เคที เพร์รี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก เคที่ เพอร์รี)

เคที เพร์รี
เพร์รีในเดือนเมษายน 2023
เกิดแคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน
(1984-10-25) ตุลาคม 25, 1984 (39 ปี)
แซนตาบาร์บารา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐ
ชื่ออื่น
  • เคที ฮัดสัน
  • แคเทอรีน เพร์รี
อาชีพ
  • นักร้อง
  • นักแต่งเพลง
  • นักแสดง
  • นักธุรกิจ
  • นักการกุศล
คู่สมรสรัสเซลล์ แบรนด์ (สมรส 2010; 2012)
คู่รักออร์แลนโด บลูม (2016–ปัจจุบัน; หมั้น)
ญาติ
อาชีพทางดนตรี
แนวเพลง
เครื่องดนตรี
  • ร้องนำ
  • กีตาร์
  • เปียโน
ช่วงปี2001–ปัจจุบัน
ค่ายเพลง
เว็บไซต์katyperry.com

แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน (อังกฤษ: Katheryn Elizabeth Hudson; เกิด 25 ตุลาคม ค.ศ. 1984) หรือชื่อในวงการคือ เคที เพร์รี (อังกฤษ: Katy Perry) เป็นนักร้อง และนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน หลังจากเธอร้องเพลงในโบสถ์ในวัยเด็ก เธอได้ทำงานดนตรีแนวเพลงกอสเปลขณะเป็นวัยรุ่น เพร์รีเซ็นสัญญากับสังกัดเรดฮิลล์เรเคิดส์ และออกสตูดิโออัลบั้มแรกในชื่อ เคที ฮัดสัน โดยใช้ชื่อเกิดของเธอ เมื่อ ค.ศ. 2001 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เธอย้ายไปที่ลอสแอนเจลิสเพื่อเปลี่ยนแนวดนตรีทางโลกมากขึ้นหลังค่ายเรดฮิลล์ปิดตัวลง ซึ่งต่อมาเธอได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เพลง เกล็น บัลลาร์ด ดร.ลู้ก และแมกซ์ มาร์ติน หลังจากเธอใช้ชื่อว่าเคที เพร์รี และหมดสัญญากับค่ายเพลงดิไอส์แลนด์เดฟแจมมิวสิกกรุ๊ปและโคลัมเบียเรเคิดส์ เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายแคปิตอลเรเคิดส์ใน ค.ศ. 2007

เพร์รีเริ่มมีชื่อเสียงใน ค.ศ. 2008 หลังจากออกซิงเกิล "ไอคิสด์อะเกิร์ล" ที่ทำให้เกิดประเด็นเรื่องรักร่วมเพศ และซิงเกิล "ฮอตเอ็นโคลด์" จากอัลบั้มชุดที่สอง วันออฟเดอะบอยส์ อัลบั้มชุดที่สามในชื่อ ทีนเอจดรีม (ค.ศ. 2010) ดนตรีเปลี่ยนเป็นแนวดิสโก้ และมีซิงเกิลอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ได้แก่ "แคลิฟอร์เนียเกิลส์", "ทีนเอจดรีม", "ไฟร์เวิร์ก", "อี.ที." และ "ลาสต์ฟรายเดย์ไนต์ (ที.จี.ไอ.เอฟ.)" และซิงเกิลอันดับสาม "เดอะวันแด้ตก็อตอะเวย์" อัลบั้มนี้กลายเป็นอัลบั้มแรกของศิลปินหญิงที่มีซิงเกิลอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ดถึง 5 เพลง และเป็นรองจากอัลบั้ม แบด ของไมเคิล แจ็กสัน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2012 เธอออกอัลบั้มจำหน่ายซ้ำในชื่อ ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน มีซิงเกิล "พาร์ตออฟมี" และ "วายด์อะเวก" อัลบั้มที่สี่ ปริซึม ออกจำหน่ายใน ค.ศ. 2013 ดนตรีเป็นแนวป็อปและแดนซ์ เธอเป็นศิลปินคนแรกที่มิวสิกวิดีโอมียอดผู้ชมถึง 1 พันล้านครั้งในช่องวีโวมากกว่าหนึ่งเพลง ได้แก่มิวสิกวิดีโอเพลง "โรร์" และ "ดาร์กฮอร์ส"

เพร์รีได้รับรางวัลและได้เสนอเข้าชิงรางวัลมากมาย และได้บันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 4 หัวข้อ และได้อยู่ในรายชื่อ "สตรีที่มีรายได้สูงสุดด้านดนตรี" (2011–16) จัดโดยนิตยสารฟอบส์ เธอเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดตลอดกาล โดยขายได้ 100 ล้านหน่วยทั่วโลกตลอดการเป็นนักร้อง ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 เธอออกภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติแบบ 3 มิติเรื่อง เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี และพากย์เสียงให้ตัวละคร สเมิร์ฟเฟตต์ ในภาพยนตร์เรื่อง เดอะสเมิฟส์ (2011) และ เดอะสเมิฟส์ 2 (2013)

ชีวิตและอาชีพการงาน[แก้]

1984–98: ชีวิตช่วงแรก[แก้]

แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน เกิดในแซนตาบาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรของศิษยาภิบาลลัทธิเพนเทคอสต์ชื่อแมรี คริสตีน (ชื่อเกิดคือ เพร์รี) และเมารีซ คีธ ฮัดสัน[1][2] พ่อแม่ของเธอล้วนแต่เป็นคริสต์ศาสนิกชนเกิดใหม่ (born again Christians) แต่ละคนได้หันไปนับถือศาสนาหลังจากเคยมี "วัยหนุ่มสาวเป็นคนเถื่อน" (wild youth)[3] เพร์รีมีบรรพบุรุษเป็นชาวอังกฤษ เยอรมัน ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส[4] เธอเป็นหลานฝั่งแม่ของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชื่อ แฟรงก์ เพร์รี (1930–1995)[5] เธอยังมีน้องชายที่เป็นนักร้องเช่นกันชื่อ เดวิด ฮัดสัน (เกิด ค.ศ. 1988) เป็นนักร้อง[6] และพี่สาวชื่อแองเจลา (เกิด ค.ศ. 1982)[7] อายุ 3-11 ขวบ ครอบครัวของเพร์รีย้ายที่อยู่บ่อยครั้งเพื่อสร้างโบสถ์คริสต์ทั่วประเทศ ก่อนที่จะย้ายกลับมาที่แซนตาบาร์บาราอีกครั้ง เมื่อเติบโตขึ้น ในช่วงชั้นประถมศึกษา[2][8] เธอเข้าโรงเรียนและค่ายสอนศาสนา รวมถึงโรงเรียนคริสต์พาราไดส์แวลลี ในรัฐแอริโซนา และโรงเรียนคริสต์แซนตาบาร์บารา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ครอบครัวของเธอขัดสนเงิน[9] บางครั้งต้องใช้แสตมป์อาหาร และกินอาหารจากจากธนาคารอาหารที่มีไว้สำหรับกลุ่มคนในโบสถ์ของพ่อแม่ของเธอ[10]

เมื่อเติบโตขึ้น เพร์รีและพี่น้องไม่ได้รับอนุญาตให้กินซีเรียลลักกีชาร์ม เพราะคำว่า "luck" ทำให้นึกถึงแม่ของลูซิเฟอร์ และต้องเรียกไข่ปีศาจ (deviled egg) ว่า "ไข่นางฟ้า" (angel egg)[11] เพร์รีฟังเพลงกอสเปลเป็นหลัก[12] เนื่องจากครอบครัวของเธอต่อต้านเพลงที่เกี่ยวกับทางโลก เธอรู้จักกับเพลงที่เป็นที่นิยมผ่านซีดีที่เธอแอบหยิบมาจากเพื่อนของเธอ[13] แม้ว่าเพร์รีจะดูไม่เคร่งศาสนา แต่เพร์รีก็เคยกล่าวว่า "ฉันสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา เพื่อควบคุมตนเอง เพื่อความอ่อนน้อมถ่อมตน"[14] เพร์รีเริ่มร้องเพลงตามอย่างพี่สาว โดยฝึกจากเทปคาสเซตของพี่สาว เธอร้องเพลงหลายเพลงต่อหน้าพ่อแม่ ซึ่งต่อมาแนะนำให้เธอเรียนร้องเพลง เธอเริ่มฝึกร้องเพลงเมื่ออายุ 9 ขวบ[15] และได้ร่วมร้องเพลงในโบสถ์ของพ่อแม่เธอด้วย[3] เธอร้องในโบสถ์ตั้งแต่อายุ 9-17 ปี[16] เมื่ออายุ 13 ปี เพร์รีได้กีตาร์ตัวแรกเป็นของขวัญวันเกิด[3][17] และร้องเพลงที่เธอแต่งต่อหน้าสาธารณชน[9] เธอพยายาม "เป็นเด็กหญิงชาวแคลิฟอร์เนียธรรมดา" ขณะกำลังเติบโต และเริ่มเล่นโรลเลอร์สเกต สเกตบอร์ด และโต้คลื่น เดวิดมองว่าในช่วงวัยรุ่น เธอเป็นทอมบอยคนหนึ่ง[18] เธอเคยเรียนเต้นรำ และสามารถเต้นท่าสวิง ลินดีฮอป และจิตเตอร์บัก (jitterbug)[19]

1999–2006: เริ่มอาชีพงานดนตรี[แก้]

ระหว่างการเรียนไฮสกูลปีแรก[20] เพร์รีผ่านการสอบการพัฒนาการศึกษาทั่วไป (General Educational Development) หรือ GED ขณะอายุ 15 ปี และออกจากโรงเรียนโดสพวยโบลสไฮสกูล (Dos Pueblos High School) เพื่อทำงานดนตรี เพร์รีได้ศึกษาวิชาอุปรากรอิตาลี (Italian opera) เป็นเวลาสั้น ๆ ที่สถาบันดนตรีตะวันตก (Music Academy of the West) ในแซนตาบาร์บารา[21] การร้องเพลงของเธอเป็นที่สนใจต่อสตีฟ โทมัส และเจนนิเฟอร์ แนปป์ จากแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เขาสองคนพาเธอไปฝึกฝนการแต่งเพลง[22][23] ที่แนชวิลล์ เธอบันทึกเสียงเดโมและเรียนรู้การแต่งเพลงและเล่นกีตาร์[12] หลังจากเซ็นสัญญากับสังกัดเรดฮิลล์เรเคิดส์ เพร์รีบันทึกเสียงอัลบั้มแรก เป็นอัลบั้มเพลงแนวกอสเปลชื่อว่าเคที ฮัดสัน อัลบั้มออกจำหน่ายวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2001 และเธอร่วมทัวร์คอนเสิร์ต เดอะสเตรนจ์ลีนอร์มัลทัวร์ (The Strangely Normal Tour) ของฟิล โจล[24][25] ขณะกำลังแสดงงานของตนเองในสหรัฐด้วยเช่นกัน[26] อัลบั้มเคที ฮัดสัน ได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก แต่ไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย โดยขายได้ประมาณ 200 ชุด ก่อนที่ค่ายเพลงจะปิดตัวลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001[27][28]

หลังจากเปลี่ยนแนวเพลงจากกอสเปล เป็นเพลงทางโลก เพร์รีเริ่มแต่งเพลงกับโปรดิวเซอร์ เกล็น แบลลาร์ด[29] และย้ายไปที่ลอสแอนเจลิสเมื่ออายุ 17 ปี ใน ค.ศ. 2003[30] เธอแสดงดนตรีในชื่อแคเธอรีน เพร์รี ชั่วคราวเพื่อไม่ให้สับสนกับนักแสดง เคต ฮัดสัน ต่อมาเธอหันไปใช้สเตจเนมว่า เคที เพร์รี โดยใช้นามสกุลเก่าของแม่เธอ[31]

ใน ค.ศ. 2004 เพร์รีเซ็นสัญญากับสังกัดของแบลลาร์ด สังกัดจาวา ซึ่งเป็นสังกัดในเครือดิไอส์แลนด์เดฟแจมมิวสิกกรุ๊ป เธอเริ่มทำอัลบั้มเดี่ยว แต่อัลบั้มถูกพับไปหลังจากสังกัดจาวาปิดตัว[32] จากนั้นแบลลาร์ดแนะนำเพร์รีให้รู้จักกับทิม เดวีน ผู้บริหารฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปินของสังกัดโคลัมเบียเรเคิดส์ และเธอได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินเดี่ยว ผ่านไปสองปี เพร์รีเขียนและบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มแรกในสังกัดโคลัมเบีย และร่วมงานกับนักแต่งเพลงมากมาย เช่น เดสมอนด์ ไชลด์, เกร็ก เวลส์, บุตช์ วอล์กเกอร์, สกอตต์ คัตเลอร์/แอนน์ เพรวิน, ทีมเดอะแมทริกซ์, แครา ดิโอกวาร์ดี, แมกซ์ มาร์ติน และดร.ลู้ก[33][34] นอกจากนี้ หลังจากเดวีนแนะว่าพวกเขาได้เป็น "กลุ่มของจริง" (real group) แล้ว เธอได้บันทึกเสียงกับเดอะแมทริกซ์[35] เพร์รีถูกถอดออกจากโคลัมเบียใน ค.ศ. 2006 ขณะที่ผลงานใกล้จะสมบูรณ์แล้ว หลังจากนั้น เพร์รีทำงานเป็นฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปินในบริษัทอิสระชื่อ แท็กซีมิวสิก[36]

เพร์รีประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก่อนจะมีชื่อเสียง หนึ่งในเพลงที่เธอบันทึกเสียงกับแบลลาร์ดในอัลบั้มคือเพลง "ซิมเพิล" ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ปี ค.ศ. 2005 เรื่อง มนต์รักกางเกงยีนส์ (The Sisterhood of the Traveling Pants)[37] เธอยังร้องเบื้องหลังให้กับเพลง "โอลด์แฮบิตส์ดายฮาร์ด" ของมิก แจ็กเกอร์[38] รวมอยู่ในอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์อัลฟี่ กิ๊ก ๆ กั๊ก ๆ ไม่รักสักที (Alfie) ออกฉายปี ค.ศ. 2004[39] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2004 นิตยสารเบลนเดอร์ขนานนามเพร์รีว่าเป็น "บุคคลยิ่งใหญ่คนถัดไป" (The Next Big Thing)[37] เธอยังร้องเบื้องหลังให้กับเพลง "กูดบายฟอร์นาว" ของพี.โอ.ดี. และแสดงในมิวสิกวิดีโอใน ค.ศ. 2006 ในปีนั้น เพร์รียังแสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง "เลิร์นทูฟลาย" ของคาร์บอน ลีฟ รับบทเป็นคนรักกับนักร้องนำวงจิม คลาส ฮีโรส์ ชื่อ เทรวี แม็กคอย คนรักหนุ่มของเธอในขณะนั้น ในมิวสิกวิดีโอเพลง "คิวปิดส์โช้กโฮลด์" ด้วย[40]

2007–09: ประสบความสำเร็จจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์[แก้]

เคที เพร์รีกำลังแสดงในทัวร์คอนเสิร์ต 2008 วาปต์ทัวร์
เพร์รีเป็นส่วนหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ต 2008 วาปต์ทัวร์

หลังจากสังกัดโคลัมเบียถอดเธอออก แองเจลิกา ค็อบ-แบเลอร์ ผู้บริหารสังกัดในขณะนั้น นำเดโมของเพร์รีมาเสนอเจสัน ฟลอม ประธานสังกัดเวอร์จินเรเคิดส์ ฟลอมเชื่อว่าเธอจะเป็นดาราที่ประสบความสำเร็จ และเธอเซ็นสัญญากับแคปิตอลเรเคิดส์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 สังกัดนัดพบเธอเพื่อให้ร่วมงานกับดร.ลู้กเพื่อเพิ่ม "แนวคิดดีเยี่ยมอย่างไม่อาจปฏิเสธได้" (undeniable smash) ลงไปในงานเพลงที่มีอยู่[41][42] เพร์รีและดร.ลู้กร่วมเขียนเพลง "ไอคิสด์อะเกิร์ล" และ "ฮอตเอ็นโคลด์" ใส่สตูดิโออัลบั้มที่สองชื่อ วันออฟเดอะบอยส์ โครงการรณรงค์โครงการหนึ่งเริ่มขึ้นด้วยวิดีโอเพลง "ยัวร์โซเกย์" ที่ออกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 มีเป้าหมายคือทำให้เธอเป็นที่รู้จักในตลาดดนตรี[43] ภายหลัง อีพีดิจิทัลชุดหนึ่งนำโดยเพลง "ยัวร์โซเกย์" ออกจำหน่ายเพื่อดึงดูดความสนใจ[3][44] มาดอนนาช่วยส่งเสริมเพลงโดยกล่าวชื่นชมเธอในรายการวิทยุ จอห์นเจย์แอนด์ริช ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2008[45] กล่าวว่ามันเป็น "เพลงโปรดของเธอ"[46] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 เพร์รีปรากฏช่วงสั้น ๆ เป็นนักร้องในคลับในซีรีส์ ไวลด์ไฟร์ ตอน "Life's Too Short"[47] และยังปรากฏในเรื่อง เดอะยังแอนด์เดอะเรสต์เลส ระหว่างถ่ายรูปนิตยสารเรสต์เลสสไตล์ ในเดือนมิถุนายน[48]

เพร์รีออกซิงเกิลแรกกับสังกัดแคปิตอล "ไอคิสด์อะเกิร์ล" เมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2008[49] เป็นซิงเกิลนำจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ สถานีแรกที่เปิดเพลงนี้คือ WRVW ในแนชวิลล์ ที่หลังจากเล่นเพลงนี้เพียง 3 วัน ก็มีโทรศัพท์เข้ามาขอเพลงเป็นจำนวนมาก[44] เพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[50] อัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ ออกจำหน่ายวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ได้รับคำวิจารณ์แบบคละกัน[51] และขึ้นถึงอันดับที่ 9 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200[52][53] อัลบั้มขายได้ถึง 7 ล้านชุดทั่วโลก[54] เพลง "ฮอตเอ็นโคลด์" ออกมาในเดือนกันยายน[55] กลายเป็นเพลงที่สองที่ประสบความสำเร็จ ขึ้นอันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100[56] และขึ้นอันดับ 1 ในเยอรมนี[57] แคนาดา[58] เนเธอร์แลนด์[59] และออสเตรีย[60] หลังจากนั้นมีซิงเกิลเพลง "ธิงกิงออฟยู" และ "เวกกิงอัปอินเวกัส" ออกมาใน ค.ศ. 2009[61][62] และขึ้น 30 อันดับแรกบนชาร์ตฮอต 100[56] อัลบั้มของเดอะแมทริกซ์ที่เพร์รีอัดเสียงด้วยเมื่อ ค.ศ. 2004 ได้ออกจำหน่ายหลังจากเพร์รีประสบความสำเร็จ เธอขอให้ชะลอการออกจำหน่ายไว้จนกว่าจะออกซิงเกิลที่สี่จากอัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์ แต่อัลบั้ม เดอะแมทริกซ์ ออกจำหน่ายทางไอทูนส์ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2009 ก่อนซิงเกิลที่สี่ "เวกกิงอัปอินเวกัส"[63][39]

หลังจากจบทัวร์คอนเสิร์ต วาปต์ทัวร์ 2008 (Warped Tour 2008)[64] เพร์รีเป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ 2008 ซึ่งเธอได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (Best New Act)[65] ในงานประกาศรางวัลบริตอะวอดส์ 2009 เธอได้รับรางวัลศิลปินเดี่ยวหญิงสากล[66] เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตของตนเองในชื่อ เฮลโลเคทีทัวร์ (Hello Katy Tour) ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 เพื่อส่งเสริมอัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์[67] ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2009 เธอแสดงเป็นศิลปินเปิดให้กับทัวร์คอนเสิร์ตซัมเมอร์ทัวร์ 2009 ของวงดนตรีโนเดาต์[68] เพร์รียังเป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ 2009 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 กลายเป็นคนแรกที่เป็นพิธีกรงานประกาศรางวัลสองครั้งติดต่อกัน[69] ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 เพร์รีบันทึกอัลบั้มแสดงสด เอ็มทีวีอันพลักด์ ที่นำเพลงจากอัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์ 5 เพลงแรกมาทำเป็นฉบับอะคูสติก และมีเพลงใหม่ 2 เพลง[70] อัลบั้มออกจำหน่ายวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009[71] เพร์รียังปรากฏในซิงเกิลของศิลปินอื่น 2 ซิงเกิล ในเวอร์ชันทำใหม่ของเพลง "สตาร์สตรักก์" ของวงดนตรีจากโคโลราโดชื่อ ทรีโอ!ทรี เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2009[72] และผลงานคู่กับทิมบาแลนด์ในเพลง "อิฟวีเอเวอร์มีตอะเกน" จากอัลบั้ม ช็อกแวลยู II เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2010[73][74] บันทึกสถิติโลกกินเนสส์บันทึกให้เธอเป็น "ศิลปินหญิงที่เริ่มต้นได้ดีที่สุดบนชาร์ตดิจิทัลของสหรัฐ" (Best Start on the U.S. Digital Chart by a Female Artist) หลังจากที่เธอทำยอดขายดิจิทัลซิงเกิลได้มากกว่า 2 ล้านชุด[75]

เพลง "ไอคิสด์อะเกิร์ล" ทำให้เกิดประเด็นในกลุ่มเคร่งศาสนาและกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มเคร่งศาสนาตำหนิเนื้อหาเชิงรักร่วมเพศ ขณะที่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศกล่าวหาว่าเธอขายความฝักใฝ่ในสองเพศผ่านบทเพลง จากที่เธอเข้าใจว่าพ่อแม่ของเธอไม่สนับสนุนงานเพลงและอาชีพของเธอ เพร์รีกล่าวกับเอ็มทีวีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ว่า พ่อแม่ของเธอไม่มีปัญหาเรื่องความสำเร็จของเธอ[76] หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม็กคอยจบลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008[77] เพร์รีพบกับคนที่ต่อมาเป็นสามีของเธอ รัสเซลล์ แบรนด์ ในฤดูร้อน ค.ศ. 2009 ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง จับร็อคซ่าส์มาโชว์เฟี้ยว (Get Him to the Greek) ที่เขาแสดง ฉากที่เธอเล่นเป็นฉากที่ทั้งสองคนจูบกัน ไม่ปรากฏในภาพยนตร์[78] เธอเริ่มคบหากับแบรนด์หลังจากพบเขาอีกครั้งในเดือนกันยายนที่งานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2009[79] ทั้งคู่หมั้นกันในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ขณะพักร้อนที่รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย[79]

2010–12: อัลบั้มทีนเอจดรีม และ การสมรส[แก้]

หลังจากเป็นกรรมการรับเชิญในรายการอเมริกันไอดอล[80] เพร์รีออกเพลง "แคลิฟอร์เนียเกิลส์" ร้องร่วมกับแร็ปเปอร์ สนูป ด็อกก์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2010[81] เป็นซิงเกิลนำของสตูดิโออัลบั้มชุดที่สาม ทีนเอจดรีม และขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เมื่อเดือนมิถุนายน[82][83] เธอยังเป็นกรรมการรับเชิญในรายการดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ สหราชอาณาจักร ในเดือนต่อมา[84] ก่อนออกซิงเกิลที่สอง "ทีนเอจดรีม" เมื่อเดือนกรกฎาคม[85] เพลง "ทีนเอจดรีม" ขึ้นอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดในเดือนกันยายน[86] ส่วนอัลบั้มออกจำหน่ายในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2010[87] เปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200[88] อัลบั้มได้รับคำวิจารณ์คละกัน[89] และขายได้ 6 ล้านชุดทั่วโลก[90] อัลบั้มทีนเอจดรีมได้รับรางวัลจูโนอะวอร์ด สาขาอัลบั้มสากลแห่งปี 2011[91] ในเดือนตุลาคม เพลง "ไฟร์เวิร์ก" เป็นซิงเกิลที่สามของอัลบั้ม[92] กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นเพลงที่สามติดต่อกันในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2010[93]

เพลง "อี.ที." ฉบับรีมิกซ์ ร้องรับเชิญโดยแร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ ได้ออกเป็นซิงเกิลที่สี่จากอัลบั้มทีนเอจดรีมในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011[94] เพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 เป็นเวลา 5 สัปดาห์ไม่ติดต่อกัน ทำให้อัลบั้ม ทีนเอจดรีม เป็นอัลบั้มลำดับที่เก้าในประวัติศาสตร์ที่ทำเพลงอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 ได้ถึง 4 เพลง[95] "ลาสต์ฟรายเดย์ไนต์ (ที.จี.ไอ.เอฟ.)" ตามมาเป็นซิงเกิลที่ห้าในเดือนมิถุนายน[96] และเมื่อเพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ทำให้เพร์รีกลายเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มีเพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 จากอัลบั้มเดียวกันถึง 5 เพลง และศิลปินคนที่สองถัดจากอัลบั้ม แบด ของไมเคิล แจ็กสัน[97][98] เธอได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011[99] และบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ค.ศ. 2013[98] ในวันที่ 7 กันยายน เธอทำสถิติศิลปินหญิงคนแรกที่มีเพลงติดสิบอันดับแรกบนชาร์ตฮอต 100 ได้นาน 69 สัปดาห์[100] ในเดือนตุลาคม "เดอะวันแด้ตก็อตอะเวย์" ออกเป็นซิงเกิลที่หก[101] เพลงขึ้นอันดับ 3 บนชาร์ตฮอต 100[102] และอันดับ 2 ในแคนาดา[58] ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 แคปิตอลออกซิงเกิลนำจากอัลบั้ม ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน เพลง "พาร์ตออฟมี" เปิดตัวอันดับที่ 1 บนชาร์ตฮอต 100 และเป็นซิงเกิลที่เจ็ดที่ขึ้นอันดับ 1[56][103] อัลบั้ม ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน ออกจำหน่ายวันที่ 23 มีนาคม[104] เพลง "วายด์อะเวก" ออกในวันที่ 22 พฤษภาคมเป็นซิงเกิลที่สอง[105] ขึ้นถึงอันดับที่ 2 บนชาร์ตฮอต 100[102] และอันดับ 1 ในแคนาดา[58] และนิวซีแลนด์[106] ในวันที่ 5 มกราคม เธอเป็นนักร้องที่ขายเพลงดิจิทัลได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ในสหรัฐ ด้วยยอดขายทั้งหมด 37.6 ล้านหน่วยจากข้อมูลของนีลเซน ซาวด์สแกน[107] และในเดือนนั้น เธอเป็นนักร้องคนแรกที่มีเพลงได้ขายได้มากกว่า 5 ล้านหน่วยดิจิทัลถึง 5 เพลง[108]

เคที เพร์รีกำลังแสดงในทัวร์คอนเสิร์ตแคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์
ทัวร์คอนเสิร์ตแคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ทำรายได้ได้ US$59.5 ล้าน

เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ต แคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ เพื่อส่งเสริมอัลบั้มทีนเอจดรีม[67] ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ถึงมกราคม ค.ศ. 2012[109] ทัวร์ทำรายได้ได้ US$59.5 ล้าน จากทั่วโลก[110] และได้รับรางวัลสาขาแสดงสดยอดเยี่ยม (Best Live Act) ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวียุโรปมิวสิกอะวอดส์ 2011[111]

ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอแสดงในวันเปิดงานร็อกอินริโอเฟสติวัล 2011 ร่วมกับเอลตัน จอห์น, คลาวเจอ เลชี และริอานนา[112] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 เพร์รีได้ปรากฏตัวในตอนแรกของรายการเซซามี สตรีท ซีซันที่ 41 หลังจากฉากที่เธอแสดงถูกอัปโหลดขึ้นยูทูบ ผู้ชมวิจารณ์เรื่องชุดที่เผยให้เห็นร่องอก หลังจากออกอากาศ 4 วัน เซซามีเวิร์กช็อปประกาศว่าฉากนั้นจะไม่ออกอากาศในโทรทัศน์ แต่ยังสามารถรับชมได้ทางออนไลน์[113] หลังจากนั้น เพร์รีล้อเลียนประเด็นถกเถียงดังกล่าวในรายการแซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ ซึ่งเธอเป็นศิลปินรับเชิญ และสวมเสื้อธีมเอลโมแสดงส่วนเว้าขนาดใหญ่ในการแสดงฉากหนึ่ง[114]

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 เพร์รีแสดงเป็นแฟนสาวของ Moe Szyslak ในฉากแสดงสดฉากหนึ่งของเดอะซิมป์สัน ตอนพิเศษช่วงคริสต์มาสในตอน "The Fight Before Christmas"[115][116] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 เธอเป็นนักแสดงรับเชิญในละครฮาวไอเม็ตยัวร์มาเธอร์ ตอน "Oh Honey" แสดงเป็นผู้หญิงชื่อ ฮันนี[117] บทบาทนี้ทำให้เธอได้รับรางวัลพีเพิลส์ชอยซ์อะวอดส์ สาขาดารารับเชิญโทรทัศน์ยอดนิยม (Favorite TV Guest Star) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2012[118] เธอปรากฏในภาพยนตร์ครั้งแรกในภาพยนตร์การ์ตูนแนวครอบครัวเรื่อง เดอะสเมิฟส์ รับบทเป็น สเมิร์ฟเฟตต์ ในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั่วโลก[119] ขณะที่นักวิจารณ์ให้ความเห็นด้านลบ[120] เธอยังเป็นพิธีกรในรายการ แซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ร่วมกับโรบิน ที่เป็นแขกรับเชิญ จากงานพิธีกรดังกล่าว เพร์รีได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ที่ยกย่องถึงจังหวะการแสดงมุกตลกและซีรีส์เรื่องสั้นที่เธอแสดงร่วมกับแอนดี้ แซมเบิร์ก[121] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2012 เธอแสดงรับเชิญในซีรีส์เรื่องเรซิงโฮป รับบทเป็นผู้คุมนักโทษชื่อ ริกกี ในตอน "Single White Female Role Model" ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 เพร์รีได้ออกผลงานภาพยนตร์อัตชีวประวัติในชื่อ เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี ผ่านทางพาราเมาต์พิกเจอส์[122][123] ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี[124]และทำรายได้บนบ็อกซ์ออฟฟิศได้ US$30 ล้าน ทั่วโลก[125]

เพร์รีเริ่มทำธุรกิจเมื่อเธอได้เซ็นรับรองน้ำหอมตัวแรกชื่อ เพอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 ตัวที่สองชื่อ เมียว! ออกจำหน่ายในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 น้ำหอมทั้งสองตัวออกวางขายที่ห้างสรรพสินค้านอร์ดสตรอม[126][127] อิเล็กทรอนิก อาตส์ ได้จ้างเธอให้ส่งเสริมภาคเสริมเกม เดอะซิมส์ 3: โชว์ไทม์[128] ก่อนจะออกภาคเสริมอีกภาคที่มีเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และทรงผมที่ได้แรงบันดาลใจจากเพร์รี ในชื่อ เดอะซิมส์ 3: เคที เพร์รีสวีตทรีตส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012[129] ในเดือนต่อมา เธอเป็นโฆษกและทูตให้กับผลิตภัณฑ์ ป็อปชิปส์ และลงทุนในบริษัทดังกล่าวด้วย[130] และนิตยสารบิลบอร์ดจัดให้เธอเป็น "ผู้หญิงแห่งปี" ค.ศ. 2012[131]

เธอสมรสกับรัสเซลล์ แบรนด์ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2010 โดยจัดพิธีสมรสแบบฮินดูใกล้ ๆ เขตสงวนพันธุ์เสือรันทัมบอร์ ในรัฐราชสถาน[132] แบรนด์ประกาศในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ว่าพวกเขาได้หย่าร้างกันหลังจากใช้ชีวิตคู่กัน 14 เดือน[133] ต่อมา เพร์รีกล่าวว่า ตารางเวลาที่ไม่ตรงกันและเขาต้องการมีบุตรโดยที่เธอยังไม่พร้อม ทำให้การสมรสสิ้นสุดลง[134] และเขาไม่พูดกับเธออีกเลยหลังจากส่งข้อความขอหย่าถึงเธอ[135] ขณะที่แบรนด์ยืนยันว่าเขาหย่ากับเพร์รีเพราะชื่อเสียงของเธอที่เพิ่มขึ้น ความสำเร็จ และความลังเลที่จะเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย[136] แรกเริ่มเธอรู้สึกคุ้มคลั่งเรื่องหย่าร้าง และกล่าวว่าเธอเคยคิดฆ่าตัวตาย[137][138] หลังจากการสมรสสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 2012[139] เพร์รีเริ่มต้นความสัมพันธ์กับนักร้อง จอห์น เมเยอร์ ในเดือนสิงหาคมนั้นเอง[140]

2013–2015: อัลบั้มปริซึม ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 49 และการแสดงช่วงพักครึ่ง[แก้]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เพร์รีเริ่มทำงานอัลบั้มชุดที่สี่ ปริซึม เธอกล่าวกับนิตยสารบิลบอร์ดว่า "ฉันรู้ว่าผลงานที่ฉันจะทำต่อไป ฉันรู้ปกอัลบั้ม สีสัน โทน" และ "ฉันรู้แม้กระทั่งทัวร์คอนเสิร์ตที่ฉันจะจัด ฉันจะพอใจมากถ้าภาพที่ฉันคิดในหัวออกมาเป็นความจริงได้"[141] แม้ว่าเธอบอกกับ L'Uomo Vogue ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ว่าเธอวางแผนไว้ว่าจะมี "องค์ประกอบที่มืดมนลง" (darker elements) ในอัลบั้มปริซึม หลังจากการสมรสสิ้นสุดลง[142] เธอเผยกับเอ็มทีวีในระหว่างงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013 ว่าเธอได้เปลี่ยนทิศทางของอัลบั้มหลังจากเธอใช้เวลาไตร่ตรองตนเอง เธอออกความเห็นว่า "ฉันรู้สึกถึงแสงส่องดั่งปริซึม (prismatic) อย่างมาก" กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชื่ออัลบั้ม[143] เพลง "โรร์" ออกโรงเป็นซิงเกิลนำจากอัลบั้ม ปริซึม ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2013[144] เธอส่งเสริมเพลงนี้ผ่านการแสดงในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ และเพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[145][146] เพลง "อันคอนดิชันเนิลลี" ออกเป็นซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2013[147] และขึ้นถึงอันดับที่ 14 ในสหรัฐ[148]

เพร์รีแสดงในคอนเสิร์ตเดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2014

อัลบั้ม ปริซึม ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2013 และขายได้ 4 ล้านชุดนับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015[149] อัลบั้มได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก[150] และเปิดตัวที่อันดับที่ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200[151] สี่วันต่อมา เพร์รีแสดงเพลงใหม่จากอัลบั้มที่โรงละครไอฮาร์ตเรดิโอในลอสแอนเจลิส[152] เพลง "ดาร์กฮอร์ส" ออกมาเป็นซิงเกิลที่สามในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013[153] กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 เป็นเพลงที่เก้าของเธอเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2014[154][155] ใน ค.ศ. 2014 เพลง "เบิร์ธเดย์"[156] และ "ดิสอิสฮาววีดู"[157] ออกมาเป็นซิงเกิลที่สี่และห้าจากอัลบั้มปริซึม และขึ้นถึง 25 อันดับแรกบนชาร์ตฮอต 100[56] นอกจากนี้ เธอยังได้บันทึกเสียงและแต่งเพลงร่วมกับ จอห์น เมเยอร์ ในเพลง "ฮูยูเลิฟ" จากอัลบั้มของเขา พาราไดซ์แวลลี เพลงออกมาวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2013[158][159] เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่สามในชื่อ เดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 และจบลงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015[149] ทำรายได้ได้ US$204.3 ล้าน จากทั่วโลก [160] และเพร์รีได้รับรางวัล "แพ็กเกจสูงสุด" ในงานประกาศรางวัลบิลบอร์ดทัวริงอะวอดส์ 2014[161] เธอแสดงในเทศกาลดนตรีร็อกอินริโอ 2015 ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2015[162]

เพร์รีใน Super Bowl halftime show ครั้งที่ 49

ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เอ็นเอฟแอลประกาศว่าเพร์รีจะแสดงในช่วงพักครึ่งในงานซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 49 ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 พร้อมกับแขกรับเชิญ เลนนี แครวิตซ์ และมิสซี เอลเลียต[163][164] หลังการแสดงสองวัน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์บันทึกว่าการแสดงของเพร์รีมีผู้ชม 118.5 ล้านคนในสหรัฐ กลายเป็นการแสดงที่มีผู้ชมมากที่สุดและมีเรตสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของซูเปอร์โบวล์ ยอดคนชมสูงกว่าตัวกีฬาเอง ซึ่งมีคนชมอยู่ที่ 114.4 ล้านคน[165]

สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศตั้งให้เพร์รีเป็นศิลปินระดับโลกอันดับที่ห้าของปี ค.ศ. 2013[166] ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้เพร์รีเป็นศิลปินที่ได้รับการรับรองมากที่สุด (Top Certified Digital Artist Ever) หลังจากทำยอดขายได้ 72 ล้านหน่วยดิจิทัลในสหรัฐ[167][168] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 ภาพนิ่งของเพร์รีที่วาดโดยมาร์ก ไรเดน ได้แสดงในนิทรรศการ "The Gay 90s" และแสดงที่ Kohn Gallery ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอยังได้บันทึกเสียงเพลงฉบับทำใหม่ "เดซีเบลล์ (ไบซีเคิลบิลต์ฟอร์ทู)" ร่วมกับศิลปินอื่นมากมายในอัลบั้มชื่อ เดอะเกย์ไนน์ทีส์โอลด์ไทม์มิวสิก: เดซีเบลล์ รุ่นจำกัดที่มาพร้อมกับนิทรรศการดังกล่าว[169] ในเดือนเดียวกันนั้น ภาพนิ่งอีกภาพหนึ่งของเพร์รีวาดโดยวิล ค็อตตัน ได้แสดงอยู่ในแกลอรีภาพนิ่งแห่งชาติ[170] ในวันที่ 23 พฤศจิกายน เพร์รีแสดงในโครงการโฆษณาวันหยุดของ เอชแอนด์เอ็ม ซึ่งเธอแต่งและบันทึกเพลง "เอเวอรีเดย์อิสอะฮอลิเดย์" ให้[171][172]

ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2014 เพร์รีประกาศว่าเธอได้ก่อตั้งค่ายเพลงของตัวเองภายใต้สังกัดแคปิตอลเรเคิดส์ในชื่อ เมตามอร์โฟซิสมิวสิก เฟร์ราส์เป็นศิลปินคนแรกที่เซ็นสัญญาเข้าสังกัดดังกล่าว และเพร์รีเป็นหัวหน้าโปรดิวเซอร์ให้อีพีของเขา เธอยังบันทึกเสียงเพลง "เลเจนส์เนเวอร์ดาย" ร่วมกับเขาในอีพีด้วย[173] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 นิตยสารฟอบส์ประมาณรายได้สุทธิของเธออยู่ที่ US$125 ล้าน[174] และติดอันดับที่หกในรายชื่อ "ผู้หญิงที่มีค่าตัวสูงที่สุดในวงการดนตรี" โดยมีรายได้ US$41 ล้าน[175]

นอกจากงานดนตรี เพร์รีได้กลับมารับบทสเมิร์ฟเฟตต์ ในภาพยนตร์ เดอะสเมิฟส์ 2 ออกมาในวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2013[176] เช่นเดียวกับภาคก่อนหน้า ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จด้านรายได้[177] แม้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์แตกต่างกันไป[178] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 เธอเป็นแขกรับเชิญรับบทเป็นตนเองในรายการโครลโชว์ ตอน "Blisteritos Presents Dad Academy Graduation Congraduritos Red Carpet Viewing Party"[179] น้ำหอมตัวที่สามชื่อ คิลเลอร์ควีน ออกมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ผ่านทางบริษัทโคตี (Coty, inc.)[180] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 เธอเป็นภัณฑารักษ์รับเชิญให้มาดอนน่าในโครงการริเริ่ม อาร์ตฟอร์ฟรีดอม[181] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 เธอปรากฏตัวในภาพยนตร์สารคดีเรื่องแบรนด์: อะเซกันด์คัมมิง สารคดีที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงจากงานแสดงตลกไปเป็นนักกิจกรรมของอดีตสามี รัสเซลล์ แบรนด์ และออกภาพยนตร์คอนเสิร์ตเรื่อง เคที เพร์รี: เดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ ออกอากาศทางช่องอีพิกซ์ เกิดขึ้นในระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตชื่อเดียวกัน[123] เพร์รีแสดงรับเชิญในมิวสิกวิดีโอเพลง "บิตช์ไอม์มาดอนน่า" ของมาดอนน่าเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015[182] ในเดือนต่อมา เธอออกน้ำหอมอีกรุ่นหนึ่งกับบริษัทโคตี ในชื่อ แมดโพชัน[183] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2015 ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง เคที เพร์รี: เมกกิงออฟเดอะเปปซีซูเปอร์โบวล์ฮาล์ฟไทม์โชว์ ออกฉายหลังจากเพร์รีเตรียมตัวแสดงในงานซูเปอร์โบวล์[184] และเจเรมี สก็อตต์: เดอะพีเพิลส์ดีไซเนอร์ ที่เล่าเรื่องชีวิตและอาชีพนักออกแบบของเจเรมี สก็อตต์[185] เพร์รีออกโปรแกรมประยุกต์ชื่อ เคทีเพร์รีป็อป ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2015 ผ่านตัวแทนจำหน่าย กลูโมไบล์ ซึ่งตัวละครของเธอทำให้ผู้เล่นกลายเป็นนักดนตรีชื่อดัง[186] เธออธิบายถึงโปรแกรมนี้ว่าเป็น "โลกที่สนุกและมีสีสันสดใสที่สุดที่ช่วยนำทางสู่ฝันทางดนตรีของคุณ"[187]

2016–2018: อัลบั้ม วิตนิสส์ และอเมริกันไอดอล[แก้]

เพร์รีตั้งท่าถ่ายรูปกับแฟนคลับ
เพร์รีตั้งท่าถ่ายรูปกับแฟนคลับในซิดนีย์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017

เมื่อต้นปี ค.ศ. 2016 เธอเริ่มทำเพลงใหม่ในเดือนมิถุนายน[188] และอัดเพลงประกอบการออกอากาศการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ทางช่องเอ็นบีซีสปอตส์ ชื่อ "ไรส์" ออกจำหน่ายวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 โดยเพร์รีเลือกจำหน่ายเป็นซิงเกิลแยกเดี่ยวแทนที่จะเก็บไว้ในอัลบั้มใหม่ 'เพราะตอนนี้ โลกต้องการให้เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว' เอ็นบีซีโอลิมปิกส์รู้สึกว่าเพลงนี้เป็นข้อความที่พูดถึงเนื้อหาของเพลงเป็นแรงบันดาลใจโดยตรงต่อจิตวิญญาณของโอลิมปิกส์และนักกีฬา[189] เพลงเปิดตัวที่อันดับที่หนึ่งในประเทศออสเตรเลีย[190] และอันดับที่ 11 ในสหรัฐ[56]

เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 เพร์รีกล่าวว่าเธอต้องการทำเพลงที่ "เชื่อมโยง เกี่ยวข้องกัน และเป็นแรงบันดาลใจ"[191]และบอกกับไรอัน ซีเครสต์ว่าเธอ "ไม่รีบ" ทำอัลบั้มที่ห้า และเสริมว่า "ฉันแค่กำลังสนุกอยู่ แต่ก็ทดลองทำดนตรีกับโปรดิวเซอร์หลาย ๆ คน ร่วมงานกับหลาย ๆ คนและดนตรีหลาย ๆ รูปแบบ"[192] ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 เพร์รีออกซิงเกิล "เชนด์ทูเดอะริทึม" ร้องรับเชิญโดยสกิป มาร์เลย์[193][194] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในฮังการี[195] และอันดับสี่ในสหรัฐ[56] เพลงถูกสตรีมมากกว่าสามล้านครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ทำลายสถิติซิงเกิลที่สตรีมมากที่สุดในวันแรกของศิลปินหญิง[196] ซิงเกิลที่สอง "บอนาเพที" ร้องรับเชิญโดยมีโกส ออกจำหน่ายในเดือนเมษายน[197] ซิงเกิลที่สาม "สวิชสวิช" ร้องรับเชิญโดยนิกกี มินาจ ออกตามมาในเดือนถัดไป[198] เพลงขึ้นอันดับ 59 และ 46 ในสหรัฐ[56] และขึ้นถึงสิบห้าอันดับแรกในแคนาดา[58]

อัลบั้ม วิตนิสส์ วางจำหน่ายในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2017 ได้รับคำวิจารณ์ผสมกัน[199] และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในสหรัฐ[200] หลังออกอัลบัม เพร์รีถ่ายทอดสดตนเองบนยูทูบในวันที่วางจำหน่ายในชื่อรายการเคที เพร์รี ไลฟ์: วิตนิสส์เวิลด์ไวด์ จนถึงวันที่ 12 มิถุนายน[201] รายการสดมีผู้ชมมากกว่า 49 ล้านคนจาก 190 ประเทศ[202] เพร์รีออกทัวร์คอนเสิร์ตชื่อ วิตนิสส์: เดอะทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 2017 ถึงสิงหาคม ค.ศ. 2018[203] ในวันที่ 15 มิถุนายน แคลวิน แฮร์ริสออกเพลง "ฟีลส์" ซึ่งเพร์รีร้องรับเชิญ ร่วมกับบิกฌอน และฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ จากอัลบั้ม ฟังก์เวฟเบาน์ซิส วอลยุม 1[204] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักร[205]

เพร์รีอัดเสียงร้องเพลงคัฟเวอร์ "เวฟวิงทรูอะวินโดว์" ประกอบละครเวทีเรื่องเดียร์อีวานแฮนเซน ลงอัลบั้มเพลงประกอบรุ่นพิเศษ วางจำหน่ายวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018[206] ผู้สร้างละคร เบน พาเซก และจัสติน พอล ขอให้เพร์รีร้องเพลงดังกล่าวเพื่อส่งเสริมทัวร์ละครเวทีในประเทศและสร้างความตระหนักต่อสุขภาพจิต[207] ในวันที่ 15 พฤศจิกายน เพร์รีออกเพลง "โคซีลิตเทิลคริสต์มาส" เฉพาะในแอมะซอนมิวสิก[208] เธออัดเพลง "อิมมอร์ทัลเฟลม" ให้เกมไฟนอลแฟนตาซีเบรฟเอกซ์เวียส และมีตัวละครเล่นได้ที่ออกแบบตามแบบเธอ[209] ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 61 เพร์รีร้องเพลง "เฮียร์ยูคัมอะเกน" ร่วมกับดอลลี พาร์ตันและเคซีย์ มัสเกรฟส์ แสดงความเคารพแก่พาร์ตัน[210] และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 เธอออกเพลง "365" ร่วมกับดีเจเซดด์[211] สองเดือนถัดมา แดดดีแยงกีออกเพลง "กอนกอลมา" ฉบับรีมิกซ์ที่รวมเสียงเพร์รีและสโนว์ลงในเพลง[212] เธอออกซิงเกิล "เนเวอร์เรียลลีโอเวอร์" ตามมาในวันที่ 31 พฤษภาคม และ "สมอลล์ทอล์ก" ในวันที่ 9 สิงหาคม[213][214]

นอกเหนือจากงานเพลง เธอรับบทเป็นตนเองในภาพยนตร์เรื่อง ซูแลนเดอร์ 2 ออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016[215][216] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 เพร์รีออกสินค้ารองเท้าในชื่อ "เคที เพร์รี คอลเลกชันส์"[217] รองเท้าของเธอวางจำหน่ายในเว็บไซต์ เคที เพร์รี คอลเลกชันส์ ของเธอ และที่ร้านค้าปลีก เช่น ดิลลาร์ด และวอลมาร์ต[218] เดือนสิงหาคม เธอเป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2017[219] เธอเซ็นสัญญารับเงินเดือน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับตำแหน่งกรรมการตัดสินในรายการอเมริกันไอดอลซีซันใหม่ ออกอากาศทางช่องเอบีซี เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2018<[220][221] เพร์รีเริ่มคบหากับออร์แลนโด บลูมเมื่อต้นปี ค.ศ. 2016 และหมั้นกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019[222][223] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 เธอปรากฏในมิวสิกวิดีโอเพลง "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" ของเทย์เลอร์ สวิฟต์[224]

หนึ่งเดือนถัดมา คณะลูกขุนในแคลิฟอร์เนียยื่นคำตัดสินคดีเพลง "ดาร์กฮอร์ส" ที่คัดลอกเพลง "จอยฟุลนอยส์" ปี ค.ศ. 2008 ของเฟลม หลังจากเขายื่นฟ้องคดีลิขสิทธิ์ว่าเพลงได้นำจังหวะเพลงของตนมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต[225] คณะลูกขุนสั่งให้เธอชดใช้เขาเป็นเงิน 550,000 ดอลลาร์สหรัฐ[226] จอช คลอส นักแสดงร่วมกับเพรรีในมิวสิกวิดีโอ "ทีนเอจดรีม" กล่าวหาเธอในเรื่องการคุกคามทางเพศ ในโพสต์โพสต์หนึ่งในอินสตาแกรม คลอสกล่าวหาว่า ระหว่างงานเลี้ยงที่ลานสเกต เพร์รีดึงกางเกงและกางเกงในของเขาลง ทำให้เพื่อนผู้ชายเห็นองคชาตของเขา คลอสยังเขียนอีกว่าเธอพยายามไม่ให้เขาพูดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับเธอ เพร์รียังไม่ได้ให้การใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้[227]

2019–ปัจจุบัน: อัลบั้ม สไมล์ และมีบุตร[แก้]

หลังจากออกซิงเกิล "เนเวอร์วอร์นไวต์" ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2020 เพร์รีเปิดเผยในมิวสิกวิดีโอว่าเธอตั้งครรภ์บุตรคนแรกกับคู่หมั้น ออร์แลนโด บลูม[228] ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม เพร์รีออกซิงเกิล "เดซีส์" ซึ่งเป็นซิงเกิลนำของอัลบั้มที่หก สไมล์ อัลบั้ม สไมล์ ออกจำหน่ายในวันที่ 28 สิงหาคม[229] สองวันก่อนอัลบั้มออกจำหน่าย เพร์รีให้กำเนิดบุตรสาวชื่อ เดซี ดัฟ บลูม[230] อัลบั้ม สไมล์ ได้รับเสียงตอบรับแบบผสม[231] เปิดตัวในอันดับที่ 5 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ของสหรัฐ[232]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2023 เธอได้ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ตฉลองพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรปราสาทวินด์เซอร์

งานดนตรี[แก้]

อิทธิพล[แก้]

อลานิส มอริสเซตต์ กำลังให้ลายเซ็น
เฟรดดี เมอร์คูรี กำลังแสดงดนตรี
อลานิส มอริสเซตต์ (ซ้าย) และ เฟรดดี เมอร์คูรี (ขวา) ต่างก็มีอิทธิพลต่อเพร์รีและงานดนตรีของเธอ

ในช่วงแรกของงานดนตรี แนวเพลงที่เพร์รีร้องบ่อย ๆ คือกอสเปล และเธอใฝ่ฝันจะประสบความสำเร็จเหมือนเอมี แกรนต์[233] เมื่ออายุ 15 ปี เธอได้รู้จักเพลง "คิลเลอร์ควีน" ของวงควีน และนับว่าเป็นเพลงที่บันดาลใจเธอให้ทำอาชีพดนตรี[234] เธอกล่าวถึงนักร้องนำ เฟรดดี เมอร์คูรี ว่าเป็น "อิทธิพลใหญ่สุด" (biggest influence) ของเธอและอธิบายว่า "การผสมผสานของการแต่งเพลงแบบประชดประชันกับทัศนคติที่ว่า 'ฉันไม่ใส่ใจ' (I don't give a fuck) เป็นแรงบันดาลใจให้เธอได้อย่างไร"[235] เธอแสดงความนับถือวงดังกล่าวโดยตั้งชื่อน้ำหอมตัวที่สามของเธอว่า คิลเลอร์ควีน[180] เพร์รียังพูดถึงวงเดอะบีชบอยส์ และอัลบั้ม เพ็ตซาวส์ ในฐานะที่เป็นอัลบั้มที่มีอิทธิพลต่อเธออย่างมากว่า "เพ็ตซาวส์ เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ฉันโปรดปรานที่มีผลต่อเพลงที่ฉันแต่ง ทุก ๆ เมโลดีที่ฉันแต่งขึ้นก็มีที่มาจากอัลบั้มเพ็ตซาวส์"[236] เพร์รีสรรเสริญอัลบั้มเดอะบีเทิลส์ ของวงเดอะบีเทิลส์ และอัลบั้ม เพ็ตซาวส์ อย่างมากและถือว่าเป็น "อัลบั้มที่ฉันฟังนานถึง 2 ปีติดต่อกัน"[237]

เพร์รีกล่าวถึงอลานิส มอริสเซตต์ และอัลบั้ม แจกกิดลิตเทิลพิลล์ (ค.ศ. 1995) ว่าเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญต่องานดนตรีของเธอ และมักจะได้ทำงานร่วมกับเกล็น แบลลาร์ด ซึ่งเคยทำงานกับมอริสเซตต์บ่อยครั้ง เพร์รีกล่าวว่า "อัลบั้มแจกกิดลิตเทิลพิลล์ เป็นอัลบั้มเพลงผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยทำมา มันมีเพลงที่แต่งไว้สำหรับทุกคน และเพลงทุกเพลงก็เกี่ยวกับฉันทั้งหมดด้วย เพลงเหล่านั้นยังคงอยู่เป็นนิรันดร์ตลอดมา" นอกจากนี้ เพร์รียังได้รับอิทธิพลจากอัลบั้ม เฟลมมิงเรด ของแพตตี กริฟฟิน และอัลบั้ม 10 เซนต์วิงส์ ของโจนาธา บรู๊ก[238] เพร์รีใฝ่ฝันอยากจะเป็นอย่างคาโรล คิง, บอนนีย์ เรตต์ และโจนี มิตเชลล์ และตั้งใจจะเป็น "มากกว่าโจนี มิตเชลล์" โดยจะออกเพลงแนวโฟล์กและอะคูสติก[239] ภาพยนตร์อัตชีวประวัติของเพร์รีเรื่อง เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี มีอิทธิพลมาจากภาพยนตร์เรื่อง มาดอนน่า: ทรูธออร์แดร์ เธอยกย่องความสามารถของมาดอนน่าในการนำเสนอตัวเองในรูปแบบใหม่ได้ และกล่าวว่า "ฉันอยากจะค่อย ๆ พัฒนาตนเองให้เหมือนกับมาดอนน่า"[240] และให้เครดิตว่ามาดอนน่าเป็นแรงบันดาลใจให้เธอทำอัลบั้ม ปริซึม "มืดมน"กว่าอัลบั้มก่อนหน้า

เพร์รีถือว่า ปีเยิร์ก เป็นอิทธิพลทางดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เธอ "เต็มใจที่จะลองเสี่ยงอยู่เสมอ"[238] นักดนตรีคนอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลกับเพร์รี ได้แก่ แอ็บบ้า เดอะคาร์ดิแกนส์[241] เอซออฟเบส[242] ซินดี ลอเปอร์[243] ซีซี พีนิสตัน ซีแอนด์ซีมิวสิกแฟกทอรี แบล็กบ็อกซ์ คริสตัลวอเทอส์ มารายห์ แครี[239] พิงก์[244] และเกว็น สเตฟานี[238] เพลง "ไฟร์เวิร์ก" มีแรงบันดาลใจจากหนังสือชื่อ ออนเดอะโรด (On The Road) ของแจ็ก เครูแอ็ก ที่ผู้เขียนได้เปรียบเทียบคนที่มีชีวิตชีวาเป็นดั่งพลุที่พวยพุ่งไปบนท้องฟ้า และมองดูด้วยความเกรงขาม[245] คอนเสิร์ตครั้งที่สองของเธอ แคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ ทำให้รำลึกถึงนวนิยายเรื่องอลิซท่องแดนมหัศจรรย์ (Alice's Adventures in Wonderland) และพ่อมดมหัศจรรย์แห่งเมืองออซ ( The Wonderful Wizard of Oz)[246] เธอยังให้เครดิตว่าภาพยนตร์ปี ค.ศ. 1996 เรื่องสี่แหววพลังแม่มด (The Craft) ทำให้เกิดเพลง "ดาร์กฮอร์ส"[247] และหนังสือเรื่องพลังแห่งจิตปัจจุบัน (The Power of Now) เขียนโดยเอคาร์ต ทอเลอ ที่ทำให้เกิดอัลบั้ม ปริซึม ขึ้นมา[137]

แนวดนตรีและรูปแบบเพลง[แก้]

"ตอนที่ฉันกำลังบันทึกเสียงเพลงอยู่ บางครั้งฉันไม่แน่ใจตัวเอง ฉันจะรู้สึกว่า ฉันแค่โชคดี หรือฉันได้ทำให้คนทั้งโลกคิดว่าเพลงทั้งเจ็ดเพลงนั้นเหมาะกับอันดับหนึ่งแล้ว จากนั้นฉันก็กลับไปยังสตูดิโอและเริ่มเขียนเพลง และเชื้อน้ำมันที่แท้จริงในตัวฉันก็เดือดปุด ๆ ขึ้นมาและเตือนให้ฉันรู้ว่ามันอยู่ในตัวฉันมาตลอด ไม่มีใครจะเอามันไปจากฉันได้ไม่ว่าใครจะให้ความเห็นว่าอะไร มันก็จะอยู่ในนั้นเพราะฉันเกิดมาพร้อมกับมันและฉันต้องทำงานกับมันไปตลอดชีวิต"

— เพร์รีกล่าวถึงความมั่นใจในฐานะนักแต่งเพลง[248]

ขณะที่แนวเพลงเพร์รีจะเป็นแนวป็อป ร็อก และดิสโก้ แต่ "เคที ฮัดสัน" จะร้องแค่แนวกอสเปล อัลบั้มวันออฟเดอะบอยส์ และ ทีนเอจดรีม มีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศและความรัก อัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ เป็นงานเพลงแนวป็อปร็อก ขณะที่อัลบั้ม ทีนเอจดรีม จะมีแนวดิสโก้เพิ่มเข้ามาด้วย[249][250] อัลบั้มที่สี่ ปริซึม เป็นดนตรีแนวแดนซ์และป็อปอย่างเห็นได้ชัด ในด้านเนื้อเพลง อัลบั้ม ปริซึม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ การไตร่ตรองตนเอง และชีวิตประจำวัน[251] เพลงของเธอหลายเพลง โดยเฉพาะในอัลบั้ม ทีนเอจดรีม สะท้อนถึงความรักระหว่างวัยรุ่น นิตยสาร W บรรยายถึงการประชดประชันเรื่องเพศในอัลบั้มว่าเป็น "เมโลดีที่น่าจดจำอย่างไม่อาจต้านทานได้" (irresistible hook-laden melodies)[30] เนื้อหาเพลงแบบให้อำนาจตนเองเป็นเนื้อหาหลักในเพลงของเพร์รี[252]

เพร์รีระบุตนเองว่าเป็น "นักร้อง-นักแต่งเพลงสวมรอยเป็นดาราเพลงป็อป"[253] และยืนยันว่าการแต่งเพลงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ เธอกล่าวกับนิตยสาร มารี แคลร์ ว่า "ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าลูกเล่นเวทมนตร์ลับของฉันที่ทำให้ฉันต้องแยกจากเพื่อนเป็นเรื่องที่กล้าหาญมากที่ต้องยอมอ่อนแอ จริงใจ และซื่อสัตย์" ฉันคิดว่าคุณจะผูกมิตรกับใครได้เมื่อจะต้องอ่อนแอ"[14] คริสเต็น วิก ให้ความเห็นว่า "เรียบง่าย เย็นสบาย และมีผลต่อผู้อื่นอย่างเพลงของเพร์รีสวมควรจะทำได้ ภายใต้พื้นผิวซ่อนทะเลอารมณ์ แรงจูงใจ และแรงกระตุ้นที่ขัดกันซับซ้อนมากพอที่จะเติมเต็มเพลงของคาโรล คิง"[237] เกร็ก ค็อต แห่งหนังสือพิมพ์ชิคาโกทริบูน กล่าวว่า "การเอาจริงเอาจังอาจเป็นความท้าทายที่ดีที่สุดของเพร์รีแล้ว"[254] หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์ส กล่าวว่า "เธอเป็นดาราป็อปที่มีศักยภาพที่สุดของวัน เพลงดังของเธอเป็นคำพูดเปรยจากการทดลองเท่านั้น"[255] แรนดอล โรเบิตส์ จากหนังสือพิมพ์ ลอสแอนเจลิสไทม์ส วิพากย์การใช้สำนวนและอุปมา และการใช้ "สำนวนจำเจ" (cliché) บ่อยเกินไป[256] ตลอดอาชีพของเธอ เพร์รีได้ร่วมเขียนเพลงให้กับศิลปินจำนวนมาก ได้แก่ เซลีนา โกเมซ แอนด์เดอะซีน[257][258] เจสซี เจมส์[259] เคลลี คลาร์กสัน[260] เลสลีย์ รอย[261] บริตนีย์ สเปียส์[262] อิกกี อะเซเลีย[263] และอะรีอานา กรานเด[264]

เสียงร้อง[แก้]

เพร์รีมีช่วงเสียงร้องต่ำแบบคอนทราลโต (contralto)[265][266] การร้องเพลงของเธอได้รับทั้งคำชมและคำตำหนิ เบ็ตตี คลาร์ก แห่งหนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน ให้ความเห็นว่า "เสียงร้องของเธอทรงพลัง" (hard-edged)[267] ขณะที่ร็อบ เชฟฟิลด์ จากนิตยสาร โรลลิงสโตน ติว่าเสียงร้องของเพร์รี "มีปัญหาในเรื่องโน้ตสแตกคาโต" (staccato) จากในอัลบั้ม ทีนเอจดรีม[250] ดาร์เรน ฮาร์วีย์ จากเว็บไซต์มิวสิกโอเอ็มเอช เปรียบเทียบเสียงเพร์รีจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ กับเสียงของอลานิส มอริสเซตต์ ว่าทั้งคู่มี "เสียงมีชีวิตชีวา ที่เปลี่ยนระดับเสียงในกลางพยางค์ของคำเป็นอ็อกเทฟได้" (perky voice shifting octaves mid-syllable)[268] อเล็กซ์ มิลเลอร์ จากนิตยสาร เอ็นเอ็มอี รู้สึกว่าในอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ ปัญหาของเพร์รีคือเสียง... ในบางช่วงของท่อน มีคนทำให้เธอเชื่อว่าเธอเหมือนลูกไก่ร็อกใจกล้า (ballsy rock chick)[269] แม้ว่าเบอร์นาเด็ตต์ แม็กทัลตี จาก เดอะเดลีเทเลกราฟ ชื่นชม "เสียงลูกไก่ร็อก" ของเธอในบทวิจารณ์ของคอนเสิร์ตส่งเสริมอัลบั้มปริซึม[270]

ภาพลักษณ์สาธารณะ[แก้]

เพร์รีแสดงดนตรีในชุดที่ตกแต่งด้วยลายเป็ปเปอร์มินต์หมุนวน
ชุดเป็ปเปอร์มินต์หมุนวน (spinning peppermint swirl dress) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเพร์รี

เพร์รีถือว่าเป็นดาราที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ (sex symbol) นิตยสาร GQ ตั้งให้เธอเป็น "จินตนิมิตไร้ขีดจำกัดของผู้ชาย" (full-on male fantasy)[9] ขณะที่นิตยสาร แอล บรรยายร่างกายเธอว่า "ราวกับถูกร่างภาพขึ้นจากเด็กชายวัยรุ่น"[20] นิตยสาร ไวซ์ บรรยายเธอว่าเป็น "ดาราป็อป/ผู้หญิง/สัญลักษณ์ทางเพศ ที่เอาจริงเอาจัง"[271] เธอถูกจัดให้อยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อแม็กซิมฮอต 100 ของนิตยสารแม็กซิม ใน ค.ศ. 2010 เป็น "ผู้หญิงที่ร้อนแรงที่สุดในโลก" (hottest woman on Earth) บรรณาธิการ โจ เลวี บรรยายเธอว่า "ร้อนแรงคูณสาม ไม่ใช่คูณสี่" (triple – no quadruple – kind of hot)[272] นักอ่านนิตยสารเม็นส์เฮลต์ โหวตให้เธอเป็น "ผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดในปี ค.ศ. 2013"[273] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 เพร์รีกล่าวกับนิตยสาร ฮาร์เปอส์บะซาร์ ว่าเธอภูมิใจและพอใจในตัวตนของเธอ[274]

แฟชันเสื้อผ้าของเพร์รีจะมีอารมณ์ขัน มีสีสันฉูดฉาด และมีอาหารประดับ[275] อย่างเช่น ชุดเป็ปเปอร์มินต์หมุนวน (spinning peppermint swirl dress) ของเธอที่มีเครื่องหมายการค้า[276] นิตยสารโว้ก บรรยายตัวเธอว่า "เป็นคนที่ไม่เคยหลบเลี่ยงพวกที่ระรานหรือสุดโต่งในทุกอาณาบริเวณ"[277] ขณะที่นิตยสาร แกลเมอร์ ตั้งชื่อให้เธอว่า "ราชินีนักเล่นสำนวน" (queen of quirk)[278] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 เพร์รีกล่าวกับนิตยสาร เซเวนทีน ว่ารูปแบบแฟชันของเธอเป็น "การประกอบสิ่งที่แตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าด้วยกัน" และกล่าวว่าเธอชอบแต่งตัวให้ดูมีอารมณ์ขัน[279] เธอยังบรรยายตนเองว่าเป็นคน "หลายบุคลิกภาพ" (multipersonality disorder) ในเรื่องแฟชัน[274] เพร์รีถือว่าเกว็น สเตฟานี, เชอร์ลีย์ แมนสัน, โคลอี เซเวอนี, แดฟนี กินเนส, นาตาลี พอร์ตแมน และตัวละคร โลลิตา เป็นสัญรูปแฟชันของเธอ[30][280]

ในสื่อสังคม ทวิตเตอร์ของเพร์รีมียอดผู้ติดตามสูงที่สุด แซงจัสติน บีเบอร์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013[281] เธอทำสถิติในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ว่ามีผู้ติดตามทวิตเตอร์มากที่สุด[282] และกลายเป็นคนแรกที่มีผู้ติดตามถึง 90 ล้านคนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016[283] โดโรธี โพเมแรนซ์ นักเขียนนิตยสารฟอบส์ ยกย่องเพร์รีด้านการใช้สื่อสังคมว่า "เพร์รีใช้ทวิตเตอร์ได้อย่างฉลาด โดยพูดคุยกับแฟนคลับของเธอและแบ่งปันรูปภาพและวิดีโอตลก ๆ แบบที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเพร์รีเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของพวกเขา"[284] คีธ คอลฟิลด์ จากนิตยสารบิลบอร์ด กล่าวว่า เธอเป็น "คนดังหายากที่มีความนิยมมหาศาลแต่มีปฏิสัมพันธ์กับเคทีแคตส์ (KatyCats) ที่เธอรัก แบบติดดินอย่างแท้จริง"[285] ในปี ค.ศ. 2011 นิตยสารฟอบส์ จัดอันดับเพร์รีอยู่ที่ 3 ในรายชื่อ "ผู้หญิงที่ทำได้มากที่สุดจากวงการดนตรี" ด้วยรายได้ US$44 ล้าน[286] และอันดับที่ 5 ในรายชื่อเดียวกันปี ค.ศ. 2012 ด้วยรายได้ US$45 ล้าน[287] ต่อมา นิตยสารฟอบส์จัดให้เธอเป็น "ผู้หญิงที่ทำเงินได้มากที่สุดด้านดนตรี" อันดับที่ 7 ของปี ค.ศ. 2013 ด้วยรายได้ US$39 ล้าน[288] และอันดับที่ 5 ของปี ค.ศ. 2014 ด้วยรายได้ US$40 ล้าน[289] จากรายได้ US$135 ล้าน นิตยสารฟอบส์ จัดอันดับให้เพรรีเป็น "สตรีที่มีรายได้สูงสุดด้านดนตรี" อันดับหนึ่ง ประจำปี ค.ศ. 2015 และเป็นคนดังเพศหญิงที่มีรายได้สูงที่สุดอยู่อันดับที่ 3 ในรายชื่อ 100 คนดังของฟอบส์[290]

กิจกรรมอื่น ๆ[แก้]

องค์กรการกุศล[แก้]

เพร์รีโพสท่าให้ช่างถ่ายรูปในงานกาลาแห่งหนึ่ง
เพร์รีเข้าร่วมงานยูนิเซฟสโนว์เฟลกบอลในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012

เพร์รีร่วมสนับสนุนองค์กรและหัวข้ออภิปรายการกุศลตลอดอาชีพด้านดนตรี เธออุทิศตนให้กับองค์กรที่มุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและค่าธรรมเนียมของเด็ก ๆ เป็นพิเศษ ในเดือนเมษายน เธอเข้าร่วมองค์กรยูนิเซฟเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในมาดากัสการ์ด้านการศึกษาและโภชนาการ[291] ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2013 เธอกลายเป็นทูตสันถวไมตรีของยูนิเซฟอย่างเป็นทางการ "ด้วยความมุ่งเน้นในการช่วยคนหนุ่มสาวในองค์กรเพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดของโลก"[292] เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากค่าตั๋วคอนเสิร์ตเดอะพริสมาติกเวิลด์ทัวร์ถูกบริจาคให้องค์การยูนิเซฟ[293] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 เธอช่วยสร้างและออกแบบสถานสงเคราะห์ความหวังเด็กชาย/ความหวังเด็กหญิง (Boys Hope/Girls Hope) ในบัลติมอร์เพื่อเป็นที่พักให้กับคนหนุ่มสาวร่วมกับเรเวน ซิโมน, ชาคีล โอนีล และนักแสดงจากรายการเรียลลิตีเรื่อง เอ็กซ์ตรีมเมกโอเวอร์: โฮมเอดิชัน [294]

เธอยังสนับสนุนการศึกษาเด็ก ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 เพร์รีและนักร้องที่ได้รับเลือกจำนวนหนึ่งได้ร้องเพลง "เดซีเบลล์ (ไบซีเคิลบิลต์ฟอร์ทู)" จากอัลบั้มที่ออกควบคู่กับนิทรรศการศิลปะ "เดอะเกย์ 90s" ของจิตรกรชื่อ มาร์ก ไรเดน กำไรทั้งหมดจากยอดขายของอัลบั้มถูกบริจาคเข้าองค์กรการกุศลชื่อลิตเติลคิดส์ร็อก ที่สนับสนุนการศึกษาดนตรีให้กับโรงเรียนประถมด้อยโอกาส[169] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014 เธอร่วมมือกับบริษัทสเตเปิลในโปรเจกต์ชื่อ "เมกโรร์แฮปเพิน" (Make Roar Happen) พร้อมบริจาคเงิน US$59.5 ล้านให้กับองค์การโดเนอส์ชูส องค์การที่สนับสนุนครูและหาทุนเพื่อสร้างห้องเรียนในโรงเรียนสาธารณะ[295] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2016 เธอร่วมงานกับยูนิเซฟพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในประเทศเวียดนาม โดยหวังว่าจะ "ทำลายวัฏจักรความยากจนและเร่งพัฒนาสุขภาพ การศึกษา และชีวิตที่ดีขึ้นของเด็ก ๆ"[296] ในเดือนถัดมา ยูนิเซฟประกาศว่าเพร์รีจะได้รับรางวัลมนุษยธรรมของออเดรย์ เฮปเบิร์น "สำหรับงานในฐานะทูตสันถวไมตรีให้กับยูนิเซฟที่สนับสนุนเด็ก ๆ ที่ด้อยโอกาสที่สุดในโลก" ที่งานสโนว์เฟลกบอลประจำปีในเดือนพฤศจิกายน[297]

เพร์รียังสนับสนุนองค์กรที่มุ่งช่วยเหลือผู้ป่วยโรคต่าง ๆ เช่นโรคมะเร็ง และเอดส์ ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต 2008 วาปต์ทัวร์ เธอทำเฝือกรูปหน้าอกที่จำลองแบบจากหน้าอกของเธอเพื่อหาเงินให้มูลนิธิคีปอะเบรสต์[298] เธอเป็นพิธีกรและแสดงดนตรีในคอนเสิร์ตวีแคนเซอร์ไวฟ์ ร่วมกับบอนนี แม็กคี, เคซี มัสเกรฟส์, ซารา บาเรลลิส, เอลลี โกลดิง และศิลปินคู่ ทีแกน และ ซารา ที่ฮอลลิวูดโบลในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2013 โดยบริจาคกำไรจากคอนเสิร์ตให้กับองค์การยังเซอร์ไวเวิลโคอะลิชัน องค์การที่ช่วยเหลือหญิงสาวที่เป็นโรคมะเร็งเต้านม[299] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 เธอออกแบบชิ้นส่วนประดับเสื้อผ้าให้เอชแอนด์เอ็มในโครงการรณรงค์ "แฟชันต่อต้านเอดส์" (Fashion Against AIDS) ที่ช่วยหาเงินให้กับโครงการความตระหนักโรคเอดส์ต่าง ๆ[300]

รายได้จากซิงเกิล "พาร์ตออฟมี" ถูกบริจาคเข้าองค์การกุศลมิวสิแคส์ (MusiCares) ที่ช่วยนักดนตรียามตกทุกข์ได้ยาก[301] ในขณะทัวร์คอนเสิร์ตแคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ เธอนำเงินมากกว่า US$175,000 เข้ากองระดมทุนทิกเก็ตส์ฟอร์แชริตี เงินแบ่งให้กับ 3 มูลนิธิ ได้แก่ กองทุนสุขภาพเด็ก (Children's Health Fund) องค์การเอื้อเฟื้อน้ำ (Generosity Water) และองค์การส่งเสริมมนุษยธรรมแห่งสหรัฐ (The Humane Society of the United States)[302] ในวันเกิดครบรอบ 27 ปี เพร์รีสร้างหน้าเว็บรับบริจาคสำหรับสมาคมป้องกันความรุนแรงต่อสัตว์ (Society for the Prevention of Cruelty to Animals) ที่อ็อกแลนด์[303] และสร้างหน้าเว็บคล้าย ๆ กันให้กับมูลนิธิเดวิด ลินช์ (David Lynch Foundation) ในวันเกิดอายุ 28 ปี[304] ในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2014 เธอช่วยนำเงิน US$2.4 ล้าน ให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Museum of Contemporary Art) ในลอสแอนเจลิสร่วมกับคนดังเช่น ไรอัน ซีเครสต์, ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์, ทิม อัลเลน, ลิซา เอเดลสตีน และไรลีย์ คีโอ[305]

เพร์รีแสดงที่คอนเสิร์ตวันเลิฟแมนเชสเตอร์ เพื่อหารายได้ให้เหยื่อเหตุระเบิดที่แมนเชสเตอร์อะรีนา ร่วมกับศิลปินอีกหลายคน รวมถึงอารีอานา กรานเดด้วย[306]

การเมือง[แก้]

ฮิลลารี คลินตัน และเพร์รี จับมือกันในคอนเสิร์ตระดมทุนแห่งหนึ่ง
เพร์รี แสดงในพิธีการของผู้สมัครประธานาธิบดี ฮิลลารี คลินตันหลายพิธี

เพร์รีเป็นนักกิจกรรมสิทธิชายรักร่วมเพศคนหนึ่ง เธอสนับสนุนองค์กรการกุศลสโตนวอลล์ในโครงการรณรงค์ชื่อ "อิตเก็ตส์เบ็ตเทอร์.....ทูเดย์" เพื่อป้องกันการรังแกพวกรักร่วมเพศ[307] และทำมิวสิกวิดีโอเพลง "ไฟร์เวิร์ก" อุทิศให้กับโครงการอิตเก็ตส์เบ็ตเทอร์โปรเจกต์[308] เพร์รีกล่าวกับองค์กรดูซัมธิงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ว่าเธอภูมิใจที่ได้เป็นนักสงเคราะห์ชายรักร่วมเพศ "ฉันเป็นคนที่ใจกว้างอยู่เสมอ และเชื่อในความเสมอภาค" เธอยืนยันว่าเธอไม่เห็นด้วยกับญัตติข้อที่ 8 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย (ซึ่งสุดท้ายถูกวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ) ที่นิยามการสมรสว่าเป็นการอยู่กินด้วยกันเฉพาะระหว่างชายกับหญิงเท่านั้นในรัฐแคลิฟอร์เนียตามกฎหมาย[309] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 เพร์รีตั้งความหวังต่อความเสมอภาคของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) กล่าวว่า "หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะมองย้อนมาถึงเวลานี้และคิดอย่างที่เราคิดในขณะนี้เกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน[อื่น ๆ]" เราจะไม่ส่ายหน้าเป็นนัยว่าไม่เชื่อ บอกว่า 'ขอบคุณพระเจ้าที่เราวิวัฒนา' นั่นจะเป็นคำอธิษฐานของฉันในวันข้างหน้า"[310] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 เพร์รีได้รับรางวัลเทรเวอร์ฮีโรอะวอร์ด จากโครงการเดอะเทรเวอร์โปรเจกต์ สำหรับงานและนโยบายของเธอในฐานะคนหนุ่มสาวที่สนับสนุน LGBT[311] เธอเป็นผู้สนับสนุนสิทธิสตรี[312] และปรากฏในวิดีโอคลิปของโครงการ "ไชม์ฟอร์เชนจ์" เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมอำนาจให้แก่ผู้หญิง[313] เธอยังกล่าวว่าความขาดแคลนการบริการทางสาธารณสุขฟรีในอเมริกาทำให้เธอ "บ้าจริงๆ" (absolutely crazy)[314] จากเหตุยิงกันที่ไนต์คลับในออร์แลนโด ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 เพร์รีและศิลปินและผู้บริหารอีกเกือบ 200 คนลงชื่อในจดหมายจัดขึ้นโดยนิตยสารบิลบอร์ด จ่าหน้าถึงรัฐสภาสหรัฐ เรียกร้องให้เพิ่มข้อบังคับว่าด้วยอาวุธปืนในสหรัฐ[315]

เพร์รีสนับสนุนประธานาธิบดีบารัก โอบามา ในการลงเลือกตั้งสมัยที่สองและยกย่องที่เขาสนับสนุนการสมรส[316] และความเสมอภาคในเพศเดียวกัน[317] ผ่านทางทวิตเตอร์และการแสดงในงานชุมนุม เธอแสดงในงานชุมนุมให้แก่โอบามา 3 ครั้งในลอสแอนเจลิส ลาสเวกัส และวิสคอนซิน โดยร้องเพลง "เล็ตส์สเตย์ทูเก็ดเดอร์" และเพลงของเธออีกหลายเพลง ในระหว่างการแสดง เธอสวมชุดที่ทำเลียนแบบใบลงคะแนนเลือกตั้งที่กาช่องเลือกโอบามา[318] ในทวิตเตอร์ เธอเชิญชวนให้ผู้ติดตามเลือกโอบามาด้วย[319] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 เพร์รีรณรงค์ให้สาธารณชนไม่เลือกโทนี แอ็บบอตต์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เพราะว่าเขาต่อต้านการสมรสกับชายรักร่วมเพศ และบอกว่าแอ็บบอตต์ว่า "ฉันรักคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแต่ฉันไม่อาจเลือกคุณได้"[320] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2014 เธอเข้าร่วมงานแถลงข่าวทางการเมืองเพื่อสนับสนุนมาเรียน วิลเลียมสัน ในโครงการรณรงค์ของเขตรัฐสภาที่ 33 ของแคลิฟอร์เนีย[321] เพร์รียังสนับสนุนห้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฮิลลารี คลินตัน ให้เป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2016 ด้วย[322][323] และมอบเงิน US$2,700 ให้กับโครงการรณรงค์ของคลินตัน[324] เธอแสดงในการชุมนุมเพื่อคลินตันที่รัฐไอโอวาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015[325] และแสดงร่วมกับเอลตัน จอห์น ที่คอนเสิร์ตระดมทุนแก่คลินตันที่นครนิวยอร์กในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2016[326] เพร์รีได้กล่าวและแสดงดนตรีในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต ค.ศ. 2016 ที่ฟิลาเดลเฟีย เพื่อสนับสนุนฮิลลารี คลินตัน เธอกระตุ้นให้ประชาชนเลือกคลินตัน ให้ความเห็นว่าพวกเขาจะ "มีอำนาจเหมือนกับนักวิ่งเต้นของสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ" และ "จะมีอำนาจเทียบเท่ากับเศรษฐีพันล้าน" ในการเลือกตั้งครั้งนี้[327]

ความสำเร็จ[แก้]

ตลอดอาชีพนักร้องของเธอ เพร์รีได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 5 สาขา[328] รางวัลพีเพิลส์ชอยซ์อะวอดส์ 14 สาขา[329] และบันทึกไว้ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 4 หัวข้อ[75][98][282] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 บิลบอร์ดขนานนามให้เธอเป็น "ผู้หญิงแห่งปี" (Woman of the Year)[131] เธอมีเพลงอยู่บน 10 อันดับแรกของชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 นานติดต่อกันมากที่สุดถึง 69 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 ถึงกันยายน ค.ศ. 2011[100][330] อัลบั้ม ทีนเอจดรีม เป็นอัลบั้มของนักร้องผู้หญิงอัลบั้มแรกที่มีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100ได้ทั้งหมด 5 เพลง และเป็นอัลบั้มที่สองรองจากอัลบั้ม แบด ของไมเคิล แจ็กสัน[97] สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศประกาศให้เธอเป็น ศิลปินหญิงระดับโลกแห่งปี ค.ศ. 2013 (Top Global Female Recording Artist of 2013)[166] นับจนถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 เธอมีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 ทั้งหมด 9 เพลง เพลงล่าสุดคือ "ดาร์กฮอร์ส"[155] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 มิวสิกวิดีโอเพลง "ดาร์กฮอร์ส" กลายเป็นวิดีโอเพลงของผู้หญิงตัวแรกที่มียอดผู้ชมเกิน 1 พันล้านครั้งในวีโว[331][332] เดือนต่อมา มิวสิกวิดีโอเพลง "โรร์" มียอดผู้ชมเกิน 1 พันล้านครั้งในวีโว ทำให้เธอเป็นนักร้องคนแรกที่มีวิดีโอยอดผู้ชม 1 พันล้านครั้งมากกว่า 1 ตัว[333]

จากข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา เพร์รีเป็นศิลปินที่มีดิจิทัลซิงเกิลขายดีที่สุดอันดั้บที่สามในสหรัฐ ขายได้ทั้งหมด 83.5 ล้านซิงเกิลผ่านช่องทางออนดีมานด์สตรีมมิง (on-demand streaming)[334] เพลง "ไฟร์เวิร์ก", "อี.ที.", "แคลิฟอร์เนียเกิลส์", "ฮอตเอ็นโคลด์", "โรร์" และ "ดาร์กฮอร์ส" ต่างขายได้ซิงเกิลละมากกว่า 5 ล้านหน่วยดิจิทัล[335] ตลอดอาชีพของเธอ เพร์รีขายเพลงได้ 100 ล้านหน่วยทั่วโลก[336][337] และเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[283]

ผลงานเพลง[แก้]

ผลงานภาพยนตร์[แก้]

ทัวร์[แก้]

คอนเสิร์ตของตัวเอง

คอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินอื่น

อ้างอิง[แก้]

  1. Perry 2012, 05:23.
  2. 2.0 2.1 Friedlander 2012, p. 15
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 Graff, Gary (February 21, 2009). "Interview: Katy Perry – Hot N Bold". The Scotsman. สืบค้นเมื่อ February 28, 2009.
  4. Cowlin 2014, pp. 11, 51
  5. Robinson, Lisa (May 3, 2011). "Katy Perry's Grand Tour". Vanity Fair. Advance Publications. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-25. สืบค้นเมื่อ January 2014. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. Martins, Chris (September 4, 2012). "7 Questions With David Hudson: His Movement, The Music & Advice From Big Sister Katy Perry". Spin. SpinMedia. สืบค้นเมื่อ April 30, 2014.
  7. Friedlander 2012, p. 7
  8. Masley, Ed (January 9, 2015). "Katy Perry talks Super Bowl, Scottsdale childhood". The Arizona Republic. สืบค้นเมื่อ January 9, 2015.
  9. 9.0 9.1 9.2 Wallace, Amy (January 19, 2014). "Katy Perry's GQ Cover Story". GQ. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  10. Grigoriadis, Vanessa (August 19, 2010). "Sex, God & Katy Perry". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-13. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
  11. Hudson 2012, p. 27
  12. 12.0 12.1 Montgomery, James (June 24, 2008). "Katy Perry Dishes on Her 'Long And Winding Road' From Singing Gospel To Kissing Girls". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ February 15, 2009.
  13. "Katy Perry Discusses Evangelical Childhood, Term 'Deviled Eggs' Banned from House". Billboard. May 4, 2011. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  14. 14.0 14.1 Hoffman, Claire (December 9, 2013). "Katy Conquers All". Marie Claire. สืบค้นเมื่อ December 10, 2013.
  15. Friedlander 2012, p. 8
  16. Hudson 2012, p. 41
  17. Friedlander 2012, p. 18
  18. Hudson 2012, p. 25
  19. Summers 2012, p. 37
  20. 20.0 20.1 Hudson, Kathryn (August 29, 2013). "Katy Perry: Elle Canada Interview". Elle. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-23. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  21. Hudson 2012, p. 37
  22. Hudson 2012, p. 37
  23. Spencer, Amy (January 6, 2010). "Katy Perry (she kisses boys, too!)". Glamour. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ August 9, 2014.
  24. Erlewine, Stephen Thomas. "Katy Hudson – Katy Hudson". AllMusic. สืบค้นเมื่อ December 27, 2013.
  25. Monroe, Blaire (September 17, 2015). "Remember When Katy Perry Was a Christian Music Artist?". Complex. สืบค้นเมื่อ February 19, 2016.
  26. "Katy's tour info". katyhudson.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 16, 2001.
  27. Summers 2012, pp. 10–11
  28. Price, Deborah Evans (December 1, 2001). "Doors close in Pamplin's beleaguered music division". Billboard. สืบค้นเมื่อ August 6, 2014.
  29. Perry 2012, 21:11.
  30. 30.0 30.1 30.2 Hirschberg, Lynn (October 22, 2013). "Katy Perry". W. Advance Publications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-25. สืบค้นเมื่อ November 2013. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  31. Perry 2012, 38:33.
  32. Conniff, Tamara (December 25, 2004). "I've Stopped Asking for Permission . I'd Rather Ask for Forgiveness". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 25, 2015.
  33. Blumenrath, Jan (October 18, 2010). "Interview with Chris Anokute". Hit Quarters. สืบค้นเมื่อ 25 April 2015.
  34. "Katy Perry Cover Story". Billboard. July 3, 2010. สืบค้นเมื่อ 25 April 2015.
  35. Hochman, Steve (February 15, 2004). "Making a production of it". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ April 25, 2015.
  36. Summers 2012, pp. 11–12
  37. 37.0 37.1 Summers 2012, p. 11
  38. "Mick Jagger says he never hit on 18-year-old Katy Perry". USA Today. October 31, 2013. สืบค้นเมื่อ October 31, 2013.
  39. 39.0 39.1 Erlewine, Stephen Thomas. "Katy Perry". AllMusic. สืบค้นเมื่อ February 10, 2016.
  40. Music video guest appearances:
  41. "Correction to the interview with Chris Anokute". HitQuarters. January 21, 2011. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  42. Mervis, Scott (July 21, 2014). "Katy Perry's star keeps rising". Pittsburgh Post-Gazette. John Robinson Block. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
  43. Friedlander 2012, pp. 58, 61
  44. 44.0 44.1 "Interview With Chris Anokute". HitQuarters. October 18, 2010. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  45. Summers 2012, pp. 38–39
  46. Friedlander 2012, p. 61
  47. Summers 2012, p. 61
  48. Summers 2012, p. 99
  49. "I Kissed a Girl". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-08. สืบค้นเมื่อ October 24, 2014.
  50. Cohen, Jonathan (August 14, 2008). "Rihanna Topples Katy Perry on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
  51. "One of the Boys". Metacritic. CBS Interactive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-27. สืบค้นเมื่อ March 6, 2009.
  52. "One of the Boys by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ March 6, 2009.
  53. "Katy Perry – Chart history: Billboard 200". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 2, 2009.
  54. Kaufman, Gil (August 26, 2010). "Katy Perry, Fantasia look to unseat Eminem on charts". MTV News. สืบค้นเมื่อ February 28, 2016.
  55. "Hot n Cold". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-08. สืบค้นเมื่อ October 24, 2014.
  56. 56.0 56.1 56.2 56.3 56.4 56.5 56.6 "Katy Perry – Chart history: The Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  57. "Hot n Cold (Single)". Musicline. GfK Entertainment. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-22. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  58. 58.0 58.1 58.2 58.3 "Katy Perry – Chart history: Billboard Canadian Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  59. "Nederlandse Top 40 – week 01, 2009". Dutch Top 40. สืบค้นเมื่อ July 27, 2014.
  60. "Katy Perry — Hot N Cold". Ö3 Austria Top 40. สืบค้นเมื่อ July 27, 2014.
  61. "Thinking of You". Rolling Stone. July 30, 2014. สืบค้นเมื่อ April 5, 2017.
  62. "Waking Up in Vegas". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-22. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
  63. Kaufman, Gil (January 27, 2009). "The Matrix Drop Long-Lost Album Featuring Katy Perry". MTV News. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  64. "Katy Perry on Warped 2008: Mosh Pits, Injuries and Andrew WK". Rolling Stone. August 25, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-13. สืบค้นเมื่อ April 3, 2014.
  65. Kaufman, Gil (November 7, 2008). "Americans Katy Perry, Britney Spears, Kanye West, 30 Seconds To Mars Dominate 2008 MTV EMAs". MTV News. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
  66. "Brit Awards 2009: Full list of winners". The Daily Telegraph. February 18, 2009. สืบค้นเมื่อ November 3, 2015.
  67. 67.0 67.1 Hudson 2012, p. 83
  68. Ching, Albert (August 5, 2009). "Last Night: No Doubt, Katy Perry, the Sounds at Verizon Wireless Amphitheater". OC Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-21. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
  69. "MTV EMAs Host Katy Perry Brings 'Cabaret' To Berlin". MTV. October 1, 2009. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
  70. MTV Unplugged (Compact Disc). Katy Perry. Capitol Records. 2009.{{cite AV media notes}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  71. Montgomery, James (October 12, 2009). "Katy Perry's MTV Unplugged Album Will Feature Two New Songs". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  72. "Starstrukk (feat. Katy Perry)". iTunes Store. Apple Inc. September 14, 2009. สืบค้นเมื่อ July 23, 2014.
  73. "If We Ever Meet Again". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-13. สืบค้นเมื่อ November 2, 2014.
  74. "Video: Timbaland f/ Katy Perry – 'If We Ever Meet Again'". Rap-Up. January 18, 2010. สืบค้นเมื่อ August 2, 2010.
  75. 75.0 75.1 Glenday 2010, p. 405
  76. Vena, Jocelyn (August 20, 2008). "Katy Perry Responds To Rumors of Parents' Criticism: 'They Love And Support Me'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  77. "Katy Perry And Travis Split". MTV News. Viacom. January 5, 2009. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  78. Vena, Jocelyn (June 4, 2010). "Katy Perry Explains Why She Was Cut From 'Get Him to the Greek'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ February 18, 2012.
  79. 79.0 79.1 Ziegbe, Mawuse (September 4, 2010). "Katy Perry, Russell Brand's Love Story Began at the VMAs". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ November 9, 2010.
  80. Barrett, Annie (January 27, 2010). "'American Idol': The Kara vs. Katy Lifetime movie". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  81. Montgomery, James (May 7, 2010). "Katy Perry Debuts New Single 'California Gurls'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
  82. Montgomery, James (June 9, 2010). "Katy Perry's 'California Gurls' Makes History in Rise To #1". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  83. Trust, Gary (June 9, 2010). "Katy Perry Speeds To No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 9, 2010.
  84. "Katy Perry Hits Dublin For X Factor Auditions". MTV News. Viacom. June 28, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-17. สืบค้นเมื่อ June 28, 2010.
  85. Greenblatt, Leah (July 22, 2010). "Katy Perry's new single 'Teenage Dream' hits the web". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-09. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
  86. Pietroluongo, Silvio (September 8, 2010). "Katy Perry's 'Teenage Dream' Dethrones Eminem on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
  87. Vena, Jocelyn (May 11, 2010). "Katy Perry To Release Teenage Dream On August 24". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 10, 2014.
  88. Caulfield, Keith (October 23, 2013). "Katy Perry's 'Prism' Set for No. 1 Debut on Billboard 200 Chart". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
  89. "Teenage Dream by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
  90. Michaels, Sean (July 30, 2013). "Katy Perry announces new album, Prism, on side of golden lorry". The Guardian. สืบค้นเมื่อ June 20, 2016.
  91. "2011 JUNO Gala Dinner & Award Winners". Juno Awards. March 26, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-27. สืบค้นเมื่อ June 18, 2015.
  92. Semigran, Aly (February 8, 2011). "Glee Sets 'Firework' Apart From 'Silly Love Songs'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
  93. Pietroluongo, Silvio (December 8, 2010). "Katy Perry's 'Firework' Shines Over Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ December 8, 2010.
  94. "FMQB: Radio Industry News, Music Industry Updates, Nielsen Ratings, Music News and more!". FMQB. June 6, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
  95. Trust, Gary (March 30, 2011). "Katy Perry's 'E.T.' Rockets To No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ March 30, 2011.
  96. "FMQB: Radio Industry News, Music Industry Updates, Nielsen Ratings, Music News and more!". FMQB. June 6, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-01. สืบค้นเมื่อ September 21, 2014.
  97. 97.0 97.1 Trust, Gary (August 17, 2011). "Katy Perry Makes Hot 100 History: Ties Michael Jackson's Record". Billboard. สืบค้นเมื่อ August 17, 2011.
  98. 98.0 98.1 98.2 Glenday 2013, p. 423
  99. Nordyke, Kimberly (November 20, 2011). "AMAs 2011: Katy Perry Surprised With Special Achievement Award". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ November 15, 2015.
  100. 100.0 100.1 Trust, Gary (September 7, 2011). "Adele's 'Someone Like You' Soars To No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 7, 2011.
  101. "Available for Airplay (10/11)". FMQB. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-10. สืบค้นเมื่อ September 22, 2014.
  102. 102.0 102.1 Lipshutz, Jason (August 9, 2013). "Katy Perry's 10 Biggest Billboard Hits". Billboard. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
  103. Trust, Gary (February 11, 2012). "Katy Perry's' 'Part of Me' Hits iTunes, Radio Monday". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  104. "Teenage Dream: The Complete Confection". iTunes Store. Apple Inc. March 23, 2012. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
  105. "Top 40/M Future Releases". All Access. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-21. สืบค้นเมื่อ September 22, 2014.
  106. "Katy Perry — Wide Awake". Top 40 Singles. สืบค้นเมื่อ July 31, 2014.
  107. Loynes, Anna. "The Nielsen Company & Billboard's 2011 Music Industry Report". Business Wire. Berkshire Hathaway. สืบค้นเมื่อ January 5, 2012.
  108. Grein, Paul (January 19, 2012). "Week Ending Jan. 15, 2012. Songs: The Song That Won't Drop". Yahoo!. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  109. Lipshutz, Jason (November 18, 2013). "Katy Perry Announces First 'PRISMATIC' World Tour Dates". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  110. "Top 25 Worldwide Tours (01/01/2011 – 12/31/2011)" (PDF). Pollstar. December 28, 2011. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-29. สืบค้นเมื่อ December 28, 2011.
  111. Vena, Jocelyn (November 7, 2011). "Justin Bieber Parties With Selena Gomez, LMFAO After MTV EMA". MTV News. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
  112. "Rock in Rio 2011: A hora e a vez do pop". Jornal da Cidade de Bauru (ภาษาโปรตุเกส). September 26, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-11. สืบค้นเมื่อ November 5, 2011.
  113. Getler, Michael (September 24, 2010). "Was This Show a Must or a Bust(ier)?". PBS. สืบค้นเมื่อ November 27, 2014.
  114. "Katy Perry mocks Sesame Street ban". Capital FM. สืบค้นเมื่อ January 14, 2014.
  115. Kaufman, Gil (September 27, 2010). "Katy Perry to appear on 'The Simpsons' in December". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ August 19, 2011.
  116. Snierson, Dan (September 25, 2010). "Katy Perry to guest star on 'The Simpsons'! Here's your exclusive first look". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-05. สืบค้นเมื่อ November 27, 2014.
  117. Tucker, Ken (February 7, 2011). "How I Met Your Mother: 'Oh Honey'". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-15. สืบค้นเมื่อ August 27, 2011.
  118. "Katy Perry Wins Five People's Choice Awards Including Fave Guest Star for 'How I Met Your Mother'". The Hollywood Reporter. January 11, 2012. สืบค้นเมื่อ February 25, 2014.
  119. "The Smurfs (2011)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ November 6, 2011.
  120. "The Smurfs". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ January 16, 2014.
  121. Rutherford, Keith (December 11, 2011). "Katy Perry Hosts 'SNL': The Hits & Misses, Including a Florence Welch Spoof". Billboard. สืบค้นเมื่อ August 8, 2013.
  122. Gleiberman, Owen (August 14, 2012). "Katy Perry: Part Of Me". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
  123. 123.0 123.1 Zemler, Emily (March 27, 2015). "Katy Perry Premieres Concert TV Special, Explains Why Pop Stars Should Always Play Their Hits". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 19, 2015.
  124. "Katy Perry: Part of Me (2012)". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ August 4, 2012.
  125. "Katy Perry: Part of Me". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ August 16, 2012.
  126. Howard, Hilary (November 17, 2010). "Beauty Spots". The New York Times. Arthur Ochs Sulzberger, Jr. สืบค้นเมื่อ August 22, 2014.
  127. Moraski, Lauren (February 1, 2012). "Katy Perry to perform at Grammy Awards". CBS News. CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ August 22, 2014.
  128. Sweeney, Mark (January 17, 2012). "Katy Perry becomes a Sim". The Guardian. สืบค้นเมื่อ January 22, 2012.
  129. "The Sims 3 Katy Perry's Sweet Treats". Electronic Arts. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 6, 2015. สืบค้นเมื่อ April 3, 2014.
  130. Donnelly, Matt (July 25, 2012). "First Look: Katy Perry joins Popchips as its face, an investor". Los Angeles Times. Eddy Hartenstein. สืบค้นเมื่อ July 25, 2012.
  131. 131.0 131.1 "Katy Perry: Billboard's Woman of the Year". Billboard. September 25, 2012. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  132. Ganguly, Prithwish (October 26, 2010). "Katy affirms Brand loyalty". The Times of India. The Times Group. สืบค้นเมื่อ November 9, 2010.
  133. Freydkin, Donna (December 30, 2011). "Russell Brand, Katy Perry call it quits". USA Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-08. สืบค้นเมื่อ August 7, 2014.
  134. Perry 2012, 01:11:49.
  135. Saad, Nardine (June 18, 2013). "Katy Perry's First Vogue Cover". Los Angeles Times. Eddy Hartenstein. สืบค้นเมื่อ July 23, 2014.
  136. Mary Ward (March 16, 2015). "Documentary reveals Russell Brand and Katy Perry split caused by singer's rising fame". The Sydney Morning Herald. สืบค้นเมื่อ March 16, 2015.
  137. 137.0 137.1 Diehl, Matt (September 27, 2013). "Katy Perry's 'PRISM': The Billboard Cover Story". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 27, 2013.
  138. Heller, Jill (September 30, 2013). "Katy Perry Contemplated Suicide After Divorcing Russell Brand, Says Split Was A 'Dark Time'". International Business Times. IBT Media. สืบค้นเมื่อ August 7, 2014.
  139. "Katy Perry says Russell Brand texted his desire to divorce". United Press International. News World Communications. June 18, 2013. สืบค้นเมื่อ August 21, 2014.
  140. "John Mayer Dedicates Song to Katy Perry During Tour Opener". Billboard. July 8, 2013. สืบค้นเมื่อ July 11, 2013.
  141. "Katy Perry Won't Rush New Album: "I Know Exactly The Record I Want To Make Next"". Capital. Global Group. December 1, 2012. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
  142. "Katy Perry inspired by Madonna". MTV News. Viacom. June 29, 2012. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  143. Garibaldi, Christina (August 27, 2013). "Katy Perry 'Lets the Light In' On Prism". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ August 28, 2013.
  144. Caulfield, Keith (August 10, 2013). "Katy Perry's 'Roar' Arrives Early: Listen". Billboard. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
  145. Wickman, Kase (August 26, 2013). "Katy Perry Makes Brooklyn 'Roar' With Epic VMA Finale". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
  146. Trust, Gary (September 4, 2013). "Katy Perry Dethrones Robin Thicke Atop Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 4, 2013.
  147. Benjamin, Jeff (October 16, 2013). "Katy Perry Wails on New Single "Unconditionally"". Fuse. The Madison Square Garden Company. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
  148. Trust, Gary (February 17, 2014). "Ask Billboard: Katy Perry Regains No. 1 Momentum". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 27, 2014.
  149. 149.0 149.1 Bell, Amanda (August 14, 2015). "Katy Perry Just Gave The Middle Finger Send-Off To Her Prism Era". MTV News. สืบค้นเมื่อ September 13, 2015.
  150. "Prism by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ November 15, 2013.
  151. Caulfield, Keith. "Katy Perry's 'PRISM' Shines at No. 1 on Billboard 200". Billboard. สืบค้นเมื่อ November 9, 2013.
  152. Gundersen, Edna (October 22, 2013). "Live stream: Katy Perry's 'Prism' album release party". USA Today. สืบค้นเมื่อ May 22, 2014.
  153. Trust, Gary (December 9, 2013). "Perry's 'Dark Horse' Hit". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ December 18, 2013.
  154. "Dark Horse (feat. Juicy J)". Rolling Stone. July 30, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-22. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
  155. 155.0 155.1 Trust, Gary (January 29, 2014). "Katy Perry's 'Dark Horse' Gallops to No. 1 on Hot 100". Billboard. สืบค้นเมื่อ January 29, 2014.
  156. "CHR/Top 40". Radio & Records. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2014. สืบค้นเมื่อ April 11, 2014.
  157. Strecker, Erin (July 24, 2014). "Katy Perry Releases Lyric Video For New Single 'This Is How We Do'". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 24, 2014.
  158. Danton, Eric R. (August 13, 2013). "Listen to John Mayer's 'Paradise Valley' Now". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-16. สืบค้นเมื่อ August 13, 2013.
  159. Gicas, Peter (February 26, 2014). "Katy Perry and John Mayer: Inside Their Relationship's Ups and Downs". E!. NBCUniversal. สืบค้นเมื่อ August 25, 2014.
  160. ทัวร์ทำรายได้ได้ US$153.3 ล้าน ในปี ค.ศ. 2014 และ US$51 ล้าน ในปี ค.ศ. 2015
  161. Hampp, Andrew (November 20, 2014). "One Direction, Lionel Richie & Katy Perry Win at Billboard Touring Awards". สืบค้นเมื่อ June 12, 2015. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  162. Leopold, Todd (September 30, 2015). "Katy Perry kissed by a girl -- too much". CNN. สืบค้นเมื่อ October 25, 2015.
  163. "Katy Perry confirmed to perform at Super Bowl halftime show". CBS News. CBS Corporation. November 23, 2014. สืบค้นเมื่อ November 24, 2014.
  164. Reed, Ryan (January 30, 2015). "Missy Elliott and Katy Perry Will Team Up for Super Bowl Halftime Show". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ January 31, 2015.
  165. Angert, Alex (February 3, 2015). "Super Bowl XLIX: How Brady, Belichick and Katy Perry's shark ensured the records tumbled". Guinness World Records. สืบค้นเมื่อ November 14, 2015.
  166. 166.0 166.1 Brandle, Lars (January 30, 2014). "One Direction Named Most Popular Recording Artist for 2013". Billboard. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  167. "RIAA Crowns Katy Perry Top Certified Digital Artist Ever". Recording Industry Association of America. June 26, 2014. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  168. "Katy Perry Becomes the RIAA's All-Time Top Digital Artist". Billboard. June 26, 2014. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  169. 169.0 169.1 Williams, Maxwell (May 2, 2014). "Katy Perry Featured on Pop Artist Mark Ryden's $100 'Gay Nineties' Album". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ May 3, 2014.
  170. "Katy Perry Added to US National Portrait Gallery". Billboard. May 21, 2014. สืบค้นเมื่อ May 29, 2014.
  171. Mallenbaum, Carly (November 23, 2015). "Katy Perry debuts new 'Holiday' song in H&M commercial". USA Today. สืบค้นเมื่อ November 23, 2015.
  172. "World Premiere: H&M Holiday Featuring Katy Perry" (Press release). H&M. November 9, 2015. สืบค้นเมื่อ November 23, 2015.
  173. Lindner, Emilee (June 17, 2014). "Katy Perry Starts Her Own Record Label and Reveals First Signee". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ June 17, 2014.
  174. Greenburg, Zack O'Malley (June 2, 2016). "Katy Perry's Net Worth: $125 Million In 2016". Forbes. สืบค้นเมื่อ June 2, 2016.
  175. Greenburg, Zack O'Malley (November 2, 2016). "The World's Highest-Paid Women In Music 2016". Forbes. สืบค้นเมื่อ November 4, 2016.
  176. "Katy Perry taped background vocals for 'Ooh La La'". United Press International. News World Communications. July 29, 2013. สืบค้นเมื่อ August 8, 2013.
  177. "The Smurfs 2 (2013)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  178. "The Smurfs 2". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ January 16, 2014.
  179. "Katy Perry Makes Hilarious Cameo on Kroll Show". Maxim. March 26, 2014. สืบค้นเมื่อ July 25, 2014.
  180. 180.0 180.1 Reed, Ryan (July 15, 2013). "Katy Perry Names New Perfume After Queen". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-11. สืบค้นเมื่อ September 10, 2014.
  181. "Katy Perry to Guest Curate Madonna's Art for Freedom Project". Billboard. January 7, 2014. สืบค้นเมื่อ May 26, 2014.
  182. Linder, Emilee (June 17, 2015). "Madonna's New Video: Here's Every Blink-And-You-Miss-It Celeb Cameo". MTV News. สืบค้นเมื่อ June 17, 2015.
  183. Kinosian, Janet (August 12, 2015). "Katy Perry hopes her Mad Potion fragrance will help you time-travel". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ February 19, 2016.
  184. Hipes, Patrick (September 11, 2015). "'Katy Perry: Making Of The Pepsi Super Bowl Halftime Show' Trailer: What 118.5 Million Viewers Didn't See". Deadline.com. สืบค้นเมื่อ September 12, 2015.
  185. Scheck, Frank (September 17, 2015). "'Jeremy Scott: The People's Designer': Film Review". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ October 25, 2015.
  186. Bryant, Jacob (December 15, 2015). "Glu Mobile's 'Katy Perry Pop' Hopes to Rival Success of 'Kim Kardashian: Hollywood'". Variety. สืบค้นเมื่อ January 4, 2016.
  187. Bell, Amanda (October 14, 2015). "'Katy Perry Pop': First Look At Her App". MTV News. สืบค้นเมื่อ October 14, 2015.
  188. "Grammys 2017: Katy Perry On The Meaning Behind 'Chained To The Rhythm'". Access Hollywood. February 12, 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 21, 2017. สืบค้นเมื่อ May 5, 2017.
  189. "NBC Olympics Features New Katy Perry Anthem "Rise"". NBC Sports. July 14, 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 18, 2016. สืบค้นเมื่อ July 14, 2016.
  190. Ryan, Gavin (July 25, 2016). "Australian Singles: Katy Perry 'Rise' Has A Go At No 1". Noise11.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 25, 2016. สืบค้นเมื่อ July 25, 2016.
  191. Carroll, Sarah (August 18, 2016). "Katy Perry Is 'Taking Chances' & 'Not Rushing' Her New Music". 97.1 AMP Radio. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 19, 2016. สืบค้นเมื่อ August 19, 2016.
  192. "Katy Perry Reveals She's 'Experimenting' With New Album, Talks Forthcoming Shoe Collection". On Air with Ryan Seacrest. August 18, 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 20, 2016. สืบค้นเมื่อ August 19, 2016.
  193. Perry, Katy. "Chained to the Rhythm (feat. Skip Marley) – Single". iTunes Store. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 14, 2017. สืบค้นเมื่อ February 14, 2017.
  194. Aiello, McKenna; Vulpo, Mike (March 5, 2017). "Katy Perry Opens 2017 iHeartRadio Music Awards With a Bunch of Kids and a Dancing Hamster". E!. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 6, 2017. สืบค้นเมื่อ March 6, 2017.
  195. "Archívum – Slágerlisták – MAHASZ" (ภาษาฮังการี). Rádiós Top 40 játszási lista. April 7, 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 26, 2017. สืบค้นเมื่อ April 27, 2017.
  196. Romano, Nick (February 11, 2017). "Katy Perry's 'Chained to the Rhythm' Breaks Spotify Streaming Record". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ February 16, 2017.
  197. Tom, Lauren (April 26, 2017). "Katy Perry Unveils 'Bon Appetit' Single Art, Release Date & Migos Feature". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 27, 2017. สืบค้นเมื่อ April 27, 2017.
  198. Moore, Sam (May 19, 2017). "Listen to Katy Perry's new song 'Swish Swish', featuring Nicki Minaj". NME. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 19, 2017. สืบค้นเมื่อ September 1, 2017.
  199. "Witness by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ June 9, 2017.
  200. Caulfield, Keith (June 18, 2017). "Katy Perry Scores Third No. 1 Album on Billboard 200 Chart With 'Witness'". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 19, 2017. สืบค้นเมื่อ June 18, 2017.
  201. Stutz, Colin (June 9, 2017). "Katy Perry YouTube Live Stream Wraps Monday With Live Concert; James Corden, Sia & More Guests to Pop In". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 10, 2017. สืบค้นเมื่อ June 10, 2017.
  202. Bell, Sadie (June 15, 2017). "Katy Perry's Witness World Wide Generated Over 49 Million Views". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 15, 2017. สืบค้นเมื่อ June 16, 2017.
  203. Roth, Madeline (August 17, 2017). "Katy Perry Has Good News And Bad News About Her Witness Tour". MTV News. สืบค้นเมื่อ August 18, 2017.
  204. Findlay, Mitch (June 14, 2017). "Calvin Harris Announces Single With Big Sean, Pharrell, & Katy Perry". HotNewHipHop. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-06-22. สืบค้นเมื่อ June 14, 2017.
  205. White, Jack (August 11, 2017). "Calvin Harris dethrones Despacito to claim his eighth Number 1 single". Official Charts Company. สืบค้นเมื่อ August 11, 2017.
  206. Nolfi, Joey (November 2, 2018). "Katy Perry releases soaring cover of Dear Evan Hansen's Waving Through a Window". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ November 14, 2018.
  207. Kaufman, Gil (November 1, 2018). "Katy Perry Re-Recorded 'Dear Evan Hansen' Song 'Waving Through a Window' to Help Launch Show's National Tour: Listen". Billboard. สืบค้นเมื่อ November 14, 2018.
  208. Blistein, Jon (November 15, 2018). "Katy Perry Unwraps New Holiday Song 'Cozy Little Christmas'". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-11-16. สืบค้นเมื่อ November 15, 2018.
  209. Fogel, Stefanie (December 11, 2018). "Katy Perry Joins 'Final Fantasy Brave Exvius' as Playable Character". Variety. สืบค้นเมื่อ December 12, 2018.
  210. Watts, Cindy (February 10, 2019). "Dolly Parton honored at Grammys with star-studded tribute from Katy Perry, Miley Cyrus and more". USA Today. สืบค้นเมื่อ February 11, 2019.
  211. Bloom, Madison (February 14, 2019). "Zedd and Katy Perry Share New Song and Video '365': Listen". Pitchfork. สืบค้นเมื่อ February 14, 2019.
  212. Fernandez, Suzette (April 19, 2019). "Katy Perry Joins Daddy Yankee's 'Con Calma': Listen". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 19, 2019.
  213. Knapp, Toby (May 31, 2019). "KATY PERRY: Never Really Over... Anthem for US because WE'VE BEEN THERE!". iHeartRadio. สืบค้นเมื่อ May 31, 2019.
  214. Smith, Lindsey (August 6, 2019). "Katy Perry Announces New Single 'Small Talk' Out This Friday". iHeartRadio. สืบค้นเมื่อ August 7, 2019.
  215. Doty, Meriah. "From Amanpour to Zane: All the Celebrity Cameos in 'Zoolander 2' (Spoilers!)". Yahoo! Movies. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 23, 2016. สืบค้นเมื่อ February 13, 2016.
  216. Ryan, Patrick (February 10, 2016). "Ben Stiller, Owen Wilson put 'Zoolander' back in fashion". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 13, 2016. สืบค้นเมื่อ February 13, 2016.
  217. Mackenzie, Macaela (February 13, 2017). "Katy Perry Just Named a Shoe After Hillary Clinton". Allure. สืบค้นเมื่อ November 19, 2017.
  218. Grinberg, Emanuella. "Katy Perry faces criticism over shoes that evoke blackface". CNN. สืบค้นเมื่อ February 13, 2019.
  219. Roth, Madeline (July 27, 2017). "Katy Perry Is Ready To Be Your 'Moonwoman' As Host Of The 2017 VMAs". MTV News. สืบค้นเมื่อ July 27, 2017.
  220. O'Connell, Michael (August 3, 2017). "'American Idol' Producer Talks Revival Salaries, New ABC Home". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ August 23, 2017.
  221. Gelman, Vlada (September 29, 2017). "American Idol Taps Lionel Richie as Third Judge for ABC Revival". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ October 25, 2017.
  222. Enos, Morgan (April 30, 2018). "A Timeline of Katy Perry and Orlando Bloom's Relationship". Billboard. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 6, 2018. สืบค้นเมื่อ October 6, 2018.
  223. O'Kane, Caitlin (February 15, 2019). "Katy Perry and Orlando Bloom get engaged on Valentine's Day". CBS News. สืบค้นเมื่อ February 15, 2019.
  224. Zemler, Emily (June 17, 2019). "Watch Taylor Swift Reunite With Katy Perry in 'You Need to Calm Down' Video". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ June 18, 2019.
  225. Eggertsen, Chris (July 29, 2019). "Katy Perry Loses 'Dark Horse' Copyright Trial". Billboard. สืบค้นเมื่อ July 31, 2019.
  226. "Katy Perry among those ordered to pay a total of $2.78M in song copying lawsuit". Canadian Broadcasting Corporation. August 1, 2019. สืบค้นเมื่อ August 2, 2019.
  227. Nickolai, Nick (August 12, 2019). "'Teenage Dream' Co-Star Accuses Katy Perry of Sexual Misconduct". Variety. สืบค้นเมื่อ August 12, 2019.
  228. Sabrina Barr (2020-03-05). "Katy Perry pregnant: Singer confirms she is expecting a baby with Orlando Bloom". The Independent.
  229. Sanchez, Omar (May 15, 2020). "Katy Perry releases new single 'Daisies' and announces album release date". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ May 24, 2020.
  230. "Katy Perry and Orlando Bloom announce birth of first child Daisy Dove Bloom". BBC. August 27, 2020. สืบค้นเมื่อ August 27, 2020.
  231. "Smile by Katy Perry". Metacritic. สืบค้นเมื่อ September 10, 2020.
  232. Billboard staff (September 9, 2020). "Five Burning Questions: Katy Perry's 'Smile' Debuts at No. 5 on Billboard 200 Albums Chart". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 10, 2020.
  233. "Katy Perry on the 180 That Saved Her Career". NPR. October 26, 2013. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
  234. Schneider, Marc (May 12, 2012). "Katy Perry Wants a 'Fucking Vacation' After Next Single". Billboard. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
  235. "Freddie Mercury inspired Katy Perry to 'Kiss a Girl'". NME. September 26, 2008. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
  236. "Katy Perry, The Things They Say". Contactmusic.com. Channel 4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-06. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
  237. 237.0 237.1 Wiig, Kristen (March 2, 2012). "Katy Perry". Interview. Brant Publications. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
  238. 238.0 238.1 238.2 Mitchell, Gail (November 30, 2012). "Katy Perry Q&A: Billboard's Woman of the Year 2012". Billboard. สืบค้นเมื่อ November 30, 2012.
  239. 239.0 239.1 Michaels, Sean. "Katy Perry wants to go folk acoustic – in style of Joni Mitchell". The Guardian. สืบค้นเมื่อ February 3, 2014.
  240. Dinh, James (April 6, 2012). "Katy Perry's 'Part of Me' Film Inspired By Madonna". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  241. Newman, Melinda (April 22, 2010). "Katy Perry dishes details on new dance-fueled album". HitFix. สืบค้นเมื่อ March 30, 2016.
  242. Vena, Jocelyn (September 22, 2009). "Katy Perry wants to make new music her fans can 'roller-stake' to". MTV News. สืบค้นเมื่อ March 25, 2016.
  243. Ryan, Chris (March 30, 2010). "What Will Katy Perry's New Album Sound Like? Check Out 5 Video Clues". MTV News. สืบค้นเมื่อ March 26, 2016.
  244. "Katy Perry praises "really great" Pink – Music News". Digital Spy. August 15, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-04. สืบค้นเมื่อ December 5, 2013.
  245. Friedlander 2012, p. 123
  246. "Katy Perry's 'California Dreams' Tour: What the Critics Are Saying". The Hollywood Reporter. June 19, 2011. สืบค้นเมื่อ August 6, 2014.
  247. Rutherford, Kevin (October 22, 2013). "Katy Perry Reveals 'Prism' Influences, Adds Stripped-Down Performances at Album Release Event". Billboard. สืบค้นเมื่อ December 9, 2013.
  248. Woods, Vicki (June 2013). "Katy Perry's First Vogue Cover". Vogue. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-26. สืบค้นเมื่อ July 2013. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  249. Musical genres of Katy Hudson and One of the Boys:
  250. 250.0 250.1 Sheffield, Rob (August 23, 2010). "Teenage Dream". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-06. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  251. Trust, Gary (September 9, 2013). "Katy Perry's Future 'Prism' Hits: Industry Picks". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 19, 2013.
  252. Reed, James (October 20, 2013). "Perry shows many colors on 'Prism'". Boston Globe. Christopher Mayer. สืบค้นเมื่อ February 7, 2014.
  253. Wallace, Amy (January 19, 2014). "Katy Perry's GQ Profile Outtakes: Going Back to School, Dating Musicians, and Plastic Surgery". GQ. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ February 2014. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  254. Kot, Greg (October 20, 2013). "Katy Perry album review; Prism reviewed". Chicago Tribune. Tony W. Hunter. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  255. Pareles, Jon; Ratliff, Ben; Carmanica, Jon; Chinen, Nate (September 6, 2013). "Fall Pop Music Preview: An Abundance of Rhythms and Styles". The New York Times. Arthur Ochs Sulzberger, Jr. สืบค้นเมื่อ August 7, 2014.
  256. Roberts, Randall (October 22, 2013). "Review: Hits pack Katy Perry's 'Prism'". Los Angeles Times. Eddy Hartenstein. สืบค้นเมื่อ February 4, 2014.
  257. Vena, Jocelyn. "Selena Gomez 'Had To Fight' To Get Katy Perry Song 'Rock God'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ September 22, 2010.
  258. When the Sun Goes Down. Selena Gomez & the Scene. Hollywood Records. 2011.{{cite AV media notes}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  259. Jessie James. Jessie James. Mercury Records/The Island Def Jam Music Group. 2009.{{cite AV media notes}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  260. All I Ever Wanted. Kelly Clarkson. RCA Records/19 Recordings. 2009.{{cite AV media notes}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  261. Castellanos, Melissa (September 26, 2008). "Second Cup Cafe: Lesley Roy". CBS News. CBS Corporation. สืบค้นเมื่อ May 24, 2014.
  262. Garibaldi, Christina (December 4, 2013). "Britney Spears Explains How 'Amazing' Katy Perry Ended Up On Britney Jean". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ August 25, 2014.
  263. The New Classic. Iggy Azalea. The Island Def Jam Music Group. 2014.{{cite AV media notes}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  264. The Pinkprint. Nicki Minaj. Universal Music Group. 2014.{{cite AV media notes}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  265. Grewal, Samar (October 9, 2008). "Review: Katy Perry – One of the Boys". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ March 16, 2014.
  266. Mirkin, Steven (February 1, 2009). "Review: 'Katy Perry'". Variety. สืบค้นเมื่อ March 16, 2014.
  267. Clarke, Betty (October 1, 2013). "Katy Perry – review". The Guardian. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  268. Harvey, Darren (September 15, 2008). "Katy Perry – One of the Boys". musicOMH. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  269. Miller, Alex. "NME Album Reviews – Katy Perry". NME. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  270. McNulty, Bernadette (October 1, 2013). "Katy Perry, iTunes Festival, Roundhouse, review". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  271. George, Kat (May 24, 2014). "Does Madonna Need Katy Perry More Than Katy Perry Needs Madonna?". Vice. สืบค้นเมื่อ May 29, 2014.
  272. "Katy Perry tops Maxim's Hot 100 list". CNN. Turner Broadcasting System. May 10, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-22. สืบค้นเมื่อ October 21, 2014.
  273. "The Hottest Women of 2013". Men's Health. Rodale, Inc. January 2013. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  274. 274.0 274.1 Apodaca, Rose. "Katy Perry's Interview – Quotes from Katy Perry". Harper's Bazaar. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  275. Larson, John (September 14, 2010). "Katy Perry // "Teenage Dream"". Tacoma Weekly. Pierce County Community Newspaper Group. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-09. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
  276. Menyes, Carolyn (July 12, 2012). "Katy Perry Asked to Ditch Hazardous Peppermint Bra". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
  277. "Fashion Fireworks: Katy Perry's Best Performance Looks". Vogue. Advance Publications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-21. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  278. Lyons Powell, Hannah. "Katy Perry's Changing Style and Fashion". Glamour. Advance Publications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-19. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  279. "Find Out What Influences Katy Perry's Cute Style!". Seventeen. February 5, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 8, 2009. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  280. Young, Katy (October 1, 2013). "Katy Perry reveals her perfume preferences". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ October 1, 2013.
  281. Hollister, Sean (November 3, 2013). "Katy Perry passes Justin Bieber as most popular person on Twitter". The Verge. สืบค้นเมื่อ November 4, 2013.
  282. 282.0 282.1 Grow, Kory (September 4, 2014). "Wherever They May Roam: Metallica Set Guinness World Record for Touring". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-05. สืบค้นเมื่อ September 4, 2014.
  283. 283.0 283.1 McIntyre, Hugh (July 1, 2016). "Katy Perry Just Hit 90 Million Twitter Followers. Is 100 Million Coming Soon?". Forbes. สืบค้นเมื่อ July 2, 2016.
  284. Pomerantz, Dorothy. "Katy Perry – In Photos: Social Networking Superstars". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  285. Gundersen, Edna (October 21, 2013). "Katy Perry tells how to 'tame the social media dragon'". USA Today. สืบค้นเมื่อ February 7, 2014.
  286. Greenburg, Zack O'Malley (December 14, 2011). "The Top-Earning Women In Music 2011". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 14, 2011.
  287. Greenburg, Zack O'Malley (December 12, 2012). "The Top-Earning Women In Music 2012". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 12, 2012.
  288. Greenburg, Zack O'Malley (December 11, 2013). "The Top-Earning Women In Music 2013". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 11, 2013.
  289. Greenburg, Zack O'Malley (November 4, 2014). "The Top-Earning Women In Music 2014". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ November 27, 2014.
  290. 2015 Forbes rankings:
  291. "Katy Perry teams up with UNICEF and visits children in Madagascar". UNICEF. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-04. สืบค้นเมื่อ April 7, 2013.
  292. "Katy Perry is UNICEF's newest Goodwill Ambassador". UNICEF. December 3, 2013. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  293. Ryan, Reed (January 15, 2014). "Katy Perry Cues Up 'Prismatic' World Tour". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-07. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  294. "Boys Hope/Girls Hope". American Broadcasting Company. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 18, 2014. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  295. Trakin, Roy (June 12, 2014). "Katy Perry and Staples 'Make Roar Happen' to Help Support Teachers". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 18, 2014.
  296. "UNICEF Goodwill Ambassador Katy Perry meets children facing immense challenges in Viet Nam". UNICEF. June 1, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-02. สืบค้นเมื่อ June 2, 2016.
  297. "2016 UNICEF Snowflake Ball to Honor UNICEF Goodwill Ambassador Katy Perry and Philanthropist Moll Anderson". UNICEF. June 23, 2016. สืบค้นเมื่อ June 23, 2016.
  298. "The Keep A Breast Foundation". Keep A Breast Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-03. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
  299. Aguila, Justino (October 24, 2013). "Katy Perry Hosts Famous Friends, Previews Next Tour at Hollywood Bowl: Live Review". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  300. Vena, Jocelyn. "Katy Perry, Tokio Hotel Join H&M for Fashion Against AIDS". MTV News. Viacom. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-08. สืบค้นเมื่อ March 14, 2014.
  301. Myers, Alexandra (February 16, 2012). "Katy Perry donates proceeds from new single to charity". Yahoo! News. สืบค้นเมื่อ May 25, 2014.
  302. "Katy Perry Celebrates Over $175K Raised for Charity on Her California Dreams Tour through Tickets-for-Charity" (PDF). Children's Health Fund. December 8, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-09-23. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  303. "Katy Perry Asks For Charity Donations To Mark Birthday". Contactmusic.com. Channel 4. October 26, 2011. สืบค้นเมื่อ November 11, 2011.
  304. Davidson, Danica. "Sweet Treat: Katy Perry asks for Charitable Donations for her 28th Birthday". MTV. accessdate=June 27, 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-02. สืบค้นเมื่อ 2014-08-16. {{cite web}}: ไม่มี pipe ใน: |publisher= (help)
  305. Daunt, Tina (March 31, 2014). "Katy Perry, Pharrell Williams Help Raise $2.4 Million for MOCA". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 10, 2014.
  306. "One Love Manchester: What you need to know". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2017-06-04. สืบค้นเมื่อ 2017-06-04.
  307. "High profile support: Other messages". Stonewall. November 17, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-04-14. สืบค้นเมื่อ March 13, 2014.
  308. Mapes, Jillian (October 28, 2010). "Katy Perry Dedicates Leaked 'Firework' Video to LGBT Campaign". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  309. "Katy Perry talks about gay rights in interview with CGG". Do Something. November 4, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-06. สืบค้นเมื่อ November 5, 2011.
  310. Hauser, Brooke (June 28, 2012). "Katy Perry Celebrates Her Independence". Parade. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  311. "Katy Perry Accepts Hero Award From Trevor Project". Contactmusic.com. Channel 4. December 3, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-24. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  312. Stampler, Laura (March 18, 2014). "Katy Perry: Maybe I am a Feminist After All". Time. สืบค้นเมื่อ June 16, 2014.
  313. Levinson, Lauren (April 16, 2013). "Watch: Beyoncé, Blake Lively, Katy Perry, and More Unite in Chime for Change Video". Elle. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  314. "Katy Perry Talks Body Image, Fame, and Politics in Rolling Stone Cover Story". Rolling Stone. June 22, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-07. สืบค้นเมื่อ February 16, 2014.
  315. "An Open Letter to Congress from the Music Industry". Billboard. June 23, 2016. สืบค้นเมื่อ June 23, 2016.
  316. Porter, Amber (Oct 8, 2012). "Katy Perry Nails it for Obama". ABC News. The Walt Disney Company. สืบค้นเมื่อ November 4, 2012.
  317. Strecker, Erin (November 1, 2012). "Katy Perry performing another free concert at Obama rally". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-05. สืบค้นเมื่อ November 4, 2012.
  318. Strecker, Erin. "Katy Perry performs at third President Obama rally in Wisconsin". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-05. สืบค้นเมื่อ February 9, 2014.
  319. Nessif, Bruna (November 5, 2012). "K2012 Election: Katy Perry, George Lopez, Rashida Jones, and More Take to Twitter to Get Out the Vote". E!. NBCUniversal. สืบค้นเมื่อ February 16, 2014.
  320. "Katy Perry confronts Tony Abbott on gay marriage". The Daily Telegraph. August 15, 2013. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  321. Schwiegershausen, Erica (April 9, 2014). "Katy Perry Exposed a Springy Strip of Upper Belly". New York. New York Media, LLC. สืบค้นเมื่อ April 9, 2014.
  322. "Katy Perry Offers to Write Hillary Clinton Campaign Theme Song". The Hollywood Reporter. June 22, 2014. สืบค้นเมื่อ August 21, 2015.
  323. Todd, Bridget (June 13, 2015). "Celebs show they are ready for Hillary by embracing her logo". MSNBC. สืบค้นเมื่อ August 21, 2015.
  324. "Page By Page Report Display For 201510159003054880". Federal Election Commission. p. 14954. สืบค้นเมื่อ October 25, 2015.
  325. "Katy Perry to Rally Hillary Clinton Supporters in Iowa". Billboard. October 10, 2015. สืบค้นเมื่อ June 3, 2016.
  326. Claiborne, Matthew (March 3, 2016). "Katy Perry, Elton John Perform at Hillary Clinton Fundraiser In New York". ABC News. สืบค้นเมื่อ June 3, 2016.
  327. Grant, Sarah (July 28, 2016). "Watch Katy Perry 'Rise' and 'Roar' for Hillary Clinton at DNC". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-30. สืบค้นเมื่อ July 29, 2016.
  328. American Music Awards for Katy Perry:
  329. People's Choice Awards for Katy Perry:
  330. Trust, Gary (May 12, 2011). "Katy Perry Celebrates Year in Hot 100's Top 10". Billboard. สืบค้นเมื่อ May 13, 2011.
  331. Strecker, Erin (June 10, 2015). "Katy Perry's 'Dark Horse' Passes 1 Billion Vevo Views". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 10, 2015.
  332. Kaufman, Gil (June 9, 2015). "Katy Perry Just Beat Taylor Swift To A Huge Milestone". MTV News. สืบค้นเมื่อ June 9, 2015.
  333. "Katy Perry's 'Roar' Video Surpasses 1 Billion Vevo Views". iHeartRadio. July 10, 2015. สืบค้นเมื่อ August 6, 2015.
  334. "RIAA – Top Artists (Digital Singles)". Recording Industry Association of America. สืบค้นเมื่อ August 21, 2015.
  335. Grein, Paul (May 21, 2014). "MJ Makes Hot 100 History". Yahoo! Music. Yahoo!!!. สืบค้นเมื่อ May 21, 2014.
  336. "The Wild World of User Generated Content and Streaming". Association of Independent Music Publishers. November 15, 2012. สืบค้นเมื่อ June 29, 2016.
  337. Adejobi, Alicia (September 13, 2016). "How Katy Perry became the most-followed celebrity on Twitter with 92.7 million fans". International Business Times. สืบค้นเมื่อ September 15, 2016.