วินโดวส์วิสตา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Windows Vista)
วินโดวส์วิสตา
ผู้พัฒนาไมโครซอฟท์
ตระกูลระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์
รหัสต้นฉบับClosed source / Shared source[1]
เผยแพร่สู่
กระบวนการผลิต
RTM: 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549;
Vol. Lic.: 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549;
Retail: 30 มกราคม พ.ศ. 2550
รุ่นล่าสุด6.0 Service Pack 2 (SP2) (Build 6002)
(6002.18005.090410-1830[2])
/ 28 เมษายน ค.ศ. 2009 (2009-04-28)[3]
วิธีการอัปเดตWindows Update, Windows Server Update Services, SCCM
แพลตฟอร์มIA-32, x86-64
ชนิดเคอร์เนลHybrid
สัญญาอนุญาตMS-EULA
รุ่นก่อนหน้าวินโดวส์เอ็กซ์พี (2001)
รุ่นถัดไปวินโดวส์ 7 (2009)
เว็บไซต์ทางการเว็บไซต์ทางการ
สถานะการสนับสนุน
ยุติการสนับสนุน

วินโดวส์วิสตา (Windows Vista) คือระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ ที่พัฒนาต่อมาจากวินโดวส์เอกซ์พี และวินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2003 ปัจจุบันได้วางจำหน่ายให้กับองค์กรธุรกิจวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 และวางจำหน่ายให้กับผู้ใช้ทั่วไปวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2550

ไมโครซอฟท์ประกาศใช้ชื่อ วินโดวส์วิสตา อย่างเป็นทางการแก่สื่อมวลชนในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 แทนที่ชื่อรหัส ลองฮอร์น (Longhorn) โดยคำว่า วิสตา (Vista) ในภาษาอังกฤษ หมายถึงมุมมอง หรือทิวทัศน์

วินโดวส์วิสตาได้มีความสามารถใหม่หลายร้อยประการ ไม่ว่าจะเป็นระบบแสดงผลกราฟิกใหม่ โปรแกรมใหม่ ความสามารถค้นหาที่ดีกว่าเดิม รวมถึงระบบองค์ประกอบภายในอย่างในส่วนเน็ตเวิร์ก ระบบเสียง การพิมพ์ และการแสดงผลที่ได้ถูกออกแบบและเขียนขึ้นมาใหม่ และยังได้รวมดอตเน็ตเฟรมเวิร์ก 3.0 ซึ่งช่วยผู้พัฒนาระบบสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ดี วินโดวส์วิสตา ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับบรรดาผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมาก แต่หลังจากออกเวอร์ชันทางการแล้ว ก็มีผู้ใช้ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจและกลับไปใช้ วินโดวส์เอกซ์พี เนื่องจาก วินโดวส์วิสตา ยังไม่ค่อยตอบสนองต่อผู้ใช้ทางบ้านเท่าที่ควร กล่าวคือ วินโดวส์วิสตา ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

หลังจากนั้น ไมโครซอฟท์ได้หยุดการสนับสนุนในระยะ mainstream support บนวินโดวส์วิสตา ในวันที่ 10 เมษายน 2555 และในระยะ Extended support ในวันที่ 11 เมษายน 2560

การพัฒนา[แก้]

ภายใต้ชื่อรหัสลองฮอร์น[แก้]

วินโดวส์วิสตา ได้เริ่มพัฒนาครั้งแรกภายใต้ชื่อรหัส ลองฮอร์น (Longhorn) ในกลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 ก่อนที่การพัฒนาวินโดวส์เอกซ์พีจะเสร็จสมบูรณ์เสียอีก

ในตอนนั้น ทางไมโครซอฟท์ได้ตั้งโปรเจกต์ของวินโดวส์รุ่นใหม่ไว้ 2 รุ่นด้วยกัน ชื่อว่า "ลองฮอร์น" (Longhorn) กับ "เวียนนา" (Vienna) โดยทางไมโครซอฟท์ ได้วางแผนให้ลองฮอร์นนั้น เป็นวินโดวส์รุ่นถัดจากวินโดวส์เอกซ์พี โดยกำหนดวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2546 และจะให้แบล็คคอมบ์วางจำหน่ายหลังจากนั้น แต่พอมาในปี พ.ศ. 2545 ลองฮอร์นก็ถูกเลื่อนการวางจำหน่ายไปเป็นปี พ.ศ. 2547 เนื่องจากติดปัญหาการพัฒนา โดยวินโดวส์ลองฮอร์นรุ่นทดสอบรุ่นแรก ถูกเปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2545[4] โดยมีคุณลักษณะใหม่คือ รูปแบบการมองเห็นแบบใหม่ที่ชื่อว่า "Plex" รวมไปถึงส่วนติดต่อผู้ใช้ของวินโดวส์ เอกซ์พลอเรอร์แบบใหม่ ซึ่งช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น

หลังจากที่มีการปล่อยข่าวเกี่ยวกับลองฮอร์นแล้วเล็กน้อย ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวลองฮอร์นรุ่นใหม่ คือรุ่นบิลด์ 4008 ในโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ซึ่งภายหลังได้ถูกวิจารณ์ว่ามีหน้าตาที่ไม่ค่อยสวยมากเท่าไร แต่ก็ได้รับการปรับปรุงให้สวยขึ้นในภายหลัง[5] โดยส่วนที่ปรับปรุงไปจากรุ่นบิลด์ 3683 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี พ.ศ. 2545 นั้นก็คือ ชุดรูปแบบสีน้ำเงินที่ชื่อว่า "เพลกซ์" (อังกฤษ: Plex) และตัวติดตั้งแบบ image-based ของวินโดวส์แบบประยุกต์ ซึ่งทำงานในโหมดกราฟิกตั้งแต่ต้น และสามารถติดตั้งตัวระบบโดยใช้เวลาหนึ่งในสามที่วินโดวส์เอกซ์พีใช้ได้บนฮาร์ดแวร์เดียวกันอีกด้วย รวมไปถึงทาสก์บาร์แบบใหม่ ที่ดูบางลงกว่าของในบิลด์ที่ผ่านมาและเปลี่ยนรูปแบบกราฟิกในการแสดงผลเวลาบนทาสก์บาร์ใหม่ด้วย

การเริ่มพัฒนาใหม่ตั้งแต่ต้น[แก้]

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2547 มันสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า ทีมพัฒนาวินโดวส์ของไมโครซอฟท์นั้น กลับมองไม่เห็นว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จในวินโดวส์รุ่นใหม่ เพื่อที่จะวางขายให้กับผู้ใช้

และในปี พ.ศ. 2548 ไมโครซอฟท์ถึงกับช็อก เมื่อแอปเปิลวางจำหน่าย แมคโอเอสเทน ไทเกอร์ ซึ่งรวมเอาคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ไมโครซอฟท์คาดว่า จะรวมในลองฮอร์นด้วย อย่างเช่น การค้นหาไฟล์ได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการทำงานร่วมกับตัวประมวลผลกราฟิกและเสียงในตัว และดูมีความเสถียรและประสิทธิภาพมากกว่าลองฮอร์นรุ่นที่ปล่อยออกมาเสียด้วย[6] โดยในลองฮอร์นที่ปล่อยออกมาทุกรุ่น มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของ Explorer.exe ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระบบทำงานได้ไม่ค่อยดี และทำให้ทีมพัฒนาวินโดวส์ของไมโครซอฟท์นั้น สับสนกับซอร์สโค้ดในลองฮอร์นรุ่นหลัง ๆ ซึ่งพัฒนาแล้วพัฒนาอีก แต่ก็ยังไม่เสถียรเสียที

โดยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้ถูกประกาศให้กับพนักงานบริษัทไมโครซอฟท์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2547 โดยทีมพัฒนาวินโดวส์ ได้เริ่มพัฒนาลองฮอร์นใหม่ตั้งแต่ต้น เมื่อเดือนกันยายน ในปีเดียวกัน โดยใช้กระบวนการพัฒนาแบบใหม่ ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์หลายกลุ่ม รวมถึงตัวของบิลล์ เกตส์เองด้วย ว่า กระบวนการพัฒนาแบบใหม่นี้ จะทำให้ยากต่อการพัฒนามากขึ้นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

ภายใต้ชื่อ วินโดวส์ วิสตา[แก้]

ความสามารถใหม่[แก้]

  • Windows Aero - ระบบวินโดวส์แอโร่ ระบบการแสดงผลกราฟิกใหม่ โดยจะมีลักษณะเป็นแบบโปร่งแสง สามารถมองเห็นหน้าต่างอื่นในฉากหลังได้
  • Windows Desktop Manager - Windows Desktop Manager หรือเรียกสั้น ๆ ว่า WDM เดิมถูกเรียกว่า Desktop Compositing Engine หรือ DCE โดยถูกเพิ่มเติมมาพร้อมกับวินโดวสวิสตา ซึ่งทำให้วินโดวส์ แอโร สามารถใช้งานได้ โดยผู้ใช้ต้องติดตั้ง DirectX 9 โดย WDM จะคล้ายกับ Quartz Compositor ใน Mac OS X ซึ่งไม่สามารถจัดการผ่านทางหน้าจอได้โดยตรง

Windows Media Center, Windows Movie Maker ที่ให้ความละเอียดสูง และ Windows DVD Maker และยังมีคุณลักษณะทั้งหมดของ Windows Vista Business ด้วย ซึ่งได้แก่ ระบบเครือข่ายของสำนักงาน เครื่องมือการจัดการแบบรวมศูนย์ และคุณลักษณะขั้นสูงของการสำรองข้อมูลของระบบ และ Windows Vista Ultimate มีคุณลักษณะการรักษาความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูลแบบใหม่ทั้งหมดซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพการทำงานที่วางใจได้ของ Windows Vista ให้สูงขึ้นกว่าเดิมทั้งระบบ

นอกจากนี้ Windows Vista Ultimate ยังสนับสนุนคุณลักษณะของระบบเคลื่อนที่ใหม่ใน Windows Vista ซึ่งได้แก่ Windows Tablet และ Touch Technology, Windows SideShow, Windows Mobility Center

ประเภทผลิตภัณฑ์[แก้]

วินโดวส์วิสตามีสายผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 6 รุ่นด้วยกัน โดยได้ออกแบบมาให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและในทุกรุ่นยกเว้น Windows Vista Starter จะสามารถรองรับหน่วยประมวลผลกลางทั้งชนิด 32 บิต และ 64 บิต เพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานมากขึ้น

รุ่นของวินโดวส์วิสตา
รายละเอียด กล่องผลิตภัณฑ์
Windows Vista Starter
Microsoft Windows Vista Starter เป็นวินโดวส์วิสตาเวอร์ชันต่ำสุดและมีราคาถูกที่สุด โดยจะวางขายในกลุ่มประเทศที่ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและจะไม่วางจำหน่ายในกลุ่มประเทศที่จัดว่าพัฒนาแล้วทางเทคโนโลยี[7] เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มตลาดผู้ใช้ที่เพิ่งเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ มีงบประมาณที่จำกัด หรือทำงานไม่มาก

ข้อจำกัดของ Microsoft Windows Vista Starter ประการหนึ่งคือสามารถเปิดใช้งานโปรแกรมได้ไม่เกินสูงสุด 3 โปรแกรมในครั้งเดียว (แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดในการเปิดหน้าจอของโปรแกรมที่ทำงาน) [8] นอกจากนั้น Microsoft Windows Vista Starter จะอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้สูงสุดไม่เกิน 1GB เท่านั้น[9] ตลอดจนไปถึงในรุ่นนี้รองรับเฉพาะหน่วยประมวลผลกลางที่เป็น 32 บิตเท่านั้น

นอกเหนือไปจากนั้นแล้วยังมีขีดจำกัดทางด้านการทำงานของเครือข่าย ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการไม่สามารถแบ่งปันแฟ้มร่วมกันได้ เป็นต้น[10]

Windows Vista Home Starter Box
Windows Vista Home Basic
Microsoft Windows Vista Home Basic เป็นวินโดวส์วิสตารุ่นที่มีความสามารถที่ต่ำสุดในบรรดาวินโดวส์วิสตารุ่นปกติที่มีวางจำหน่ายทั่วโลก (ไม่นับ Windows Vista Starter) สามารถรองรับหน่วยประมวลผลกลางทั้ง 32 บิต และ 64 บิต โดยถ้าใช้แบบ 64 บิต จะสามารถรองรับหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้สูงสุด 8 GB[11]

สำหรับ Windows Vista Home Basic จะมีข้อจำกัดทางด้านการแสดงผลที่จะไม่มีการแสดงผลแบบ Aero ซึ่งเป็นคุณสมบัติในการทำงานแบบใหม่ของ Microsoft Windows Vista [12] ตลอดจน Mobility Center, Windows Media Center และคุณสมบัติอื่น ๆ

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 199 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 99.95 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[13]

Windows Vista Home Basic Box
Windows Vista Home Premium
Microsoft Windows Vista Home Premium เป็นรุ่นที่มีความสามารถสูงกว่า Microsoft Windows Vista Home Basic โดยมีคุณสมบัติทางด้านการแสดงผลแบบ Aero ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในวินโดวส์วิสตา นอกจากนั้นแล้วยังเพิ่มคุณสมับติทางด้านการจัดการสื่อต่าง ๆ โดยผ่านโปรแกรมและคุณสมบัติเฉพาะ เช่น Windows Media Center, Windows Media Extender, Windows DVD Maker, เกมต่าง ๆ และ Windows Movie Maker in HD[12]

ส่วนข้อจำกัดของ Windows Vista Home Premium อยู่ที่จะไม่มีคุณสมบัติทางด้านธุรกิจ เช่น Windows Fax and Scan และ Windows Complete PC Backup and Restore เป็นต้น

สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Home Premium สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 16GB[11]

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 239 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 159 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[14]

Windows Vista Home Premium Box
Windows Vista Business
Microsoft Windows Vista Business ออกแบบมาเพื่อสำหรับการใช้งานในเชิงธุรกิจ และมีความสามารถทางธุรกิจมากกว่ารุ่น Home Premium นอกจากการแสดงผลแบบ Aero แล้ว คุณสมบัติในการส่งโทรสารผ่าน Windows Fax and Scan ก็ยังมีอยู่ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงคุณสมบัติ Shadow Copy ซึ่งสามารถบันทึกความเปลี่ยนแปลงของไฟล์รุ่นต่าง ๆ ได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลสำคัญที่ถูกแก้ไขกลับคืนมาได้ [15]

อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติทางด้านการจัดการสื่อและความบันเทิงที่มีอยู่ใน Windows Vista Home Premium นั้นจะไม่มีอยู่ใน Windows Vista Business[12] คุณสมบัติเหล่านั้นได้แก่ Windows Media Center, การรองรับ Windows Media Extender, Windows Movie Maker in HD เป็นต้น

สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Business สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[11]

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 299 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 199 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[15]

Windows Vista Business Box
Windows Vista Enterprise
Microsoft Windows Vista Enterprise ถูกออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนทางด้านระบบสารสนเทศ โดยมีคุณสมบัติที่มากกว่า Microsoft Windows Vista Business เช่น Windows Bitlocker Drive Encryption, คุณสมบัติการทำงานส่วนติดต่อผู้ใช้หลายภาษา (Multilingual User Interface) และคุณสมบัติที่สำคัญคือ Subsystem for Unix Application (SUA) ที่ออกแบบมาเพื่อให้โปรแกรมบนระบบปฏิบัติการ Unix สามารถทำงานบน Windows Vista Enterprise ได้อย่างไม่มีปัญหา [16]

สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Enterprise สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[11]

การจำหน่าย Microsoft Windows Vista Enterprise จะไม่มีการวางจำหน่ายเป็นการทั่วไป โดยจำหน่ายแก่องค์กรที่ซื้อลิขสิทธิ์เป็นจำนวนมาก (Volume Licensing) [17] ซึ่งได้ซื้อสิทธิพิเศษที่เรียกว่า "Microsoft Software Assurance" [18]

Windows Vista Ultimate
Microsoft Windows Vista Ultimate เป็นรุ่นของ Microsoft Windows Vista ทั่วไปที่มีความสามารถสูงมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่ากับ Windows Vista ทุกรุ่นมารวมกัน และเพิ่มความสามารถทางด้านความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการเพิ่มคุณสมบัติ Windows Bitlocker Drive Encryption หรือการเข้ารหัสทั้งดิกส์ไดรฟ์เพื่อความปลอดภัย[12] ตลอดไปถึงความสามารถอื่น ๆ อย่างเช่นการทำงานส่วนติดต่อผู้ใช้หลายภาษา (Multilingual User Interface) [19]

สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Ultimate สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[11]

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 399 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 259 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[19]

Windows Vista Ultimate Box

จากเอกสารคำแนะนำของไมโครซอฟท์[20] ได้ให้คำแนะนำสำหรับการปรับรุ่น (Upgrade) ไปสู่วินโดวส์วิสตาเอาไว้ดังนี้

- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Home Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Home Basic

- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Tablet PC Edition และ Microsoft Windows XP Media Center Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Home Premium

- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Professional, Professional x64 Edition และ Tablet PC Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Business

รูปแบบการมองเห็น[แก้]

  • วินโดวส์แอโร่ - เป็นรูปแบบการมองเห็นที่ถูกพัฒนาขึ้น พร้อมกับเครื่องมือจัดการรูปแบบการมองเห็นที่เรียกว่า Window Desktop Manager โดยวินโดวส์แอโร ถูกสนับสนุนการมองเห็นแบบ 3 มิติ เช่น หน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิติทำให้สะดวกขึ้นในการย้ายหน้าต่าง, การมองเห็นแบบโปร่งใส, การมองเห็นภาพเล็ก ๆ ขอ งหน้าต่างขณะที่นำเมาส์ชี้ที่ทาสก์บาร์, วินโดวส์ เอนิเมะชัน และเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ ซึ่งแสดงถึงความต้องการของการ์ดจอที่มีคุณภาพสูงในระดับหนึ่ง คือ 128 MB เป็นอย่างต่ำ ซึ่งวินโดวส์แอโร พร้อมกับความสามารถหน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิตินั้นไม่ได้ถูกรวมในรุ่น Starter และ Home Basic
  • วินโดวส์ วิสต้า สแตนดาร์ด - เป็นรูปแบบการมองเห็นที่ด้อยกว่าวินโวส์ แอโร่ ซึ่งจะไม่มีการมองเห็นแบบโปร่งใส, วินโดวส์ เอนิเมะชัน และเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ แต่จะมีหน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิติซึ่งยังคงต้องใช้ WDM ซึ่งเป็นส่วนประกอบของวินโดวส์แอโร ซึ่งการมองเห็นแบบนี้จะถูกตั้งค่าแรกเริ่มในรุ่น Home Basic แต่จะไม่มีในรุ่น The Starter
  • วินโดวส์ วิสต้า เบสิค - เป็นรูปแบบการมองเห็นที่คล้ายวินโดวส์ เอ๊กซ์พี วิสช่วลสไตล์ แต่จะมีการเพิ่มอนิเมชั่นบ้างเล็กน้อยซึ่งจะปรากฏบนแถบสถานะการทำงาน (Progress Bar) ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ WDM จะไม่มีการมองเห็นแบบโปร่งใส, วินโดวส์ เอนิเมะชันหรือหน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิติที่ต้องใช้ WDM และความต้องการของการ์ดแสดงผลจะคล้ายกับ XP ซึ่งเหมาะสำหรับการ์ดแสดงผลที่ไม่สามารถแสดงผลแบบ วินโดวส์แอโร จะถูกกำหนดเป็นค่าแรกเริ่ม

วินโดวส์ วิสตา รุ่นปรับปรุง[แก้]

หลังจากวิสตารุ่นเดิม ออกจำหน่ายได้ระยะหนึ่ง ได้มีรุ่นปรับปรุงออกจำหน่ายดังนี้

  • SP1 ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
  • SP2 ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552
  • Platform Update ออกเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552 (ผ่าน Windows Update)

การสิ้นสุดการสนับสนุน[แก้]

ไมโครซอฟท์ได้หยุดการสนับสนุนวินโดวส์วิสตาทุกรูปแบบตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2017 เป็นต้นไป ซึ่งหมายถึงจะไม่มีการอัปเดตด้านความปลอดภัยและบริการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องจากไมโครซอฟท์อีกต่อไป และผู้พัฒนาด้านอื่น ๆ จะเริ่มทยอยหยุดการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับวินโดวส์วิสตา

ดูเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "Windows Licensing Programs". Microsoft. สืบค้นเมื่อ 2008-09-21.
  2. "Windows Vista with SP2 RTM Slipstreamed/Integrated DVD ISO Image (BT Download)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-31. สืบค้นเมื่อ 2009-05-25.
  3. http://windowsteamblog.com/blogs/windowsvista/archive/2009/04/28/windows-vista-sp2-rtm-windows-vista-sp1-blocker-tool-removed.aspx
  4. [1], วิวัฒนาการของ Windows ภาค 2 จาก Longhorn ถึง Vista.
  5. Thurrott, Paul (15th Janurary 1800). "Longhorn Alpha Preview 2: Build 4008". Windows SuperSite. สืบค้นเมื่อ 31 December 9999. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  6. Keizer, Gregg (29 January 2007). "Microsoft's Vista Had Major Mac Envy, Company E-Mails Reveal". InformationWeek. UBM plc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-20. สืบค้นเมื่อ 28 February 2013.
  7. http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/starter/default.mspx
  8. http://windowshelp.microsoft.com/Windows/en-US/Help/83f968d5-844e-408c-a7c4-69ff50f0ff541033.mspx
  9. http://www.microsoft.com/thailand/windows/products/windowsvista/editions/starter/default.mspx
  10. http://windowshelp.microsoft.com/Windows/en-US/Help/44526469-b916-4442-9372-4f566795bbcf1033.mspx
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/64bit.mspx
  12. 12.0 12.1 12.2 12.3 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/choose.mspx
  13. http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/homebasic/default.mspx
  14. http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/homepremium/default.mspx
  15. 15.0 15.1 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/business/default.mspx
  16. http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/enterprise/features/operatingsystem.mspx
  17. http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/enterprise/buy.mspx
  18. http://www.microsoft.com/licensing/sa/default.mspx
  19. 19.0 19.1 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/ultimate/default.mspx
  20. http://download.microsoft.com/download/8/0/7/80797240-6627-4b1e-afb7-4daf7f4cea51/TH_Windows_Vista_Edition.pdf