สตีฟ บรูซ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สตีฟ บรูซ
บรูซขณะเป็นผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์ในปี 2011
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม สตีเฟน โรเจอร์ บรูซ
วันเกิด (1960-12-31) 31 ธันวาคม ค.ศ. 1960 (63 ปี)
สถานที่เกิด คอร์บริดจ์ อังกฤษ
ส่วนสูง 6 ft 0 in (1.83 m)[1]
ตำแหน่ง เซ็นเตอร์แบ็ก
สโมสรเยาวชน
1977–1979 จิลลิงงัม
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1979–1984 จิลลิงงัม 205 (29)
1984–1987 นอริชซิตี 141 (14)
1987–1996 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 309 (36)
1996–1998 เบอร์มิงแฮมซิตี 72 (2)
1998–1999 เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด 10 (0)
รวม 737 (81)
ทีมชาติ
1979–1980 อังกฤษ เยาวชน 8 (0)
1987 อังกฤษ บี 1 (0)
จัดการทีม
1998–1999 เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด
1999–2000 ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์
2001 วีแกนแอทเลติก
2001 คริสตัลพาเลซ
2001–2007 เบอร์มิงแฮมซิตี
2007–2009 วีแกนแอทเลติก
2009–2011 ซันเดอร์แลนด์
2012–2016 ฮัลล์ซิตี
2016–2018 แอสตันวิลลา
2019 เชฟฟีลด์เวนส์เดย์
2019–2021 นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
2022 เวสต์บรอมมิชอัลเบียน
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

สตีเฟน โรเจอร์ บรูซ (อังกฤษ: Steven Roger Bruce; เกิด 31 ธันวาคม ค.ศ. 1960) เป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษและอดีตผู้เล่นที่เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค ล่าสุดเขาคุมทีมเวสต์บรอมมิชอัลเบียน

เขาเกิดที่คอร์บริดจ์ นอร์ธัมเบอร์แลนด์ เป็นนักฟุตบอลชายวัยเรียนที่มีแนวโน้มดี แต่ถูกสโมสรฟุตบอลอาชีพหลายแห่งปฏิเสธ เขากำลังจะเลิกเล่นฟุตบอลแต่ได้รับข้อเสนอให้ทดสอบฝีเท้ากับจิลลิงงัม และได้รับสัญญาอาชีพ บรูซลงเล่นให้สโมสรมากกว่า 200 นัดก่อนจะย้ายไปนอริชซิตีในปี ค.ศ. 1984 คว้าแชมป์ลีกคัพในปี ค.ศ. 1985 ในปี ค.ศ. 1987 เขาย้ายไปแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย เอฟเอคัพ 3 สมัย ลีกคัพ 1 สมัย และยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย เขายังกลายเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกของศตวรรษที่ 20 ที่ได้เป็นกัปตันทีมและคว้าดับเบิลแชมป์ แม้จะประสบความสำเร็จในสนาม แต่เขาก็ไม่เคยเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ นักวิจารณ์ฟุตบอลร่วมสมัยอธิบายว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นอังกฤษที่ดีที่สุดในยุคทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ที่ไม่เคยเล่นให้ประเทศของเขาในระดับชาติเลย

นักฟุตบอลอาชีพ[แก้]

บรูซได้เล่นให้กับกิลลิงแฮม เป็นสโมสรฟุตบอลสโมสรแรกในชีวิตของเขา ซึ่งบรู๊ซเล่นในตำแหน่งกองหลัง ด้วยความที่เขาเป็นคนรูปร่างใหญ่และมีพละกำลังกับความเร็วสูงของกองหลังในสโมสรทั้งหมด เขาสามารถช่วยสกัดบอลและช่วยโหม่งทำประตูให้ทีมหลายครั้ง และในปี ค.ศ. 1984 บรูซได้ถูกซื้อตัวไปเล่นกับนอริชซิตี และในสามปีที่เขาได้อยู่กับนอริชซิตี เขาได้พัฒนาการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจึงเป็นความสนใจของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลระดับแนวหน้าจากเมืองแมนเชสเตอร์ ได้ซื้อตัวเขาไปในราคา 4 ล้านปอนด์ โดยอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการสโมสร ได้ชื่นชมการเล่นของเขามากและ ได้พัฒนากับฝึกสให้บรูซเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก เพื่อใช้ในยามจำเป็น โดยได้เล่นให้แมนแชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งหมด 309 นัด ทำประตูได้ 36 ประตู แล้วหลังจากนั้น บรูซก็ได้ย้ายไปเล่นให้กับเบอร์มิงแฮมซิตี และเลิกเล่นฟุตบอลกับเชฟฟิลด์ยูไนเต็ด ในปี ค.ศ. 1999 ด้วยวัย 39 ปี

ผู้จัดการทีม[แก้]

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลในฤดูกาล 1998–99 กับ เชฟฟิลด์ยูไนเต็ด บรูซก็ได้ตัดสินใจมาสู่อาชีพผู้จัดการทีมต่อโดยได้เป็ผนู้จัดการของเชฟฟิลด์ยูไนเต็ด ต่อในฤดูกาล 1998-99 ซึ่งบรู๊ซได้นำพาเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดจบอันดับที่ 8 ในฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 และนำทีมไปสู่รอบที่ 5 ของเอฟเอคัพ แล้วเขาก็ได้ถูกไล่ออกไป และหลังจากนั้นเขาก็ได้ย้ายไปคุมทีมในลีกอังกฤษอีกมากมาย อาทิ ฮันเดอร์สฟิลด์ทาวน์, วีแกนแอธเลติก, คริสตัล พาเลซ, เบอร์มิงแฮมซิตี, ซันเดอร์แลนด์ รวมถึง ฮัลล์ซิตี ในปี ค.ศ. 2012 โดยเฉพาะกับฮัลล์ซิตี บรูซมีสถิติที่ดีเยี่ยม สามารถพาสโมสรเข้าชิงเอฟเอคัพได้ในฤดูกาล 2014 แม้จะเป็นฝ่ายแพ้อาร์เซนอลไปก็ตาม แต่ก็เป็นฝ่ายยิงนำไปก่อนถึง 2–0[2] อีกทั้งในฤดูกาล 2016–17 ก็นำพาฮัลล์ซิตีกลับมาขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง แต่ก่อนเปิดฤดูกาลเพียง 3 สัปดาห์ บรูซได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากผิดหวังผู้บริหารสโมสรที่ไม่มีงบประมาณให้ซื้อตัวผู้เล่นรายใหม่[3]

อ้างอิง[แก้]

  1. Sewell, Albert, บ.ก. (1996). News of the World Football Annual 1996–97. Invincible Press. p. 401. ISBN 978-0-00-218737-4.
  2. "สุดมันส์! 'อาร์เซนอล' แซงชนะ 'ฮัลล์ ซิตี้' คว้าแชมป์เอฟเอคัฟรอบ9ปี". เรื่องเล่าเช้านี้. May 18, 2014. สืบค้นเมื่อ July 23, 2016.[ลิงก์เสีย]
  3. "Hull confirm manager Bruce has left club". sportskeeda. July 23, 2016. สืบค้นเมื่อ July 23, 2016.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]