เลนส์สัมผัส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เลนส์สัมผัส บนปลายนิ้ว

เลนส์สัมผัส หรือ คอนแทกต์เลนส์ (contact lenses) เป็นเลนส์บางที่วางบนผิวตา เลนส์สัมผัสเป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับตาเทียมที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก[1] และสามารถใช้เพื่อแก้ไขมุมมอง เสริมความงาม หรือรักษาตา[2] ใน ค.ศ. 2010 ตลาดเลนส์สัมผัสทั่วโลกมีมูลค่าประมาณการที่ 6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดเลนส์อ่อนในสหรัฐมีมูลค่าประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] ข้อมูลเมื่อ 2010 ผู้ใช้เลนส์สัมผัสมีอายุเฉลี่ยทั่วโลกที่ 31 ปี และสองในสามเป็นผู้หญิง[4]

ผู้คนเลือกที่จะใช้เลนส์สัมผัสด้วยเหตุผลหลายประการ[5] ปัจจัยหลักสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการสวมแว่นตาหรือเปลี่ยนรูปร่างหรือสีของตาคือสุนทรียศาสตร์และความงาม[6] ในขณะที่บางส่วนสวมเลนส์สัมผัสด้วยเหตุผลในการทำงานหรือแสง[7] นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคบางชนิด เช่นโรคกระจกตาโป่งและaniseikonia มักเหมาะกับเลนส์สัมผัสมากกว่าแว่นตา[8]

ประวัติ[แก้]

อาด็อล์ฟ กาสทอน อ็อยเกน ฟิค ผู้ประดิษฐ์เลนส์สัมผัสคนแรก

เลโอนาร์โด ดา วินชี มักได้รับการยกย่องในเรื่องการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเลนส์สัมผัส ในปี ค.ศ. 1508 ในหนังสือเรื่อง Codex of the eye, Manual D เขาอธิบายถึงวิธีการปรับเปลี่ยนกำลังสายตาของกระจกตาของมนุษย์โดยการมองใต้น้ำ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กล่าวว่าวิธีการดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการแก้ปัญหาสายตา เลโอนาร์โด ดา วินชีสนใจศึกษาเกี่ยวกับกลไกการเพ่งของสายตา[9]

ต่อมาเรอเน เดการ์ต นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ผู้ร่วมสร้างและปรับปรุงกฎการเปลี่ยนทิศทางของคลื่นหรือ "กฎของสแน็ล–เดการ์ต" ได้นำเสนอแนวคิดในปี ค.ศ. 1636 โดยนำแท่งแก้วที่เติมด้วยของเหลวไปวางบนกระจกตาโดยตรง โดยปลายแท่งแก้วมีรูปร่างเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาสายตา อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ใช้ไม่ได้ในทางปฏิบัติเพราะไม่สามารถกะพริบตาได้

ในปี ค.ศ. 1801 ในระหว่างการทดลองกลไกเกี่ยวกับการเพ่งของสายตา นักวิทยาศาสตร์ โทมัส ยัง ได้สร้างถ้วยใส่ของเหลว มีชื่อว่า "eyecup" ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นต้นแบบของเลนส์สัมผัส โดยที่ฐานของถ้วยมีเลนส์ตาของกล้องจุลทรรศน์ อย่างไรก็ตามอุปกรณ์นี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสายตา[10]

ในปี ค.ศ. 1845 เซอร์ จอห์น เฮอร์เชลได้เสนอสองแนวคิดในหนังสือ Encyclopedia Metropolitana แนวคิดแรกคือแคปซูลแก้วที่เติมเจลาตินไว้ข้างใน และวิธีที่สองคือการหล่อผิวกระจกตาที่สามารถแปะผิวโดยวัสดุตัวกลางที่มีความใส[11] ทั้งนี้ เฮอร์เชลไม่ได้ทำการทดสอบวิธีการดังกล่าวแต่อย่างใด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1929 ดอกเตอร์ดาลลอส ชาวฮังการีได้ค้นพบวิธีหล่อวัสดุให้เข้ากับตา นำไปสู่การผลิตเลนส์ที่เข้ากับรูปร่างดวงตาเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังไม่ใช่เลนส์สัมผัส

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1887 เอฟ. อี. มูลเลอร์ ช่างเป่าแก้วชาวเยอรมัน ได้ผลิตวัสดุวางครอบผิวกระจกตาที่ใสและมองทะลุผ่านได้[12] ปีต่อมา อาด็อล์ฟ กาสทอน อ็อยเกน ฟิค จักษุแพทย์ชาวเยอรมันได้สร้างและทดสอบการใช้เลนส์สัมผัสเป็นครั้งแรก ระหว่างการทำงานในซูริก เขาได้อธิบายเกี่ยวกับการขึ้นรูปวัสดุและการวางขอบเลนส์บนเยื่อบุตาขาว ซึ่งมีความอ่อนไหวน้อยกว่า การทดลองเบื้องต้นกับกระต่ายและโดยตัวเขาเอง และท้ายที่สุดอาสาสมัครทดลองกลุ่มเล็ก ๆ เลนส์ดังกล่าวทำด้วยแก้วสีน้ำตาล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 18–21 มิลลิเมตร ฟิคได้หยอดสารละลายเด็กซ์โทรสไว้ระหว่างกระจกตากับตัวเลนส์แก้วไว้ด้วย เขาได้ตีพิมพ์ผลงานไว้ในบทความ "Contactbrille" ซึ่งเผยแพร่ในนิตยสารวิทยาศาสตร์ ชื่อ Archiv für Augenheilkunde ในเดือน มีนาคม ปี ค.ศ. 1888[13]

อ้างอิง[แก้]

  1. R Moreddu; D Vigolo; AK Yetisen (2019). "Contact Lens Technology: From fundamentals to Applications" (PDF). Advanced Healthcare Materials. 8 (15): 1900368. doi:10.1002/adhm.201900368. PMID 31183972. S2CID 184488183.
  2. NM Farandos; AK Yetisen; MJ Monteiro; CR Lowe; SH Yun (2014). "Contact Lens Sensors in Ocular Diagnostics". Advanced Healthcare Materials. 4 (6): 792–810. doi:10.1002/adhm.201400504. PMID 25400274.
  3. Nichols, Jason J., et al "ANNUAL REPORT: Contact Lenses 2010" เก็บถาวร 2022-07-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. January 2011.
  4. Morgan, Philip B., et al. "International Contact Lens Prescribing in 2010" เก็บถาวร 2023-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Contact Lens Spectrum. October 2011.
  5. Agarwal, R. K. (1969), Contact Lens Notes, Some factors concerning patients' motivation, The Optician, 10 January, pages 32-33 (published in London, England).
  6. Sokol, JL; Mier, MG; Bloom, S; Asbell, PA (1990). "A study of patient compliance in a contact lens-wearing population". CLAO Journal. 16 (3): 209–13. PMID 2379308.
  7. "Compare Contacts & Glasses". ACUVUE® Middle East (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-11-22.
  8. "Contact Lenses for Keratoconus". National Keratoconus Foundation. February 21, 2018.
  9. Heitz, RF and Enoch, J. M. (1987) "Leonardo da Vinci: An assessment on his discourses on image formation in the eye." Advances in Diagnostic Visual Optics 19—26, Springer-Verlag.
  10. Smolek, I. (2010) "Kontaktlinsen bei Presbyopie." Spektrum der Augenheilkunde 24(3): 193-194, Springer Verlag.
  11. "The History of Contact Lenses." เก็บถาวร 2008-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน eyeTopics.com. Accessed October 18, 2006.
  12. "Contact Lens Council". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-08. สืบค้นเมื่อ 2011-08-07.
  13. Gorrochotegui R., Manuel A.; Rojas V., Maria C.; Serrano, Horacio; Gorrochotegui R., Myriam C. (2009) "Lentes de Contacto: Historia, Tipos y Complicaciones de su Uso." Informe Medico 11(2): 79-101, Informe Medico de Venezuela, C.A.

อ่านเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]