เมอร์คาวา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เมอร์คาวา
บทบาทรถถังประจัญบานหลัก
สัญชาติ อิสราเอล
ประจำการปีพ.ศ. 2522-ปัจจุบัน[1]
ผู้ใช้งานกองกำลังป้องกันอิสราเอล
สงครามสงครามเลบานอน พ.ศ. 2525
ความขัดแย้งเลบานอนใต้
สงครามเลบานอน พ.ศ. 2549
อินทิฟาด้าครั้งแรก
อินทิฟาด้าครั้งที่สอง
สงครามกาซา
ผู้ออกแบบมานทัก
บริษัทผู้ผลิตมานทัก/เหล่ายุทโธปกรณ์กองกำลังป้องกันอิสราเอล
มูลค่าประมาณ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[2]
ช่วงการผลิตตั้งแต่ปีพ.ศ. 2517
จำนวนที่ผลิต(มีนาคม พ.ศ. 2555)
มาร์ค 1: 250 คัน
มาร์ค 2: 580 คัน
มาร์ค 3: 780 คัน
มาร์ค 4: 360 คัน (มีอย่างมากอีก 300 คันในรายการสั่งซื้อ)[3]
น้ำหนัก65 ตัน
ความยาว9.04 เมตร (รวมปืน)
7.60 เมตร (ไม่รวมปืน)
ความกว้าง3.72 เมตร (ไม่รวมชายเกราะ)
ความสูง2.66 เมตร (รวมยอดป้อมปืน)
ลูกเรือ4 นาย (ผู้บัญชาการรถถัง พลปืน พลบรรจุ และพลขับ)
บรรทุกผู้โดยสารสูงสุด 6 คน[4]
เกราะเกราะคอมโพสิท/เกราะลาดเอียง เป็นความลับ
อาวุธหลักปืนใหญ่ลำกล้องเกลี้ยง ​เอ็มจี253 ขนาด 120 มม. ใช้กระสุนลาแฮทและเอทีจีเอ็ม
อาวุธรองปืนกล ขนาด 12.7 ม.ม.หนึ่งกระบอก
ปืนกล ขนาด 7.62 ม.ม.สองกระบอก
ปืนครก 1 กระบอก
ระเบิดควัน 12 ลูก
เครื่องยนต์เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 1,500 แรงม้า
กำลัง/น้ำหนัก23 แรงม้า/ตัน
ระบบส่งกำลังเรงค์ อาร์เค 325
ระบบช่วงล่างคอยล์สปริง
ระยะห่างระหว่างตัวถังกับพื้น0.45 เมตร
ความจุเชื้อเพลิง1,400 ลิตร
พิสัย500 กิโลเมตร
ความเร็วบนถนน: 64 กม./ชม.
นอกถนน: 55 กม./ชม.

เมอร์คาวา (ฮิบรู: מרכבה, รถม้าศึก) เป็นรถถังประจัญบานหลักที่ใช้โดยกองกำลังป้องกันอิสราเอล รถถังนี้เริ่มการพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2516 และเข้าประจำการในปี พ.ศ. 2522 ปัจจุบันมีรถถังนี้สี่รุ่นที่นำมาใช้งานจริง เมอร์คาวาปฏิบัติภารกิจแรกอย่างจริงจังในสงครามเลบานอน พ.ศ. 2525 คำว่า"เมอร์คาวา"ผันมาจากชื่อโครงการพัฒนาช่วงแรกของกองกำลังป้องกันอิสราเอล

เมอร์คาวาถูกออกแบบมาเพื่อการซ่อมบำรุงอย่างรวดเร็วในการรบ ความสามารถในการอยู่รอด การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติหน้าที่บริเวณนอกถนน รุ่นล่าสุดคือรถถังปืนใหญ่อัตตาจรที่มีส่วนของป้อมปืนย้ายไปด้านหลังมากขึ้นกว่ารถถังประจัญบานทั่วไป ด้วยการที่นำเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า การออกแบบดังกล่าวทำให้รถถังมีการป้องกันจากการโจมตีด้านหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะการโจมตีพลขับ นอกจากนี้แล้วยังทำให้มีพื้นที่ที่ด้านหลังของรถถังมากขึ้นเพื่อการบรรทุกสัมภาระ เช่นเดียวกับการมีทางเข้าออกที่ส่วนหลังเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าออกรถถังในขณะถูกโจมตี สิ่งนี้ทำให้เมอร์คาวาสามารถทำหน้าที่เป็นศูนย์พยาบาล ศูนย์ควบคุมและบัญชาการแนวหน้า และยานหุ้มเกราะลำเลียงพล ทางเข้าออกด้านหลังที่เปิดปิดแบบบนล่างทำให้ป้องกันการยิงจากด้านบนได้

มีรายงานไม่นานก่อนที่สงครามเลบานอน พ.ศ. 2549 จะเริ่มต้นว่าสายการผลิตเมอร์คาวาจะหยุดทำงานภายในสี่ปี[5] อย่างไรก็ดี ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 หนังสือพิมพ์ฮาเรทซ์ของอิสราเอลรายงานว่าคณะเสนาธิการของอิสราเอลได้พูดถึงเมอร์คาวา มาร์ค 4 ว่า "หากใช้งานอย่างถูกต้อง รถถังนี้จะให้การป้องกันแก่ทหารได้ดีกว่าแต่ก่อน" และได้เลื่อนการพิจารณาที่จะหยุดสายการผลิตเมอร์คาวาไป[6]

การพัฒนา[แก้]

ในปี พ.ศ. 2508 กองทัพอิสราเอลได้เริ่มทำการพัฒนาซึ่งนำไปสู่การวิจัยและสร้างรถถังที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งเรียกว่า รถถัง"ซาบรา"[ต้องการอ้างอิง] (ไม่ใช่รถถังซาบราของยุคใหม่) เริ่มแรกอังกฤษและอิสราเอลได้ช่วยกันดัดแปลงรถถังชิฟเทนของอังกฤษ ที่เพิ่งจะเข้าประจำการในปี พ.ศ. 2509[ต้องการอ้างอิง] อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2512 อังกฤษตัดสินใจที่จะไม่ขายรถถังดังกล่าวให้กับอิสราเอลด้วยเฟตุผลทางการเมือง[7]

ผู้บัญชาการกรมอิสราเอล ทาลที่เข้ามาทำหน้าที่หลังจากวิกฤตการณ์สุเอซ ได้เริ่มโครงการสร้างรถถังของอิสราเอลขึ้นอีกครั้ง โดยใช้บทเรียนจากสงครามยมคิปเปอร์เมื่อปี พ.ศ. 2516 ซึ่งอิสราเอลถูกจำนวนที่มากกว่าของข้าศึกชาติอาหรับเล่นงาน[7]

เมื่อถึงปี พ.ศ. 2517 การออกแบบช่วงแรกก็สำเร็จสมบูรณ์และรถถังต้นแบบก็ถูกสร้างออกมา หลังจากทำการทดสอบพอประมาณก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนโรงงานอาวุธเทล ฮาโชเมอร์ให้ผลิตรถถังเต็มอัตรา หลังจากที่โรงงานสร้างเสร็จได้มีการประกาศต่อสาธารณชนว่า เมอร์คาวาจะเป็นรถถังรุ่นต่อไปของอิสราเอล ภาพแรกอย่างเป็นทางการของเมอร์คาวาถูกตีพิมพ์ต่อสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 กองกำลังป้องกันอิสราเอลได้ใช้เมอร์คาวาอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2521 เมอร์คาวาคันแรกถูกส่งมอบให้กับกองกำลังป้องกันอิสราเอลในเดือนเมษายน พ.ศ. 2522 เป็นเวลาเกือบเก้าปีหลังจากที่มีการตัดสินใจสร้างเมอร์คาวา มาร์ค 1

ผู้รับเหมารายหลัก[แก้]

องค์กรหลังที่รวบรวมส่วนประกอบต่างๆ ของเมอร์คาวาไว้ด้วยกันคืออุตสาหกรรมทหารอิสราเอล ส่วนเหล่ายุทโธปกรณ์อิสราเอลมีหน้าที่รับผิดชอบในการประกอบเมอร์คาวา ผู้ร่วมสร้างรายอื่นๆ มีดังนี้ :[8]

  • อุตสาหกรรมทหารอิสราเอล ผลิตปืนขนาด 105 มม.และ 120 มม. รวมทั้งกระสุน
  • อุตสาหกรรมเออร์แดน สร้างและประกอบโครงรถถัง ระบบส่งกำลัง และป้อมปืน
  • โซลแทม ผลิตปืนครกขนาด 60 มม.
  • เอลต้า ออกแบบและผลิตเซ็นเซอร์และอินฟาเรด
  • เอลบิต ส่งมอบคอมพิวเตอร์คำนวณการยิงและระบบควบคุมการยิงแแบบดิจิทัล
  • ทาดิรัน สร้างเครื่องปรับอากาศในตัวรถ แผงสื่อสารของลูกเรือ และอุปกรณ์วิทยุ
  • เอล-ออพ, เอลิสรา และแอสโตรนอติกส์ติดตั้งระบบเตือนภัยด้วยเลเซอร์และกล้อง
  • ราฟาเอล แอดวานซ์ ดีเฟนส์ ซิสเทมส์ สร้างและติดตั้งศูนย์อาวุธเหนือหัวและระบบป้องกันโทรฟี
  • แอล-3 คอมมิวนิเคชั่น คอมแบท พรอพพัลชั่น ซิสเทมส์ ผลิตเครื่องยนต์ดีเซล เอ็มทียู เอ็มที883 ลิขสิทธิของเยอรมนี ซึ่งให้กำลัง 1,500 แรงม้าและระบบเกียร์เรงค์ อาร์เค325
  • โมโตโรลา ให้ชิ้นส่วนระบบสื่อสารแบบรหัสแก่ทาดิรัน
  • ดูปองต์ ส่งโนเม็กซ์ วัสดุกันไฟ ที่ใช้โดยฮาเกอร์
  • อุตสาหกรรมทหารรัสเซีย ช่วยออกแบบเครื่องกวาดทุ่นระเบิด เคเอ็มที-4 และ -5 รวมทั้งใบมีดไถดินเอบีเค-3 ปัจจุบันผลิตโดยเออร์แดน
  • เอ็มเอ็น เฮอร์สตัล ผลิตปืนกลแม็ก 58 ขนาด 7.62 มม.และปืนกลเอ็ม2 ขนาด 12.7 มม.
  • คาเตอร์พิลลาร์ ช่วยออกแบบระบบสายพานของรถถัง
  • อุตสาหกรรมเบนทัล ผลิตเครื่องยนต์ไร้แปรงถ่านที่ใช้กับป้อมปืนและระบบควบคุมปืนของมาค 4[9]

เอกลักษณ์ทั่วไป[แก้]

อำนาจการยิง[แก้]

เมอร์คาวา มาร์ค 1 และ 2 นั้นมีอาวุธเป็นปืนใหญ่เอ็ม68 ขนาด 105 มม. ในมาร์ค 3 นั้นเป็นดอร์ ดาเล็ท บาซ คาสแซค (Dor Dalet BAZ kassag) และของมาร์ค 4 เป็นปืนลำกล้องเกลี้ยง ขนาด 120 มม.

เมอร์คาวาแต่ละรุ่นมีปืนกลขนาด 7.62 มม.เพื่อเป็นอาวุธต่อต้านทหารราบและปืนครกขนาด 60 มม.ที่สามารถบรรจุกระสุนและยิงจากข้างในตัวรถถังได้

การขับเคลื่อน[แก้]

เครื่องยนต์ดีเซลแบบเทอร์โบชาร์จที่ให้กำลัง 1,500 แรงม้าถูกออกแบบโดยเอ็มทียูและผลิตภายใต้ลิขสิทธิ์โดยบริษัทแอล-3 คอมมิวนิเคชั่น คอมแบท พรอพพัลชั่น ซิสเทมส์ (อดีตเป็นเจเนรัล ไดนามิกส์)

รุ่นต่างๆ[แก้]

เมอร์คาวา มาร์ค 1[แก้]

เมอร์คาวา มาร์ค 1

รุ่นมาร์ค 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นรุ่นดั้งเดิมที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของผู้บัญชาการกรมอิสราเอล ทาล และได้ถูกปรับเปลี่ยนและออกแบบมาเพื่อการผลิตขนานใหญ่ มาร์ค 1 มีน้ำหนัก 63 ตันและมีเครื่องยนต์ดีเซลที่ให้กำลัง 900 แรงม้า ซึ่งมีอัตรากำลังที่ 14 แรงม้าต่อหนึ่งตัน มันมีอาวุธหลักเป็นปืนเอ็ม68 ขนาด 120 มม. (เป็นแบบลอกเลียนจากโรยัล ออร์ดแนนซ์ แอล7 ของอังกฤษโดยซื้อลิขสิทธิ์มา) มีปืนกลขนาด 7.62 มม.อีกสองกระบอก[10] และปืนคกขนาด 60 มม.ที่ด้านนอกรถถัง ซึ่งไม่มีที่กำบังให้กับผู้ใช้เวลาใช้งาน

การออกแบบโดยทั่วไปนั้นได้ยืมเอาตีนตะขาบของรถถังเซนจูเรียนของอังกฤษ ซึ่งถูกใช้อย่างหนักในช่วงสงครมยมคิปเปอร์

เมอร์คาวาทำการรบครั้งแรกในสงครามเลบานอน พ.ศ. 2525 ซึ่งอิสราเอลได้ใช้เมอร์คาวา 180 คัน แม้ว่าพวกมันจะทำงานได้สำเร็จ แต่รถหุ้มเกราะลำเลียงพลที่ร่วมรบด้วยได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากและต้องถอนตัวออกจากการรบ เมอร์คาวาจึงได้รับหน้าที่เพิ่มให้เป็นหน่วยพยาบาลสำหรับทหารราบ โดยการนำเอาส่วนเก็บกระสุนออก ทหาร 10 นายสามารถเข้าออกรถถังโดยใช้ประตูหลังของรถถังได้

หลังสิ้นสุดสงครามได้มีการติดตั้งและปรับเปลี่ยนมากมายให้กับเมอร์คาวา สิ่งสำคัญที่สุดคือการย้ายจุดติดตั้งปืนครกขนาด 60 มม.ไปไว้ในตัวรถและใช้การยิงด้วยรีโมตแทน เป็นจุดสำคัญที่อิสราเอลเรียนรู้มาจากเซนจูเรียน มาร์ค3 ที่ใช่ปืนครกขนาด 2 นิ้ว[11] นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งตาข่ายลูกโซ่เพื่อป้องกันอาร์พีจีและอาวุธต่อต้านรถถัง

เมอร์คาวา มาร์ค 2[แก้]

Merkava Mark II at Yad La-Shiryon.
เมอร์คาวา มาร์ค 2
The Merkava Mark II. Chain netting is installed behind the turret.
เมอร์คาวา มาร์ค 2 พร้อมตาข่ายโซ่ที่ด้านหลังของป้อมปืน
เมอร์คาวา มาร์ค 2

รุ่นมาร์ค 2 ถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2526 และได้รับการยกระดับเล็กน้อยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการรบในเลบานอน รถถังรุ่นใหม่นี้มีการปรับให้สามารถรบในสภาพที่เป็นเมืองได้และเหมาะกับการปะทะขนาดเล็ก ด้วยน้ำหนักและเครื่องยนต์ที่ยังเหมือนของมาร์ค 1[12]

มาร์ค 2 ใช้ปืนใหญ่ขนาด 105 มม.และปืนกลขนาด 7.62 มม.เหมือนมาร์ค 1 แต่สำหรับปืนครกขนาด 60 มม.ได้ถูกออกแบบใหม่ให้ติดตั้งอยู่ภายในรถถังและควบคุมการยิงด้วยรีโมตเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารถูกยิงเวลาต้องใช้ปืนครก ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติที่อิสราเอลสร้างขึ้นและถังเชื้อเพลิงที่ใหญ่ขึ้นถูกติดตั้งให้กับมาร์ค 2 ทุกคันที่ผลิตภายหลัง ตาข่ายต่อต้านจรวดถูกติดตั้งเข้าไปเพื่อเพิ่มความสามารถในการอยู่รอดเมื่อต้องเผชิญกับทหารราบติดอาวุธต่อต้านรถถัง การพัฒนาขนาดย่อมอีกมากมายถูกจัดขึ้นให้กับระบบควบคุมการยิง เซ็นเซอร์อุตุนิยม ตัวประเมินทิศทางลม และกล้องจับอุณหภูมิและเครื่องขยายความชัดของภาพ ทำให้รถถังมีความสามารถในการรับรู้สมรภูมิที่ดีขึ้น

รุ่นที่มีการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปของมาร์ค 2 นั้นจะมีชื่อต่างกันไป และหลายคันยังคงประจำการอยู่ในปัจจุบัน:

  • มาร์ค 2บี, มีกล้องจับอุณหภูมิและระบบควบคุมการยิงที่ได้รับการพัฒนาขึ้น
  • มาร์ค 2ซี, มีเกราะเสริมที่ด้านบนป้อมปืนเพื่อป้องกันจากโจมตีทางอากาศ
  • มาร์ค 2ดี, มีเกราะคอมโพสิทแยกส่วนที่ตัวถังและป้อมปืน สามารถหาเกราะทดแทนได้อย่างรวดเร็วเมื่อได้รับความเสียหาย

เมอร์คาวา มาร์ค 3[แก้]

The Merkava Mark III
เมอร์คาวา มาร์ค 3
The more advanced, Merkava Mark III Baz model, with weaponry highlighted
เมอร์คาวา มาร์ค 3 บาซ
Merkava Mark III Dor Dalet BAZ Kasag, the most advanced Merkava III variant
เมอร์คาวา มาร์ค 3 ดอร์ ดาเล็ท บาซ คาแซค เป็นมาร์ค 3 ที่พัฒนามากที่สุด
เมอร์คาวา มาร์ค 3 แบบต่างๆ
เมอร์คาวา มาร์ค 3ดี ขณะยิงระบบบาซที่เพิ่มความแม่นยำและการทำลาย
เมอร์คาวา มาร์ค 3 กำลังยิงปืนใหญ่ ปืนกลเอฟเอ็น แม็ก และระเบิดควัน จากนั้นเป็นระบบสร้างม่านควัน การสาธิตจบลงด้วยการปาระเบิดควันสีเขียว

เมอร์คาวา มาร์ค 3 นั้นเริ่มเข้าทำหน้าที่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2532 มีการยกระดับส่วนส่งกำลัง อาวุธ และระบบอิเลคทรอนิก สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือปืนไอเอ็มไอ ขนาด 120 มม.[13] ด้วยปืนนี้และเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ขึ้นด้วยกำลัง 1,200 แรงม้า ทำให้รถถังมีน้ำหนักเป็น 65 ตัน แต่เครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่าทำให้มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[14]

ป้อมปืนได้รับการปรับเปลี่ยนให้เคลื่อนที่ได้อิสระจากตัวรถถัง ทำให้มันสามารถติดตามเป้าหมายไม่ว่ารถถังจะหันไปทางไหนก็ตาม การพัฒนาอื่นๆ มีดังนี้

  • โทรศัพท์สองทางที่ภายนอกตัวรถเพื่อสื่อสารกับทหารราบ
  • ส่วนเก็บกระสุนที่ลดการเกิดระเบิดของตัวกระสุนเมื่อถูกความร้อน
  • ติดตั้งเลเซอร์ชี้เป้า
  • การรวมเข้ากับระบบเกราะแยกส่วนคาแซคที่ออกแบบมาเพื่อการซ่อมบำรุงที่รวดเร็วในสนามรบและเหมาะกับการยกระดับได้อย่างรวดเร็ว
  • การสร้างมาร์ค 3บี พร้อมรายละเอียดของเกราะที่ยังไม่ถูกระบุ

ระบบบาซ[แก้]

ในปี พ.ศ. 2538 มาร์ค 3 บาซ (BAZ ย่อมาจากภาษาฮิบรู Barak Zoher) ได้รับการพัฒนาและเสริมระบบมากมายเข้าไป เช่น

  • ระบบควบคุมการยิงที่ยกระดับขึ้น ผลิตโดนบริษัทเอล-ออพและเอลบิท ทำให้รถถังสามารถจัดการกับเป้าหมายเคลื่อนที่ขณะที่รถถังเองก็เคลื่อนที่เช่นกัน
  • ระบบป้องกันอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง
  • ระบบปรับอากาศที่มีความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นมากขึ้น
  • ระบบป้องกันอาวุธกระสุนและจรวด
  • มาร์ค 3ดี มีเกราะคอมโพสิทแยกส่วนที่สามารถถอดออกได้ทั้งบนตัวรถและป้อมปืน

ดอร์-ดาเล็ท[แก้]

เป็นรุ่นสุดท้ายของมาร์ค 3 มีชื่อว่ามาร์ค 3 ดี ดอร์-ดาเล็ท (Dor-Dalet เป็นภาษาฮิบรูที่แปลว่า รุ่นที่สี่) ซึ่งมีการพัฒนาเพื่อเป็นการปูทางให้กับมาร์ค 4

  • ตีนตะขาบที่ได้รับการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น (สร้างโดยบริษัทคาเตอร์พิลลาร์ ออกแบบโดยอิสราเอล)
  • ติดตั้งสถานีอาวุธเหนือหัวราฟาเอล (Rafael Overhead Weapon Station)

เมอร์คาวา มาร์ค 4[แก้]

Merkava Mark IV is first publicly introduced and seen in Yad La-Shiryon during Israeli Independence Day celebrations in 2002.
เมอร์คาวา มาร์ค 4 ที่ถูกนำมาแสดงต่อสาธารณชนครั้งแรกในงานฉลองวันประกาศอิสรภาพอิสราเอลเมื่อปี พ.ศ. 2545
Merkava Mark IV (foreground)
เมอร์คาวา มาร์ค 4
Merkava Mark IV of the 401st Brigade during a training exercise.
เมอร์คาวา มาร์ค 4 ของกรมทหารที่ 401 ของอิสราเอลขณะทำการซ้อมรบ
เมอร์คาวา มาร์ค 4

เมอร์คาวา มาร์ค 4 เป็นรุ่นพัฒนาล่าสุดของเมอร์คาวาและได้พัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 การพัฒนาดังกล่าวเปิดตัวในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 อย่างไรก็ตาม เมอร์คาวา มาร์ค 3 ยังคงผลิตต่อไปจนถึงปี พ.ศ. 2546 เมอร์คาวา มาร์ค 4 คันแรกๆ ถูกผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2547[15]

เอกลักษณ์[แก้]

มาร์ค 4 มีระบบควบคุมการยิงแบบใหม่ของบริษัทเอล-ออพ เรียกว่า ไนท์ มาร์ค 4 (Knight Mark 4) มีเกราะแยกส่วนที่ถอดได้แบบมาร์ค 3ดี โดยนำมาติดตั้งรอบตัวรถ รวมทั้งด้านบนและรูปทรงวีที่ใต้ท้องรถ ระบบเกราะนี้ถูกออกแบบเพื่อให้รถถังได้รับการซ่อมแซมที่รวดเร็วและกลับเข้ารบให้เร็วที่สุด

กระสุนถูกเก็บไว้ในที่เก็บกันไฟ ซึ่งลดโอกาสที่กระสุนจะระเบิดเมื่อถูกความร้อนเมื่อเกิดไฟไไหม้ในรถถัง ในป้อมปืนนั้นจะไม่มีกระสุนอยู่เลย

นอกจากนี้ยังมีการปรับรูปร่างของรถถัง สีไม่สะท้อน และเกราะสำหรับไอเสียรถที่จะผสมกับอากาศทำให้เกิดภาพความร้อนที่ข้าศึกสับสน โดยเป็นโครงการที่นำมาจากกองทัพอากาศอิสราเอลเพื่อให้รถถังตกเป็นเป้าได้ยากขึ้นในจอเรดาร์และตัวจับความร้อนของศัตรู

มาร์ค 4 มีปืนขนาด 120 มม.ที่ใหญ่กว่าของรุ่นอื่นๆ แต่สามารถยิงกระสุนได้หลากหลายกว่า อย่างกระสุนระเบิดแรงสูงต่อต้านรถถังและกระสุนแซ็บบ็อตอย่างกระสุนเจาะเกราะด้วยพลังงานจลน์ โดยใช้แม็กกาซีนแบบหมุนกึ่งไฟฟ้าที่บรรจุกระสุน 10 นัด นอกจากนี้ยังมีปืนกลขนาด 12.7 มม.ที่มีขนาดใหญ่กว่าเพื่อจัดการเป้าหมายที่เป็นยานพาหนะ[16]

ระบบควบคุมการยิง[แก้]

ระบบควบคุมการยิงแบบใหม่ทำให้เมอร์คาวาสามารถยิงเฮลิคอปเตอร์สัญชาติรัสเซียอย่างมิล เอ็มไอ-24 และฝรั่งเศสอย่างกาเซล์ได้

ตีนตะขาบแบบใหม่[แก้]

มาร์ค 4 มีระบบตีนตะขาบที่เรียกว่า ทีซอว์ส (Tracks, Springs, and Wheels System)" ระบบดังกล่าวถูกออกแบบมาให้ทดทานต่อพื้นหินบะซอลต์ในเลบานอนและที่ราบสูงโกลัน T

ระบบจัดการสนามรบแบบดิจิทัล[แก้]

มาร์ค 4 มีระบบจัดการสนามรบด้วยดิจิทัลของบริษัทเอลบิท เป็นระบบที่ใช้ข้อมูลจากเป้าหมายและยูเอวีในสนามรบ มาแสดงข้อมูลบนจอสีและส่งต่อรหัสข้อมูลไปยังหน่วยรบอื่นๆ ที่มีระบบจัดการสนามรบดังกล่าว

การซ่อมแซมที่รวดเร็วและการลดค่าใช้จ่าย[แก้]

เมอร์คาวา มาร์ค 4 ถูกออกแบบมาสำหรับการซ่อมบำรุงที่รวดเร็วและสามารถเปลี่ยนเกราะใหม่เพื่อทดแทนเกราะที่เสียหายได้ไวขึ้น ด้วยการใช้เกราะแยกส่วนทำให้สามารถทำการถอดและติดตั้งได้อย่างสะดวก นอกจากนี้แล้วมันยังถูกออกแบบมาให้ประหยัดงบประมาณทั้งในขั้นตอนการผลิตและการซ่อมบำรุง ทำให้เมอร์คาวมามีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่ารถถังหลายแบบของประเทศยุโรป

รายละเอียดในแต่ละรุ่น[แก้]

เมอร์คาวา มาร์ค 1 เมอร์คาวา มาร์ค 2 เมอร์คาวา มาร์ค 3 เมอร์คาวา มาร์ค 4
ประวัติการประจำการ
อยู่ในประจำการ พ.ศ. 2522- (กองกำลังสำรองเท่านั้น) พ.ศ. 2525–ปัจจุบัน พ.ศ. 2533–ปัจจุบัน พ.ศ. 2547–ปัจจุบัน
ใช้โดย กองกำลังป้องกันอิสราเอล
สงครามที่เข้าร่วมรบ สงครามเลบานอน พ.ศ. 2525, อินทิฟาด้าครั้งแรก ความขัดแย้งในเลาบานอนใต้ (พ.ศ. 2525-2543), อินทิฟาด้าครั้งแรก, อินทิฟาด้าครั้งที่สอง, สงครามเลบานอน พ.ศ. 2549, สงครามกาซา ความขัดแย้งในเลาบานอนใต้ (พ.ศ. 2525-2543, อินทิฟาด้าครั้งที่สอง, สงครามเลบานอน พ.ศ. 2549, สงครามกาซา อินทิฟาด้าครั้งที่สอง, สงครามเลบานอน พ.ศ. 2549, สงครามกาซา
ประวัติการผลิต
ผู้ออกแบบ มานทัค (กรมรถถังเมอร์คาวา)
ผู้ผลิต มานทัค (กรมรถถังเมอร์คาวา)
ช่วงการผลิต พ.ศ. 2521-2526 พ.ศ. 2525-2532 พ.ศ. 2533-2545 พ.ศ. 2546–ปัจจุบัน
จำนวนที่ผลิต 250 คัน 580 คัน 780 คัน 360 คัน และอีก 300 คันกำลังส่งมอบ, (เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555)[3]
รายละเอียด
น้ำหนัก ~63 ตัน ~65 ตัน
ความยาว รวมปืน: 8.30 เมตร
ไม่รวมปืน 7.45 เมตร
รวมปืน: 9.04 เมตร
ไม่รวมปืน 7.60 เมตร
ความกว้าง 3.70 เมตร ไม่รวมชายเกราะ 3.72 เมตร ไม่รวมชายเกราะ
ความสูง 2.65 เมตร 2.66 เมตร
ลูกเรือ 4 คน (ผู้บัญชาการรถถัง พลขับ พลปืน พลบรรจุ) สามารถบรรทุกทหารราบเพิ่มได้
เกราะ เกราะเหล็กเนื้อรวม เกราะเหล็กเนื้อรวม เกราะคอมโพสิทแบบแยกส่วน ชั้นเกราะคอมโพสิทที่เคลือบด้วยโลหะเจือผสมเซรามิก เหล็กกล้า และนิกเกิล ออกแบบเป็นเกราะลาดเอียงแบบแยกส่วน
อาวุธหลัก ปืนลำกล้องเกลียวเอ็ม68 ขนาด 105 มม. ยิงกระสุนลาแฮทและเอทีจีเอ็ม ปืนลำกล้องเกลี้ยงเอ็มจี251 ขนาด 120 มม. ยิงกระสุนลาแฮทและเอทีจีเอ็ม ปืนลำกล้องเกลี้ยงเอ็มจี253 ขนาด 120 มม. ยิงกระสุนลาแฮทและเอทีจีเอ็ม
อาวุธรอง ปืนกลขนาด 7.62 มม. 2-3 กระบอก
ปืนครกนอกตัวรถขนาด 60 มม. 1 กระบอก
ระเบิดควัน 12 ลูก
ปืนกลขนาด 7.62 มม. 2-3 กระบอก
ปืนครกในตัวรถขนาด 60 มม. 1 กระบอก
ระเบิดควัน 12 ลูก
ปืนกลขนาด 7.62 มม. 3 กระบอก
ปืนครกในตัวรถขนาด 60 มม. 1 กระบอก
ระเบิดควัน 12 ลูก
ปืนกลขนาด 12.7 มม. 1 กระบอก
ปืนกลขนาด 7.62 มม. 2 กระบอก
ปืนครกในตัวรถขนาด 60 มม. 1 กระบอก (พัฒนาแล้ว)
ระเบิดควัน 12 ลูก
เครื่องยนต์ เครื่องยนต์ดีเซลระบายความร้อนด้วยอากาศ เอวีดีเอส-1790-6เอ วี12 908 แรงม้าของเทเลดีน คอนทิเนนทัล เครื่องยนต์ดีเซลระบายความร้อนด้วยอากาศ เอวีดีเอส-1790-9เออาร์ วี12 1,200 แรงม้าของเทเลดีน คอนทิเนนทัล เครื่องยนต์ดีเซลระบายความร้อนด้วยน้ำ จีดี883 (เอ็มทียู883) วี12 1,500 แรงม้าของเจเนรัล ไดนามิกส์
อัตรากำลังเครื่อง ~14.5 แรงม้า/ตัน ~18.5 แรงม้า/ตัน ~23 แรงม้า/ตัน
บรรจุ กระสุนปืนใหญ่ 53-63 นัด ชุดละหกนัด กระสุนปืนใหญ่ 46 นัด พร้อมยิงทันที 5 นัด กระสุนปืนใหญ่ 48 นัด พร้อมยิงทันที 10 นัด
ระบบส่งกำลัง กลไกไฮดรอลิกกึ่งอัตโนมัติ ซีดี850-6ยีเอ็กซ์ ของอัลลิสัน ทรานส์มิชชั่น กลไกไฮดรอลิกอัตโนมัติของแอสช็อท แอชเคลลอน 4 เกียร์ กลไกไฮดรอลิกอัตโนมัติของแอสช็อท แอชเคลลอน 5 เกียร์ (เลียนแบบอาร์เค325 ของเรงค์โดยซื้อลิขสิทธิ์)[17]
ระบบกันสั่นสะเทือน คอยล์สปริง
ระยะระหว่างใต้ท้องกับพื้น 0.53 เมตร 0.45 เมตร
ความจุเชื้อเพลิง 1,100–1,400 ลิตร 1,400 ลิตร
พิสัยปฏิบัติการ 400 - 500 กิโลเมตร 500 km (310 mi)
ความเร็วบนถนน 50 กม./ชม. 60 กม./ชม. 64 กม./ชม.

ประวัติการรบ[แก้]

เมอร์คาวามีบทบาทอย่างมากในช่วงสงครามเลบานอน พ.ศ. 2525 มันสามารถจัดการรถถังของซีเรียได้อย่างเฉียบขาดและพิสูจน์ให้เห็นว่ามันสามารถทนทานต่ออาวุธต่อต้านรถถังในยุคนั้นได้ (เช่น เอที-3 แซคเกอร์และอาร์พีจี-7 ) ถือว่าเมอร์คาวาเป็นรถถังที่พัฒนาขึ้นอย่างมากจากรถถังประจัญบานรุ่นก่อนหน้าของอิสราเอล นั่นคือรถถังเซนจูเรียน[18]

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 เมอร์คาวา มาร์ค 3 คันหนึ่งถูกทำลายด้วยระเบิดข้างถนนใกล้กับกาซา รถถังตันดังกล่าวถูกล่อให้ไปติดกับโดยไปแล่นทับกับระเบิดขนาดหนักเข้า ทหารทั้งสี่นายถูกสังหาร มันเป็นเมอร์คาวาคันแรกที่ถูกทำลายในอินทิฟาด้าครั้งที่สอง[19] รถถังอีกคัน ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นเมอร์คาวา 2 หรือ 3 ถูกทำลายในอีกเดือนต่อมาในพื้นที่เดียวกันและทำให้ทหารอีกสามนายเสียชีวิต เมอร์คาวาคันที่สามถูกทำลายและมีทหารเสียชีวิตหนึ่งนาย บาดเจ็บอีกสองนาย[20]

ขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีด้วยเลเซอร์ เอที-14 คอร์เน็ท

ฝ่ายอิสราเอลสูญเสียลูกเรือประจำเมอร์คาวาและทหารที่ลำเลียงไปในรถถังเป็นจำนวนมากในสงครามเลบานอน พ.ศ. 2549[21] มีเมอร์คาวา มาร์ค 4 เพียงไม่กี่คันเท่านั้นที่ร่วมรบ เพราะว่าพวกมันเพิ่งเข้าประจำการในจำนวนที่จำกัด กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้ยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังกว่า 1,000 นัดในการต่อสู้เข้าใส่รถถังและทหารราบ[22] ประมาณร้อยละ 45 ของรถถังและยานเกราะทั้งหมดที่ถูกยิงด้วยขีปนาวุธต่อต้านรถถังนั้นได้รับความเสียหายเพราะเกราะถูกทำลาย[22] รวมแล้วมีทหารเสียชีวิตจากอาวุธเจาะเกราะทั้งหมด 15 นาย[23] การเจาะทะลวงเกิดจากขีปนาวุธหัวรบเรียง เชื่อกันว่าอาวุธของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ประกอบด้วยอาร์พีจี-29 แวทไพร์ เอที-5 คอนเคอร์ส เอที-13 เมทิส-เอ็ม และเอที-14 คอร์เน็ทของรัสเซีย[24] กองกำลังป้องกันอิสราเอลได้รายงานว่าพวกเขาพบการใช้ขีปนาวุธคอร์เน็ทของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ในหมู่บ้านกานดอริเยฮ์[25] หลายเดือนหลังจากการหยุดยิง หลายรายงานได้ให้ข้อมูลทางภาพถ่ายเป็นหลักฐานวาขีปนาวุธคอร์เน็ทนั้นถูกใช้โดยกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ในบริเวณดังกล่าว[26][27] ทหารประจำเมอร์คาวา 4 หนึ่งนายถูกสังหารเมื่อรถถังแล่นเหยียบระเบิดแสวงเครื่อง รถถังคันดังกล่าวได้ติดตั้งเกราะเสริมที่ใต้ท้อง ทำให้มีทหารเพียงหนึ่งนายจากทั้งหมดเจ็ดนาย (ลูกเรือสี่นายและทหารราบสามนาย) เสียชีวิต สรุปมีเมอร์คาวา 5 คันถูกทำลาย เป็นมาร์ค 2 สองคัน มาร์ค 3 หนึ่งคัน และมาร์ค 4 สองคัน[22] ในจำนวนมาร์ค 4 ทั้งสองคัน หนึ่งคันถูกระเบิดแสวงเครื่องทำลายและอีกคันถูกทำลายโดยขีปนาวุธคอร์เน็ทของรัสเซีย กองทัพอิสราเอลกล่าวว่า การทำงานของเมอร์คาวา มาร์ค 4 นั้นน่าพอใจมากและมองว่าปัญหามาจากการซ้อมรบที่น้อยเกินไป[28][29] ในจำนวนทั้งหมดมีเมอร์คาวา 50 คันได้รับความเสียหาย (มาร์ค 2 และ 3) มีแปดคันที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อในสนามรบได้ มี 21 คันถูกอาวุธเจาะเกราะทำลาย (15 คันเป็นขีปนาวุธและอีก 6 คันเป็นระเบิดไออีดีและทุ่นระเบิดต่อต้านรถถัง)[22]

หลังจากสงครามในปีพ.ศ. 2549 รวมทั้งหลังจากที่กองกำลังป้องกันอิสราเอลเผชิญกับสงครามกองโจร บางการประเมินชี้ว่าเมอร์คาวามีจุดอ่อนมากเกินไปต่อขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ซึ่งข้าศึกสามารถนำมาใช้ในสนามรบเชิงกองโจรได้ง่าย[30][31] การประเมินอื่น รวมทั้งของเดวิด เอสเชล ไม่เห็นด้วยเช่นนั้น เขาโต้ว่ารายงานความสูญเสียของเมอร์คาวานั้นเกินจริงและสรุปการทำงานของเมอร์คาวา โดยเฉพาะมาร์ค 4 นั้น จากคำบอกเล่าของทหารส่วนใหญ่ ว่าหากไม่นับข้อบกพร่องทางยุทธวิธีและการสูญเสียแล้ว เมอร์คาวามีความสามารถในสถานการณ์ดุเดือดได้ดี[32] ในจดหมายจากเหล่ายานเกราะได้มีการเปรียบเทียบที่แสดงให้เห็นว่า จำนวนเฉลี่ยของลูกเรือที่เสียชีวิตต่อรถถังหนึ่งคันนั้นลดลงจาก 2 นายในสงครามยมคิปเปอร์เหลือ 1.5 นายในสงครามเลบานอน พ.ศ. 2525 และเหลือ 1 นายในสงครามเลบานอน พ.ศ. 2549 เป็นการพิสูจน์ว่าเมอร์คาวา มาร์ค 4 ให้การป้องกันแก่ลูกเรือได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆ แม้ต้องเผชิญกับอาวุธต่อต้านรถถังที่พัฒนาขึ้นก็ตาม กองกำลังป้องกันอิสราเอลต้องการเพ่มรายการสั่งซื้อเมอร์คาวา มาร์ค 4 และวางแผนที่จะติดตั้งระบบป้องกันโทรฟี่ให้กับพวกมัน รวมทั้งจัดการฝึกฝนระหว่างลูกเรือรถถังและทหารต่อต้านรถถังของอิสราเอล[33][34]

เมอร์คาวา มาร์ค 4 พร้อมระบบป้องกันโทรฟี

เมอร์คาวา 4 เข้าร่วมรบอย่างดุดเดือดในสงครามกาซาเนื่องจากมีจำนวนเข้าประจำการมากขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 เพื่อแทนที่มาร์ค 2 และ 3 เมอร์คาวาเพียงหนึ่งกรมสามารถแย่งฉนวนกาซาออกเป็นสองเขตได้ภายในห้าชั่วโมงโดยไม่มีการสูญเสียเลย ผู้บัญชากรมกล่าวว่ายุทธวิธีของพวกเขาได้เปลี่ยนไปมากตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 ยุทธวิธีใหม่ออกแบบมาเพื่อตอบโต้สงครามกองโจรโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถเดิมที่เน้นทำสงครามรูปแบบปกติ[35] ในเดือนคุลาคม พ.ศ. 2553 กองกำลังป้องกันอิสราเอลได้เริ่มติดตั้งระบบป้องกันโทรฟีให้กับเมอร์คาวา 4 เพื่อเพิ่มการป้องกันจากขีปนาวุธต่อต้านรถถังที่ใช้หัวรบระเบิดแรงสูง[36][37] ระบบดังกล่าวประกอบด้วยระบบเลเซอร์เตือนภัยเอลบิทและระเบิดควันของไอเอ็มไอ[15]

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 กลุ่มฮามาสในกาซาได้ยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังเอที-14 คอร์เน็ทใส่เมอร์คาวา มาร์ค 3 คันหนึ่งที่ประจำการอยู่ตรงชายแดนอิสราเอลกาซา ก่อนหน้านี้เชื่อกันว่ากลุ่มฮามาสไม่ได้ครอบครองอาวุธที่มีความซ้ำซ้อนแบบดังกล่าว ขีปนาวุธลูกดังกล่าวเจาะทะลุรถถัง แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์นี้อิสราเอลจึงเริ่มใช้เมอร์คาวา 4 ตลอดแนวชายแดนพร้อมกับติดตั้งระบบป้องกันโทรฟีให้กับพวกมัน[38]

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554 เมอร์คาวา มาร์ค 4 คันหนึ่งที่ประจำการใกล้ชายแดนกาซา ถูกยิงด้วยขีปนาวุธแต่สามารถป้องกันได้ด้วยระบบป้องกันโทรฟี นับเป็นการแสดงผลให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบดังกล่าวเป็นครั้งแรก[39]

การส่งออก[แก้]

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ตุรกีได้ระงับแผน 5 พันล้านดอลลาร์ ที่จะจัดซื้อรถถัง เมอร์คาวา มาร์ค 3 จำนวน 1,000 คัน.[40][ไม่แน่ใจ ]

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 อิสราเอลได้ยื่นข้อเสนอที่จะจัดหาเมอร์คาวา มาร์ค 4 ให้กับโคลัมเบีย การขายจะประกอบด้วยรถถังจำนวน 25-40 คันและยานเกราะลำเลียงพลนาเมอร์ด้วยเช่นกัน โคลัมเบียกำลังถูกคุกคามโดยกองทัพเวเนซูเอล่าที่กลำขยายตัว ทำให้ต้องหารถถังที่สามารถต่อกรกับที-72 ของข้าศึกได้ [41]

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 อิสราเอลมีการเซ็นสัญญา a landmark contract with a foreign government for the sale of its locally- produced flagship Merkava IV main battle tank, local media reported on Sunday.[42]

อ้างอิง[แก้]

  1. ""Merkava Tank"". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-01-01. สืบค้นเมื่อ 2013-06-15.
  2. Arie Egozi (March 8, 2012), Renewed Global Interest in the Merkava, IsraelDefense
  3. 3.0 3.1 "The Institute for National Security Studies", chapter Israel, 2012 เก็บถาวร 2016-08-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน May 8, 2012.
  4. "Merkava Mk3/Mk4 Tank".
  5. "Israeli Merkava tank production to stop within four years", Amnon Barzilai, Globes Online Retrieved September 26, 2007.
  6. Oren, Amir (2006-11-07). "IDF preparing for another conflict by next summer". Ha'aretz. สืบค้นเมื่อ 2007-09-29.
  7. 7.0 7.1 "Merkava series". War Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-27. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  8. "Merkava Mk3 Baz". Army Technology. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-23. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  9. "Merkava Mk-4 Detailed". Defense Update. 2006. The tank utilizes an electric turret and gun control system, designed by Elbit Systems, which comprises two electrical brushless motors, produced by Bental Industries.
  10. "Merkava Mk 1". Israeli-Weapons. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  11. Simon Dunstan, Peter Sarson, Centurion Universal Tank 1943-2003 (2003), p.13, Osprey Publishing, ISBN 978-1-84176-387-3
  12. "Merkava Mk 2". Israeli-Weapons. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  13. Israel Military Industries 120 mm smoothbore tank gun MG251 (Israel) - Jane's Armour and Artillery Upgrades
  14. "Merkava Mk 3". Israeli-Weapons. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  15. 15.0 15.1 Merkava Mk IV breaks cover[ลิงก์เสีย] Janes.com, David Donald, 14 June 2010
  16. "Merkava Mk4 Detailed". Defense Update. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-26. สืบค้นเมื่อ 2013-06-16.
  17. "Israel at Eurosatory 2010 - Merkava Mark 4". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-25. สืบค้นเมื่อ 2013-06-18.
  18. Armies in Lebanon 1982-84, Samuel M. Katz, Lee Russell, Ronald Volstad, Osprey Publishing, 1985
  19. "Israel investigates Gaza tank blast". BBC. 2002-02-15. สืบค้นเมื่อ 2011-09-17.
  20. "Victims of Palestinian Violence and Terrorism since September 2000". MFA. สืบค้นเมื่อ 2010-09-17.
  21. Marcus, Jonathan (2006-08-15). "Apparent vulnerability of Israeli armour to Hezbollah anti-tank rockets". BBC. สืบค้นเมื่อ 2010-03-27.
  22. 22.0 22.1 22.2 22.3 Lessons of the 2006 Israeli-Hezbollah War, (CSIS, 2007), By Anthony H. Cordesman, William D. Sullivan, page 110
  23. Lessons of the 2006 Israeli-Hezbollah War, (CSIS, 2007), By Anthony H. Cordesman, William D. Sullivan, page 111
  24. Mohamed Nazzal (July 12, 2012). "Ali Saleh: Destroying the Merkava Myth". al-Akhbar. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-12. สืบค้นเมื่อ 2013-06-18.
  25. Blomfield, Adrian (2006-08-15). "Israel humbled by arms from Iran". London: The Daily Telegraph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-16. สืบค้นเมื่อ 2010-04-23.
  26. "Hezbollah's use of Lebanese civilians as human shields" (PDF). Center for Special Studies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ July 20, 2015. สืบค้นเมื่อ July 16, 2015.
  27. "Kornet ATGMs captured in Ghandouriyeh" (JPEG). Center for Special Studies. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 4, 2013.
  28. "Why did Armored Corps fail in Lebanon?". Ynet.
  29. Barzilai, Amnon (30 August 2006). "Defense establishment favors Rafael tank protection system". Globes Online. สืบค้นเมื่อ 11 September 2009.
  30. "God's chariot". Aljazeera. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  31. Marcus, Jonathan (2006-08-15). "Tough lessons for Israeli armour". BBC. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  32. "Assessing the performance of Merkava Tanks". Defense Update. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-13. สืบค้นเมื่อ 2013-06-18.
  33. "IDF mulls spending plan". Ynetnews. สืบค้นเมื่อ 2008-07-04.
  34. Yaakov Katz (August 31, 2007). "New training aims to help tanks cope in hostile territory". The Jerusalem Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-29. สืบค้นเมื่อ 2021-09-02.
  35. Katz, Yaakov (Aug 13, 2009), Security and Defense: 'The tank is one of the most technologically advanced platforms around, Jerusalem Post.
  36. Lappin, Yaakov (2010-10-13), IDF launches massive Ground Forces exercise, Jerusalem Post
  37. Weiss, Efrat (2009-08-07). "IDF successfully tests new tank defense system". Ynetnews. สืบค้นเมื่อ 2009-08-07.
  38. Katz, Yaakov; Stoil, Rebecca Anna (December 21, 2010). "IDF predicts violence to subside despite Gaza pounding". The Jerusalem Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 23, 2010.
  39. Harel, Amos (March 1, 2011). "IDF armor-defense system foils attack on tank for first time". Haaretz. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 26, 2015.
  40. "Turkey 'freezes arms deals with Israel'". upi.com. สืบค้นเมื่อ 1 June 2014.
  41. Israel offers Merkava tanks to Colombia - Army Recognition, May 24, 2012
  42. http://english.sina.com/world/2014/0608/707464.html