คาร์ล เทโอดอร์ ฟ็อน ดาลแบร์ค

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คาร์ล เทโอดอร์ อันโทน มารีอา ฟ็อน ดาลแบร์ค
เกิด8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1744(1744-02-08)
แฮนส์ไฮม์ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
เสียชีวิต10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1817(1817-02-10) (73 ปี)
บุพการี
  • ฟรันทซ์ ไฮน์ริช (บิดา)

คาร์ล เทโอดอร์ อันโทน มารีอา ฟ็อน ดาลแบร์ค (เยอรมัน: Karl Theodor Anton Maria von Dalberg; 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1744 – 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1817) มีตำแหน่งเป็นอาร์ชบิชอปแห่งไมนทซ์, อัครเสนาบดีแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, เจ้าผู้ครองราชรัฐเรเกินส์บวร์ค, อัครราชมุขนายกแห่งสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์และแกรนด์ดยุกแห่งแฟรงก์เฟิร์ต

ประวัติ[แก้]

คาร์ลเกิดที่แฮนส์ไฮม์ เป็นบุตรของฟรันทซ์ ไฮน์ริช เจ้าหน้าที่บริหารแห่งวอมส์, หัวหน้าคณะที่ปรึกษาของเจ้านครรัฐผู้คัดเลือกแห่งไมนทซ์ คาร์ลอุทิศตนเองให้แก่การศึกษากฎหมายศาสนจักรและเข้ารับศีลบวช หลังจากได้รับแต่งตั้งใน ค.ศ. 1772 ให้เป็นข้าหลวงแห่งแอร์ฟวร์ท คาร์ลก็ได้รับความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นในรบการบริหาร ใน ค.ศ. 1787 ก็ได้รับเป็นโคแอดจูเตอร์บิชอปแห่งไมนทซ์และวอมส์ พอถึง ค.ศ. 1788 ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นบิชอปแห่งค็อนชตันทซ์ และใน ค.ศ. 1802 ได้เป็นอาร์ชบิชอปผู้คัดเลือกแห่งไมนทซ์และอัครเสนาบดีแห่งจักรวรรดิ

ในฐานะรัฐบุรุษ คาร์ลเป็นนักการเมืองผู้มีความดีเด่นที่มาจากทัศนคติของความอุทิศตนเองไม่ว่าจะเป็นทางด้านศาสนาหรือความพยายามในการจัดระบบอันแตกแยกของจักรวรรดิให้เป็นระบบบริหารที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของรัฐบาลเยอรมัน เมื่อไม่สำเร็จคาร์ลก็หันไปหานโปเลียนผู้ที่กำลังรุ่งเรืองขึ้นมา โดยมีความเชื่อว่าได้พบรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีความปรีชาสามารถ ผู้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำผู้เดียวที่ผู้มีพลังพอที่จะช่วยให้เยอรมันรอดจากความหายนะ

ตามสนธิสัญญาาลูว์เนวีลซึ่งลงนามกันใน ค.ศ. 1801 ที่ระบุให้ดินแดนบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำไรน์ทั้งหมดตกไปเป็นของฝรั่งเศส คาร์ลต้องสูญเสียวอมส์ ค็อนชตันทซ์ และไมนทซ์ แต่ยังคงปกครองอชัฟเฟินบวร์ค และใน ค.ศ. 1803 ก็ได้รับนครรัฐอิสระเว็ทซ์ลาร์และเรเกินส์บวร์ค และดินแดนที่เป็นของบิชอปแห่งเรเกินส์บวร์ค เมื่อไมนทซ์ถูกผนวกโดยฝรั่งเศสเขตอัครมุขมณฑลจึงถูกย้ายไปยังเรเกินส์บวร์ค ดินแดนทางตะวันตกของคาร์ลเรียกกันว่าราชรัฐเรเกินส์บวร์ค

ใน ค.ศ. 1806 หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ คาร์ลและเจ้าผู้ครองนครองค์อื่น ๆ ก็รวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ คาร์ลลาออกจากการเป็นอัครเสนาบดีของจักรวรรดิในจดหมายถึงจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 2 และได้รับแต่งตั้งโดยจักรพรรดินโปเลียนให้เป็นอัครราชมุขนายกแห่งสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ (ผู้สำเร็จราชการ)

ใน ค.ศ. 1806 รัฐสภาแห่งแฟรงก์เฟิร์ต ก็ได้รับการรวมเข้ามาเป็นดินแดนในการปกครองของคาร์ลหลังจากสนธิสัญญาเชินบรุน (Treaty of Schönbrunn) จากนั้นคาร์ลก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นแกรนด์ดยุกแห่งแฟรงก์เฟิร์ต หลังจากนั้นคาร์ลก็ขยายดินแดนออกไปมากขึ้นแม้ว่าจะต้องเสียบางส่วนของเรเกินส์บวร์คให้แก่ราชอาณาจักรบาวาเรีย

ใน ค.ศ. 1813 คาร์ลก็ลาออกจากตำแหน่งนอกจากตำแหน่งอาร์ชบิชอปแห่งเรเกินส์บวร์ค ให้แก่พระราชโอรสบุญธรรมของนโปเลียนเออแฌน เดอ โบอาร์แน ผู้เป็นทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงมาตั้งแต่ ค.ศ. 1810

คาร์ลสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1817 ในฐานะอาร์ชบิชอปแห่งเรเกินส์บวร์ค

การที่คาร์ลจะยอมทำตามนโยบายของนโปเลียนตลอดมา ทำให้เป็นไม่เป็นนิยมกันมาหลายชั่วคน แต่อันที่จริงแล้วคาร์ลก็เป็นนักการศึกษาและนักประพันธ์ เป็นผู้อุปถัมภ์วรรณกรรม และเป็นเพื่อนกับกวีและนักปรัชญา เช่น เกอเทอ, ฟรีดริช ชิลเลอร์ และคริสท็อฟ มาร์ทีน วีลันท์ (Christoph Martin Wieland)

อ้างอิง[แก้]

Public Domain บทความนี้ ประกอบด้วยข้อความจากสิ่งพิมพ์ซึ่งปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติChisholm, Hugh, บ.ก. (1911). สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911 (11 ed.). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. {{cite encyclopedia}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)