เฮอร์เมทิคา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เฮอร์เมทิคาเป็นวรรณคดีโบราณของอียิปต์ เชื่อกันว่าเขียนขึ้นโดยเทพเจ้าธอธซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์ไฮโรกลิฟ ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าองค์นี้เป็นองค์เดียวกับเทพเฮอร์มีสของตน จึงเรียกงานเขียนของเทพธอธว่าเฮอร์เมทิคา

ประวัติ[แก้]

ต้นกำเนิดของคัมภีร์เฮอร์เมทิคายังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะสืบทอดมาจากปรัชญาอียิปต์โบราณ ผลงานที่เหลือเป็นงานเขียนในภาษากรีก ภาษาละตินและภาษาคอปติก เคยมีต้นฉบับอยู่ในหอสมุดอะเล็กซานเดรีย จนกระทั่งห้องสมุดถูกทำลายในสมัยที่จักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันที่นับถือศาสนาคริสต์สั่งปิดวิหารของพวกเพเกินทั่วจักรวรรดิ ทำให้งานเขียนของพวกเพเกินรวมทั้งเฮอร์เมทิคาหายสาบสูญไป

จนกระทั่งในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ จึงมีการค้นพบต้นฉบับเฮอร์เมทิคาอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2003 ทำให้มีการศึกษาคัมภีร์นี้มากขึ้น อย่างไรก็ตามใน พ.ศ. 2157 ไอแซค กาโซบง ได้เสนอความเห็นว่าคัมภีร์เฮอร์เมทิคาที่เหลือรอดในยุคปัจจุบันไม่ได้เขียนขึ้นในยุคอียิปต์โบราณ แต่น่าจะเขียนขึ้นในช่วงก่อนคริสตกาลเพียง 200 -300 ปี เมื่อวิเคราะห์ไวยากรณ์ คำศัพท์ของภาษาที่ใช้เขียนคัมภีร์นี้

คัมภีร์เฮอร์เมทิคามีการแปลเป็นภาษาไทยโดยกิ่งแก้ว อัตถากร โดยแปลจากฉบับภาษาอังกฤษของทิโมธี ฟรีค และปีเตอร์ แกนดี้

เนื้อหา[แก้]

เนื้อหาของคัมภีร์เฮอร์เมทิคาในฉบับภาษาอังกฤษของทิโมธี ฟรีค และปีเตอร์ แกนดี้เป็นการสรุปปรัชญาของเฮอร์เมทิคา 18 เล่มซึ่งมีเนื้อหาแบ่งเป็นตอนๆ ดังนี้

  • เฮอร์เมทิคาเป็นปรัชญาว่าด้วยการสัมผัสกับพระจิตของจักรวาล เพื่อเข้าใจความลับของธรรมชาติ แต่ปรัชญาเหล่านี้นานไปก็จะสูญและสับสน มนุษย์จะเคารพบูชาจักรวาลน้อยลง ศาสนาของอียิปต์ถูกละเลย อียิปต์จะกลายเป็นดินแดนที่ถูกเทพเจ้าทอดทิ้ง
  • เฮอร์มีสได้ยินเสียงพระมหาเทพหรือองค์อาตมตรัสกับท่าน ได้เห็นแสงสว่างและเงาที่พลุ่งพล่านเหมือนน้ำสีดำ ซึ่งหมายถึงพระจิตของพระมหาเทพและพลังงานที่พระมหาเทพใช้สร้างจักรวาล การก่อกำเนิดจักรวาลจากทั้งสองสิ่งนี้
  • พระมหาเทพคือความเป็นหนึ่งเป็นพระจิตประเสริฐสูงสุด ส่วนจิตมนุษย์คือภาพลักษณ์ของพระจิตประเสริฐสูงสุดนั้น
  • จักรวาลคือร่างของพระมหาเทพและจักรวาลเป็นผลงานของพระมหาเทพมิได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ
  • ความเป็นหนึ่งเดียวของพระมหาเทพคือเป็นทั้งแสงสว่างและชีวิต แล้วทั้งสองนี้กลายมาเป็นจิตและวิญญาณ
  • จักรวาลมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เวลาของจักรวาลกำหนดโดยการโคจรตามจักรราศีของดวงดาวและดวงอาทิตย์ กาละเป็นสิ่งไม่แน่นอนและไม่ยั่งยืน
  • ดาวฤกษ์ทั้งหลายคือเทพเจ้าผู้ควบคุมชะตาชีวิต ดวงอาทิตย์เป็นฉายาของพระมหาเทพในการส่งพลังงานมายังพื้นโลก
  • การสร้างจักรวาลของพระมหาเทพมีหลักการและความเป็นระเบียบ จักรวาลนั้นมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
  • การสร้างมนุษย์ของพระมหาเทพ ซึ่งมีธรรมชาติเป็น 2 แบบคือวิญญาณที่ไม่ตายและร่างกายที่ตายได้
  • มนุษย์มีบทบาทในการสร้างจักรวาลโดยได้รับความรู้จากเทวีไอซิสและเทพโอสิริสทำให้เกิดวัฒนธรรมของมนุษย์ขึ้นมา
  • มนูษย์เป็นสิ่งที่พบกันระหว่างระหว่างจิตวิญญาณและวัตถุ จิตเป็นฉายาของพระมหาเทพและเป็นอมตะ ร่างกายเป็นสิ่งที่ตายได้และถูกควบคุมด้วยชะตาชีวิต
  • เทพเจ้าทั้งหลายท้วงติงว่ามนุษย์อาจใช้อำนาจมากเกินไป จึงต้องควบคุมด้วยการสร้างจักรราศีเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์
  • มนุษย์ทุกคนมีลักษณะร่วมของความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์แต่ละคนก็มีลักษณะเป็นของตนเอง
  • ร่างมนุษย์แต่ละร่างเป็นบ้านสำหรับวิญญาณลงมาอาศัย ลักษณะเฉพาะของแต่ละคนถูกกำหนดโดยคุณสมบัติของเทพที่เข้าเวรดูแลจักรราศีในขณะที่เกิด
  • ความตายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะถูกพิพากษา วิญญาณที่บริสุทธิ์จะขึ้นสู่สวรรค์ วิญยาณที่โง่เขลาจะกลับมาเกิดอีก
  • การมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์คือโอกาสที่จะฝึกฝนจิตวิญยาณเพื่อเข้าถึงพระมหาเทพ
  • จิตของมนุษย์คือแสงสว่างอันเป็นทิพย์ที่แยกออกมาจากพระมหาเทพ มนุษย์จึงมีศักยภาพที่จะสัมผัสกับจิตของพระมหาเทพ
  • การเกิดใหม่คือการทำตนให้บริสุทธิ์พ้นจากอวิชชาเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์
  • คำสอนของเฮอร์มีสเป็นคำสอนที่ถูกปกปิดเป็นความลับ เฉพาะศิษย์ร่วมสำนักเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอดและไม่เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก
  • การสดุดีพระมหาเทพของเฮอร์มีส

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]