น ด้วยหลักการนี้เองที่ทำให้ผลงานสำคัญของ ฟริทธ์ ไม่ได้เป็นแค่เพียงภาพถ่าย แต่ยังทรงคุณค่า ต่อนักค้นคว้าวิจัย นักประวัติศาสตร์ นักวารสาร วรรณกรรม และต่อผู้คนที่สนใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ทั้งในแง่สภาพสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ และสังคม ฟรานซิส ฟริทธ์ ได้ว่าจ้างช่างถ่ายภาพคนอื่น ๆ ให้ถ่ายภาพ หรือขายภาพ ที่เคยถ่ายไว้ก่อนให้แก่เขา เพื่อทำให้ความปรารถนาด้านการเผยแพ่ผลงานของเขาเป็นจริงมากขึ้น หนึ่งในบรรดาช่างภาพทั้งหลายที่เคยทำงานให้กับฟริทธ์ ก็คือ Francis Bad Ford ( ฟรานซิส เบ็ดฟอร์ด ) ช่างภาพร่วมสมัยที่เป็นที่รู้จักอย่างมาก และยังมีผลงานภาพถ่าย ในนามบริษัท Francis Frith company ถึง 2000 ภาพ โดยได้รับการตีพิมพ์ชื่อของเขาใส่ลงในผลงานที่ตีพิมพ์โดยบริษัทด้วย นอกจากนี้ ช่างภาพคนอื่น ๆ ที่เคยทำงานให้บริษัทของ ฟริทธ์ ก็ได้แก่ เอ.ดับบลิว.เบนานาร์ด , เอช บาร์ตัน , เบล , บราวน์ , อีตัน , กริฟฟิทธ์ , แลนท์ ลีเวอร์ , เดอะ ฮาร์ทนอล บราเธอร์ ,แบร์นาร์ด , เพรสตัน , เอ เปอร์ตี , โรสลิง ทิม , แฟรงค์ ซัทคลิฟ และแยลลอน ในช่วงการล้างอัดภาพ ผลงานแรก ของฟรานซิส ฟริทธ์ จะต่อชื่อในฟิล์ม ว่า “ Firth ” และจะปรากฏเป็นตัวอักษรสีดำในภาพ ตามหลังด้วย วันเดือนปี ที่บันทึกภาพ ในมุมซ้ายล่างของภาพแต่ผลงานช่วงหลังๆมักไม่มี ชื่อผู้ถ่ายกลายเป็นภาพถ่ายของช่างภาพนิรนาม อย่างไรก็ตาม ในยุคศตวรรษ ที่ 19 รูปทุกรูปก็ถูกตีพิมพ์ โดยใช้ชื่อบริษัท Fith & Cu หรือ FF & Co หรือ Frith Sener. ในกรณีที่มีการออกนำแสดง ก็จะเห็นชื่อของเขาทันที ใต้ภาพถ่ายตรงกลางของกระดาษติดภาพ เป็นความโชคดีของคนรุ่นหลังที่ ฟริทธ์ เล็งเห็นความสำคัญของการที่จะทำให้ภาพถ่ายของเขาได้บอกเรื่องราวในอดีตอันเป็นประโยชน์ และ คงอยู่ตลอดไป โดยพยายามคิดค้นวิธีที่จะ ทำให้ภาพถ่ายอยู่คงทนถาวร ในกระบวนการล้างฟิล์มและอัดภาพ แม้ว่าบริษัทจะต้องปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1970 แต่ภาพที่อัดมาจำนวนมากในช่วงยุค ศตวรรษที่ 19 ก็ยังคงอยู่ในสภาพดี สิ่งพิมพ์ของ ฟริทธ์ เป็นตัวอย่างอันมหัศจรรย์แห่งองค์ความรู้ต่างๆ ในบรรดาผลงาน การถ่ายภาพของเขาทั้งหมด มีผู้รวบรวมและจัดตีพิมพ์จำหน่าย ภายใต้ชื่อ “Frith’s Photo-Picture” ซึ่งเป็น ซีรีส์ ที่โด่งดังรู้จักกันแพร่หลาย เนื่องจากเป็นต้นฉบับ การอัดภาพ ที่ถ่ายมาจากจังหวัดต่างๆ เช่น Lake dishict, Dovidel จากดินแดนของคัมภีร์ไบเบิล ภูมิทัศน์ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และประเทศอังกฤษ และสิ่งพิมพ์บางชุด ฟริทธ์ ก็เป็นคนลงมือถ่ายภาพ และเขียนคำประกอบด้วยตนเอง นอกจากการตีพิมพ์ภาพถ่าย การล้างอัดรูป ที่บริษัทของฟริทธ์ ทำที่ รีเกต ในซูเร่ย์ แล้ว Firth Company ยังเป็นเจ้าของกิจการย่อยชื่อ Cotswold Collotype works at Wothn-under Edge ในเกลาสเตอไชร์ ที่คอนตีพิมพ์แคตตาลอค และหนังสือให้กับ Firth Compeny และที่นี่เองที่มีการตีพิมพ์โปสการ์ดด้วย ในช่วงต้นปี ค.ศ.1890 เป้าหมายการผลิตของบริษัทอยู่ที่การทำภาพโปสการ์ด ทำให้ปริมาณความต้องการภาพถ่ายรูปทิวทัศน์ รูปสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างถนนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์โปสการ์ดนี้เอง ที่ทำให้บริษัท Francis Firth & Co เป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ ฟริทธ์ เสียชีวิตในปี 1898 บริษัทก็ยังคงติดต่อกับช่างภาพที่ยังคงสานต่อการทำงาน ตามเจตนารมณ์ของฟริทธ์ โดยการพิถีพิถันในการถ่ายภาพ และส่งให้บริษัทตีพิมพ์ ภายในปี 1914 ทางบริษัทก็มีภาพเก็บรวบรวมไว้ถึง 52,000 และเพิ่มอีก 20,000 ภาพ ในเวลา 15 ปีต่อมา และเพิ่มอีก 200,000 ภาพ ในทุก ๆ ช่วง 10 ปีตั้งแต่ 1940 – 1950 – 1960 ต่อมา เมื่อบริษัทต้องถึงคราวต้องปิดตัวลงในปี 1971 ซึ่งเหตุการณ์นี้อาจทำให้ ผลงานสำคัญของฟริทธ์ และบริษัท ที่มีความร่วมสมัย มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์และเป็นเอกลักษณ์ อาจต้องถูกทิ้งให้สูญเปล่าไป แต่ก็ด้วยบุคคลท่านหนึ่ง คือ Bill Jay ช่างภาพที่สนใจประวัติศาสตร์ท่านหนึ่ง ที่ต้องการจะรักษาผลงานอันทรงคุณค่าของฟริทธ์ และบริษัทไว้ โดยเขาได้ขอความช่วยเหลือทางบริษัทโฆษณา London Agency ซึ่งสามารถติดต่อ และจูงใจให้บริษัทยาสูบ Rothmann รับซื้อและเก็บรักษาคอลเลคชั่นทั้งหมดไว้ หลังจากนั้นในปี 1977 คอลเลคชั่นของฟริทธ์ ก็ถูก John Buc ซื้อต่อไป เพื่อนำไปตีพิมพ์ภาพเพื่อจัดจำหน่าย ให้บริษัทของเขาเอง จนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ แบบแผนการนำเสนอผลงานตามแบบของ ฟราสซิส ฟริทธ์ ไว้ ปัจจุบัน ผลงานของฟริทธ์ และบริษัท ได้นำเสนอการบันทึกภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและสังคม ที่เกิดขึ้นในเมือง หมู่บ้าน ชาญเมือง ชนบทของอังกฤษ ที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1870 - 1970 ในคอลเลคชั่นประกอบด้วย ภาพถ่ายของถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ และภาพฉากชีวิตในที่ต่าง ๆ ที่เป็นจุดเด่นในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งข้อมูลทางกายภาพเหล่านั้น เหมือนเป็นการตีแผ่ให้เห็นภาคตัดขวางของการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมการออกแบบ การก่อสร้าง การตกแต่งถนนหนทาง เสื้อผ้าแฟชั่นการคมนาคม และธุรกิจ ปัจจุบัน ภาพถ่ายผลงานของฟริทธ์ ที่ยังจำหน่ายได้อยู่คือภาพทิวทัศน์ ที่ระลึกส่งถึงทางบ้าน , หนังสือรวมภาพถ่าย และอัลบั้มภาพ เหมือนที่บริษัทของฟริทธ์ เคยจัดจำหน่ายในอดีต แม้ฟริทธ์ จะเป็นช่างภาพในช่วงยุคเปลี่ยนแปลง เทคนิคการถ่ายภาพ ล้างอัดภาพในยุควิคตอเรีย แต่ผลงานที่เขาสร้างขึ้น ก็สร้างความประทับใจ และประหลาดใจ ให้กับผู้ที่พบเห็น ด้วยความสามารถของเขาเอง เพราะปัจจุบัน ภาพของเขาถูกลงแผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต อย่างมากมาย และถ้าหากเขารับรู้ได้ คงจะดีใจไม่น้อย ที่เจตนารมณ์ของเขาบรรลุผลสำเร็จ ที่จะให้คนมากมายได้เห็นผลงานของเขา

อ้างอิง[แก้]