ประเทศซามัว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก รัฐเอกราชซามัว)

พิกัดภูมิศาสตร์: 13°35′S 172°20′W / 13.583°S 172.333°W / -13.583; -172.333

รัฐเอกราชซามัว

Independent State of Samoa (อังกฤษ)
Malo Sa'oloto Tuto'atasi o Samoa (ซามัว)
ตราแผ่นดินของซามัว
ตราแผ่นดิน
คำขวัญFaavae i le Atua Samoa
(ซามัวสถาปนาด้วยพระเจ้า)
ที่ตั้งของซามัว
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
อาปีอา
13°50′S 171°45′W / 13.833°S 171.750°W / -13.833; -171.750
ภาษาราชการภาษาซามัวและภาษาอังกฤษ
การปกครองประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
วาอาเลโตอา ซูอาลาอูวีที่ 2
• นายกรัฐมนตรี
ตูอิลาเอปา อาอิโอโน ไซเลเล มาลิเอเลงาโออิ
เอกราช
1 มกราคม พ.ศ. 2505
พื้นที่
• รวม
2,842 ตารางกิโลเมตร (1,097 ตารางไมล์) (167)
0.3
ประชากร
• สำมะโนประชากร October 2020
202,506[1] (176)
70 ต่อตารางกิโลเมตร (181.3 ต่อตารางไมล์)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2018 (ประมาณ)
• รวม
$1.188 พันล้าน[2]
$5,962[2]
จีดีพี (ราคาตลาด) 2018 (ประมาณ)
• รวม
$881 ล้าน[2]
$4,420[2]
เอชดีไอ (2019)เพิ่มขึ้น 0.715[3]
สูง · 111
สกุลเงินตาลา (WST)
เขตเวลาUTC+13
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
+14
ขับรถด้านซ้ายมือ
รหัสโทรศัพท์+685
โดเมนบนสุด.ws

รัฐเอกราชซามัว (ซามัว: Malo Sa‘oloto Tuto'atasi o Sāmoa; อังกฤษ: Independent State of Samoa) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ซามัว (ซามัว: Sāmoa; อังกฤษ: Samoa) เป็นประเทศที่ประกอบด้วยหมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ชื่อในอดีตคือ เยอรมันซามัว ระหว่างปี พ.ศ. 2443 ถึง พ.ศ. 2457 และ ซามัวตะวันตก ระหว่างปี พ.ศ. 2457 ถึง พ.ศ. 2540

ประวัติศาสตร์[แก้]

ภาพชาวซามัวสมัยโบราณ

ซามัวเป็นดินแดนที่เป็นที่ตั้งหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของชาวโพลินีเซีย สามารถขยายอาณาเขตยึดประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงได้ จนกระทั่งมีการเข้ามาของชาวยุโรปทำให้ประชากรส่วนใหญ่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ จนกระทั่ง จักรวรรดิตูอิตองงา ได้เข้ามายึดดินแดน ส่งผลให้ซามัวกลายเป็นเมืองขึ้นของตองงา ในระยะต่อมาอีก 500 ปี ซามัวได้ประกาศเอกราชและปกครองตนเองเรื่อยมา ต่อมาประเทศอังกฤษได้ยึดซามัว ในเวลาต่อมาเกิดข้อพิพาทระหว่างสหรัฐ เยอรมันและอังกฤษ ยังผลให้ประเทศเยอรมนีได้ครอบครองส่วนที่เป็นประเทศซามัวในปัจจุบัน ส่วนสหรัฐอเมริกาได้ครอบครองส่วนที่เป็นอเมริกันซามัวในปัจจุบัน สำหรับประเทศอังกฤษก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในซามัวอีกแล้ว ในระยะต่อมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซามัวถูกโอนให้มาขึ้นกับประเทศนิวซีแลนด์ จนประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2505 นับเป็นประเทศแรกในแปซิฟิกใต้ที่ได้รับเอกราช

การเมือง[แก้]

ระบบรัฐสภา สภาเดี่ยว ประกอบด้วยสมาชิก 49 คน โดย 47 คน มาจากการเลือกตั้ง และผู้แทน 2 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากเผ่ามาไต (Matai) วาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี เดิมประมุขรัฐมาจากการสืบตระกูลและดำรงตำแหน่งประมุขตลอดชีพ แต่ภายหลังจากที่พระประมุข มาลีเอตัว ตานุมาฟิลิที่ 2 ประมุขรัฐที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ได้สิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ด้วยพระชันษา 94 พรรษา โดยไม่มีรัชทายาทสืบราชบัลลังก์ทำให้ซามัวไม่มีกษัตริย์อีกต่อไป และเริ่มใช้ระบบประธานาธิบดีมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีแทน ซามัวเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุดในแปซิฟิกใต้

การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]

ซามัวแบ่งการปกครองเป็น 11 เขตคือ:

ภูมิศาสตร์[แก้]

แผนที่ประเทศซามัว

ซามัวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอเมริกันซามัว ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตองกาและฟิจิ มีป่าไม้ค่อนข้างหนาแน่น ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายโพลินีเชีย และบางส่วนเป็นเยอรมันและจีน ชาวซามัวจำนวนมากอพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศ โดยคาดว่ามีชาวซามัวในนิวซีแลนด์ประมาณ 120,000 คน และในออสเตรเลียประมาณ 40,000 คน

ข้อมูลภูมิอากาศของประเทศซามัว
เดือน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ทั้งปี
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) 30
(86)
30
(86)
30
(86)
30
(86)
30
(86)
29
(84)
29
(84)
29
(84)
29
(84)
30
(86)
30
(86)
30
(86)
30
(86)
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) 24
(75)
24
(75)
24
(75)
24
(75)
24
(75)
24
(75)
23
(73)
23
(73)
23
(73)
24
(75)
24
(75)
24
(75)
24
(75)
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) 419
(16.5)
322
(12.68)
332
(13.07)
261
(10.28)
205
(8.07)
165
(6.5)
133
(5.24)
155
(6.1)
180
(7.09)
257
(10.12)
270
(10.63)
372
(14.65)
3,071
(120.91)
แหล่งที่มา: www.weather2travel.com [4]

เศรษฐกิจ[แก้]

เผือก ผลิตผลหลักทางการเกษตรของซามัว

ซามัวเป็นหนึ่งในประเทศมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในแปซิฟิก โดยมีการท่องเที่ยวและการประมงเป็นปัจจัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ชาวซามัวส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพ พืชที่สำคัญคือ มะพร้าว สาเก กล้วย โกโก้ และเผือก ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภาคประมงของซามัวเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสินค้าที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับประเทศ นอกจากนี้ ซามัวยังมีรายได้จากแรงงานที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะจากนิวซีแลนด์ อเมริกันซามัว ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

ซามัวมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2535 (ค.ศ. 1992) แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก รัฐบาลมีนโยบายการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการพัฒนา organic farming เพื่อส่งออกไปยังออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซามัวเริ่มเติบโต รวมทั้งบริษัท Partridge Pacific Investment Group ตัดสินใจลงทุนด้านการค้าปลีกขนาดใหญ่ในซามัวและฟิจิ จึงคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2549-50 จะเติบโตในระดับที่น่าพอใจ

ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นชื่อ Yazaki ซึ่งผลิต wire harness ที่ใช้ในรถยนต์เพื่อส่งออกไปยังออสเตรเลีย เป็นบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนและเป็นแหล่งจ้างงานใหญ่ที่สุด สำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ มีขนาดเล็กและผลิตสินค้าเพื่อทดแทนการนำเข้าเท่านั้น เป็นที่คาดกันว่า ซามัวจะถูกถอดถอนจากรายชื่อกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries) ในปี 2549 (ค.ศ. 2006) ซึ่งจะช่วยให้ซามัวสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากกว่าที่เป็นอยู่

จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2549 สูงขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 26 คิดเป็นรายได้กว่า 4.7 ล้านดอลาร์สหรัฐ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากอเมริกันซามัว และมีแนวโน้มว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเพิ่มขึ้น จากความร่วมมือระหว่างจีนและซามัว อย่างไรก็ตาม ปัญหาสังคมของซามัวทวีความรุนแรงขึ้น เช่น การก่ออาชญากรรมของเยาวชน ปัญหายาเสพติด ซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ชาวซามัวมีอัตราการอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังนิวซีแลนด์ ออสเตรเลียและสหรัฐฯ สูงขึ้นเป็นลำดับ

ประชากร[แก้]

ครอบครัวชาวซามัว

ประชากรในซามัวนั้นประกอบด้วยชาวซามัวร้อยละ 92.6 (โพลินีเซียน) ยูโรนีเซียน (ยุโรป-โพลินีเซียน) ร้อยละ 7 และชาวยุโรปร้อยละ 0.4

วัฒนธรรม[แก้]

ชาวซามัวมีความยิ่งใหญ่มากในอดีต มีวัฒนธรรมซึ่งโดดเด่นมากในกลุ่มชาติพันธุ์โพลินีเซียน มีทั้งภาษา การเต้นรำและการแต่งกายดั้งเดิม

อ้างอิง[แก้]

  1. "Population & Demography Indicator Summary". Samoa Bureau of Statistics. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 April 2019. สืบค้นเมื่อ 25 June 2018.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 "Samoa". International Monetary Fund.
  3. Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  4. "Apia climate guide". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-18. สืบค้นเมื่อ 2012-06-24.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

รัฐบาล
ทั่วไป
อื่นๆ