สตีเวน เจอร์ราร์ด

หน้าถูกกึ่งป้องกัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Steven Gerrard)

สตีเวน เจอร์ราร์ด
เจอร์ราร์ดในปี 2018
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด[1]
วันเกิด (1980-05-30) 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 (43 ปี)[2]
สถานที่เกิด วิสตัน อังกฤษ
ส่วนสูง 6 ft 1 in (1.85 m)[3]
ตำแหน่ง กองกลาง
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
อัลอิตติฟาก (ผู้จัดการ)
สโมสรเยาวชน
1987–1998 ลิเวอร์พูล
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1998–2015 ลิเวอร์พูล 504 (120)
2015–2016 แอลเอ แกลักซี 34 (5)
รวม 538 (125)
ทีมชาติ
1999–2000 อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี 4 (1)
2000–2014 อังกฤษ 114 (21)
จัดการทีม
2018–2021 เรนเจอส์
2021–2022 แอสตันวิลลา
2023– อัลอิตติฟาก
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด (อังกฤษ: Steven George Gerrard; เกิด 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมของอัลอิตติฟาก ในซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก

เจอร์ราร์ดใช้เวลาเกือบตลอดอาชีพในการลงเล่นกับสโมสรลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก ประเดิมสนามนัดแรกให้ทีมใน ค.ศ. 1998 และลงเล่นทีมชุดใหญ่ใน ค.ศ. 2000 ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมใน ค.ศ. 2003 และเป็นผู้นำทีมในชุดที่ชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2005 นัดที่เอาชนะจุดโทษเอซี มิลาน หลังจากเสมอกัน 3-3 ทั้งที่ตกเป็นรองไปก่อน 0-3 ซึ่งการแข่งขันนัดนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น "ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล"[4] โดยเจอร์ราร์ดได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในการแข่งขัน รวมทั้งพาทีมสร้างปาฏิหาริย์อีกครั้งจากการชนะเลิศเอฟเอคัพ 2006 นัดที่พบเวสต์แฮม ซึ่งเจอร์ราร์ดทำประตูสำคัญให้ทีมตีเสมอ 3-3 และนัดนั้นได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในนัดชิงชนะเลิศที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการแข่งขันทุกรายการของฟุตบอลอังกฤษ[5][6] และเจอร์ราร์ดได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมไปอีกครั้ง

ตลอดการเล่นกับลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ดชนะเลิศการแข่งขัน 9 รายการ[7] ได้แก่ เอฟเอคัพ 2 สมัย, ลีกคัพ 3 สมัย, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย, ยูฟ่าคัพ 1 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 1 สมัย และ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย และได้รับอันดับสามในการประกาศรางวัลบาลงดอร์ปี 2005 เจอราร์ดสามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง[8] และมีจุดเด่นในเรื่องความเป็นผู้นำ[9][10][11] เขาเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศรายการสำคัญ 4 รายการได้แก่ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าคัพ, เอฟเอคัพ และ ลีกคัพ เจอราร์ดได้รับพระราชทานยศเป็นสมาชิกแห่งจักรวรรดิบริเตน โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 2007 และได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศของพรีเมียร์ลีกใน ค.ศ. 2021[12][13]

เจอร์ราร์ดเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้กับทีมชาติอังกฤษมากที่สุดเป็นอันดับ 4 จำนวน 114 นัด และทำได้ 21 ประตู โดยเขาเป็นหนึ่งในหกผู้เล่นชายที่ลงสนามให้ทีมชาติอังกฤษครบ 100 นัด[14] เขาติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2000 และมีส่วนร่วมกับทีมชาติในรายการสำคัญหลายรายการ ลงเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 3 สมัย (2000, 2004 และ 2012), ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 3 สมัย (2006, 2010 และ 2014) และได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมในการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012[15] ซึ่งเขามีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน[16] ก่อนจะประกาศเลิกเล่นทีมชาติใน ค.ศ. 2014 และประกาศเลิกเล่นอาชีพใน ค.ศ. 2016 สโมสรสุดท้ายคือ แอลเอ แกลักซี

ภายหลังเลิกเล่นอาชีพ เจอร์ราร์ดรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้ลิเวอร์พูล ก่อนจะไปรับงานคุมทีมเรนเจอส์ ในสกอตติชพรีเมียร์ชิป ใน ค.ศ. 2018 และพาทีมชนะเลิศลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ในฤดูกาล 2020-21 และอำลาเรนเจอส์เพื่อมาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมแอสตันวิลลาในพรีเมียร์ลีกใน ค.ศ. 2021[17]

ก่อนเส้นทางอาชีพ

สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นผลผลิตของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง

สโมสรอาชีพ

ลิเวอร์พูล

การเริ่มต้น (1998–2004)

ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1998 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง

เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ประตูแรกของเจอร์ราร์ดเกิดขึ้นในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เชฟฟีลด์เวนส์เดย์ 4-1 ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับ ใบเหลือง และ ใบแดง บ่อยครั้ง

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ อีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิลแชมป์ ลีกคัพ , ยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ ในฤดูกาลเดียว รวมถึงทำประตูแรกในศึกแดงเดือดเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับเหนือกว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ได้เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก รวมถึงเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย และในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงเล่น 12 นัดกับอีก 1 ประตู ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Young Player of the Year) รวมถึงได้ถ้วยในประเทศ ชาริตีชีลด์ จากการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 แต่ เจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามในนัดสุดท้ายของฤดูกาลอีกด้วย และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 2-0 โดย เจอร์ราร์ด และ ไมเคิล โอเวน ช่วยทำประตูในเกมนี้

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ ซามี ฮูเปีย

ชัยชนะของแชมเปียนส์ลีกและเอฟเอคัพ (2004–2007)

เจอร์ราร์ดพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพ กับ เชลซี แต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วย[18] และเกือบจะย้ายไปเล่นให้กับ เชลซี แต่สุดท้าย เจอร์ราร์ด ตัดสินใจอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป ผลงานใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เจอร์ราร์ด ยิงประตูสุดสวยในนัดที่ชนะ โอลิมเปียกอส 3-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างปาฏิหาริย์[19] รอบต่อมา ลิเวอร์พูล ก็สามารถเอาชนะ ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 3-1 ได้ทั้ง 2 นัด และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ ยูเวนตุส โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ชนะ 2-1 ที่แอนฟีลด์ นัดที่ 2 เสมอ 0-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปเจอกับ เชลซี โดยนัดแรกเสมอ 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล ชนะ 1-0 ที่ แอนฟีลด์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และ เจอร์ราร์ดก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเอาชนะ เอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกมิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ในครึ่งหลัง เจอร์ราร์ด ทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 และลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3[20] ในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้อันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่จากการที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

เจอร์ราร์ดกำลังเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ. 2007

เจอร์ราร์ดทำประตูตีเสมอ เวสต์แฮมยูไนเต็ด (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่งให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ในท้ายที่สุด จากการดวลจุดโทษ[21] [22] ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ เช่น ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส, ลีกคัพ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 32 นัด ยิงได้ 10 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นรองแค่ เชลซี กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เท่านั้น ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ เจอร์ราร์ด ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Players' Player of the Year) [23]

แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซี ได้จากการดวลจุดโทษ ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้[24] และเข้าชิงกับ เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง คอมมิวนิตีชีลด์ กับ เชลซี เท่านั้น โดยชนะไป 2-1 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 36 นัด ยิงได้ 7 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน

2007–2012

ลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถช่วยให้ทีมจบอันดับ 4 ของตาราง ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และทำประตูได้มากที่สุดในทีม โดยยิงได้ 11 ประตู ในพรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่ เฟร์นันโด ตอร์เรส ดาวยิงชาวสเปนคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด ยิงไป 24 ประตู ย้ายมาจาก อัตเลติโกเดมาดริด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้ ลิเวอร์พูล รวมทั้งหมด 54 ประตู

เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะผลงานของลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 และ มิดเดิลส์เบรอ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซี, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (สแตมฟอร์ดบริดจ์) และ 2-0, ชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1 และ 4-1 (โอลด์แทรฟฟอร์ด) [25] [26] และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม โดยยิงได้ 16 ประตู ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของเจอร์ราร์ด ก็โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม ลงเล่นเกมยุโรป 10 นัด ทำได้ 7 ประตู และทำประตูที่ 100 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ พีเอสวี ไอนด์โอเฟน รวมถึงทำ 2 ประตูในนัดที่เอาชนะ เรอัลมาดริด แชมป์ยุโรป 9 สมัย 4-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ที่แอนฟีลด์[27] นอกจากนี้เจอร์ราร์ดสามารถทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ แอสตันวิลลา โดยลิเวอร์พูลชนะไป 5-0[28]


เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้ว ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดิง 2-1 และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้แพ้ถึง 11 นัด

เจอร์ราร์ด ในแมตช์เกียรติยศของ เจมี คาร์เรเกอร์ ปี ค.ศ. 2010

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม ผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้อันดับ 6 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และในเอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ก็แพ้ไป 1-0 และเจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามอีกด้วย แต่ผลงานในยูโรปาลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮตทริกได้ ในนัดที่เจอกับ นาโปลี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-1[29]

เจอร์ราร์ด ทำแฮตทริกในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตัน ปี ค.ศ. 2012

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 18 นัด ยิงประตูไปได้ 5 ประตู ในฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำของลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้ เนื่องจากได้อันดับ 8 ของตารางและขาดผู้เล่นหลัก ๆ ไปเยอะ และเจอร์ราร์ด ก็ไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนักโดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาล ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-1 แต่ในลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เขาก็ยิงประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 1-0 ก่อนจะเสมอ 2-2 ในนัดที่ 2 ที่ แอนฟีลด์ และก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลีกคัพ มาได้ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2[30] และนำทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ แต่ก็แพ้ เชลซี ไปด้วยสกอร์ 2-1 อย่างน่าเสียดาย ในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตัน โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-0 และเป็นการลงสนามนัดที่ 400 ในพรีเมียร์ลีก ของ เจอร์ราร์ด อีกด้วย[31] [32]

เส้นทางอาชีพช่วงท้ายกับลิเวอร์พูล (2012–2015)

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิงประตูไปได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด แต่ไม่ได้ลง 2 นัดสุดท้าย เนื่องจาก เจอร์ราร์ด ต้องผ่าตัดหัวไหล่หลังจากได้รับอาการบาดเจ็บจากเกมส์ที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0 ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1.[33] ผลงานในพรีเมียร์ลีกได้อันดับ 7 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และ เจอร์ราร์ดลงสนามนัดที่ 600 ในนัดที่เจอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด

เจอร์ราร์ด ในแมตช์เกียรติยศของตนเอง ในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2013

ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลไปอีก 2 ปี.[34] ในช่วงปรีซีซั่น เจอร์ราร์ดได้นำทีมลิเวอร์พูล เดินทางมายังทวีปเอเชีย ด้วยการเยือนอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และประเทศไทย[35] ในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้มีแมตช์เกียรติยศของตนเอง ในนัดที่เจอกับ โอลิมเปียกอส ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูในพรีเมียร์ลีก เป็นฤดูกาลที่ 15 ติดต่อกัน ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูในพรีเมียร์ลีกลูกที่ 100 ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2[36] [37]

เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ในเดือนมีนาคม ปี 2014

ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ สโตกซิตี 3-2 ก่อนจะเอาชนะไป 5-3[38] [39] ต่อมา ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ แอสตันวิลลา 2-2[40] ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[41] [42] ต่อมา ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษเป็นประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟูลัม ที่เครเวนคอตทิจ 3-2[43]

ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษเข้า 2 ประตู และยิงจุดโทษพลาด 1 ลูก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 3-0[44] [45] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ เจอร์ราร์ด ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคมของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ ลุยส์ ซัวเรซ[46] ต่อมา ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ด ได้ยิงจุดโทษ 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่บุลินกราวนด์ 2-1[47] ต่อมา ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ด ได้นำทีม ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำจ่าฝูงและลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อไป หลังจบเกม เจอร์ราร์ด ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ ที่ทีมขยับเข้าใกล้การคว้าแชมป์ที่เจ้าตัวรอคอยมานาน นักเตะลิเวอร์พูลต่างวิ่งมารวมกัน เจอร์ราร์ด บอกกับลูกทีมว่า "เกมนี้จบไปแล้ว นัดหน้าเราไปเยือนนอริช แล้วทำเหมือนเดิม เราต้องไปด้วยกัน"[48] [49] ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เชลซี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เจอร์ราร์ด ลื่นล้ม ทำให้โดน แดมบา บา ฉกบอลหลุดเดี่ยวไปยิงประตูขึ้นนำให้ เชลซี สุดท้าย ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ไป 0-2 ก่อนจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้ แมนเชสเตอร์ซิตี ฉวยโอกาสแซงขึ้นนำเป็นจ่าฝูง ต่อมา เจอร์ราร์ด ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ รวมทั้ง เจอร์ราร์ด ยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ร่วมกับ ลุยส์ ซัวเรซ และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ 2 นักเตะของลิเวอร์พูล อีกด้วย ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ เซลเฮิสต์พาร์ก เจอกับ คริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ลิเวอร์พูล ออกนำ 3-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล โดนตีเสมอในช่วงท้าย ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 3-3 หลังจบเกม ซัวเรซ ก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง เจอร์ราร์ด เลยต้องเข้าไปปลอบใจเขา ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล เหลือน้อยมาก ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล เจอร์ราร์ดยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 13 ประตู จาก 34 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[50]

เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15

ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 3-0[51] ทำให้ เจอร์ราร์ดได้ทำประตูในพรีเมียร์ลีก เป็นฤดูกาลที่ 16 ติดต่อกัน ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม B นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ลูโดโกเร็ตส์ ราซกราด จาก บัลแกเรีย 2-1[52] ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เอฟเวอร์ตัน 1-0 แต่สุดท้ายก็โดนตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ด ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม 3-1 ต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม B นัดสุดท้าย ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ บาเซิล จากสวิตเซอร์แลนด์ โดย ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเท่านั้น ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป สุดท้าย เจอร์ราร์ด ได้ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ตีเสมอ 1-1 แต่ ลิเวอร์พูล ต้องกระเด็นตกรอบจากการได้อันดับ 3 ของกลุ่ม ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องไปเล่นยูฟ่ายูโรปาลีก[53] แต่ประตูนี้ของเจอร์ราร์ดทำให้ได้รับการโหวตเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคมจาก EA SPORT

ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษเข้า 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เลสเตอร์ซิตี 2-0 แต่สุดท้ายก็โดนตีเสมอ 2-2 ในช่วงครึ่งหลัง[54] ต่อมา ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2015 ลิเวอร์พูลได้ประกาศยอมรับว่า สตีเวน เจอร์ราร์ด ตัดสินใจที่จะย้ายออกจากสโมสรหลังจบฤดูกาลนี้ในแบบไม่มีค่าตัว หลังจากมีข่าวคราวมาก่อนหน้านั้นว่าเจ้าตัวเตรียมตัวจะย้ายออกไป โดยคาดหมายว่าเป็น ลอสแอนเจลิส แกแลกซี ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ของสหรัฐอเมริกา ที่เจอราร์ดจะย้ายเข้าสังกัด [55] จากการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เจ้าตัวได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงว่า เป็นเพราะในระยะหลังที่การเล่นตกลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น จึงไม่อาจรับได้ที่จะต้องกลายมาเป็นตัวสำรอง และนี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต[56] และในการเล่นนัดต่อมาหลังจากการประกาศย้ายออก ในรายการเอฟเอคัพ 2014–15 รอบ 3 ที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปเยือน วิมเบิลดัน เจอราร์ดก็เป็นผู้ทำประตูเพียงคนเดียว 2 ประตู ทำให้ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 1-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[57] [58] ต่อมา ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบสี่ นัดรีเพลย์ เจอร์ราร์ด ลงสนามนัดที่ 700 ให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เอาชนะ โบลตันวอนเดอเรอส์ ที่มาครอน สเตเดียม 2-1 ต่อมา ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 3-2

ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2015 ในนัดที่ลิเวอร์พูล พบกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นคู่ปรับตลอดกาล ในศึกแดงเดือด ที่สนามแอนฟีลด์ เจอราร์ดถูกเปลี่ยนตัวลงมาในครึ่งหลัง แทนที่ แอดัม ลัลลานา และรับหน้าที่กัปตันทีม ซึ่งในขณะนั้น ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายตามอยู่ 0-1 ปรากฏว่าเจอราร์ดไปเจตนาเหยียบเท้าของ อันเดร์ เอร์เรรา ผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทำให้กรรมการตัดสินใจให้ใบแดงไล่ออกทันที ทั้งที่เพิ่งลงไปเล่นได้เพียง 38 วินาทีเท่านั้น นับเป็นการปิดฉากการเล่นในศึกแดงเดือดครั้งสุดท้ายของเจอราร์ดอย่างรวดเร็ว และยังทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ถูกใบแดงเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอีกด้วย ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่าลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ไป 2-1

ในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ต่อ แอสตันวิลลา 2-1 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ทำให้ความหวังของเจอร์ราร์ดที่ต้องการจะนำพาทีมเป็นแชมป์ในรายการนี้ ซึ่งจะมีรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 30 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันเกิดของเจ้าตัวครบ 35 ปีเต็ม ซึ่งจะเป็นแชมป์รายการสุดท้ายกับลิเวอร์พูลต้องสลายลงไป[59] ต่อมา ในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ทำสถิติเป็นนักเตะรายที่ 12 ที่ได้ลงสนามในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทะลุถึงหลัก 500 นัด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 0-0 ต่อมา ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้รับรางวัลบุคคลทรงคุณค่าของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ร่วมกับ แฟรงก์ แลมพาร์ด อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012 ที่ พีเอฟเอ มีการมอบรางวัลทรงคุณค่า โดยคนดังที่เคยได้รางวัลนี้มีอย่างเช่น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, บิลล์ แชงค์ลี่ย์ ตำนานกุนซือ ลิเวอร์พูล, บ็อบ เพสลี่ย์ ตำนานนายใหญ่ "หงส์แดง", ไบรอัน คลัฟ อดีตกุนซือฝีมือดี, เปเล่ ตำนานกองหน้าชาวบราซิเลียน, ยูเซบิโอ อดีตยอดกองหน้าทีมชาติโปรตุเกส และ จอร์จ เบสต์ ตำนานดาวเตะชาวไอร์แลนด์เหนือของ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นต้น[60] ต่อมา ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษพลาดแต่ก็โหม่งทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 2-1[61] ทำให้กัปตันทีมลิเวอร์พูลขึ้นไปรั้งอันดับ 5 ในอันดับดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสรที่ 184 ประตูแซง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ อดีตหัวหอกทีมชาติอังกฤษ[62] ต่อมา ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชลซี ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ 1-1[63]

ในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สตีเวน เจอร์ราร์ด เล่นให้กับลิเวอร์พูลเป็นครั้งสุดท้ายที่สนามแอนฟีลด์ ในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลของลิเวอร์พูล ด้วยเป็นฝ่ายแพ้ต่อ คริสตัลพาเลซ 1-3 ทั้งที่ยิงนำไปก่อนจาก แอดัม ลัลลานา ในนาทีที่ 26 ทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และอาจจะส่อแววว่าจะไม่ได้เล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกอีกด้วย[64] ต่อมา ในวันที่ 19 พฤษภาคม ปีเดียวกัน เจอร์ราร์ดคว้ารางวัลผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพกับลิเวอร์พูล ในงานประกาศรางวัลผู้เล่นแห่งปี 2015 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ เอ็คโค่อารีน่า[65]

และในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ลิเวอร์พูลก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อ สโตกซิตี ไปมากถึง 6-1 ที่สนามบริแทนเนียสเตเดียม ถึงแม้ว่าเจอร์ราร์ดจะเป็นผู้ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลได้ก็ตาม แต่ถึงอย่างไร ผลการแข่งขันในนัดนี้กลายมาเป็นสถิติที่ลิเวอร์พูลแพ้มากที่สุดในรอบ 52 ปี และเป็นสถิติที่แพ้มากที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีกขึ้นมาอีกด้วย[66] [67] จบฤดูกาล เจอร์ราร์ดยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 9 ประตูจาก 29 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 6 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่ายูโรปาลีก

แอลเอ แกแลกซี

เจอร์ราร์ดเล่นให้กับลอสแอนเจลิส แกแลกซีในปี ค.ศ. 2015

ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นนัดแรกให้กับ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี โดยลงเล่น 45 นาทีแรก ในนัดที่อุ่นเครื่องกระชับมิตรเอาชนะ คลับ อเมริกา 2-1 ต่อมา ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นนัดที่สองโดยเป็นนัดแรกอย่างเป็นทางการในฟุตบอลถ้วยยูเอสโอเพนคัพ พ่ายแพ้ให้กับ รีล ซอลต์ เลค 0-1 ต่อมา ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์เป็นนัดแรกและยิงประตูแรกให้กับ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี รวมถึงเปิดบอลให้อดีตเพื่อนร่วมทีมสโมสรลิเวอร์พูล ร็อบบี คีน กัปตันทีมลอสแอนเจลิส แกแลกซี ทำประตูในนัดที่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เอาชนะ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควกส์ 5-2 ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ด ทำประตูที่ 2 ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ในนัดที่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เอาชนะ ดัลลัส 3-2

ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเพลย์ออฟ เมเจอร์ลีกเจอกับ ซีเอตเติล ซาวน์เดอร์ สุดท้าย ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เป็นฝ่ายแพ้ไป 2-3 ทำให้ไม่สามารถพา ลอสแอนเจลิส แกแลกซี ป้องกันแชมป์ลีกได้

ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2016 เจอร์ราร์ดยิงประตูแรกในฤดูกาล 2016 ในนัดที่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เอาชนะ รีล ซอลต์ เลค 5-2 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 เจอร์ราร์ดทำประตูที่ 2 ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ในนัดที่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เอาชนะ นิวอิงแลนด์ เรฟโวลูชั่น 4-2 ต่อมา ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 เจอร์ราร์ดทำประตูชัยให้ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เอาชนะ ฮิวสตัน ไดนาโม 1-0

ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 เจอร์ราร์ดตัดสินใจออกจากทีมหลังจบฤดูกาล โดยนักเตะทำประตูได้ 5 ลูก และ แอสซิสต์ 14 ลูกตลอดการลงสนามกว่า 34 เกมให้กับลอสแอนเจลิส แกแลกซี ต่อมา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 เจอร์ราร์ดตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการด้วยวัย 36 ปี[68] [69]

ทีมชาติอังกฤษ

2000–2004: ช่วงแรก

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น

ต่อมาในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ด ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมใน ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ เยอรมัน โดยอังกฤษชนะไป 5-1 เป็นประตูแรกของเจอร์ราร์ดในนามทีมชาติ และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 9 อังกฤษชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ และในฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้าย เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ มาซิโดเนีย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 7 อังกฤษชนะ 6 เสมอ 2 ไม่แพ้ใคร ทำให้เจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ และในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบสุดท้าย เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 ที่โปรตุเกส โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ สวิตเซอร์แลนด์ และพาทีมได้อันดับ 2 ของกลุ่ม B อังกฤษชนะ 2 แพ้ 1 (แพ้ ฝรั่งเศส 1-2, ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 และ ชนะ โครเอเชีย 4-2) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ โปรตุเกสเจ้าภาพ แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ

2004–2008: ฟุตบอลโลกครั้งที่สอง

ในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ออสเตรีย และ อาเซอร์ไบจาน โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 โดยอังกฤษชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ และในฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 ครั้งแรกที่ ประเทศเยอรมัน หลังจากเมื่อปี 2002 เขาไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ตรินิแดดและโตเบโก และ สวีเดน ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม B โดยอังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (ชนะ ปารากวัย 1-0, ชนะ ตรินิแดดและโตเบโก 2-0 และ เสมอ สวีเดน 2-2) และพาทีมเอาชนะ เอกวาดอร์ 1-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ โปรตุเกส แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้อังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับทีมชาติบราซิล ในรอบเดียวกัน

ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้รับตำแหน่งได้เป็น รองกัปตันทีม ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ โดยได้รับตำแหน่งจาก สตีฟ แม็คคลีน โค้ชชาวอังกฤษ และ จอห์น เทร์รี ได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีมอีกครั้ง โดยในรอบคัดเลือกในปี ค.ศ. 2006 อังกฤษได้อยู่สายเดียวกับ โครเอเชีย และ รัสเซีย กับ อิสราเอล และอีก 3 ทีมอื่น ๆ แต่แล้วพอเสร็จสิ้นการแข่งขัน อังกฤษก็ไม่ได้เข้ารอบอย่างน่าเสียดาย โดย โครเอเชีย และ รัสเซีย เป็นทื่ 1 และ 2 ตามลำดับ และอังกฤษเป็นทื่ 3 โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ อันดอร์รา ทั้ง 2 นัด โดยอังกฤษชนะไป 5-0 และ 3-0

2008–2012: การกลับมาอีกครั้งในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป

ในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ เบลารุส และ โครเอเชีย อีก 2 ประตู โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 อังกฤษชนะ 9 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ ต่อมาในฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ได้รับบาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ สหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ สโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ ทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมัน 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู

เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ เจอกับ ฟร็องก์ รีเบรี กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ในศึก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนัก เนื่องจาก เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็พาทีมชาติอังกฤษได้อันดับ 1 ของกลุ่ม G โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 3 ไม่แพ้ใคร และเจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ เจอกับ ดานีเอเล เด รอสซี กองกลางทีมชาติอิตาลี ในศึก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบสุดท้าย เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ที่ โปแลนด์ และ ยูเครน โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติอีกด้วย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม D อังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (เสมอ ฝรั่งเศส 1-1, ชนะ สวีเดน 3-2 และ ชนะ ยูเครน 1-0) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ อิตาลี แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลยูโร

2012–2014: ฟุตบอลโลกครั้งสุดท้าย และสิ่งสืบเนื่อง

ในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ มอลโดวา และ โปแลนด์ โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม H อังกฤษชนะ 6 เสมอ 4 ไม่แพ้ใคร และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

เจอร์ราร์ด (ซ้าย) กัปตันทีมชาติอังกฤษ เดินจับมือกับ ลุยส์ ซัวเรซ อดีตเพื่อนร่วมทีมสโมสรลิเวอร์พูล กองหน้าทีมชาติอุรุกวัย ในศึก ฟุตบอลโลก 2014

ในฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ บราซิล โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติ อังกฤษ ได้อยู่กลุ่ม D ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และอิตาลี แต่สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่ม D เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีด้วย ที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก ในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 หลังจากจบฟุตบอลโลก เจอร์ราร์ดก็ตัดสินใจอำลาทีมชาติเรียบร้อยแล้วหลังอยู่รับใช้มายาวนาน 14 ปี[70] [71]

เจอร์ราร์ดประเดิมสนามนัดแรกให้กับทีมชาติในปี 2000 โดยเป็นเกมที่เอาชนะยูเครน 2-0 ณ สนามเวมบลีย์และเขาก็ผ่านการรับใช้ชาติมา 114 นัดยิงได้ 21 ประตูรวมถึงพาทีมไปลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ๆ มาแล้วถึง 6 ครั้ง ทัวร์นาเมนต์ของเจอร์ราร์ดหนแรกมาในช่วงยุคที่ เควิน คีแกน ยังคุมอยู่โดยเขาเป็นส่วนนึงของอังกฤษชุดลุยยูโร 2000 ถือเป็นยูโรหนแรกของเขาก่อนจะตามมาด้วยยูโรปี 2004 ที่โปรตุเกสและในปี 2012 ที่ยูเครนกับโปแลนด์

ถึงแม้พลาดฟุตบอลโลก 2002 ไปเพราะบาดเจ็บแต่ก็ผ่านฟุตบอลโลกมาแล้ว 3 สมัยเริ่มต้นที่เยอรมนีในปี 2006 ตามด้วยแอฟริกาใต้เมื่อปี 2010 และที่บราซิลในปีนี้ สรุปแล้วเขาได้ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไป 12 นัดยิงได้ 3 ประตู เจอร์ราร์ดผ่านการเป็นกัปตันทีมของอังกฤษมาทั้งหมด 38 นัดและเป็นนักเตะที่ติดทีมชาติมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ต่อจาก ปีเตอร์ ชิลตัน (125 นัด) และเดวิด เบคแคม (115 นัด) เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้เล่นทีมชาติทะลุ 100 นัดเช่นเดียวกับ บ็อบบี้ มัวร์ (108 นัด), แอชลีย์ โคล (107 นัด), บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (106 นัด), แฟรงก์ แลมพาร์ด (106 นัด) และบิลลี ไรต์ (105 นัด)

ประตูในนามทีมชาติ

# วันที่ สนาม นัดที่ คู่แข่งขัน ประตู ผล การแข่งขัน
1 1 กันยายน 2001 โอลิมเปียชตาดิโยน, เยอรมนี 6 ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี 2–1 5–1 ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก[72]
2 16 ตุลาคม 2002 เซนต์แมรีส์สเตเดียม, อังกฤษ 13 Flag of North Macedonia มาซิโดเนียเหนือ 2–2 2–2 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก[73]
3 3 มิถุนายน 2003 คิงพาวเวอร์สเตเดียม, อังกฤษ 17 ธงชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เซอร์เบียและมอนเตเนโกร 1–0 2–1 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[74]
4 17 มิถุนายน 2004 เอสตาดีอูคีเดดเดโคอิมบรา, โปรตุเกส 26 ธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ 3–0 3–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004[75]
5 4 กันยายน 2004 เอรินทส์-ฮาปเปล-ซตาดิโยน, ออสเตรีย 30 ธงชาติออสเตรีย ออสเตรีย 2–0 2–2 ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[76]
6 30 มีนาคม 2005 เซนต์เจมส์พาร์ก, อังกฤษ 34 ธงชาติอาเซอร์ไบจาน อาเซอร์ไบจาน 1–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[77]
7 30 พฤษภาคม 2006 โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ 41 ธงชาติฮังการี ฮังการี 1–0 3–1 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[78]
8 15 มิถุนายน 2006 กรึนดิกซตาดิโยน, เยอรมนี 44 ธงชาติตรินิแดดและโตเบโก ตรินิแดดและโตเบโก 2–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2006[79]
9 20 มิถุนายน 2006 RheinEnergie Stadion, เยอรมนี 45 ธงชาติสวีเดน สวีเดน 2–1 2–2 ฟุตบอลโลก 2006[80]
10 2 กันยายน 2006 โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ 49 ธงชาติอันดอร์รา อันดอร์รา 2–0 5–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[81]
11 28 มีนาคม 2007 Olympic Stadium, สเปน 55 ธงชาติอันดอร์รา อันดอร์รา 1–0 3–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[82]
12 2–0
13 28 พฤษภาคม 2008 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 66 ธงชาติสหรัฐ สหรัฐ 2–0 2–0 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[83]
14 15 ตุลาคม 2008 Dinamo Stadium, เบลารุส 70 ธงชาติเบลารุส เบลารุส 1–0 3–1 ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก[84]
15 9 กันยายน 2009 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 76 ธงชาติโครเอเชีย โครเอเชีย 2–0 5–1 ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก
16 4–0
17 12 มิถุนายน 2010 Royal Bafokeng Stadium, แอฟริกาใต้ 81 ธงชาติสหรัฐ สหรัฐ 1–0 1–1 ฟุตบอลโลก 2010
18 11 สิงหาคม 2010 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 85 ธงชาติฮังการี ฮังการี 1–1 2–1 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[85]
19 2–1
20 6 กันยายน 2013 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 104 ธงชาติมอลโดวา มอลโดวา 1–0 4–0 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
21 15 ตุลาคม 2013 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 107 ธงชาติโปแลนด์ โปแลนด์ 2–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก

การจัดการทีม

ลิเวอร์พูล อายุไม่เกิน 18 ปี

เรนเจอส์

ในเดือนเมษายน 2018 เจอร์ราร์ดได้เซ็นสัญญาเข้ารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมเรนเจอส์ จากสกอตติชพรีเมียร์ชิป ระยะเวลา 4 ปี โดยเข้ารับหน้าที่แทน Graeme Murty ที่ถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม

สถิติอาชีพ

สโมสร

การลงเล่นและจำนวนประตูที่ทำได้ แบ่งตามสโมสร ฤดูกาล และการแข่งขัน
สโมสร ลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
ฤดูกาล สโมสร ลีก ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
อังกฤษ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
1998–99[86] ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก 12 0 0 0 0 0 1[a] 0 0 0 13 0
1999–2000[87] 29 1 2 0 0 0 0 0 0 0 31 1
2000–01[88] 33 7 4 1 4 0 9[a] 2 0 0 50 10
2001–02[89] 28 3 2 0 0 0 15[b] 1 0 0 45 4
2002–03[90] 34 5 2 0 6 2 11[b] 0 1 0 54 7
2003–04[91] 34 4 3 0 2 0 8[a] 2 0 0 47 6
2004–05[92] 30 7 0 0 3 2 10[b] 4 0 0 43 13
2005–06[93] 32 10 6 4 1 1 12[b] 7 2 1 53 23
2006–07[94] 36 7 1 0 1 1 12[b] 3 1 0 51 11
2007–08[95] 34 11 3 3 2 1 13[b] 6 0 0 52 21
2008–09[96] 31 16 3 1 0 0 10[b] 7 0 0 44 24
2009–10[97] 33 9 2 1 1 0 13[b] 2 0 0 49 12
2010–11[98] 21 4 1 0 0 0 2[a] 4 0 0 24 8
2011–12[99] 18 5 6 2 4 2 0 0 0 0 28 9
2012–13[100] 36 9 1 0 1 0 8[a] 1 0 0 46 10
2013–14[101] 34 13 3 1 2 0 0 0 0 0 39 14
2014–15[102] 29 9 3 2 3 0 6[b] 2 37 13
อเมริกา เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ยูเอสโอเพนคัพ ลีกคัพ คอนคาแคฟแชมเปียนส์ลีก อื่น ๆ รวม
2015[103] ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ 13 2 1 0 0 0 1[c] 0 15 2
2016[103] 21 3 0 0 2[d] 0 0 0 23 3
รวม อังกฤษ 504 120 42 15 30 9 130 41 4 1 710 186
อเมริกา 34 5 1 0 2 0 1 0 38 5
รวมทั้งหมด 538 125 43 15 30 9 132 41 5 1 748 191

ทีมชาติ

ทีมชาติ ปี กระชับมิตร รอบคัดเลือก ทัวร์นาเมนต์ รวม
ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
อังกฤษ 2000 1 0 0 0 1 0 2 0
2001 1 0 5 1 6 1
2002 2 0 3 1 5 1
2003 3 1 5 0 8 1
2004 4 0 2 1 4 1 10 2
2005 3 0 5 1 8 1
2006 5 1 3 1 5 2 13 4
2007 3 0 8 2 11 2
2008 5 1 2 1 7 2
2009 2 0 5 2 7 2
2010 5 2 3 0 4 1 12 3
2011 0 0 0 0 0 0
2012 3 0 4 0 4 0 11 0
2013 3 0 5 2 8 2
2014 3 0 0 0 3 0 6 0
รวม 43 5 50 12 21 4 114 21

สถิติการจัดการทีม

ณ วันที่ 27 มกราคม 2019.
Team From To Record
G W D L Win % Ref.
เรนเจอส์ 1 มิถุนายน 2018 ปัจจุบัน 40 20 13 7 050.00

เกียรติประวัติ

นักฟุตบอล

สโมสร

ลิเวอร์พูล

ผู้จัดการทีม

กลาสโกว์เรนเจอส์

รางวัลส่วนตัว

  • Ballon d'Or Bronze Award (1) : ปี 2005
  • ผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีสโมสรยุโรป (1) : ปี 2005
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1) : ปี 2009
  • FWA Tribute Award (1) : ปี 2013
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1) : ปี 2006
  • นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1) : ปี 2001
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ (2) : ปี 2001, 2009
  • PFA Merit Award (1): 2015
  • ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (8) : ปี 2001, 2004, 2005, 2006, 2007, 2008, 2009, 2014
  • นักฟุตบอลอังกฤษแห่งปี (1): 2007, 2012
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month Award (4) : เดือนกันยายน 2010, มีนาคม 2012, มกราคม 2013, มีนาคม 2014
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของอีเอ สปอร์ตส์ (3) : มีนาคม 2014, กันยายน 2014, ธันวาคม 2014
  • Liverpool Player of the Year Award (4) : 2003–04, 2005–06, 2006–07, 2008–09
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (4) : ฤดูกาล 2004–05, 2005–06, 2008–09, 2014–15
  • ทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (1) : ปี 2012
  • ทีมแห่งปีของยูฟ่า (3) : ปี 2005, 2006, 2007
  • FIFA FIFPro World XI (3) : ปี 2007, 2008, 2009
  • ESM Team of the Year (1) : 2008–09
  • ประตูแห่งฤดูกาล (1) : ปี 2006
  • FIFA Club World Cup Silver Ball (1): 2005[104]
  • แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (1) : ปี 2005
  • แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ (1) : ปี 2006
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก (6) : มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009, มีนาคม 2014[105]
  • ECHO Sports Personality of the Year Award: 2014
  • ผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพกับลิเวอร์พูล: 2015
  • BBC Sports Personality of the Year Award – อันดับ 3 ปี 2005
  • IFFHS World's Most Popular Footballer (1) : ปี 2006
  • Premier League 20 Seasons Awards (1992–93 to 2011–12)
    • Fantasy Teams of the 20 Seasons (Public choice)
  • MLS All-Star: 2015
  • UEFA Ultimate Team of the Year (published 2015)[106]

รางวัลพิเศษ

  • เครื่องราชอิสยาภรณ์ชั้น เอ็มบีอี ปี 2007
  • Honorary Fellowship from Liverpool John Moores University ปี 2008

อ้างอิง

  1. Hugman, Barry J., บ.ก. (2010). The PFA Footballers' Who's Who 2010–11. Edinburgh: Mainstream Publishing. p. 164. ISBN 978-1-84596-601-0.
  2. Hugman, Barry J. (2005). The PFA Premier & Football League Players' Records 1946–2005. Queen Anne Press. p. 232. ISBN 1852916656.
  3. "8. Steven Gerrard". Liverpool F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 June 2015.
  4. UEFA.com (2020-05-27). "Miracle of Istanbul: An oral history of Liverpool's 2005 Champions League final win". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  5. "Gerrard highlights from 2006 FA Cup final as he fired Liverpool to West Ham win". The Sun (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-05-14.
  6. "Gerrard's FA Cup final screamer". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-09-06.
  7. "Liverpool career stats for Steven Gerrard - LFChistory - Stats galore for Liverpool FC!". www.lfchistory.net.
  8. "Steven Gerrard Positions". FootballCritic (ภาษาอังกฤษ).
  9. "The power of leadership: Steven Gerrard". Liverpool FC.
  10. "'Steven Gerrard was a leader. He always gave us great belief on the pitch'". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2015-05-15.
  11. "Steven Gerrard - Natural born leader". www.ucfb.ac.uk (ภาษาอังกฤษ).
  12. "Steven Gerrard Profile, News & Stats | Premier League". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
  13. "Steven Gerrard Hall of Fame Inductee | Premier League". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
  14. "Superb Gerrard set for 'deserving' 100th cap". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2012-11-12.
  15. "Euro 2012 day 12 analysis: Gerrard the catalyst for England". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2012-06-19.
  16. Echo, Liverpool (2012-07-02). "Steven Gerrard named in Euro 2012 team of the tournament". Liverpool Echo (ภาษาอังกฤษ).
  17. Club, Aston Villa Football. "Villa announce Steven Gerrard as Head Coach". Aston Villa Football Club.
  18. "Liverpool 2–3 Chelsea". BBC Sport. 27 February 2005. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  19. "Liverpool 3–1 Olympiakos". BBC Sport. 8 December 2004. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  20. "อิสตันบูล 2005: บทวิเคราะห์เชิงแท็กติก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-03.
  21. "Liverpool 3–3 West Ham (aet)". BBC Sport. 2006-05-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-22.
  22. "วันนี้ในอดีต: เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศปี 2006". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-17. สืบค้นเมื่อ 2015-05-16.
  23. "Gerrard named player of the year". BBC Sport. 23 April 2006. สืบค้นเมื่อ 19 December 2008.
  24. Phillips, Owen (1 May 2007). "Liverpool 1–0 Chelsea (Agg: 1–1)". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  25. McNulty, Phil (14 March 2009). "Man Utd 1–4 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 16 March 2009.
  26. "แมตช์คลาสสิก: แมนฯ ยูไนเต็ดแพ้ลิเวอร์พูล 1-4 (2009)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-16. สืบค้นเมื่อ 2015-03-15.
  27. "แมตช์คลาสสิก: ลิเวอร์พูลชนะเรอัลมาดริด 4-0 (2009)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-25. สืบค้นเมื่อ 2014-10-26.
  28. McNulty, Phil (22 March 2009). "Liverpool 5–0 Aston Villa". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 23 March 2009.
  29. Sanghera, Mandeep (4 November 2010). "Liverpool 3–1 Napoli". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2010-11-21.
  30. "Cardiff 2–2 Liverpool (Liverpool win 3–2 on penalties) " BBC Sport. 26 February 2012. Retrieved 16 June 2012.
  31. "Liverpool 3–0 Everton" BBC Sport. 13 March 2012. Retrieved 16 June 2012.
  32. "แมตช์คลาสสิก: ลิเวอร์พูลชนะเอฟเวอร์ตัน 3-0 (ปี 2012)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-16.
  33. "Liverpool 1–2 Man Utd" BBC Sport. 23 September 2012. Retrieved 30 September 2012.
  34. "Gerrard signs contract extension". Liverpool F.C. 15 July 2013. สืบค้นเมื่อ 15 July 2013.
  35. "กัปตันเจอร์ราร์ดเซอร์ไพรส์แฟนๆ ตั้งโต๊ะแจกลายเซ็นกลางดึก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-23. สืบค้นเมื่อ 2015-04-14.
  36. "เจอร์ราร์ด และสเตอร์ริดจ์ ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บหนึ่งแต้ม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-13.
  37. "หลายปีที่ผ่านมาของ สตีเวน เจอร์ราร์ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-21. สืบค้นเมื่อ 2015-04-16.
  38. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสโต๊ก ซิตี้". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-16. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  39. "ปฏิบัติการ SAS ช่วยเก็บชัยชนะถึงถิ่นสโต๊ก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-15. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  40. "กัปตันยิงจุดโทษช่วยลิเวอร์พูลเสมอวิลลา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-16.
  41. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบเอฟเวอร์ตัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-25.
  42. "ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะเอฟเวอร์ตันสุดประทับใจ 4-0". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-03. สืบค้นเมื่อ 2015-02-25.
  43. "เจอร์ราร์ดยิงจุดโทษเฉือนฟูแล่ม 3-2". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-16.
  44. "ประตูของเจอร์ราร์ดและซัวเรซทำให้โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเงียบงัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-21. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  45. "5 กุญแจสำคัญ ที่ตัดสินเกมกับแมนฯ ยูไนเต็ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-21. สืบค้นเมื่อ 2015-04-13.
  46. "ลิเวอร์พูลกวาดรางวัลยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนมีนาคม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-14. สืบค้นเมื่อ 2014-07-13.
  47. "สองประตูของเจอร์ราร์ดส่งให้ลิเวอร์พูลกลับสู่ตำแหน่งจ่าฝูง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-26.
  48. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบแมนเชสเตอร์ซิตี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-16. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  49. "คูตินโญ่ยิงประตูชัยเอาชนะแมนฯ ซิตี้ 3-2 รั้งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-16. สืบค้นเมื่อ 2015-02-24.
  50. "45 สถิติจากฤดูกาลที่น่าจดจำ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-06-23.
  51. "ลิเวอร์พูลบุกไปยิงสามประตูถึงไวท์ ฮาร์ต เลน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-09-06.
  52. "เจอร์ราร์ดยิงจุดโทษท้ายเกมให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยสุดดราม่า". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-09-22.
  53. "'ผลเสมอทำให้หงส์แดงตกรอบแชมเปียนส์ลีก'". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-12-13.
  54. "หงส์แดงถูกเลสเตอร์ไล่ตีเสมอที่แอนฟิลด์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-01-05.
  55. "สตีเวน เจอร์ราร์ด จะอำลาสโมสร เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2014-15". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-04. สืบค้นเมื่อ 2015-01-05.
  56. หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, ปิดตำนาน สตีวีจี.... "ไฮไลต์กีฬา". เดลินิวส์ฉบับที่ 23,826: วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558 แรม 2 ค่ำ เดือน 2 ปีมะเมีย
  57. "AFC Wimbledon 1 - 2 Liverpool". livescore.net. 6 January 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-08. สืบค้นเมื่อ 6 January 2015.
  58. "กัปตันเจอร์ราร์ด เบิ้ลสองประตูในเกมชนะวิมเบิลดัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-01-09.
  59. "เศร้าให้สุด! "เจอร์ราร์ด" เข้าผับดัง หลังอดชิงเอฟเอ คัพ". เนชั่นทีวี. 21 April 2015. สืบค้นเมื่อ 30 April 2015.
  60. "เจอร์ราร์ดยินดีรับรางวัลพิเศษของพีเอฟเอ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-29.
  61. "5 ข้อเท็จจริงที่ได้รับจากเกมลิเวอร์พูลชนะควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์ส". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-08. สืบค้นเมื่อ 2015-05-08.
  62. "เจอร์ราร์ดขึ้นไปรั้งอันดับ 5 ดาวยิงตลอดกาลของลิเวอร์พูล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-05-07.
  63. "สตีเวน เจอร์ราร์ด ช่วยให้ลิเวอร์พูลแบ่งแต้มกับเชลซี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-05-15.
  64. "ลิเวอร์พูลพ่ายในนัดสตีเวน เจอร์ราร์ด อำลาแอนฟิลด์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-05-19.
  65. "คูตินโญ่กวาด 4 รางวัล ในงานประกาศรางวัล Players' Awards". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-05-24.
  66. หน้า 19 ต่อจากหน้า 17 กีฬา, หงส์พ่ายยับครึ่งโหลอำลาสตีวี. "เชลซีฉลองชัยไล่ต้อนแมวดำ". เดลินิวส์ฉบับที่ 23,965: วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม
  67. "สโต๊กถล่มลิเวอร์พูลในเกมอำลาสนามของเจอร์ราร์ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-27. สืบค้นเมื่อ 2015-05-28.
  68. "สตีเวน เจอร์ราร์ด ประกาศยืนยันการแขวนสตั๊ด". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-11-26. สืบค้นเมื่อ 2016-11-24.
  69. "'ผมได้เติมเต็มความฝันในวัยเด็ก' แถลงการณ์ของสตีเวน เจอร์ราร์ด ฉบับเต็ม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-04-30. สืบค้นเมื่อ 2016-11-24.
  70. "ไม่รอเตะยูโร "สตีวีจี" บอกลาทีมชาติ". ผู้จัดการออนไลน์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-27. สืบค้นเมื่อ 2014-07-22.
  71. "สตีเวน เจอร์ราร์ด อำลาทีมชาติอังกฤษ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-07-28.
  72. "Awesome England thrash Germany". BBC Sport. 2001-09-01. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  73. "Macedonia hold ragged England". BBC Sport. 2002-10-16. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  74. "England seal late win". BBC Sport. 2003-06-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  75. "England 3–0 Switzerland". BBC Sport. 2004-06-17. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  76. "Austria 2–2 England". BBC Sport. 2004-09-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  77. "England 2–0 Azerbaijan". BBC Sport. 2005-03-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  78. "England 3–1 Hungary". BBC Sport. 2006-05-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  79. "England 2–0 Trinidad and Tobago". BBC Sport. 2006-06-15. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  80. "Sweden 2–2 England". BBC Sport. 2006-06-20. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  81. "England 5–0 Andorra". BBC Sport. 2006-09-02. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  82. McNulty, Phil (2007-03-28). "Andorra 0–3 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  83. "England beats United States 2–0". International Herald Tribune. 2008-05-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-27. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  84. "Belarus 1–3 England FT". The FA. 2008-10-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-01. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  85. Winter, Henry (2010-08-11). "England 2–1 Hungary FT". London: The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 2010-08-13.
  86. "Matches played by Steven Gerrard in 1998–99". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  87. "Matches played by Steven Gerrard in 1999–2000". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  88. "Matches played by Steven Gerrard in 2000–2001". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  89. "Matches played by Steven Gerrard in 2001–2002". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  90. "Matches played by Steven Gerrard in 2002–2003". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  91. "Matches played by Steven Gerrard in 2003–2004". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  92. "Matches played by Steven Gerrard in 2004–2005". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  93. "Matches played by Steven Gerrard in 2005–2006". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  94. "Matches played by Steven Gerrard in 2005–2006". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  95. "Matches played by Steven Gerrard in 2007–2008". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  96. "Matches played by Steven Gerrard in 2008–2009". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  97. "Matches played by Steven Gerrard in 2009–2010". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  98. "Matches played by Steven Gerrard in 2010–2011". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  99. "Matches played by Steven Gerrard in 2011–2012". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  100. "Matches played by Steven Gerrard in 2012–2013". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  101. "Matches played by Steven Gerrard in 2013–2014". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  102. "Matches played by Steven Gerrard in 2014–15". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 17 September 2014.
  103. 103.0 103.1 "S. Gerrard". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 9 April 2016.
  104. "2005 FIFA Club World Championship awards". Fédération Internationale de Football Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-28. สืบค้นเมื่อ July 30 2015. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  105. "LFC By Numbers: 4 สิ่งที่สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำได้ยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-04-03. สืบค้นเมื่อ 2015-03-25.
  106. "Ultimate Team of the Year: The All-Time XI". UEFA. 22 November 2015. สืบค้นเมื่อ 25 November 2015.

แหล่งข้อมูลอื่น

ก่อนหน้า สตีเวน เจอร์ราร์ด ถัดไป
จอห์น เทร์รี นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ
(พ.ศ. 2549)
คริสเตียโน โรนัลโด
คริสเตียโน โรนัลโด นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ
(2009)
เวย์น รูนีย์
ซามี ฮูเปีย กัปตันทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
(2003–2015)
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
จอห์น เทร์รี กัปตันทีมฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
(2012–2014)
เวย์น รูนีย์