องศาโรเมอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เทอร์โมมิเตอร์เก่าในร้านขายยาที่กรุงเวียนนาแสดงอุณหภูมิในหน่วยองศาโรเมอร์

องศาเรโอมูร์ (อังกฤษ: Réaumur scale/degree; ย่อ:°Ré, °Re, °R) หรือในไทยนิยมเรียกว่า องศาโรเมอร์ คือหน่วยวัดอุณหภูมิที่คิดค้นขึ้นโดยเรอเน อ็องตวน แฟร์โชล เดอ เรโอมูร์ (René Antoine Ferchault de Réaumur) นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1731 โดยกำหนดให้จุดเยือกแข็งของน้ำอยู่ที่ 0 องศาโรเมอร์ และจุดเดือดของน้ำอยู่ที่ 80 องศาโรเมอร์ ดังนั้นช่วงอุณหภูมิ 1 องศาโรเมอร์จะเท่ากับ 1.25 องศาเซลเซียสหรือเคลวิน

เทอร์โมมิเตอร์ของเรโอมูร์นั้นจะบรรจุแอลกอฮอล์เจือจางและมีหลักการคือกำหนดให้อุณหภูมิจุดเยือกแข็งของน้ำอยู่ที่ 0 องศา และขยายตัวไปตามท่อเป็นทีละองศาซึ่งคือเศษหนึ่งส่วนพันของปริมาตรที่บรรจุไว้ในกระเปาะของหลอด ณ จุดศูนย์องศา เขาเสนอว่าคุณภาพของแอลกอฮอล์ที่ใช้นั้นจะต้องเริ่มเดือดที่ 80 องศาโรเมอร์ นั่นคือ เมื่อปริมาตรแอลกอฮอล์ได้ขยายตัวไป 8% เรโอมูร์เลือกแอลกอฮอล์แทนที่จะใช้ปรอทเพราะขณะที่ขยายตัวจะเห็นได้ชัดเจนกว่า แต่ปัญหาที่พบคือ เทอร์โมมิเตอร์รุ่นดั้งเดิมของเขานั้นดูเทอะทะ และจุดเดือดที่ต่ำของแอลกอฮอล์ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการใช้งานจริงเท่าใดนัก ผู้ผลิตอุปกรณ์มักจะหันไปเลือกใช้ของเหลวชนิดอื่น แล้วใช้อุณหภูมิ 80 องศาโรเมอร์เพื่อระบุจุดเดือดของน้ำแทน ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้งาน

ในปี ค.ศ. 1772 ฌ็อง-อ็องเดร เดอลุก (Jean-André Deluc) ได้ศึกษาสสารหลายชนิดที่มีการใช้ในเทอร์โมมิเตอร์หลังจากที่มีทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับความร้อน และได้ข้อสรุปว่าเทอร์โมมิเตอร์ที่ใช้ปรอทนั้นเหมาะสมกับการใช้งานที่สุด เช่นว่า หากนำน้ำในปริมาณที่เท่า ๆ กันสองส่วน ณ อุณหภูมิ ก และ ข มาเทรวมกันแล้ว อุณหภูมิสุดท้ายที่วัดได้จะเป็นค่ากึ่งกลางระหว่าง ก และ ข พอดี และความสัมพันธ์นี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทำการวัดด้วยปรอทเท่านั้น นับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ปรอทก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย[1]

ประวัติการใช้งาน[แก้]

ภาพโดยชาร์ล โฌแซ็ฟ มีนาร์ ประกอบข้อมูลการรุกรานรัสเซียโดยฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1812 กราฟแนวนอนทางด้านล่าง อ่านจากซ้ายไปขวา ระบุอุณหภูมิในระหว่างที่กองทัพยกกลับมาจากรัสเซีย ในสเกลองศาโรเมอร์ที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง

ในอดีตการใช้หน่วยวัดองศาโรเมอร์ได้ถูกใช้อย่างมากในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซีย แต่ภายหลังจาก ค.ศ.1790 ประเทศฝรั่งเศสก็หันมาใช้องศาเซลเซียสในหน่วยวัดแทนองศาโรเมอร์

ปัจจุบันการใช้องศาโรเมอร์ยังถูกใช้งานในการวัดอุณหภูมิของนมในกระบวนการผลิตเนยในประเทศอิตาลี

สูตรการแปลงอุณหภูมิองศาโรเมอร์
จากเรโอมูร์ เป็นเรโอมูร์
องศาเซลเซียส [°C] = [°Ré] × 5/4 [°Ré] = [°C] × 4/5
องศาฟาเรนไฮต์ [°F] = [°Ré] × 9/4 + 32 [°Ré] = ([°F] − 32) × 4/9
เคลวิน [K] = [°Ré] × 5/4 + 273.15 [°Ré] = ([K] − 273.15) × 4/5
แรงคิน [°R] = [°Ré] × 9/4 + 491.67 [°Ré] = ([°R] − 491.67) × 4/9


ตารางเปรียบเทียบหน่วยวัดอุณหภูมิ[แก้]

ตารางเปรียบเทียบหน่วยวัดอุณหภูมิ
รายการ[หมายเหตุ 1] เคลวิน เซลเซียส ฟาเรนไฮต์ แรงคิน เดลิเซิล นิวตัน เรโอมูร์ เรอเมอร์
ศูนย์สัมบูรณ์ 0.00 −273.15 −459.67 0.00 559.73 −90.14 −218.52 −135.90
อุณหภูมิพื้นผิวต่ำสุดที่มีการบันทึกบนโลก
(วอสต็อก, แอนตาร์กติกา - 21 ก.ค. 1983)
184 −89 −128 331 284 −29 −71 −39
สารผสมระหว่างน้ำแข็ง/เกลือ ฟาเรนไฮต์ 255.37 −17.78 0.00 459.67 176.67 −5.87 −14.22 −1.83
น้ำแข็งละลาย (ณ ความดันมาตรฐาน) 273.15 0.00 32.00 491.67 150.00 0.00 0.00 7.50
จุดไตรสมดุลของน้ำ 273.16 0.01 32.018 491.688 149.985 0.0033 0.008 7.50525
อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยโลก 288 15 59 519 128 5 12 15
อุณหภูมิร่างกายมนุษย์เฉลี่ย[หมายเหตุ 2][2] 310 37 98 558 95 12 29 27
อุณหภูมิพื้นผิวสูงสุดที่มีการบันทึกบนโลก
(อซิซิญ่า, ลิเบีย - 13 ก.ย. 1922)
แต่ยังคงไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ
331 58 136 596 63 19 46 38
น้ำเดือด (ณ ความดันมาตรฐาน) 373.15 100.00 211.97 671.64 0.00 33.00 80.00 60.00
ไททาเนียมละลาย 1941 1668 3034 3494 −2352 550 1334 883
พื้นผิวดวงอาทิตย์ 5800 5500 9900 10400 −8100 1800 4400 2900
หมายเหตุ:
  1. ตัวเลขในตารางนี้มีการปัดเศษทศนิยม
  2. อุณหภูมิร่างกายมนุษย์ปกติอยู่ที่ 36.8 °C ±0.7 °C, หรือ 98.2 °F ±1.3 °F ตัวเลขที่มักระบุว่า 98.6 °F นั้นเป็นการคำนวณแปลงหน่วยค่าจากอุณหภูมิมาตรฐานเยอรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ 37 °C เนื่องจากไม่ได้มีช่วงค่าบวกลบที่รับได้ จึงไม่สามารถระบุค่าความคลาดเคลื่อนได้


อ้างอิง[แก้]

  1. Herbert Dingle. The scientific adventure: essays in the history and philosophy of science. Sir Isaac Pitman and Sons, London, 1952. Page 131.
  2. "Temperature of a Healthy Human (Body Temperature)". Hypertextbook.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-26. สืบค้นเมื่อ 2010-09-16.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]