ประเทศอิรัก

พิกัด: 33°N 44°E / 33°N 44°E / 33; 44
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก สาธารณรัฐอิรัก)

33°N 44°E / 33°N 44°E / 33; 44

สาธารณรัฐอิรัก

คำขวัญالله أكبر (อาหรับ)
"อัลลอฮุอักบัร"อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่"
ที่ตั้งของอิรัก
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
แบกแดด
33°20′N 44°23′E / 33.333°N 44.383°E / 33.333; 44.383
ภาษาราชการ
  • ภาษาที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค
กลุ่มชาติพันธุ์
(ค.ศ. 2019[2][3])
ศาสนา
เดมะนิมชาวอิรัก
การปกครองสหพันธ์ ระบบรัฐสภา สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ
อับดุลละฏีฟ เราะชีด
มุฮัมมัด ชิยาอ์ อัสซูดานี
มุฮัมมัด อัลฮัลบูซี
มิดฮัต อัลมะห์มูด
สภานิติบัญญัติสภาผู้แทนราษฎร
ก่อตั้ง
3 ตุลาคม ค.ศ. 1932
14 กรกฎาคม ค.ศ. 1958
15 ตุลาคม ค.ศ. 2005
พื้นที่
• รวม
438,317 ตารางกิโลเมตร (169,235 ตารางไมล์) (อันดับที่ 58)
4.62 (ใน ค.ศ. 2015)[4]
ประชากร
• ค.ศ. 2020 ประมาณ
เพิ่มขึ้น 40,222,503[5] (อันดับที่ 36)
82.7 ต่อตารางกิโลเมตร (214.2 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 125)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ค.ศ. 2020 (ประมาณ)
• รวม
399.400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[6] (46)
10,175 ดอลลาร์สหรัฐ[7] (อันดับที่ 111)
จีดีพี (ราคาตลาด) ค.ศ. 2019 (ประมาณ)
• รวม
250.070 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 48)
4,474 ดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 97)
จีนี (ค.ศ. 2012)29.5[9]
ต่ำ
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019)ลดลง 0.674[10]
ปานกลาง · อันดับที่ 123
สกุลเงินดีนาร์อิรัก (IQD)
เขตเวลาUTC+3 (AST)
ขับรถด้านขวา
รหัสโทรศัพท์+964
โดเมนบนสุด.iq
  1. รัฐธรรมนูญอิรัก มาตราที่ 4 (ฉบับแรก)

ประเทศอิรัก (อังกฤษ: Iraq; อาหรับ: الْعِرَاق, อักษรโรมัน: al-ʿIrāq; เคิร์ด: عێراق, อักษรโรมัน: Êraq) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอิรัก (อังกฤษ: Republic of Iraq; อาหรับ: جُمْهُورِيَّة ٱلْعِرَاق Jumhūriīyah al-ʿIrāq; เคิร์ด: کۆماری عێراق, อักษรโรมัน: Komarî Êraq) เป็นประเทศในตะวันออกกลาง มีอาณาเขตทางทิศเหนือจรดประเทศตุรกี ทางทิศตะวันออกจรดประเทศอิหร่าน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดประเทศคูเวต ทางทิศใต้จรดประเทศซาอุดีอาระเบีย ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดประเทศจอร์แดน และทางทิศตะวันตกจรดประเทศซีเรีย กรุงแบกแดด ซึ่งเป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ในกลางประเทศ ราว 97% ของประชากรอิรัก 36 ล้านคนเป็นชาวมุสลิม ส่วนใหญ่มีเชื้อสายซุนนีย์ ชีอะฮ์และเคิร์ด

ประเทศอิรักมีแนวชายฝั่งส่วนแคบวัดความยาวได้ 58 กิโลเมตรทางเหนือของอ่าวเปอร์เซีย และอาณาเขตของประเทศครอบคลุมที่ราบลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมีย ปลายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาซากรอส และทะเลทรายซีเรียส่วนตะวันออก สองแม่น้ำหลัก แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ไหลลงใต้ผ่านใจกลางประเทศและไหลลงสู่ชัฏฏุลอะร็อบใกล้อ่าวเปอร์เซีย แม่น้ำเหล่านี้ทำให้ประเทศอิรักมีดินแดนอุดมสมบูรณ์มากมาย

ภูมิภาคระหว่างแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีสมักเรียกว่า เมโสโปเตเมีย และคาดว่าเป็นบ่อเกิดของการเขียนและอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดของโลก พื้นที่นี้ยังเป็นที่ตั้งของอารยธรรมที่สืบทอดต่อกันมานับแต่ 6 สหัสวรรษก่อนคริสตกาล ในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์ อิรักเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอัคคาเดีย ซูเมเรีย อัสซีเรีย และบาบิโลเนีย นอกจากนี้ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมีเดีย อะคีเมนิด เฮลเลนนิสติก พาร์เธีย แซสซานิด โรมัน รอชิดีน อุมัยยะฮ์ อับบาซียะห์ มองโกล ซาฟาวิด อาฟชาริยะห์และออตโตมัน และเคยเป็นอาณาเขตในอาณัติสันนิบาตชาติภายใต้การควบคุมของอังกฤษ

พรมแดนสมัยใหม่ของประเทศอิรักส่วนใหญ่ปักใน ค.ศ. 1920 โดยสันนิบาตชาติ เมื่อจักรวรรดิออตโตมันถูกแบ่งตามสนธิสัญญาแซฟวร์ ประเทศอิรักถูกกำหนดให้อยู่ในอำนาจของสหราชอาณาจักรเป็นอาณาเขตในอาณัติเมโสโปเตเมียของอังกฤษ พระมหากษัตริย์สถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 1921 และราชอาณาจักรอิรักได้รับเอกราชจากอังกฤษใน ค.ศ. 1932 ใน ค.ศ. 1958 พระมหากษัตริย์ถูกล้มล้างและมีการสถาปนาสาธารณรัฐอิรัก ต่อมาประเทศอิรักถูกควบคุมโดยพรรคบะอษ์สังคมนิยมอาหรับตั้งแต่ ค.ศ. 1968 ถึง ค.ศ. 2003 หลังการบุกครองโดยสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร พรรคบะอษ์ของซัดดัม ฮุสเซนถูกโค่นจากอำนาจและมีการจัดการเลือกตั้งรัฐสภาหลายพรรคขึ้น ทหารสหรัฐออกจากอิรักทั้งหมดใน ค.ศ. 2011 แต่การก่อการกำเริบอิรักยังดำเนินต่อไปและทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อนักรบจากสงครามกลางเมืองซีเรียไหลบ่าเข้าประเทศ

ภูมิศาสตร์[แก้]

แผนที่ประเทศอิรัก

อิรักมีพื้นที่ทั้งหมด 437,072 ตารางกิโลเมตร ทิศตะวันออกติดกับ อิหร่าน ทิศเหนือ ติดกับตุรกี ทิศใต้ติดกับคูเวต ทิศตะวันตกติดกับ ซีเรีย และจอร์แดน สภาพทางภูมิศาสตร์ของอิรัก เป็นทะเลทรายร้อยละ 40 ที่ราบสูง ยากแต่การทำการเกษตรทำให้อิรักต้องนำเข้าสินค้าภาคการเกษตรเช่น ข้าวสาลี ข้าวจ้าว ธัญพืช แต่อย่างไรก็ดี อิรักก็มีแม่น้ำไหลผ่าน 2 สาย คือ แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรทีส ทำให้ยังพอมีความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้าง

ประวัติศาสตร์[แก้]

รัฐในอาณัติ และ ราชอาณาจักร[แก้]

ส.ค.ส. คริสต์มาส ค.ศ. 1917 ของกองกำลังบริติชเมโสโปเตเมีย.

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงอาณาจักรออตโตมันที่เคยเป็นมหาอำนาจในตะวันออกกลางตกเป็นผู้แพ้สงคราม ดินแดนต่าง ๆ ที่ออตโตมันปกครองก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐต่าง ๆ อิรักเป็นหนึ่งในรัฐที่ถูกแบ่งแยกออกมาโดยอังกฤษที่สามารถยึดครองอิรักจากออตโตมันได้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1

อังกฤษได้เข้ามาปกครองอิรัก ในฐานะรัฐอารักขาตั้งแต่ ค.ศ. 1920 จนกระทั่งใน ค.ศ. 1932 อังกฤษได้ให้เอกราชแก่อิรักโดยมีราชวงศ์ฮัชไมต์ปกครองประเทศอิรัก

สาธารณรัฐ และ พรรคบะอษ์[แก้]

ตราประจำรัฐอิรักภายใต้ลัทธิชาตินิยมกอซิมมีพื้นฐานมาจากสัญลักษณ์ชามาชของชาวเมโสโปเตเมียเป็นส่วนใหญ่ และหลีกเลี่ยงสัญลักษณ์ที่รวมกลุ่มอาหรับด้วยการผสมผสานองค์ประกอบของตราประจำตระกูลสังคมนิยม

ในปี 1958 เกิดการรัฐประหารที่เรียกว่าการปฏิวัติ 14 กรกฎาคม นำโดยนายพลอับด์ อัล-คาริม กาซิม การก่อจลาจลครั้งนี้เป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยมและต่อต้านสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง และมีองค์ประกอบสังคมนิยมที่เข้มแข็ง ทำให้กษัตริย์ฟัยศ็อลที่ 2 เจ้าชายอับดุลอิลาห์ และนูริ อัล-ซาอิด ถูกปลงพระชนม์[11]กาซิมควบคุมอิรักผ่านการปกครองของทหาร และในปี 1958 เขาเริ่มกระบวนการบังคับลดที่ดินส่วนเกินที่มีพลเมืองเพียงไม่กี่คนเป็นเจ้าของ และให้รัฐจัดสรรที่ดินใหม่ เขาถูกโค่นล้มโดยพันเอกอับดุล สลาม อารีฟ ในการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1963 หลังจากการเสียชีวิตของฝ่ายหลังในปี 1966 อับดุลเราะห์มาน อารีฟ น้องชายของเขาสืบต่อจากเขา ซึ่งถูกพรรคบะอัธล้มล้างในปี 1968[12][13]

อาห์เหม็ด ฮัสซัน อัล-บักร์ กลายเป็นประธานาธิบดีจากพรรคบะอษ์คนแรกของอิรัก แต่แล้วการเคลื่อนไหวก็ค่อยๆ เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและการควบคุมของสภาบัญชาการการปฏิวัติ (RCC) ซึ่งในขณะนั้นเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของอิรัก กรกฎาคม 1979.

หลังจากการโจมตีข้ามพรมแดนกับอิหร่านเป็นเวลาหลายเดือน ซัดดัมได้ประกาศสงครามกับอิหร่านในเดือนกันยายน 1980 ทำให้เกิดสงครามอิรัก–อิหร่าน โดยใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายหลังการปฏิวัติอิหร่านในอิหร่าน อิรักยึดดินแดนบางส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่านได้ แต่อิหร่านยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไปทั้งหมดได้ภายในสองปี และอีกหกปีถัดมา อิหร่านก็เป็นฝ่ายรุก[14] [15]ในช่วงสงคราม ซัดดัม ฮุสเซนใช้อาวุธเคมีโจมตีชาวอิหร่านอย่างกว้างขวาง[16] ในช่วงสุดท้ายของสงครามอิรัก–อิหร่าน รัฐบาลอิรักของพรรคบะอษ์ ได้เป็นผู้นำการรณรงค์ Al-Anfal ซึ่งเป็นการรณรงค์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มุ่งเป้าไปที่ชาวเคิร์ดในอิรัก[17] [18][19][20] และนำไปสู่การสังหารพลเรือน 50,000–100,000 คน[21]

ซัดดัม ฮุสเซน ประธานาธิบดีอิรัก (1979-2003)

เนื่องจากอิรักไม่สามารถจ่ายเงินให้กับคูเวตได้มากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ยืมมาเพื่อใช้สนับสนุนสงครามอิรัก-อิหร่าน และการเพิ่มขึ้นของระดับการผลิตปิโตรเลียมของคูเวตซึ่งทำให้รายได้ลดลง อิรักตีความการที่คูเวตปฏิเสธที่จะลดการผลิตน้ำมันถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว[22] ในเดือนสิงหาคม 1990 อิรักรุกรานและผนวกคูเวต สิ่งนี้นำไปสู่การแทรกแซงทางทหารโดยกองกำลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในสงครามอ่าวครั้งแรก กองกำลังพันธมิตรดำเนินการปฏิบัติการทิ้งระเบิดโดยมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหาร[23][24]จากนั้นจึงทำการโจมตีภาคพื้นดินต่อกองกำลังอิรักทางตอนใต้ของอิรักและคูเวตเป็นเวลา 100 ชั่วโมง

กองทัพอิรักได้รับความเสียหายในช่วงสงคราม ไม่นานหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลงในปี 1991 ชาวอิรักและชาวเคิร์ดได้นำการลุกฮือหลายครั้งเพื่อต่อต้านระบอบการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน แต่ถูกปราบปราม คาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 100,000 คน รวมทั้งพลเรือนจำนวนมาก[25] ในระหว่างการลุกฮือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และตุรกี โดยอ้างอำนาจภายใต้ UNSCR 688 ได้จัดตั้งเขตห้ามบินของอิรักขึ้นเพื่อปกป้องประชากรชาวเคิร์ดจากการโจมตี

อิรักได้รับคำสั่งให้ทำลายอาวุธเคมีและชีวภาพของตน และสหประชาชาติพยายามบังคับให้รัฐบาลของซัดดัมปลดอาวุธและตกลงหยุดยิง ความล้มเหลวของรัฐบาลอิรักในการปลดอาวุธและตกลงหยุดยิงส่งผลให้เกิดการคว่ำบาตรซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงปี 2003 ผลกระทบของการคว่ำบาตรต่อประชากรพลเรือนในอิรักยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[26][27] ในขณะที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าการคว่ำบาตรทำให้การเสียชีวิตของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่อ้างถึงโดยทั่วไปนั้นถูกสร้างขึ้นมา และ "ไม่มีการเสียชีวิตของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมากในอิรัก"[28][29][30]โครงการน้ำมันสำหรับอาหารก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1996 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการคว่ำบาตร


สหรัฐอเมริกาเข้ายึดอิรัก[แก้]

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2003 กลุ่มพันธมิตรที่จัดตั้งโดยสหรัฐฯ ได้บุกอิรัก โดยอ้างว่าอิรักล้มเหลวที่จะละทิ้งโครงการอาวุธทำลายล้างสูง การกล่าวอ้างนี้อิงตามเอกสารที่ซีไอเอและรัฐบาลอังกฤษมอบให้ ซึ่งต่อมาพบว่าไม่น่าเชื่อถือ[31][32][33] มีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าแท้จริงแล้วสหรัฐฯ กำลังดำเนินการตามวัตถุประสงค์ระดับชาติเพื่อขยายขอบเขตอำนาจของตน[34]

อนุสาวรีย์ของซัดดัม ฮุสเซน ภายในจัตุรัสฟิรเดาส์ กรุงแบกแดด ได้ถูกถอดถอนภายหลังจากสงครามอิรักเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2003

หลังจากการรุกราน สหรัฐฯ ได้จัดตั้งกองกำลังผสมชั่วคราวขึ้นเพื่อปกครองอิรัก ในเดือนพฤษภาคม 2003 แอล. พอล เบรเมอร์ ผู้บริหารระดับสูงของ CPA ได้ออกคำสั่งให้แยกสมาชิกพรรคบะอษ์ออกจากรัฐบาลอิรักชุดใหม่ (คำสั่ง CPA 1) และให้ยุบกองทัพอิรัก (คำสั่ง CPA 2)[35]การตัดสินใจดังกล่าวได้สลายกองทัพอิรักนิกายซุนนีซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซุนนี และไม่รวมอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลของประเทศจำนวนมาก[36]รวมทั้งครูโรงเรียน 40,000 คนที่เข้าร่วมพรรคบะอษ์เพียงเพื่อรักษางานไว้[37] ช่วยทำให้เกิดสภาพแวดล้อมหลังการรุกรานที่วุ่นวาย[38]

การก่อความไม่สงบต่อการปกครองอิรักโดยพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ เริ่มขึ้นในฤดูร้อนปี 2003 ในส่วนของอดีตตำรวจและกองทัพลับของอิรัก ซึ่งก่อตั้งหน่วยรบแบบกองโจร ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กลุ่ม 'ญิฮาด' เริ่มมุ่งเป้าไปที่กองกำลังพันธมิตร กองกำลังติดอาวุธซุนนีต่างๆ ถูกสร้างขึ้นในปี 2003 ตัวอย่างเช่น Jama'at al-Tawhid wal-Jihad ที่นำโดย อบู มูซาบ อัล-ซาร์กาวี การก่อความไม่สงบดังกล่าวรวมถึงความรุนแรงระหว่างชาติพันธุ์ที่รุนแรงระหว่างชาวซุนนีและชีอะห์[39]

กองทัพมะห์ดี ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธชีอะฮ์ที่ก่อตั้งขึ้นในฤดูร้อนปี 2003 โดยมุคตาดา อัล-ซาดร์ ได้เริ่มต่อสู้กับกองกำลังพันธมิตรในเดือนเมษายน 2004[40]และกลุ่มติดอาวุธซุนนีและชีอะห์ต่อสู้กันเอง และต่อต้านรัฐบาลชั่วคราวของอิรักชุดใหม่และต่อต้านกองกำลังพันธมิตร รวมถึงการสู้รบที่ฟัลลูจาห์ครั้งแรกในเดือนเมษายน และการสู้รบที่ฟัลลูจาห์ครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน กองทัพมาห์ดีจะลักพาตัวพลเรือนชาวซุนนีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์[41]

ในเดือนมกราคม 2005 มีการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่การรุกรานเกิดขึ้น และในเดือนตุลาคม 2005 ได้มีการอนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่,[1] ซึ่งตามมาด้วยการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม การโจมตีของผู้ก่อความไม่สงบเพิ่มขึ้นเป็น 34,131 ครั้งในปี 2005 จาก 26,496 ครั้งในปี 2004[42]

การเมืองการปกครอง[แก้]

การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]

ประเทศอิรักแบ่งออกเป็น 19 เขตผู้ว่าการ (อาหรับ: muhafazat, เคิร์ด: Pârizgah) ได้แก่

แผนที่แสดงเขตผู้ว่าการของประเทศอิรัก
แผนที่แสดงเขตผู้ว่าการของประเทศอิรัก
  1. ดะฮูก
  2. นิเนเวห์/นีนะวา
  3. อัรบีล
  4. คีร์คูก
  5. อัสซุลัยมานียะฮ์
  6. เศาะลาฮุดดีน
  7. อัลอันบาร
  8. แบกแดด/บัฆดาด
  9. ดิยาลา
  10. กัรบะลาอ์
  11. บาบิโลน/บาบิล
  12. วาซิฏ
  13. นาจาฟ/อันนัจญัฟ
  14. อัลกอดิซียะฮ์
  15. มัยซาน
  16. อัลมุษันนา
  17. ษีกอร
  18. บัสรา/อัลบัศเราะฮ์
  19. ฮะลับญะฮ์ (ไม่แสดงในแผนที่ อยู่ทางด้านตะวันออกของเขตผู้ว่าการอัสซุลัยมานียะฮ์หรือหมายเลข 5)

เขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน (Kurdistan Autonomous Region) ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มีพื้นที่รวมบางส่วนของเขตผู้ว่าการทางเหนือ และปกครองตนเองในเรื่องราชการภายในส่วนใหญ่

กองทัพ[แก้]

เศรษฐกิจ[แก้]

โครงสร้าง[แก้]

แบกแดด

ระบอบเศรษฐกิจของอิรักเป็นแบบสังคมนิยมรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางนั่นคือรัฐบาลกลางของอิรัก มีระบบรัฐสวัสดิการมีการแจก ข้าว น้ำตาล ยารักษาโรคบางชนิด นม เสื้อผ้า ให้แก่ประชากรของอิรัก เศรษฐกิจของอิรักค่อนข้างถูกกดดันจากประชาคมโลกโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติการณ์อ่าวเปอร์เซีย สงครามอิรัก และช่วงเหตุการณ์ 9/11 ทำให้เศรษฐกิจของอิรักบอบช้ำ แต่ยุทธปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอิรักคือ น้ำมัน อิรักเป็นประเทศที่มีน้ำมันไว้ในครอบครองเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย โดยผลิตได้วันละ 2.58 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้อิรักกลายเป็นดินแดนที่น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจน้ำมันจากสหรัฐอเมริกาที่มุ่งหวังเข้าไปกอบโกยทรัพยากรล้ำค่าอย่างทองคำดำในอิรัก

ประชากรศาสตร์[แก้]

เชื้อชาติ[แก้]

เด็ก ๆ ชาวเคอร์ดิสในอิรัก

สังคมของอิรักเป็นสังคมหลากหลายชาติพันธุ์ เป็นเหตุมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่เป็นแหล่งอารยธรรมมาหลายพันปี พลเมืองของอิรักที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ มุสลิมชีอะห์(ร้อยละ 65) และ มุสลิมสุหนี่ (ร้อยละ 20) นอกจากนี้ยังมีชาวเคิร์ด อยู่ในบริเวณเคอร์ดิสถาน ชาวเคริ์ดในอิรักมีอยู่ประมาณ 3,700,000 คน นับว่าเป็นคนส่วนน้อยในอิรัก และเนื่องด้วยรูปแบบการปกครองที่ให้สิทธิของชนชาติอาหรับ และผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับมุสลิมสุหนี่ ส่งผลให้ กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนา และชาติพันธุ์ในอิรัก ทั้งกับมุสลิมด้วยกันเองคือ สุหนี่และชีอะห์ และ ยังปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวคิร์ดกับรัฐบาลกลางของอิรัก เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมอีกด้วย

ภาษา[แก้]

ภาษาทางการของอิรัก คือ ภาษาอาหรับ และส่วนอื่นคือ ภาษาเคิร์ด

เมืองใหญ่[แก้]

ศาสนา[แก้]

ชาวอิรักส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม 96% แบ่งเป็นนิกาย ชีอะห์ 31.5% กับ ซุนนีย์ 64.5% ลัทธิเหตุผล กับ Yazdânism 2.0% ศาสนาคริสต์ 1.2% ศาสนาอื่น ๆ 0.8%

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 Iraq, Ministry of Interior – General Directorate for Nationality: Iraqi Constitution (2005)
  2. 2.0 2.1 "Iraq". The World Factbook.
  3. "Why Iraqi Turkmens are excluded from the new government".
  4. "Surface water and surface water change". Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 11 October 2020.
  5. "Population, total - Iraq | Data".
  6. "World Economic Outlook Database, October 2020". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 14 March 2020.
  7. "World Economic Outlook Database, October 2020". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 14 March 2020.
  8. 8.0 8.1 "World Economic Outlook Database, October 2018". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 7 March 2019.
  9. "World Bank GINI index". Data.worldbank.org. สืบค้นเมื่อ 17 August 2016.
  10. Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  11. Cleveland, William (2016). A History of the Modern Middle East. Boulder, CO: Westview Press.
  12. Polk (2005), p. 111
  13. Simons (1996), p. 221
  14. Karsh, Efraim (2002). The Iran–Iraq War, 1980–1988. Oxford, Oxfordshire: Osprey Publishing. ISBN 978-1841763712.
  15. Hardy, Roger (22 September 2005). "The Iran–Iraq war: 25 years on". BBC News. สืบค้นเมื่อ 19 June 2011.
  16. Tyler, Patrick E. "Officers Say U.S. Aided Iraq in War Despite Use of Gas" New York Times 18 August 2002.
  17. "The Anfal Campaign Against the Kurds A Middle East Watch Report". Human Rights Watch. 14 August 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 June 2015. สืบค้นเมื่อ 25 January 2013.
  18. Black, George (July 1993) [1993]. Genocide in Iraq: The Anfal Campaign against the Kurds / Western Asia Watch. New York • Washington • Los Angeles • London: Human Rights Watch. ISBN 978-1-56432-108-4. สืบค้นเมื่อ 10 February 2007.
  19. Hiltermann, Joost R. (February 1994) [1994]. Bureaucracy of Repression: The Iraqi Government in Its Own Words / Western Asia Watch. Human Rights Watch. ISBN 978-1-56432-127-5. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2006. สืบค้นเมื่อ 10 February 2007.
  20. "Charges against Saddam dropped as genocide trial resumes". Agence France-Presse. 8 January 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2009.
  21. Hiltermann, J. R. (2007). A Poisonous Affair: America, Iraq, and the Gassing of Halabja. Cambridge University Press. pp. 134–135. ISBN 978-0-521-87686-5. สืบค้นเมื่อ 17 August 2016.
  22. Cooper, Tom; Sadik, Ahmad (6 สิงหาคม 2007). "Iraqi Invasion of Kuwait; 1990". Air Combat Information Group Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2016.
  23. Rick Atkinson (1993). Crusade: The Untold Story of the Persian Gulf War. Houghton Mifflin Harcourt. pp. 284–285. ISBN 978-0-395-71083-8. สืบค้นเมื่อ 17 August 2016.
  24. "The Ameriya Shelter – St. Valentine's Day Massacre". Uruknet.de. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2011. สืบค้นเมื่อ 19 June 2011.
  25. Ian Black (22 August 2007). "'Chemical Ali'". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 June 2011.
  26. Iraq surveys show 'humanitarian emergency' เก็บถาวร 6 สิงหาคม 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน UNICEF Newsline 12 August 1999
  27. Rubin, Michael (December 2001). "Sanctions on Iraq: A Valid Anti-American Grievance?". Middle East Review of International Affairs. 5 (4): 100–115. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2012.
  28. Spagat, Michael (September 2010). "Truth and death in Iraq under sanctions" (PDF). Significance. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 11 July 2018. สืบค้นเมื่อ 1 April 2011.
  29. Dyson, Tim; Cetorelli, Valeria (1 July 2017). "Changing views on child mortality and economic sanctions in Iraq: a history of lies, damned lies and statistics". BMJ Global Health (ภาษาอังกฤษ). 2 (2): e000311. doi:10.1136/bmjgh-2017-000311. ISSN 2059-7908. PMC 5717930. PMID 29225933.
  30. "Saddam Hussein said sanctions killed 500,000 children. That was 'a spectacular lie.'". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 4 August 2017.
  31. "Bush's "16 Words" on Iraq & Uranium: He May Have Been Wrong But He Wasn't Lying". FactCheck.org. 26 July 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2010.
  32. Borger, Julian (7 October 2004). "There were no weapons of mass destruction in Iraq". guardian.co.uk. London: Guardian Media Group. สืบค้นเมื่อ 28 April 2008.
  33. "John Simpson: 'The Iraq memories I can't rid myself of'". BBC News. 19 March 2013. สืบค้นเมื่อ 19 March 2013.
  34. Wood, Ruairidh (2019). "Promoting democracy or pursuing hegemony? An analysis of U.S. involvement in the Middle East". Journal of Global Faultlines. 6 (2): 166–167, 171–172, 174, 179. doi:10.13169/jglobfaul.6.2.0166. ISSN 2397-7825. JSTOR 10.13169/jglobfaul.6.2.0166. S2CID 216721272. สืบค้นเมื่อ 12 February 2023.
  35. Pfiffner, James (February 2010). "US Blunders in Iraq: De-Baathification and Disbanding the Army" (PDF). Intelligence and National Security. 25 (1): 76–85. doi:10.1080/02684521003588120. S2CID 153595453. สืบค้นเมื่อ 16 December 2013.
  36. Gordon, Michael R. (17 March 2008). "Fateful Choice on Iraq Army Bypassed Debate". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-21.
  37. Pfiffner, James P (February 2010). US Blunders in Iraq: De-Baathification and Disbanding the Army (PDF). Intelligence and National Security (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). Vol. 25 (1st ed.). Routledge. pp. 76–85.
  38. "Can the joy last?". The Economist. 3 September 2011.
  39. "U.S. cracks down on Iraq death squads". CNN. 24 July 2006.
  40. Jackson, Patrick (30 May 2007). "Who are Iraq's Mehdi Army?". BBC News. สืบค้นเมื่อ 4 March 2013.
  41. "Al Qaeda's hand in tipping Iraq toward civil war". Christian Science Monitor. 20 March 2006.
  42. Thomas Ricks (2006) Fiasco: 414
  43. http://citypopulation.de/Iraq-Cities.html

บรรณานุรม[แก้]

อ่านเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

รัฐบาล

ข้อมูลทั่วไป