เดสทินีส์ไชลด์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Destiny's Child)
เดสทินีส์ไชลด์
ข้อมูลพื้นฐาน
ที่เกิดฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
แนวเพลงอาร์แอนด์บี, ฮิปฮอป ,ป็อป, โซล
ช่วงปี1990–2006
ค่ายเพลงโคลัมเบียเรเคิดส์
อดีตสมาชิกบียอนเซ่ โนวส์ (1990-2006)
เคลลี โรว์แลนด์ (1990-2006)
มิเชลล์ วิลเลียมส์(1999-2006)
ลาทาเวีย โรเบอร์สัน (1990–2000)
เลโทย่า ลักเก็ตต์ (1992–2000)
ฟาร์ราห์ แฟรงคลิน (2000)

เดสทินีส์ไชลด์ (อังกฤษ: Destiny's Child) เป็นวงหญิงล้วนแนวอาร์แอนด์บี และป็อป มีสมาชิกคือ นักร้องนำ บียอนเซ่ โนวส์ เคลลี โรว์แลนด์ และ มิเชลล์ วิลเลียมส์ ออกผลงานอัลบั้มหลัก 4 สตูดิโออัลบั้ม และ มีซิงเกิลอันดับ 1 ในอเมริกา 4 ซิงเกิล รวมทั้งออกผลงานเดี่ยวแล้ว พวกเธอมียอดขาย 50 ล้านชุดทั่วโลก และ 17.5 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา[1][2] และจากการอ้างโดยเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส พวกเธอเป็นกลุ่มศิลปินหญิงที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[3][4] นิตยสารบิลบอร์ดจัดอันดับศิลปินกลุ่ม 3 คน พวกเธอก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดนตรีที่ดีที่สุดตลอดกาล[5][6]

หลังจากก่อตั้งวงในปี 1990 ในฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส เดสทินีส์ไชลด์เริ่มต้นในวงการดนตรีด้วยความอุตสาหะ กับวงสาวแรกรุ่น มีสมาชิก เด็กหญิง 6 คนภายใต้ชื่อ เกิร์ลสไทม์ (Girls' Tyme) หลังจากความพยายามมาหลายปี พวกเธอก็ได้เซ็นสัญญากับโคลัมเบียเรเคิดส์และเปลี่ยนชื่อวง โดยมีผลงานชุดแรกในชื่อวง และประสบความสำเร็จพอควร แต่หลังจากออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ในปี 199 ชื่อชุด เดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์ ที่ทำให้พวกเธอเป็นที่รู้จักในกระแสหลัก มีซิงเกิลฮิตอย่างเช่น "Bills, Bills, Bills", "Bug a Boo" และ "Say My Name" อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยความสำเร็จทางด้านคำวิจารณ์และยอดขายที่ดี กลุ่มก็เกิดความขัดแย้งภายในและความวุ่นวายเกี่ยวกับกฎหมาย สมาชิกในวงอย่าง ลาทาเวีย โรเบอร์สัน และ เลโทยา ลักเก็ตต์ พยายามจะไล่ผู้จัดการของวงออก (พ่อของโนวส์) ชื่อแมททิว โนวส์ โดยอ้างถึงความลำเอียงกับโนวส์และโรว์แลนด์ ในที่สุดพวกเธอก็ออกไปและ วิลเลียมส์และฟาร์ราห์ แฟรงคลิน ก็เข้ามาแทน แต่ต่อมาปี 2000 แฟรงคลินก็ออกจากวงไป จนเป็นกลุ่มศิลปิน 3 คน

ในอัลบั้มที่ 3 ชุด เซอร์ไวเวอร์ ซึ่งมีผลงานฮิตโด่งดังทั่วโลกอย่างเช่น "Independent Women", "Survivor" และ "Bootylicious" ต่อมาในปี 2002 เดสทินีส์ไชลด์ ออกมาประกาศแยกทางชั่วคราว และพวกเธอก็กลับมารวมตัวอีกครั้งในปี 2004 กับอัลบั้มชุด เดสทินีฟูล์ฟิลด์ 1 ปีต่อมาได้ออกเวิลด์ทัวร์ จนออกมาประกาศว่าแตกวงถาวร และพวกเธอก็ออกผลงานเดี่ยวทั้งด้านดนตรี ละครเวที รายการโทรทัศน์และภาพยนตร์

ประวัติ[แก้]

เดสทินีส์ไชลด์ก่อตั้งวงขึ้นในปี 1990 ในเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ในตอนแรกเดสทินีส์ไชลด์ มีสมาชิก 6 คน โดยใช้ชื่อ เกิร์ลสไทม์ (Girls' Tyme) พวกเธอได้ขึ้นเวทีครั้งแรกในรายการ Star Search ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังในขณะนั้น แต่ผลออกมาไม่ค่อยดี เพราะการแสดงออกมายังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก ในปี 1993 ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในวงคือ เลโทย่า ลัคเก็ท ต่อมาก็คัดเหลือ 4 คน และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดสทินีส์ไชลด์

ปี 1995 เป็นปีที่สำคัญของวงนี้ จากการฝึกฝนอย่างหนักพวกเธอได้รับโอกาสออดิชั่นเข้าในสังกัดค่ายเพลงอีเลกตราเรเคิดส์ หลังจากเข้าสังกัดค่ายเพลงดังกล่าว เดสทินีส์ไชลด์ ได้รับงานโชว์ตามงานต่างๆ ต่อมาในปี 1997 ก็ได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายเพลง โคลัมเบียเรเคิดส์

เดสทินีส์ไชลด์มีซิงเกิลแรกคือเพลง "คิลลิงไทม์" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เม็นอินแบล็ค ไม่นานก็ได้ออกอัลบั้มชุดแรกโดยใช้ชื่อเหมือนชื่อวงคือ เดสทินีส์ไชลด์ ในปี 1998 ซิงเกิลแรกเพลง "โน,โน,โน" ได้รับ 3 รางวัลจากเวทีงานประกาศผลรางวัลโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดส อัลบั้มนี้ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก จนมาถึงอัลบั้ม เดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์ ในปี 1999 อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 13 ล้านชุดทั่วโลก ซิงเกิลที่ออกมาล้วนเป็นที่นิยมเช่นเพลง "บิลส์, บิลส์, บิลส์" ซิงเกิลอันดับ 1 เพลงแรก และเพลง "จัมพิน', จัมพิน'" รวมถึงเพลงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงจนถึงปัจจุบันนี้อย่างเพลง "เซย์มายเนม" ซึ่งในปีนั้นคว้ารางวัลแกรมมีมาถึง 2 รางวัล[7] จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอเป็นที่จับตามองของสื่อและผู้คนมากมาย ในฐานะกลุ่มศิลปินหญิงหน้าใหม่ในยุคนั้น

แต่ก็เกิดปัญหา เมื่อสมาชิกในวงได้มีการเปลี่ยนตัว หลังจาก เลโทย่า และ โรเบอร์สัน ถูกปลดออกจากวง ก็ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาคือ มิเชล วิลเลียม และ ฟาร์ราห์ แฟรงคลิน ต่อมาได้ 5 เดือน ฟาร์ราห์ ได้ลาออกจากวงเนื่องจากปัญหาส่วนตัว ทำให้เดสทินีส์ไชลด์เหลือสมาชิกเพียง 3 คนคือ โนวส์, โรว์แลนด์, และวิลเลียม

โนวส์ร้องเพลง "อินดีเพนเดนท์วูแมนพาร์ท1" เพลงที่ฮิตที่สุดของเดสทินีส์ไชลด์

ในปี 2000 พวกเธอได้ออกซิงเกิลเพลงประกอบภาพยนตร์ นางฟ้าชาลี ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการขึ้นอันดับ 1 ถึง 7 สัปดาห์ นั่นคือเพลง "อินดีเพนเดนท์วูแมนพาร์ท1" อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเธอ เซอร์ไวเวอร์ วางขายในปี 2001 ติดอันดับบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 663,000 ชุดในสัปดาห์แรก[8] และขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก และยังมีซิงเกิลที่ฮิตติดชาร์ทอีกมากมายอย่างเพลง "เซอร์ไวเวอร์" และ "บูตีลิเชียส" จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอคว้ารางวัลแกรมมีมาได้อีก 1 รางวัล[9] ต่อมาพวกเธอได้มีอัลบั้ม 8 เดส์ออฟคริสต์มาส ซึ่งวางขายในปี 2001 เช่นกัน ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส หลังจากวางขายอัลบั้มแล้ว ก็ได้มีการพักงานชั่วคราว เพื่อที่สมาชิกแต่ละคนจะได้ออกผลงานเดี่ยวของตน

เดสทินีส์ไชลด์ร้องเพลง "เซย์มายเนม" ในทัวร์คอนเสิร์ต เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ... แอนด์เลิฟวิน'อิทเวิลด์ทัวร์

หลังจาก 3 ปีที่พวกเธอได้ทำผลงานเดี่ยว พวกเธอก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในอัลบั้มชุดที่ 4 เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 [10] อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปสูงสุดในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดได้ในอันดับที่ 2 มีซิงเกิลที่ฮิตอย่างเพลง "ลอสมายบรีท" , "โซล์เดอร์" , "เกิร์ล" , และ "คาเตอร์ทูยู" ต่อมาได้มีคอนเสิร์ตทัวร์ เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ... แอนด์เลิฟวิน'อิทเวิลด์ทัวร์ ช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน ปี 2005 ในปีเดียวกันก็ได้ออกอัลบั้มรวมฮิตชุดแรก #1's ที่รวบรวมซิงเกิลอันดับ 1 และเพลงฮิตทั้งหมดที่ทุกคนรู้จักตั้งแต่ก่อตั้งวงนี้มา รวมถึงเพลงพิเศษอย่าง "สแตนด์อัพฟอร์เลิฟ" ในปี 2005 จากความสำเร็จอย่างมากมาย

ความทุ่มเทในการทำงานของพวกเธอทำให้ได้รับการจารึกชื่อวง เดสทินีส์ไชลด์ลงบน ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม ในเดือนมีนาคม ปี 2006[11] และในที่สุดวงนี้ก็ได้ประกาศยุบตัวลง เพื่อสมาชิกแต่ละคนจะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เหลือเพียงตำนานและชื่อเสียงที่น่าจดจำของ กลุ่มศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล[12][13] และยังได้ตำแหน่ง 100 ศิลปินตลอดกาลที่บิลบอร์ดจัดขึ้นในปี 2008[14]

ผลงาน[แก้]

ซิงเกิล[แก้]

ปี ชื่อ อันดับ อัลบั้ม
U.S.
[15][16]
UK AUS
[17]
CAN IRE NZ FRA
1997 "No, No, No" (ร่วมกับ Wyclef Jean)
3
5
28
7
6
6
8
เดสทินีส์ไชลด์
1998 "With Me" (ร่วมกับ Jermaine Dupri)
19
3
20
16
8
"Get on the Bus" (ร่วมกับ Timbaland)
15
14
16
29
9
เดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์
1999 "Bills, Bills, Bills"
1
6
26
9
4
1
20
"Bug a Boo"
33
9
26
5
3
8
7
2000 "Say My Name"
1
3
1
2
1
4
1
"Jumpin', Jumpin'"
3
5
2
6
18
6
28
"Independent Women Part I"
1
1
3
1
1
1
19
เซอร์ไวเวอร์
2001 "Survivor"
2
1
7
1
1
1
12
"Bootylicious"
1
2
4
4
5
4
5
"Emotion"
10
3
17
20
2
6
2002 "Nasty Girl"
10
"8 Days of Christmas"
8 เดส์ออฟคริสต์มาส
2004 "Rudolph the Red-Nosed Reindeer"
"Lose My Breath"
3
2
3
16
1
2
8
เดสทินีฟูล์ฟิลด์
"Soldier" (ร่วมกับ T.I. และ Lil Wayne)
3
4
3
2
6
4
28
2005 "Girl"
23
6
5
3
8
6
"Cater 2 U"
14
15
9
3
7
"Stand Up for Love"
นัมเบอร์วันส์
เพลงที่ติดอับดับหนึ่ง 4 2 1 2 4 3 1
เพลงที่อยู่ใน 10 อันดับแรก 10 12 9 12 11 13 8

อ้างอิง[แก้]

  1. "R&B stars Destiny's Child split". British Broadcasting Corporation. 2005-06-13. สืบค้นเมื่อ 2008-10-04.
  2. "Top Selling Artists". Recording Industry Association of America. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-22. สืบค้นเมื่อ 2008-05-24.
  3. "Beyonce Knowles". Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-22. สืบค้นเมื่อ 2008-04-12.
  4. Keller, Julie (2005-09-01). "Destiny's World Domination". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
  5. "Beyonce Knowles". Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-22. สืบค้นเมื่อ 2008-04-12.
  6. Keller, Julie (2005-09-01). "Destiny's World Domination". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
  7. 43th Grammy Awards - 2001 rockonthenet.com
  8. Destiny's Child Shoot Straight To No. 1 Billboard (Nielsen Business Media, Inc.)
  9. 44th Grammy Awards - 2002 rockonthenet.com
  10. Destiny's Child's Long Road To Fame (The Song Isn't Called 'Survivor' For Nothing) mtv.com
  11. Destiny's Child gets Walk of Fame star msnbc.msn.com
  12. "Beyonce Knowles". Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-22. สืบค้นเมื่อ 2008-04-12.
  13. Keller, Julie (2005-09-01). "Destiny's World Domination". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28.
  14. "The Billboard Hot 100 All-Time Top Artists". Billboard. Nielsen Business Media, Inc. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17.
  15. "Artist Chart History - Destiny's Child". Billboard. Nielsen Business Media, Inc. สืบค้นเมื่อ 2008-11-13.
  16. "Destiny's Child: Billboard Singles". Allmusic. สืบค้นเมื่อ 2009-02-11.
  17. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ AUSChart