อาชญานิติเวชกีฏวิทยา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

"อาชญานิติเวชกีฏวิทยา (Medicrocriminal Forensic Entomology)"[แก้]

เป็นสาขาหนึ่งของการทำงานทางด้านกีฏวิทยาที่เพิ่งจะได้รับความสนใจจากนักกีฏวิทยาและนักวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านนิติอาชญากรรม หรือผู้ที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านพิสูจน์ศพ ที่พบหรือหลังจากถึงแก่ความตาย ในระยะเวลาหนึ่ง

นิติเวชกีฏวิทยาจึงได้เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับคดีความทางกฎหมายด้วยเช่นกัน งานศึกษาทางนิติเวชกีฏวิทยาเป็นการศึกษาถึงชนิดของแมลงที่ตรวจพบในซากศพ ซึ่งชนิดของแมลงที่พบจากซากศพนั้นจะเป็นข้อบ่งชี้กับระยะเวลาที่เกิดการตายของศพนั้น ๆ


สำหรับงานการศึกษาทางด้านนิติเวชกีฏวิทยาในประเทศไทยนี้ ยังไม่มีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามในขณะนี้หน่วยงานบางแห่ง เช่น สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทและมีนักกีฏวิทยารุ่นใหม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จึงนับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า ในอนาคตสาขานิติเวชกีฏวิทยาในประเทศไทยจะได้รับการสนใจและเข้าไปมีบทบาทในงานด้านนิติอาชญากรรมมากขึ้น


การใช้แมลงในการสืบสวนคดีอาชญากรรมนี้อาจเรียกอย่างหนึ่งว่า "นิติเวชกีฏวิทยา (Forensic Entomology)" การสืบหาระยะเวลาหลังการตาย (Post Mortem Interval หรือ PMI) หรือข้อมูลต่าง ๆ นั้นต้องเก็บหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุซึ่งอาจเป็นไข่ของแมลง ตัวอ่อน หนอน ดักแด้ หรือตัวเต็มวัยของแมลงก็ได้ จากนั้นนำมาแบ่งเป็น 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 นำมาใช้ประมาณ PMI โดยดูจากอายุของแมลงที่พบบริเวณศพที่มีอายุมากที่สุด

ส่วนที่ 2 นำไปเลี้ยงจนเป็นตัวเต็มวัยเพื่อให้แน่ใจว่าจำแนกชนิดถูกต้อง

ส่วนที่ 3 นำไปตรวจวิเคราะห์ DNA เพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น


การสำรวจศพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณรอยเปิดของบาดแผลบนผิวหนัง หรือ ทางเปิดของอวัยวะ เช่น ตา ปาก จมูก ซึ่งเป็นจุดแรก ๆ ที่แมลงจะเข้าไป ทั้งนี้การเก็บตัวอย่างแมลงจากที่เกิดเหตุนั้นจำเป็นต้องอาศัยความชำนาญ รอบคอบ และช่างสังเกต ไม่มองข้ามจุดเล็ก ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อรูปคดีมากที่สุด


หากพบตัวอ่อนแมลง (ตัวหนอน) ที่อยู่บนซากศพ ให้เลือกดูตัวหนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แล้วคาดคะเนว่าน่าจะเป็นตัวหนอนที่มีอายุมากที่สุด แล้วนำไปเปรียบเทียบกับวงจรชีวิตของแมลงวันว่าขนาดของตัวอ่อนเท่านี้จะมีอายุมาแล้วกี่วัน เมื่อทราบอายุของตัวหนอนแล้วจะทำให้คาดคะเนได้ว่าศพที่เจอนั้นเสียชีวิตมาแล้วกี่วัน ซึ่งเป็นการหาระยะเวลาหลังการตายของสิ่งมีชีวิต (PMI) ถึงอย่างไรก็ตาม การคาดคะเนระยะเวลาหลังการตายด้วยอายุของหนอนแมลงต้องทำควบคู่ไปกับลักษณะของการย่อยซากศพที่เจอด้วย ซึ่งการย่อยสลายของซากศพจะมีอยู่ 5 ระยะด้วยกัน

1. Initial stage เริ่มจาก 0-1 วัน ลักษณะของซากศพยังใหม่และสดอยู่ แมลงที่พบ ได้ในระยะนี้จะเป็นพวกมด และพวกแมลงวันหลังลาย และแมลงวันบ้าน

2. Bloated phast เริ่มจากวันที่ 2-6 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว ศพจะมีการบวมจากการผลิตก๊าซของแบคทีเรียและมีกลิ่นเน่าเหม็น แมลงที่พบได้จะเป็นแมลงวันหัวเขียว

3. Black putrefaction เริ่มจากวันที่ 7-12 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว เป็นระยะที่มีการแตกพังของเนื้อเยื่อ กลิ่นของศพมีความรุนแรงมากขึ้น เริ่มพบระยะไข่และตัวอ่อนของแมลงวันหัวเขียว

4. Butyric fermentation เริ่มจากวันที่ 13-51 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว ภายนอกของศพเริ่ม แห้ง แต่บางส่วนภายในศพยังไม่แห้ง ผิวที่อยู่ด้านล่างของศพเริ่มเน่าเละ จากกระบวนการ fermentation สามารถพบแมลงในกลุ่ม Muscidae, Piophilidae, Scarabaeidae, Cleridae, Dermestidae, Histeridae, Silphidae และ Staphylinidae

5. Dry phast เริ่มจากวันที่ 52 หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว เป็นระยะที่ซากศพเกือบแห้งทั้งหมด อัตราการย่อยสลายช้าลง แมลงที่พบมากได้ในระยะนี้คือ แมลงในกลุ่ม Dermestidae, Forficulidae, Sarcophagidae, Cleridae


ดังนั้นงานนิติเวชกีฏวิทยาเป็นงานที่น่าสนใจที่ควรจะมีการศึกษาข้อมูลเบื้องต้น แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างลำบากและละเอียดอ่อนในการที่จะศึกษาแมลงที่เกี่ยวข้องกับศพมนุษย์โดยตรง เพราะอาจเกิดความขลาดกลัว ขยะแขยง ต่อสิ่งที่พบเห็นและโอกาสในการที่จะได้ศพมนุษย์จริง ๆ มาศึกษาก็คงเป็นไปไม่ได้ สำหรับงานวิจัยด้านนี้ได้มีการศึกษาทดลองเพื่อหาปัจจัยพื้นฐานด้านต่าง ๆโดย นายยุกตนันท์ จำปาเทศ และอาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วีรวรรณ อมรศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้ศึกษารูปแบบจำลองงานทางด้านนิติเวชกีฏวิทยา โดยใช้ซากลูกสุกร ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมาเป็นแบบจำลองแทนศพมนุษย์ ใช้ในการทดลอง ซึ่งจะได้มาถึงข้อมูลเบื้องต้นของแมลงชนิดต่าง ๆ ที่จะพบจากซากลูกสุกร