ยานเจมินี 5

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กอร์ดอน คูเปอร์และพีท คอนราด นักบินประจำยานเจมินี 5

ยานเจมินี 5 (Gemini 5 ชื่อทางการ Gemini V) ยานอวกาศมีนักบินในโครงการเจมินี ของนาซา เมื่อ พ.ศ. 2508 นับเป็นเที่ยวบินที่มีนักบินของโครงการเจมินีลำที่ 3 และของโครงการยานอวกาศทั้งหมดที่มีมนุษย์ขับขี่ลำดับที่ 11 ของสหรัฐอเมริกา (รวมทั้งการบินโดยเครื่องบินทดลองเอกซ์ 15 ที่บินสูงกว่า 100 กิโลเมตร)

นักบิน[แก้]

นักบินสำรอง

วัตถุประสงค์ของเที่ยวบิน[แก้]

ยานเจมินี 5 เพิ่มสถิติการอยู่ในวงโครจรเป็นสองเท่าของยานเจมินี 4 คือ 8 วันเท่ากับเวลาการเดินทางถึงดวงจันทร์ ปัจจัยที่เอื้อให้ทำได้ได้แก่ เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell) ที่สามารถให้พลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นจุดหมุนของสิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้โครงการอะพอลโลที่ต่อเนื่องมามีความเป็นไปได้

คูเปอร์และคอนราดจะต้องฝึกการนัดหมายกับ "ฝัก" หรือ "Pod" ที่ปล่อยออกไปจากยาน แต่เนื่องจากปัญหากำลังไฟฟ้าไม่พอจึงเปลี่ยนเป็นการนัดหมายกับจุดสมมุติที่กำหนดตำแหน่งไว้แล้วในอวกาศ กอร์ดอน คูเปอร์เป็นนักบินอวกาศที่ช่ำชองมาจากโครงการเมอร์คิวรี เป็นนักบินอวกาศคนแรกที่บินในวงโคจรมาแล้ว 2 ครั้ง ทั้งคูเปอร์และคอนราดจะต้องถ่ายภาพความละเอียดสูงให้กระทรวงกลาโหม แต่ปัญหาพลังงานไฟ้ฟ้าก็ทำให้ต้องล้มเลิกเช่นกัน ทั้งสองเลยทำได้แต่เพียงนับรอบวงโคจร ซึ่งคอนราดได้ปรารภภายหลังว่าเสียดายที่ไม่ได้นำหนังสือขึ้นไปอ่านด้วย อย่างไรก็ดี บึนทึกทางการแพทย์บนยานได้แสดงให้เห็นว่าการบินในอวกาศเป็นเวลานานๆ มีความเป็นไปได้

คอนราดผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักพูดตลกเมื่อมีโอกาสได้กล่าวว่า ภารกิจการบินเที่ยวนี้คือ "แปดวันในถังขยะ" (ถังขยะหมายถึงยานเจมินีที่มีขนาดเล็กประมาณรถยนต์โฟล์กสวาเกน)

ปฏิบัติการเที่ยวบิน[แก้]

ฝักเรดาร์ประเมินของยานเจมินี 5

การปล่อยยานออกจากฐานเป็นไปด้วยดี มีเพียงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการเฉทางนอนที่เกินกำหนดในช่วง 13 วินาทีแรกซึ่งต่อมาแก้ได้ในเที่ยวบินหลังๆ วงโคจรช่วงแรกเป็นวงรีขนาดกว้าง 163 กิโลเมตร ยาว 349 กิโลเมตร

กิจกรรมแรกได้แก่การปล่อย "ฝักนัดพบ" ณ เวลา 2 ชั่วโมง 13 นาทีหลังออกจากฐานปล่อย เรดาร์ได้ตรวจสอบพบว่าฝักนัดพบเคลื่อนตัวสัมพันธ์กับยานในอัตรา 2 เมตรต่อวินาที่และในระหว่างที่ยานขาดสัญญานกับศูนย์ปฏิบัติการภาคพื้นดิน นักบินพบว่าแรงดันในเซลล์เชื้อเพลิงลดลงมากแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำสุด คูเปอร์จึงตัดสินใจปิดด้วยเกรงว่าหากพลังงานไฟฟ้าไม่พออาจต้องยกเลิกปฏิบัติการบินก่อนกำหนด แต่จากการตรวจสอบพบว่าพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิงเพียงพอต่อการอยู่ในวงโคจรต่อไป ไม่ต้องล้มเลิก

บัซ อัลดริล นักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคพื้นดินผู้มีปริญญาเอกด้านกลไกการโคจรได้เสนอให้ใช้วิธีนัดพบกับ "จุดในอวกาศ" โดยไม่ต้องใช้ฝักนัดพบ

นักบินรู้สึกหนาวแม้จะปิดระบบความเย็นในชุดอวกาศแล้วก็ตาม นอกจากนี้ยังรู้สึกว่าดวงดาวต่างๆ นอกหน้าต่างเคลื่อนไหวทำให้เกิดความรู้สึกหลงเลยแก้ด้วยวิธีปิดหน้าต่าง การแก้ปัญหาหลับยากจากการผลัดเวรกันนอนที่เคยปฏิบัติในยานเจมินี 4 โดยให้นอนได้พร้อมกันก็ยังพบว่าหลับยากอยู่

การนัดพบที่จุดจำลองเกิดขึ้นในวันที่ 3 ซึ่งเป็นผลสำเร็จดียิ่งทั้งที่เป็นการทดลองครั้งแรก มีการทดลองบรรจบกับจุดนัดในท่าต่างๆ ทุกท่าด้วย "ระบบขับเคลื่อนและคุมระดับวงโคจร" (OAMS)

ระบบเซลล์เชื้อเพลิงของยานเจมินี 5

ปัญหาที่ภาคพื้นดินพบคือน้ำที่เป็น "ของเสีย" จากเซลล์เชื้อเพลิงมีมากกว่าที่คาดถึงร้อยละ 20 ปัญหาก็คือน้ำมีความเป็นกรดพอควรและต้องเก็บในถังน้ำดื่มที่มีแยกกันโดยถุง แต่จากการทดสอบต่อมาพบว่าถุงมีความจุพอรับน้ำได้ตลอดเที่ยวบิน ในวันที่ 5 แต่ก็มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นอีกโดยหัวจรวดเล็กปรับทิศทางไม่ทำงานไปหนึ่งหัว เป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการทดลองบางรายการ

รายการทดลองที่กำหนดมี 17 รายการ ซึ่งได้ทดลองแล้วเสร็จทั้งหมดยกเว้นการถ่ายรูป "ฝักนัดพบ" และถ่ายภาพความละเอียดสูงพื้นโลกของกระทรวงกลาโหม รายการอื่นๆ ที่ได้ทดลองไปได้แก่การวัดความจ้าของพื้นโลกกับพื้นหลังอวกาศเพื่อการแลเห็นของนักบินว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ในระหว่างปฏิบัติการ การทดลองอื่นๆ ได้แก่การวัดเกี่ยวกับความร้อน การเต้นของหัวใจ การกะระยะทางราบ การถ่ายภาพดวงดาวในอวกาศ การอ่านความสูงของเมฆจากยานอวกาศ

การจุดจรวดลดความเร็วเริ่ม ณ เวลา 190 ชั่วโมง 27 นาที 43 วินาทีเหนือฮาวาย แม้จะมีการควบคุมยานระหว่างการเข้าสู่บรรยากาศด้วยการหันเหยานแล้วก็ตาม ยังปรากฏว่ายานตกถึงพื้นน้ำสั้นไปถึง 130 กิโลเมตรจากจุดนัดพบ การการตรวจสอบพบว่าคอมพิวเตอร์ทำงานได้สมบูรณ์แบบ ความผิดพลาดที่การเขียนโปรแกรมเนื่องจากการป้อนอัตราการหมุนของโลกไว้ที่ 360 องศาต่อรอบแทน 360.38 องศา

ปฏิบัติการยานเจมินี 5 สนับสนุนโดยกระทรวงกลาโหม ใช้บุคลากร 10,265 คน เครื่องบิน 114 ลำ เรือ 19 ลำ

อ้างอิง[แก้]

  • Wikipedia หน้าภาษาอังกฤษ

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

แม่แบบ:Project Gemini