มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Mission: Impossible – Ghost Protocol)
มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา
โปสเตอร์ภาพยนตร์
กำกับแบรด เบิร์ด[1]
เขียนบทจอช แอปเพลบอม[2]
อังเดร เนเมค[2]
สร้างจากมิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล
โดย บรูซ เกลเลอร์
อำนวยการสร้างทอม ครูซ
เจ.เจ. แอบรัมส์
ไบรอัน เบิร์ค
นักแสดงนำทอม ครูซ
วิง เรมส์
วลาดิเมียร์ มาชคอฟ
เจเรมี เรนเนอร์
ไซมอน เพกก์
พอลลา แพทตัน
กำกับภาพโรเบิร์ต เอลสวิท
ตัดต่อพอล เฮิร์ช
ดนตรีประกอบไมเคิล จาคคิโน
บริษัทผู้สร้าง
ผู้จัดจำหน่ายพาราเมาท์พิกเจอร์ส
วันฉาย7 ธันวาคม ค.ศ. 2011 (ดูไบ)
15 ธันวาคม ค.ศ. 2011 (ไทย)[3]
16 ธันวาคม ค.ศ. 2011 (สหรัฐอเมริกา)
ความยาว133 นาที[4]
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ภาษาอังกฤษ
ทุนสร้าง145 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[5]
ทำเงิน694.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[5]
ก่อนหน้านี้เอ็ม ไอ ทรี: มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล
ต่อจากนี้มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการรัฐอำพราง
ข้อมูลจาก IMDb
ข้อมูลจากสยามโซน

มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา (อังกฤษ: Mission: Impossible – Ghost Protocol) เป็นภาพยนตร์โลดโผน/สายลับที่จัดฉายในปลายปี ค.ศ. 2011 และเป็นภาค 4 ของซีรีส์ มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล โดยมีนักแสดงอย่าง ทอม ครูซ มารับบทเป็นตัวแทนหน่วยไอเอ็มเอฟ ซึ่งมีชื่อว่า อีธาน ฮันท์ และเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นเรื่องแรกที่แบรด เบิร์ด กำกับ[1] ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในอเมริกาเหนือวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2011

เรื่องย่อ[แก้]

ที่บูดาเปสต์ เจ้าหน้าที่เทรเวอร์ ฮานาเวย์ ถูกนักฆ่าสาว ซาบีน มอโรสังหารระหว่างปฏิบัติภารกิจสืบหาบุคคลลึกลับในชื่อ "โคบอลต์" ทำให้หัวหน้าทีมของฮานาเวย์ เจน คาร์เตอร์และเจ้าหน้าที่ภาคสนามคนใหม่ เบนจี้ ดันน์ ต้องพาตัวอีธาน ฮันต์และแหล่งข่าวออกมาจากคุกในมอสโก ฮันต์ได้รับภารกิจให้เข้าไปค้นหาเอกสารลับที่อยู่ในพระราชวังเครมลิน ซึ่งจะบ่งชี้ได้ว่าใครคือโคบอลต์ แต่ในระหว่างที่ปฏิบัติภารกิจอยู่นั้น กลับมีคนส่งสัญญาณเตือนพวกทหารรัสเซีย ต่อมาพระราชวังเครมลินก็ถูกระเบิด แม้ว่าคาร์เตอร์และดันน์จะหนีไปได้ แต่ฮันต์ซึ่งบาดเจ็บก็ถูกจับกุมและตกเป็นผู้ต้องหาในการก่อเหตุนี้

ฮันต์หลบหนีออกมาได้ หลังการพบปะกับรัฐมนตรีของ IMF และนักวิเคราะห์ วิลเลียม แบรนต์ ทั้งสามก็ถูกลอบโจมตีโดยเจ้าหน้าที่รัสเซีย รัฐมนตรีถูกสังหาร ส่วนฮันต์และแบรนต์ต้องหนีไปรวมกับคาร์เตอร์และดันน์ ในขณะที่รัสเซียประกาศว่านี่เป็นการประกาศสงครามอย่างไม่เป็นทางการจากสหรัฐฯ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็สั่งเริ่ม "ปฏิบัติการไร้เงา" แสดงความไม่รับผิดชอบและรับรู้ถึงการมีอยู่ของหน่วย IMF ที่ถูกหมายหัวว่าเป็นผู้ก่อเหตุ ฮันต์และเพื่อนร่วมทีมเริ่มสืบ พบว่าโคบอลต์คือ เคิร์ต เฮนดริกส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธนิวเคลียร์ และเป็นผู้อยู่หลังเหตุระเบิดที่เครมลินเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยที่เขาเข้าไปขโมยอุปกรณ์ควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม เฮนดริกส์ต้องการรหัสปล่อยอาวุธซึ่งตอนนี้อยู่ที่มอโร ทีมของฮันต์สืบหาจนพบว่าการแลกเปลี่ยนจะเกิดขึ้นที่บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ อาคารที่สูงที่สุดในโลกในดูไบ คาร์เตอร์แยกไปต่อรองกับวิสตรอม มือขวาของเฮนดริกส์ ส่วนฮันต์และแบรนต์ไปพบมอโรเพื่อขอรหัส แต่มอโรรู้ตัวก่อนว่าแบรนต์คือสายลับ จึงเกิดการต่อสู้กัน ฮันต์ไล่ตามวิสตรอมซึ่งต่อมาเขาพบว่าเป็นเฮนดริกส์ปลอมตัวมา ส่วนคาร์เตอร์สู้กับมอโรจนมอโรร่วงลงจากอาคาร หลังภารกิจล้มเหลว ฮันต์ตั้งข้อสังเกตว่าแบรนต์อาจมีลับลมคมในกับคนในทีม แบรนต์จึงยอมเล่าว่าเดิมตนเคยเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ทำหน้าที่ปกป้องฮันต์และจูเลีย ภรรยาของฮันต์ แต่ล้มเหลว จูเลียถูกฆ่าโดยกลุ่มนักฆ่าชาวเซอร์เบีย ส่วนฮันต์ที่ออกตามล่ากลุ่มนักฆ่าดังกล่าวก็ถูกจับกุม

บ็อกแดน แหล่งข่าวที่ฮันต์พาออกมาด้วยให้ข้อมูลว่าเฮนดริกส์อาจจะอยู่ที่มุมไบ เพื่อทำการซื้อขายดาวเทียมทางการทหารที่ไม่ใช้แล้วสมัยโซเวียตจากนักธุรกิจชาวอินเดีย บริจ นาธ คาร์เตอร์ลวงนาธเพื่อขอรหัสสั่งการดาวเทียม ส่วนแบรนต์และดันน์ไปที่เซิร์ฟเวอร์เพื่อหาทางหยุดไม่ให้ดาวเทียมทำงาน แต่เฮนดริกส์รู้ทันจึงทำลายเซิร์ฟเวอร์ก่อน ฮันต์ไล่ตามเฮนดริกส์ที่หนีไปพร้อมกระเป๋าสั่งปล่อยอาวุธ ในขณะที่ทุกคนทำทุกวิถีทางเพื่อกู้เซิร์ฟเวอร์กลับมา ฮันต์และเฮนดริกส์ก็สู้กันจนเฮนดริกส์ตัดสินใจกระโดดลงจากอาคารเพื่อป้องกันไม่ให้ฮันต์ได้กระเป๋าไป ส่วนแบรนต์และวิสตรอมก็สู้กันจนกระทั่งดันน์ตามมาสมทบและฆ่าวิสตรอม พร้อมทั้งกู้เซิร์ฟเวอร์คืนได้สำเร็จ ทำให้ฮันต์สั่งปิดระบบอาวุธได้ทันเวลาพอดี ครู่ต่อมาเจ้าหน้าที่รัสเซียนำโดยซิโดรอฟซึ่งติดตามไล่ล่าฮันต์มาโดยตลอดก็พบว่าฮันต์เป็นผู้บริสุทธิ์

หลายสัปดาห์ต่อมาที่ซีแอตเทิล ฮันต์แนะนำทีมของตนให้รู้จักกับลูเทอร์ สติกเคล และแจ้งภารกิจใหม่ ดันน์และคาร์เตอร์รับภารกิจ ส่วนแบรนต์ปฏิเสธเนื่องจากยังมีอดีตที่ไม่ดีเกี่ยวกับงานภาคสนามอยู่ ฮันต์เปิดเผยว่าการที่จูเลียตายเป็นเพียงแค่การแสดง เพื่อให้เขาเข้าใกล้บ็อกแดน เมื่อแบรนต์ได้รับฟังจึงยอมรับภารกิจ หลังทุกคนแยกย้าย ฮันต์ก็เห็นจูเลียอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ก่อนที่ฮันต์จะปลีกตัวเพื่อไปทำภารกิจใหม่

นักแสดง[แก้]

การสร้าง[แก้]

ภาพยนตร์เลือกใช้สถานที่ถ่ายทำใน ดูไบ, ปราก, มอสโก, มุมไบ และแวนคูเวอร์[2][7][8] และบางส่วนของภาพยนตร์ถ่ายทำด้วยกล้องไอแมกซ์ซึ่งถ่ายทำประมาณ 30 นาทีของช่วงเดินเรื่อง[9][10] นอกจากนี้ ทอม ครูซ ซึ่งรับบทเป็นอีธาน ฮันท์ ยังได้รับบทผาดโผนที่ด้านนอกของหอบุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกด้วยตัวเอง โดยปราศจากนักแสดงแทน[11]

การเผยแพร่[แก้]

ภาพยนตร์จัดฉายรอบปฐมทัศน์ครั้งแรกในโลกที่นครดูไบในวันที่ 7 ธันวาคม[12] และมีการให้ชมก่อนในแบบไอแมกซ์รวมถึงในรูปแบบภาพยนตร์จอยักษ์ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2011 กับในแบบปกติทั่วไปในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2011[13]

บ็อกซ์ออฟฟิศ[แก้]

มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา มีรายได้รวมทั่วโลกที่ 694,713,380 ดอลลาร์[14] ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้รวมทั่วโลกสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของซีรีส์ มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล[15]

การตอบรับ[แก้]

ความคิดเห็นในช่วงเริ่มให้การตอบรับในเชิงบวกอย่างมาก โดยทางรอตเทนโทเมโทส์ให้คะแนนตอบรับที่ 93 เปอร์เซ็นต์[16]

รางวัล[แก้]

มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา ได้รับรางวัลแซทเทิร์น ประจำปี ค.ศ. 2012 สาขาภาพยนตร์โลดโผน/ผจญภัยยอดเยี่ยมและสาขาตัดต่อยอดเยี่ยม[17]

ภาคต่อ[แก้]

ในการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดได้เปิดเผยว่า ทอม ครูซ, ไซมอน เพ็กก์ และแบรด เบิร์ด ต่างให้ความสนใจต่อการกลับมาอีกครั้งในภาคห้าสำหรับภาพยนตร์ มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล[18] ส่วนแบรด เบิร์ด ได้กล่าวว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมากำกับในภาพยนตร์ภาคห้าของซีรีส์นี้อีก[19]

ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม 2013 มีการเปิดเผยว่าคริสโตเฟอร์ แม็คควอรี จะรับหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ลำดับที่ 5 ของชุดนี้[20] โดยมีกำหนดเปิดกล้องช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014[21] ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ก็มีการประกาศกำหนดเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ในวันที่ 25 ธันวาคม 2015[22] แต่ต่อมาทาง Paramount Pictures ได้ประกาศเลื่อนวันเข้าฉายเข้ามาเป็นวันที่ 31 กรกฎาคม 2015[23]

ในวันที่ 22 มีนาคม 2015 ตัวอย่างภาพยนตร์แรกถูกเผยแพร่ โดยภาคที่ 5 จะใช้ชื่อว่า Mission: Impossible – Rogue Nation[24]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 Peter Sciretta (May 7, 2010). "Brad Bird Confirmed for Mission: Impossible 4". /Film. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-11. สืบค้นเมื่อ September 28, 2010.
  2. 2.0 2.1 2.2 Russ Fischer (September 28, 2010). "Josh Holloway Joins Fourth 'Mission: Impossible'". /Film. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-10-01. สืบค้นเมื่อ September 28, 2010.
  3. หนัง Mission: Impossible - Ghost Protocol (ไทย)
  4. "Mission: Impossible - Ghost Protocol - Movie Trailers". Fandango.com. สืบค้นเมื่อ 15 December 2011.
  5. 5.0 5.1 "Mission:Impossible – Ghost Protocol Box Office Data". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ March 15, 2012.
  6. Dargis, Manohla (December 15, 2011). "Movie Review: Mission: Impossible — Ghost Protocol: Falling Off Skyscrapers Sometimes Hurts a Bit". The New York Times. สืบค้นเมื่อ May 10, 2015.
  7. ""Mission Impossible 4" called "Ghost Protocol": Cruise". Reuters. October 28, 2010.
  8. "Mission Impossible 4 shooting in Mumbai!". The Times of India. สืบค้นเมื่อ 25 April 2011.
  9. "Paramount Pictures and IMAX Pact for Four Films in 2011". Giant Screen Cinema Association. 2011-01-10. สืบค้นเมื่อ 2011-01-18.
  10. "Mission Impossible' To Open Early On IMAX". Paramount Pictures press release via Deadline.com. 2011-10-05. สืบค้นเมื่อ 2011-10-27.
  11. "Sitting on top of the world! Is that Tom Cruise performing a death-defying stunt on the planet's highest skyscraper?". dailymail. 2010-11-25. สืบค้นเมื่อ 2011-10-27.
  12. "Mission: Impossible – Ghost Protocol" to open 8th Dubai International Film Festival". 2011-11-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-17. สืบค้นเมื่อ 2011-12-02.
  13. "Paramount Opening 'Mission: Impossible -- Ghost Protocol' Five Days Early in Imax". Hollywood Reporter. 2011-09-28. สืบค้นเมื่อ 2011-10-03.
  14. "Mission: Impossible - Ghost Protocol (2011)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ January 10, 2012.
  15. "Mission: Impossible - Franchise". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ 27 November 2018.
  16. Mission: Impossible Ghost Protocol - Rotten Tomatoes
  17. "RISE OF THE PLANET OF THE APES and SUPER 8 lead Saturn Awards with 3 awards each". saturnawards.org. July 26, 2012. สืบค้นเมื่อ July 27, 2012.
  18. Exclusive : Pegg, Bird on Mission : Impossible 5; Tom Cruise not retiring Ethan Hunt after all เก็บถาวร 2012-06-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Movie Hole
  19. The 'Alien 3' Effect: Brad Bird on Mission: Impossible – Ghost Protocol เก็บถาวร 2012-06-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Crave Online
  20. [1]
  21. [2]
  22. [3]
  23. Paramount Shifts 'Mission: Impossible 5' Release Date to Summer 2015
  24. Mission: Impossible Rogue Nation - Fate

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]