สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สงครามบาร์บารี

เรือฟรีเกตฟิลาเดลเฟียถูกวางเพลิง ที่ท่าเรือในทริโปลี
วันที่ค.ศ. 1801 - 1805
สถานที่
แอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ และชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ผล สนธิสัญญาสันติภาพ
คู่สงคราม
สหรัฐอเมริกา
สวีเดน สวีเดน (จนถึง ค.ศ. 1802)
ราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสอง
กลุ่มรัฐบาร์บารี (รัฐใต้อาณัติของจักรวรรดิออตโตมาน)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
ริชาร์ด เดล
วิลเลียม อีตัน
เอ็ดเวิร์ด พรีเบิล
สวีเดน รูดอล์ฟ ซีเดอร์สตรอม
ยูซุฟ คารามันลี
กำลัง
สหรัฐอเมริกา
เรือรบ 7 ลำ
นาวิกโยธินสหรัฐฯ 7 นาย
ทหารรับจ้างชาวกรีกและชาวอาหรับประมาณ 500 นาย
สวีเดน
เรือฟรีเกต 3 ลำ
โจรสลัด 4,000 นาย
ความสูญเสีย
สหรัฐอเมริกา
เสียชีวิต 35 นาย บาดเจ็บ 64 นาย
ไม่ทราบจำนวนทหารรับจ้างที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
เสียชีวิต 800 นาย บาดเจ็บ 1,200 นาย

สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1801-1805) หรือสงครามชายฝั่งบาร์บารี หรือสงครามทริโปลีตัน คือสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกา (และกองเรือสวีเดนที่เข้ามาร่วมด้วยในระยะเวลาหนึ่ง) กับกลุ่มรัฐทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา เป็นที่รู้จักในนามว่า กลุ่มรัฐบาร์บารี ซึ่งประกอบด้วยรัฐสุลต่านโมร็อกโคและดินแดนอัลเจียร์ส, ตูนิสและทริโปลีที่มีผู้แทนจากจักรวรรดิออตโตมานเป็นผู้สำเร็จราชการในนาม แต่มีสถานะเป็นรัฐเอกราชโดยพฤตินัย

สงครามมีสาเหตุมาจากการที่โจรสลัดบาร์บารีโจมตีเรือพาณิชย์อเมริกัน เพื่อจับลูกเรือมาเป็นตัวประกันเพื่อเรียกค่าไถ่ และเรียกร้องบรรณาการเป็นค่าคุ้มครองไม่ให้เกิดการโจมตีขึ้นอีก ไม่ต่างจากที่ปฏิบัติต่อเรือพาณิชย์ของชาติยุโรปอื่นๆ[1]

ภูมิหลังและภาพรวมของสงคราม[แก้]

อัลเจียร์ส, ตูนิสและทริโปลีถือเป็นรัฐมุสลิมที่เป็นเอกราชมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 แม้ว่าจะต้องอยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิออตโตมานก็ตาม ส่วนสุลต่านของโมร็อกโคซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำรัฐบาลมาตั้งแต่ ค.ศ. 1666 เป็นที่รู้กันดีว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สนับสนุนโจรสลัดอย่างเปิดเผย แต่เมื่อลงนามและยอมรับในสนธิสัญญากับสหรัฐอเมริกาแล้วใน ค.ศ. 1777 ก็ไม่เคยทำการล่วงละเมิดเรือของอเมริกาแต่อย่างใด โมร็อกโคนั้นไม่ได้เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามบาร์บารีเฉกเช่นรัฐอื่นๆ ในแอฟริกาเหนือ

แม้ว่าอังกฤษและฝรั่งเศสจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น แต่ทั้งคู่ได้ทำการตกลงร่วมไว้โดยมีแนวคิดและนโยบายที่ตรงกันในการจัดการกับโจรสลัด โดยรวมพลกำลังด้านการทหาร, การทูตและกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายให้กับโจรสลัดเป็นค่าคุ้มครอง ทำให้เรือภายใต้ธงชาติสหราชอาณาจักรและธงไตรรงค์ฝรั่งเศสปลอดภัยกว่าเรือของชาติอื่นๆ ไม่มากก็น้อย ขณะที่อเมริกายังมีสถานะเป็นอาณานิคมภายใต้อาณัติของสหราชอาณาจักรอยู่นั้น เรือพาณิชย์สมุทรของอเมริกายังคงได้รับการอารักขาจากกองทัพเรืออังกฤษ และในระหว่างการปฏิวัติอเมริกา ก็ยังมีกองเรือฝรั่งเศสคุ้มครองเรือของอเมริกา เนื่องจากทั้งสองประเทศได้ทำสนธิสัญญาพันธมิตรไว้ในปี ค.ศ. 1778

แต่เมื่อการปฏิวัติสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1783 สหรัฐอเมริกาจำต้องแบกรับความรับผิดชอบในสวัสดิภาพของพลเรือนของตนแต่เพียงผู้เดียว และในเมื่อสหรัฐฯ เองยังไม่ได้ก่อตั้งกองทัพเรือขึ้นมา จึงไม่มีกองเรือที่จะปกป้องเรือพาณิชย์ของตนเองในน่านน้ำเมดิเตอร์เรเนียน นำไปสู่การยึดเรือพาณิชย์อเมริกันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่สงครามปฏิวัติสิ้นสุดลง เมื่อโจรสลัดชาวโมร็อกโคยึดเรือใบสองเสากระโดงเบ็ตซี ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1784[2] เหตุการณ์ถูกโจรสลัดปล้นเป็นครั้งแรกของสหรัฐฯ จบลงด้วยดีเมื่อรัฐบาลสเปนดำเนินการเจรจากับโจรสลัด ทำให้ทั้งลูกเรือและเรือถูกปล่อยให้เป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม สเปนแนะให้สหรัฐฯ เสนอบรรณาการให้กับโจรสลัดเพื่อป้องกันการโจมตีเรือพาณิชย์ไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต

เนื่องจากสหรัฐอเมริกาซึ่งยังคงเป็นประเทศเกิดใหม่จึงต้องยอมประนีประนอมให้กับโจรสลัด โดยในปี ค.ศ. 1784 รัฐสภาอเมริกันได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นบรรณาการให้กับโจรสลัดบาร์บารี และออกคำสั่งให้เอกอัคราชทูตประจำประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส (ได้แก่นายจอห์น แอดัมส์และนายทอมัส เจฟเฟอร์สันตามลำดับ) หาโอกาสในการเจรจาสนธิสัญญาสันติภาพกับชนชาติบาร์บารี นายโทมัส เจฟเฟอร์สันเห็นโอกาสสมควร จึงส่งผู้แทนทูตไปยังโมร็อกโคและอัลจีเรีย เพื่อใช้เงินโน้มน้าวให้ชนชาติบาร์บารียอมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ และปลดปล่อยกะลาสีที่ถูกคุมขังอยู่ในอัลจีเรีย[3] สหรัฐฯ ตกลงทำสนธิสัญญากับโมร็อกโคเป็นชาติแรก โดยลงนามในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1786 สนธิสัญญาประกอบไปด้วยข้อตกลงยุติการโจมตีของโจรสลัดต่อผลประโยชน์ทางพาณิชย์สมุทรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในมาตราที่ 6 ของสนธิสัญญาซึ่งระบุไว้ว่า "ชาวอเมริกันผู้ใดที่ถูกจับกุมตัวโดยชาวโมร็อกโคหรือโดยชาติบาร์บารีอื่นใดที่มีเรือเทียบท่าอยู่ในเมืองของโมร็อกโค ชาวอเมริกันผู้นั้นจะต้องถูกปล่อยตัวและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐบาลโมร็อกโค"[4]

ในขณะเดียวกัน การเจรจาทางการทูตกับอัลจีเรีย และชนชาติบาร์บารีอื่นๆ นั้นไม่ราบรื่นนัก อัลจีเรียเริ่มปฏิบัติการโจรสลัดกับสหรัฐฯ ในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1785 ด้วยการยึดเรือใบมาเรีย และอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ก็ยึดเรือดูฟอง ไว้เช่นกัน[5] เงินที่ทางชนชาติบาร์บารีเรียกร้องเพื่อที่จะทำสนธิสัญญาสันติภาพนั้น โดยชนชาติทั้งสี่เรียกร้องเงินทั้งหมด $660,000 ซึ่งเกินงบประมาณ $40,000 ที่ทางรัฐสภาอนุมัติอยู่มากทีเดียว[6] การเจรจาทางการทูตคืบหน้าไปเพียงเล็กน้อย ในเรื่องของการตกลงค่าไถ่ของเชลยและตั้งเงินบรรณาการที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ ทำให้ลูกเรือของเรือทั้งสองลำต้องตกเป็นเชลยกว่าสิบปี จำนวนเชลยอเมริกันนั้นเพิ่มขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อโจรสลัดบาร์บารีได้ยึดเรือพาณิชย์อเมริกันลำอื่นๆ[7] ในปี 1795 อัลจีเรียจึงสามารถตกลงกับสหรัฐฯ ที่จะปล่อยตัวกะลาสีจำนวน 115 นายที่ควบคุมตัวอยู่ เพื่อแลกกับเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับกว่าหนึ่งในหกของงบประมาณประจำปีของสหรัฐฯ ในเวลานั้น[8] ซึ่งอัลจีเรียถือเป็นบรรณาการรับรองมิให้โจรสลัดบาร์บารีโจมตีเรือพาณิชย์อเมริกัน ข้อเรียกร้องดังกล่าวนำไปสู่การก่อตั้งกรมทหารเรือสหรัฐอเมริกาในปี 1798[9] โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโจมตีโดยโจรสลัดต่อกิจการพาณิชย์สมุทรของสหรัฐฯ และเพื่อยุติการจ่ายบรรณาการที่แพงลิ่วให้กับรัฐบาร์บารี

จดหมายและคำให้การจำนวนมากจากกะลาสีที่ถูกจับเป็นเชลยระบุว่าสภาพการเป็นเชลยของพวกเขานั้น คล้ายกับการเป็นทาส แม้ว่าลักษณะการจองจำนักโทษของรัฐบาร์บารีจะแตกต่างจากการปฏิบัติต่อทาสในสหรัฐฯ และมหาอำนาจยุโรปก็ตาม นักโทษในรัฐบาร์บารีสามารถครอบครองทรัพย์และถือครองสมบัติได้ และยังสามารถเพิ่มสถานะของตนเองให้เป็นได้มากกว่าทาสได้อีกด้วย อย่างเช่นนายเจมส์ ลีแอนเดอร์ แคธคาร์ท ที่สามารถไต่เต้าขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดที่ทาสชาวคริสเตียนสามารถเป็นได้ในอัลจีเรีย คือการเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์หรือ เดย์แห่งอัลจีเรีย[10] ถึงกระนั้น เชลยส่วนใหญ่จะถูกบังคับทำงานอย่างหนักเพื่อรับใช้โจรสลัดบาร์บารี และมักจะต้องดิ้นรน ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ สุ่มเสี่ยงต่อภัยจากสัตว์อันตรายและโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อข่าวเกี่ยวกับสภาพของเชลยไปถึงแผ่นดินสหรัฐฯ ผ่านจดหมายและคำบอกเล่าของเชลยที่ถูกปล่อยตัว พลเมืองอเมริกันจึงเริ่มที่จะผลักดันให้รัฐบาลจัดการกับเรื่องนี้โดยตรง เพื่อยุติการโจมตีเรือพาณิชย์อเมริกันของโจรสลัดบาร์บารี

ทอมัส เจฟเฟอร์สันและจอห์น แอดัมส์เดินทางไปเจรกับเอกอัครราชทูตซีดิ ฮาจิ อับดรามาห์น (หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "ซีดิ ฮาจิ อับดุล ราห์มาน อัดจา) ผู้แทนจากทริโปลี ณ กรุงลอนดอนในปี ค.ศ. 1786 เมื่อสอบถามผู้แทนจากทริโปลีว่าเหตุใดจึงต้องสร้างเงื่อนไขในการทำสงครามกับชาติที่ไม่เคยมุ่งปองร้ายต่อกันมาก่อน ท่านทูตจึงตอบว่า

มีการระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า ทุกชนชาติที่ไม่ยอมรับในองค์พระศาสนทูตถือว่าเป็นคนบาป ซึ่งเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมและเป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธาที่จะทำการปล้นและทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นทาส และชาวมุสลิมทุกคนที่ถูกสังหารไปในการรบครั้งนี้ย่อมไปสู่สรวงสวรรค์อย่างแน่แท้ เขายังกล่าวอีกว่าชายที่สามารถขึ้นไปบนเรือที่พวกของตนปล้นเป็นคนแรกนั้น จะมีสิทธิ์ในการจับเชลยมาเป็นทาสได้มากกว่าคนอื่นๆ และเมื่อพวกเขาขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือของศัตรู กะลาสีทุกคนล้วนถือดาบสั้นไว้ในมือทั้งสองมือ ทั้งยังคาบดาบอีกเล่มไว้ในปากอีกด้วย ซึ่งทำให้พวกเขาตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ต้องร้องขอการเจรจาอยู่เสียทุกครั้งไป

[11]

เจฟเฟอร์สันรายงานการสนทนานี้ให้กับจอห์น เจย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รายงานความเห็นนี้ไปยังรัฐสภาอีกที เจฟเฟอร์สันออกความเห็นว่าการออกบรรณาการให้กับโจรสลัดเหล่านี้จะสนับสนุนให้ชนชาติบาร์บารีเหิมเกริมและโจมตีกองเรือสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น ในขณะที่นายจอห์น แอดัมส์เห็นด้วยกับคำกล่าวของเจฟเฟอร์สัน เขาเชื่อว่าด้วยสภาวการณ์ของสหรัฐฯ ในเวลานั้น จำต้องออกบรรณาการให้กับโจรสลัดจนกว่ากองทัพเรือที่มีกำลังเพียงพอจะถูกก่อตั้งขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่งเสร็จจากสงครามที่ทำให้ประเทศตกอยู่ในหนี้สินจำนวนมาก พรรคเฟเดอราลิสโต้เถียงกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะตั้งกองทัพเรือขึ้นมาเมื่อคำนึงถึงความต้องการรายได้ของประเทศเปรียบเทียบกับภาระของการจ่ายภาษีเพื่อสมทบเป็นบรรณาการให้กับโจรสลัด ในขณะที่พรรคเดโมแครต-ริพับลิกันของเจฟเฟอร์สันเอง และพวกที่ต่อต้านการเดินสมุทรต่างเชื่อว่าอนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับการขยายอาณาเขตไปยังทิศตะวันตก มากกว่าการค้าขายในน่านน้ำแอตแลนติกที่ทำให้สูญเสียทั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนไปกับการทำสงครามในโลกเก่าที่อยู่ไกลโพ้น[12] สหรัฐอเมริกาจึงยินยอมจ่ายค่าไถ่ตัวประกันให้กับอัลเจียร์ส และยังยินยอมที่จะจ่ายเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่องวดเป็นเวลา 15 ปี เพื่อแลกกับการเดินทางโดยสวัสดิภาพของเรืออเมริกัน โดยการออกเงินค่าไถ่และบรรณาการให้กับรัฐดังกล่าวกินเงินรายได้ต่อปีของรัฐบาลสหรัฐฯ ใน ค.ศ. 1800 ถึง 20% เลยทีเดียว

เจฟเฟอร์สันยังคงประท้วงให้หยุดการออกบรรณาการต่อไป ซึ่งได้รับการสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ จากจอร์จ วอชิงตัน และคนอื่นๆ หลังจากที่กองทัพเรือที่สหรัฐฯ ถูกตั้งขึ้นมาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1794 เป็นผลให้สหรัฐฯ มีอำนาจทางทะเลมากขึ้น และทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจที่จะปฏิเสธการออกบรรณาการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การยินยอมประนีประนอมกับรัฐที่ให้การสนับสนุนโจรสลัดได้กลายเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงยากไปเสียแล้ว

การประกาศสงครามและการปิดล้อมท่าเรือ[แก้]

เมื่อเจฟเฟอร์สันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1801 ยุสซิฟ คารามันลี ปาชา (บรรดาศักดิ์เทียบเท่าลอร์ดแห่งขุนนางอังกฤษ) แห่งทริโปลีได้ทำการเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ออกบรรณาการให้กับรัฐทริโปลีเป็นเงิน 225,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ในเวลานั้น รายได้ต่อปีของรัฐบาลกลางอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเหรียญเท่านั้น) แต่ในเมื่อเจฟเฟอร์สันไม่เห็นด้วยกับการออกบรรณาการมาตั้งแต่แรก จึงปฏิเสธข้อเรียกร้องไป ดังนั้น ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1801 ปาชาจึงประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกา โดยมิได้ใช้เอกสารในการประกาศถ้อยแถลง หากแต่ได้ทำการตัดเสาธงหน้าสถานกงสุลแห่งสหรัฐอเมริกาลงมา ในเวลาต่อมาไม่นาน อัลเจียร์และตูนิสก็เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับทริโปลีด้วย

เพื่อเป็นการตอบโต้ เจฟเฟอร์สันจึงส่งกองเรือฟรีเกตไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน และได้แจ้งให้รัฐสภาทราบ แม้ว่าทางรัฐสภาจะไม่เคยลงคะแนนให้ทำการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ได้อนุญาตให้ประธานาธิบดีมีสิทธิ์สั่งผู้บัญชาการกองทัพเรือแห่งสหรัฐอเมริกา ให้ยึดเรือและสินค้าทั้งหมดที่เป็นของปาชาแห่งทริโปลี และยังอนุญาตให้กระทำการใดๆ เพื่อทำการระวังภัย หรือทำอันตรายต่อศัตรู ตราบเท่าที่ทำได้ในสภาวะสงคราม

เรือใบรบ ยูเอสเอส เอ็นเทอร์ไพร์ซ สามารถเอาชนะเรือโจรสลัด ทริโปลี ได้ในยุทธนาวีอันดุเดือด แต่ก็ค่อนข้างเด็ดขาดในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1801 หลังจากนั้นกองทัพเรืออเมริกันก็สามารถครองน่านน้ำในบริเวณนั้นโดยไม่มีผู้ต่อกรใดๆ แต่เมื่อยังไม่มีข้อสรุปใดๆ สำหรับสงคราม เจฟเฟอร์สันจึงได้สั่งให้เพิ่มกำลังพล และส่งเรือรบที่ดีที่สุดเข้าไปประจำการในภูมิภาคตลอดปี ค.ศ. 1802 เรือรบ ยูเอสเอส อาร์กัส, ยูเอสเอส เชสพีค, ยูเอสเอส คอนสเตลเลชั่น, ยูเอสเอส คอนสติติวชั่น, ยูเอสเอส เอ็นเทอร์ไพร์ซ, ยูเอสเอส อินเทรพิด, ยูเอสเอส ฟิลาเดลเฟีย และยูเอสเอส ไซเรน ล้วนทำหน้าที่ในสงครามนี้โดยได้รับการบังคับบัญชาจากนาวาเอกพิเศษเอ็ดเวิร์ด พรีเบิล โดยตลอดปี ค.ศ. 1803 พรีเบิลได้สั่งให้ทำการปิดล้อมท่าเรือของรัฐบาร์บารี และปฏิบัติภารกิจโจมตีกองเรือรบที่ป้องกันเมืองอยู่

การรบ[แก้]

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1803 กองเรือของทริโปลีสามารถยึดเรือรบ ยูเอสเอส ฟิลาเดลเฟีย ไว้ได้เมื่อเรือเกยตื้นขณะที่กำลังลาดตะเวนอยู่บริเวณท่าเรือในเมืองของทริโปลี ความพยายามที่จะช่วยเรือออกมาของกองกำลังอเมริกันล้มเหลว หลังจากที่ถูกระดมยิงจากกองปืนใหญ่บนฝั่ง และกองเรือของทริโปลี นอกจากเรือที่ถูกยึดแล้ว กัปตันเรือ วิลเลียม เบนบริดจ์ รวมทั้งนายทหารและลูกเรือทั้งหมดยังถูกจับเป็นตัวประกัน ส่วนเรือฟิลาเดลเฟียถูกทอดสมอเทียบท่า และปืนใหญ่ของเรือถูกใช้เพื่อโจมตีใส่พวกเดียวกันเอง

ในคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1804 ร้อยโทสตีเฟ่น ดีคาเทอร์ จูเนียร์ได้นำหมู่นาวิกโยธินบุกยึดเรือใบเล็กของทริโปลี แล้วตั้งชื่อให้ใหม่เป็นเรือรบ ยูเอสเอส อินเทรพิด เพื่อลวงยามรักษาการณ์บนเรือฟิลาเดลเฟีย แล้วนำเรือเข้าไปเทียบเรือที่ถูกยึดไว้ จากนั้นคนของดีคาเทอร์ก็บุกขึ้นไปบนเรือ และเอาชนะกะลาสีทริโปลีตันที่กำลังรักษาการณ์อยู่ แล้วจึงจุดไฟเผาเรือฟิลาเดลเฟียโดยมีเรือรบอเมริกันคอยสนับสนุน ทำให้ศัตรูไม่สามารถนำเรือไปใช้ได้ และยังยกพลขึ้นบกเพื่อยึดเมืองของทริโปลีเอาไว้

ต่อมาพรีเบิลทำการโจมตีเมืองของทริโปลีอย่างเต็มตัว ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1804 และทำการรบที่ไม่มีผลสรุปที่ชัดเจนหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงครั้งหนึ่งที่กัปตันริชาร์ด ซอมเมอร์ส นำเรือเพลิง ยูเอสเอส อินเทรพิด ที่บรรทุกวัตถุระเบิดไว้เต็มลำ จะนำเรือเข้าไปในท่าเรือทริโปลีเพื่อทำลายตัวเองและกองเรือของศัตรู แต่ถูกปืนใหญ่ของศัตรูทำลายเสียก่อน ทำให้ทั้งซอมเมอร์และลูกเรือเสียชีวิต

จุดเปลี่ยนของสงครามคือยุทธการเดอร์นา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมในปี ค.ศ. 1805 พลเอกวิลเลียม อีตัน (ผู้เคยเป็นอดีตกงสุล) และร้อยโทเพรสลี โอแบนนอนแห่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ นำกองกำลังผสมซึ่งประกอบไปด้วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ 8 นาย และทหารรับจ้างชาวกรีก, อาหรับและเบอร์เบอร์จำนวน 500 นาย เดินทัพข้ามทะเลทรายไปยังเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์เพื่อยึดเมืองเดอร์นาของทริโปลี

สนธิสัญญาสันติภาพและผลลัพธ์ที่ตามมา[แก้]

ความกังวลของยุสซิฟ คารามันลีจากการปิดล้อมท่าเรือและการบุกปล้นเรือ อีกทั้งภัยคุกคามต่อตำแหน่งผู้ปกครองทริโปลีของตนเอง เมื่อสหรัฐฯ บุกประชิดเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีแผนที่จะให้ฮาเม็ต คารามันลี พี่ชายที่ตัวเองปลดออกจากตำแหน่งผู้ปกครองแล้วเนรเทศออกไป เข้ามาแทนที่ ทำให้ยุสซิฟจำต้องยินยอมลงนามในสนธิสัญญายุติความเป็นศัตรูต่อกันในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1805 โดยถึงแม้ว่ารัฐสภาจะยังไม่เห็นชอบต่อสนธิสัญญาดังกล่าวจนกระทั่งปีต่อมา แต่ก็ทำให้สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง

มาตราที่ 2 ของสนธิสัญญาระบุว่า:

ปาชาแห่งทริโปลีจะนำตัวประกันชาวอเมริกันออกมาจากทริโปลี รวมถึงทรัพย์สมบัติทุกอย่างคืนให้กับอเมริกา และราษฎรในปาชาแห่งทริโปลีที่อยู่ในอำนาจของสหรัฐอเมริกาจะถูกส่งคืนให้กับพระองค์ และในเมื่อปาชาแห่งทริโปลีครอบครองชาวอเมริกันจำนวนสามร้อยคน ในขณะที่อเมริกามีอำนาจในราษฎรทริโปลิโนประมาณหนึ่งร้อยคน ปาชาแห่งทริโปลีจึงต้องรับเงินจำนวนหกหมื่นดอลลาร์จากสหรัฐอเมริกา เนื่องด้วยผลต่างระหว่างจำนวนเชลยดดังที่ระบุไว้ข้างต้น

รัฐบาลของเจฟเฟอร์สันจึงจ่ายเงินจำนวน 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อไถ่ตัวเชลยชาวอเมริกัน โดยระบุถึงข้อแตกต่างระหว่างการออกบรรณาการและการจ่ายค่าไถ่ ในเวลานั้นส่วนหนึ่งเห็นว่าการไถ่ตัวกะลาสีอเมริกันออกจากการเป็นทาสเป็นการต่อรองที่ยุติธรรมดีแล้ว อย่างไรก็ตามวิลเลียม อีตันเห็นว่าความพยายามของเขาสูญเปล่า ภายใต้การเจรจาของโทไบอัส เลียร์ นักการทูตจากกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ทั้งนั้น อีตันยังเชื่อว่าศักดิ์ศรีของสหรัฐฯ นั้นเสียไปเมื่อรัฐบาลไม่รักษาสัญญาที่ให้กับฮาเม็ต คารามันลี ไว้ว่าจะคืนตำแหน่งผู้ปกครองทริโปลีให้ แต่ความไม่พอใจของอีตันไม่ได้รับการสนใจเมื่อความสนใจในเวลานั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่กำลังตึงเครียด และจะนำไปสู่สงครามปี 1812 ในที่สุด

สงครามบาร์บารีครั้งที่หนึ่งถือเป็นโอกาสให้สหรัฐอเมริกาได้แสดงศักยภาพทางทหารเป็นครั้งแรก เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอเมริกาสามารถทำสงครามไกลบ้านได้ และทำให้เห็นว่าทหารอเมริกันสามารถร่วมมือร่วมใจได้ในฐานะชาวอเมริกัน มิใช่ในฐานะชาวจอร์เจียหรือชาวนิวยอร์ก สงครามครั้งนี้ทำให้กองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐฯ กลายเป็นส่วนสำคัญในรัฐบาลอเมริกันและประวัติศาสตร์อเมริกันอย่างถาวร นอกจากนี้ดีคาเทอร์กลายเป็นวีรบุรุษสงครามคนแรกตั้งแต่สงครามปฏิวัติของชาวอเมริกันสิ้นสุดลง เมื่อเขาเดินทางกลับมายังประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1807 อัลเจียร์สกลับมายึดเรืออเมริกัน และยึดจับลูกเรือเป็นตัวประกันอีกครั้ง แต่เนื่องจากในขณะนั้นกำลังจะเกิดสงครามปี 1812 ขึ้น ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถตอบโต้ได้จนกระทั่ง ค.ศ. 1815 ในสงครามบาร์บารีครั้งที่สอง

อ้างอิง[แก้]

  1. Rojas, Martha Elena. ""Insults Unpunished" Barbary Captives, American Slaves, and the Negotiation of Liberty." Early American Studies: An Interdisciplinary Journal. 1.2 (2003): 159–86.
  2. Battistini, Robert. "Glimpses of the Other before Orientalism: The Muslim World in Early American Periodicals, 1785–1800." Early American Studies: An Interdisciplinary Journal. 8.2 (2010): 446–74.
  3. Parton, James. "Jefferson, American Minister in France." Atlantic Monthly. 30.180 (1872): 405–24.
  4. Miller, Hunter. United States. Barbary Treaties 1786–1816: Treaty with Morocco June 28 and July 15, 1786. The Avalon Project, Yale Law School.
  5. Battistini, 450
  6. Parton, 413
  7. Rojas, 176
  8. Rojas, 165.
  9. Blum, Hester. "Pirated Tars, Piratical Texts Barbary Captivity and American Sea Narratives." Early American Studies: An Interdisciplinary Journal. 1.2 (2003): 133–58.
  10. Rojas, 163
  11. "American Peace Commissioners to John Jay," March 28, 1786, "Thomas Jefferson Papers," Series 1. General Correspondence. 1651-1827, Library of Congress. LoC: March 28, 1786 (handwritten).
    ^ Making of America Project; Philip Gengembre Hubert (1872). The Atlantic monthly. Atlantic Monthly Co.. p. 413 (typeset).
  12. London 2005, pp. 40, 41.