โรคหัด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก หัด)
โรคหัด
ชื่ออื่นMeasles, morbilli, rubeola, red measles, English measles[1][2]
ผื่นของผู้ป่วยโรคหัดในวันที่สี่หลังเริ่มแสดงอาการ
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ
อาการไข้ ไอ มีน้ำมูก ตาแดง มีผื่น[3][4]
ภาวะแทรกซ้อนปอดบวม, ชัก, สมองอักเสบ, สมองอักเสบทั่วแบบกึ่งเฉียบพลัน[5]
การตั้งต้น10–12 วันหลังได้รับเชื้อ[6][7]
ระยะดำเนินโรค7–10 วัน[6][7]
สาเหตุไวรัสโรคหัด[3]
การป้องกันวัคซีนโรคหัด[6]
การรักษารักษาตามอาการ[6]
ความชุกปีละ 20 ล้านคน[3]
การเสียชีวิต73,400 (ค.ศ. 2015)[8]

โรคหัด (อังกฤษ: measles) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อไวรัสหัด[3][9] ในระยะแรกผู้ป่วยจะมีไข้ ซึ่งมักเป็นไข้สูง (>40 องศาเซลเซียส) ไอ น้ำมูกไหลจากเยื่อจมูกอักเสบ และตาแดงจากเยื่อตาอักเสบ[3][4] ในวันที่ 2-3 จะเริ่มมีจุดสีขาวขึ้นในปาก เรียกว่าจุดของคอปลิก[4] จากนั้นในวันที่ 3-5 จะเริ่มมีผื่นเป็นผื่นแดงแบน เริ่มขึ้นที่ใบหน้า จากนั้นจึงลามไปทั่วตัว[4] อาการมักเริ่มเป็น 10-12 หลังจากรับเชื้อ และมักเป็นอยู่ 7-10 วัน[6][7]สามารถพบภาวะแทรกซ้อนได้ราว 30% ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้แก่ ท้องร่วง ตาบอด สมองอักเสบ ปอดอักเสบ และอื่น ๆ[6][10] โรคนี้เป็นคนละโรคกับโรคหัดเยอรมันและหัดกุหลาบ[11]

โรคหัดติดต่อทางอากาศ เชื้อหัดจะออกมาพร้อมกับการไอและการจามของผู้ป่วย[6] นอกจากนี้ยังอาจติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วยได้ด้วย[6] หากมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันและอยู่ในที่เดียวกันกับผู้ติดเชื้อ จะเกิดการติดเชื้อถึงเก้าในสิบ[10] ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 4 วัน หลังเริ่มมีผื่น.[10] ส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก[6] การตรวจหาเชื้อไวรัสในผู้ป่วยรายที่สงสัย จะมีประโยชน์ในการควบคุมโรค[10]

วัคซีนโรคหัดสามารถป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี[6] ผลจากการใช้วัคซีนนี้ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัดลดลงถึง 75% ในช่วง ค.ศ. 2000-2013 ซึ่งเด็กทั่วโลกถึง 85% ได้รับวัคซีนนี้[6] ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบจำเพาะ มีแต่เพียงการใช้การรักษาบรรเทาอาการเท่านั้น[6] เช่น การให้สารน้ำชดเชยทางปาก กินอาหารที่มีประโยชน์ และใช้ยาลดไข้[6][7] อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะก็ต่อเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น เป็นปอดอักเสบ[6] ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ผู้ป่วยอาจขาดสารอาหาร การให้วิตามินเอก็เป็นที่แนะนำ[6]

ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณ 20 ล้านคน[3] ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กำลังพัฒนาของทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย[6] โรคนี้เป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก[12] เมื่อ ค.ศ. 1980 มีคนเสียชีวิตจากโรคหัดถึง 2.6 ล้านคน[6] และลดเหลือ 545,000 คนใน ค.ศ. 1990 และ 73,000 ใน ค.ศ. 2014[8][13] ผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 5 ปี[6] อัตราการเสียชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 0.2%[10] แต่อาจสูงได้ถึง 10% ในผู้ที่ขาดสารอาหาร[6] ปัจจุบันยังเชื่อว่าโรคนี้ไม่ติดไปยังสัตว์อื่น[6] ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนมีการใช้วัคซีนจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณปีละ 3-4 ล้านคน[10] ซึ่งหลังจากมีการใช้วัคซีนอย่างกว้างขวาง โรคหัดก็ถูกกำจัดหมดไปจากอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 2016[14]

สาเหตุ[แก้]

เกิดจากเชื้อไวรัสมีเซิล (Measles virus) ซึ่งจะพบมากในน้ำลายของผู้ป่วยติดต่อโดยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ร่วมกัน ระยะฟักตัว 9-11 วัน

อาการ[แก้]

มีอาการตัวร้อนขึ้นทันทีทันใด ในระยะแรกมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ผิดกันตรงที่จะมีไข้สูงตลอดเวลา กินยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ลด เด็กจะซึม กระสับกระส่าย ร้องกวน เบื่ออาหาร มีน้ำมูกใส ๆ ไอแห้ง ๆ น้ำตาไหล ไม่สู้แสง หนังตาบวม จะมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งเหมือนท้องเดินในระยะก่อนที่จะมีผื่น หรืออาจชักจากไข้สูงผื่นของหัดจะขึ้นจากตีนผม ซอกคอก่อน แล้วลามไปตามใบหน้าลำตัวและแขนขา ลักษณะเฉพาะของหัดคือจะมีผื่นขึ้นหลังมีไข้ 3-4 วัน มักจะขึ้นในวันที่ 4 ของไข้ เป็นผื่นเท่าหัวเข็มหมุดที่ตีนผมก่อนและซอกคอ ผื่นนี้จะจางหายได้เมื่อดึงรั้งผิวหนังให้ตึง เป็นแผ่นกว้าง รูปร่างไม่แน่นอน อาจมีผื่นคันเล็กน้อย ผื่นจะไม่จางหายไปในทันที จะจางหายไปใน 4-7 วัน และจะเหลือให้เห็นเป็นรอยสีน้ำตาล บางราย

สิ่งตรวจพบ[แก้]

ไข้ 38.5-40.5 องศาเซลเซียส หรือบางรายอาจสูงกว่านั้นก็เป็นได้ หน้าแดง ตาแดง หน้าตาบวมคู่ เปลือกตาแดง บางรายมีอาการปวดตาเมื่อกลอกตาสุด ระยะ 2 วันหลังมีไข้ พบจุดสีขาว ๆ เหลือง หรือ แดงขนาดเล็ก ๆ คล้ายเม็ดงาที่กระพุ้งแก้มด้านในบริเวณใกล้ฟันกรามล่าง หรือ ฟันกรามด้านบนสองซี่สุดท้าย เรียกว่าจุดค็อปลิก (Koplik's spot) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของหัดและจะหายไป หลังไข้ขึ้น 2-4 วันจะพบผื่นที่หน้า หลังหู ซอกคอ ลำตัว โดยเริ่มขื้นจากด้านบนก่อน ต่อมน้ำเหลืองที่คอด้านซ้ายและขวาบวมขื้น ปอดจะมีเสียงปกติ ยกเว้นถ้ามีโรคปอดอักเสบแทรก เมื่อใช้เครื่องฟังจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

พยากรณ์โรค[แก้]

ผู้ป่วยโรคหัดส่วนใหญ่จะไม่เสียชีวิตจากโรคนี้ แต่บางรายก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดย 1 ใน 4 จะมีอาการมากถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และ 1-2 ใน 1,000 จะเสียชีวิต ภาวะแทรกซ้อนเช่นนี้มักพบในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีและผู้ป่วยอายุมากกว่า 20 ปี[15] ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตที่พบบ่อยที่สุดคือปอดอักเสบ โดยพบเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคหัดถึง 56-86%[16]

การรักษา[แก้]

  1. ปฏิบัติตัวเหมือนไข้หวัด คือ พักผ่อนมาก ๆ ไม่อาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบตัวเมื่อมีไข้สูง ดื่มน้ำและน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ให้มาก ๆ
  2. ให้ยารักษาตามอาการ เช่นยาลดไข้ Paracetamol ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1-2 เม็ด (500 มิลลิกรัม) เด็กให้ชนิดน้ำเชื่อม (120 มิลลิกรัมต่อช้อนชา ) เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ให้ครั้ง ครึ่งช้อนชา อายุ 1-4 ปี ให้ 1 ช้อนชา
  3. ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะ ตั้งแต่ระยะแรกเพราะไม่มีความจำเป็น
  4. ถ้ามีอาการไอมีเสลดข้นหรือเขียว ไอ ปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) หรือเสียงวีด ให้ยา Amoxycillin ผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน เด็กให้วันละ 30-50 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือแบ่งให้ตามน้ำหนักตัว หรือให้ Erythromycin ผู้ใหญ่ให้ครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เด็ก ให้วันละ 30-50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง

ข้อแนะนำ[แก้]

  1. ควรแยกผู้ป่วย ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย
  2. โรคนี้ส่วนใหญ่จะหายได้เอง พบภาวะแทรกซ้อนเป็นส่วนน้อย
  3. ไม่มีของแสลง กินอาหารที่มีประโยชน์ บำรุง ได้ตามปกติ

การป้องกัน[แก้]

โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยรับการฉีดวัคซีน เมื่ออายุ 9-12 เดือน ฉีดเพียงครั้งเดียวสามารถป้องกันได้ตลอดไป วัคซีนมีทั้งชนิดเดี่ยว และรวมกับหัดเยอรมันและคางทูม (MMR) ขอรับการฉีดได้ที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลทั่วไป

อ้างอิง[แก้]

  • ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป : นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ
  1. Milner, Danny A. (2015). Diagnostic Pathology: Infectious Diseases E-Book (ภาษาอังกฤษ). Elsevier Health Sciences. p. 24. ISBN 9780323400374. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
  2. Stanley, Jacqueline (2002). Essentials of Immunology & Serology (ภาษาอังกฤษ). Cengage Learning. p. 323. ISBN 076681064X. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 Caserta, MT, บ.ก. (September 2013). "Measles". Merck Manual Professional. Merck Sharp & Dohme Corp. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 March 2014. สืบค้นเมื่อ 23 March 2014.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 "Measles (Rubeola) Signs and Symptoms". cdc.gov. November 3, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 February 2015. สืบค้นเมื่อ 5 February 2015.
  5. "Pinkbook Measles". www.cdc.gov (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 24 July 2015. สืบค้นเมื่อ 25 November 2017.
  6. 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 6.18 6.19 "Measles Fact sheet N°286". who.int. November 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 February 2015. สืบค้นเมื่อ 4 February 2015.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 Conn's Current Therapy 2015: Expert Consult – Online. Elsevier Health Sciences. 2014. p. 153. ISBN 9780323319560. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
  8. 8.0 8.1 GBD 2015 Mortality and Causes of Death, Collaborators. (8 October 2016). "Global, regional, and national life expectancy, all-cause mortality, and cause-specific mortality for 249 causes of death, 1980–2015: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015". Lancet. 388 (10053): 1459–1544. doi:10.1016/S0140-6736(16)31012-1. PMID 27733281. {{cite journal}}: |first1= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  9. "Measles (Red Measles, Rubeola)". Dept of Health, Saskatchewan. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 February 2015. สืบค้นเมื่อ 10 February 2015.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 Atkinson, William (2011). Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ed.). Public Health Foundation. pp. 301–323. ISBN 9780983263135. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2015. สืบค้นเมื่อ 5 February 2015.
  11. Marx, John A. (2010). Rosen's emergency medicine : concepts and clinical practice (7th ed.). Philadelphia: Mosby/Elsevier. p. 1541. ISBN 9780323054720. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
  12. Kabra, SK; Lodhra, R (14 August 2013). "Antibiotics for preventing complications in children with measles". Cochrane Database of Systematic Reviews. 8: CD001477. doi:10.1002/14651858.CD001477.pub4. PMID 23943263.
  13. GBD 2013 Mortality and Causes of Death, Collaborators (17 December 2014). "Global, regional, and national age-sex specific all-cause and cause-specific mortality for 240 causes of death, 1990–2013: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2013". Lancet. 385: 117–171. doi:10.1016/S0140-6736(14)61682-2. PMC 4340604. PMID 25530442. {{cite journal}}: |first1= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  14. "Region of the Americas is declared free of measles". PAHO. 29 September 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2016. สืบค้นเมื่อ 30 September 2016.
  15. "Measles Complications". Centers for Disease Control and Prevention (CDC). 25 February 2019. สืบค้นเมื่อ 14 May 2019.
  16. Di Pietrantonj, C; Rivetti, A; Marchione, P; Debalini, MG; Demicheli, V (April 2020). "Vaccines for measles, mumps, rubella, and varicella in children". Cochrane Database of Systematic Reviews. 4: CD004407. doi:10.1002/14651858.CD004407.pub4. PMC 7169657. PMID 32309885.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก

แม่แบบ:Numbered Diseases of Childhood แม่แบบ:Eradication of infectious disease