พระราชวังฟงแตนโบล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชวังฟงแตนโบล
Palace and Park of Fontainebleau *
  แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก
พระราชวังฟงแตนโบล
ประเทศธงของประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม
เกณฑ์พิจารณา(ii) (iv)
ประวัติการขึ้นทะเบียน
ขึ้นทะเบียน2524 (คณะกรรมการสมัยที่ 5)
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก
** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก

พระราชวังฟงแตนโบล (อังกฤษ: Palace of Fontainebleau, ฝรั่งเศส: Château de Fontainebleau) เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่ราว 55 กิโลเมตรจากศูนย์กลางของกรุงปารีสในประเทศฝรั่งเศส ที่เป็นพระราชวังหลวงที่ใหญ่ที่สุดพระราชวังหนึ่งของฝรั่งเศส สิ่งก่อสร้างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นงานที่สร้างขึ้นและต่อเติมเปลี่ยนแปลงโดยพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสหลายพระองค์ ส่วนที่ก่อสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นส่วนที่สร้างโดยพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1

“พระราชวังฟงแตนโบล”[1] ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1981

ประวัติ[แก้]

พระราชวังหลวง[แก้]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงล่าสัตว์ที่ฟงแตนโบล
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงอำลากองทหารรักษาพระองค์ที่หน้าพระราชวังฟงแตนโบล (ค.ศ. 1814)
จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ทรงรับคณะราชทูตสยาม ณ พระราชวังฟงแตนโบล (ค.ศ. 1864)

วังฟงแตนโบลเดิมตั้งอยู่ ณ ที่ตั้งที่ใช้สอยมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่สร้างโดยพระเจ้าชาร์ลที่ 7 โดยมีทอมัส เบ็คเค็ทเป็นผู้ประกอบพิธีสถาปนาชาเปล ฟงแตนโบลเป็นที่ประทับอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 และ พระเจ้าหลุยส์ที่ 9

ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างพระราชวังที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันคือพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 โดยมีสถาปนิกชิลส์ เลอ เบรตอง (Gilles le Breton) เป็นผู้สร้างตัวตึกเกือบทุกหลังของ “ลานรูปไข่” (Cour Ovale) และรวมทั้ง “ประตูโดเร” (Porte Dorée) ที่เป็นทางเข้าด้านใต้ นอกจากนั้นพระเจ้าฟรองซัวส์ก็ยังทรงเชิญสถาปนิกเซบาสเตียโน แซร์ลิโอ จากอิตาลีมายังฝรั่งเศส และเลโอนาร์โด ดา วินชี ภายในตัวพระราชวังมีโถงระเบียงพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 (Francois I Gallery) ที่แล่นตลอดปีกหนึ่งของวังที่ตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังในกรอบปูนปั้นแบบต่าง ๆ โดยรอซโซ ฟิโอเรนติโน (Rosso Fiorentino) ที่เขียนระหว่าง ค.ศ. 1522 ถึง ค.ศ. 1540 ซึ่งโถงระเบียงแรกที่ได้รับตกแต่งอย่างวิจิตรในฝรั่งเศส โดยทั่วไปแล้วก็เรียกได้ว่าฟงแตนโบลเป็นการเริ่มยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของฝรั่งเศส

“ห้องเลี้ยงรับรอง” (Salle des Fêtes) ที่มาสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าอองรีที่ 2 ตกแต่งโดยฟรันเชสโก ปรีมาติชโช และ นิโคโล เดลาบาเต (Niccolò dell'Abbate) ส่วน “นิมฟ์แห่งฟงแตนโบล” ที่เขียนโดยเบนเวนูโต เชลลินิ (Benvenuto Cellini) ที่เขียนให้แก่ฟงแตนโบลในปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

การก่อสร้างครั้งใหญ่เริ่มขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยของพระเจ้าอองรีที่ 2 และพระอัครมเหสีแคทเธอรีน เดอ เมดิชิ ผู้ทรงจ้างสถาปนิกฟิลิแบร์ต เดอ ลอร์ม และ ฌอง บุลลองท์ (Jean Bullant) ต่อมาพระเจ้าอองรีที่ 4 ก็ทรงตกแต่งฟงแตนโบลของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 และ พระเจ้าอองรีที่ 2 โดยทรงเพิ่มลาน “Cour des Princes” และ “โถงระเบียงไดแอน เดอ ปัวติเยร์” และ “โถงระเบียงเซิร์ฟ” ที่ติดกันใช้เป็นห้องสมุด ในช่วงนี้ศิลปินของ “ตระกูลการเขียนฟงแตนโบลที่สอง” ก็เป็นผู้ดำเนินการตกแต่งแต่ก็ไม่มากเท่าใดนักและไม่เป็นงานต้นฉบับเท่ากับการตกแต่งในรัชสมัยของ “ตระกูลการเขียนฟงแตนโบลที่หนึ่ง” ในรัชสมัยของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1

พระเจ้าอองรีที่ 4 ทรงสร้างคลองขุดยาว 1,200 เมตรในอุทยานป่าโปร่งที่ในปัจจุบันใช้ตกปลาได้ และมีพระบรมราชโองการให้ปลูกสน, เอล์ม และไม้ผล อุทยานป่าโปร่งมีเนื้อที่ราว 80 เฮ็คตารโดยมีกำแพงร้อมรอบและถนนเป็นระยะ ๆ พนักงานอุทยานของพระเจ้าอองรีที่ 4 โคลด โมลเลต์ (Claude Mollet) ผู้ได้รับการฝึกหัดที่วังดาเนต์ (Château d'Anet) วางผังสวนแบบสวนพาร์แทร์ (Parterre) นอกจากนั้นก็ยังทรงสร้าง “jeu de paume” (ห้องเล่นเทนนิสโบราณ (Real tennis)) ที่ยังคงมีอยู่ให้เห็น ซึ่งเป็นห้องเล่นเทนนิสโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เป็นของสาธารณะ[2]

พระเจ้าฟิลิปที่ 4, พระเจ้าอ็องรีที่ 3 และ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ต่างก็เสด็จพระราชสมภพที่ฟงแตนโบล และพระเจ้าฟิลิปเสด็จสวรรคตที่นี่ แขกของพระราชวังที่สำคัญ ๆ ก็ได้แก่สมเด็จพระราชินีนาถคริสติน่าแห่งสวีเดนผู้เสด็จมาประทับอยู่เป็นเวลาหลายปีหลังจากที่ทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1654 ในปี ค.ศ. 1685 ฟงแตนโบลก็ใช้เป็นที่ลงนามพระราชกฤษฎีกาฟงแตนโบลที่เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาแห่งนองซ์ (ค.ศ. 1598) ฟงแตนโบลเป็นที่ประทับของพระราชอาคันตุกะของกษัตริย์ราชวงศ์บูร์บองที่รวมทั้งพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย และพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก

การปฏิวัติและจักรวรรดิ[แก้]

ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสฟงแตนโบลถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "Fontaine-la-Montagne" (น้ำพุใกล้เนินเขา, เนินเขาที่อ้างถึงคือบริเวณแนวเนินหินที่ตั้งอยู่ในป่าฟงแตนโบล)

เมื่อมาถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 พระราชวังก็ตกอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมลงเป็นอันมาก ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสเฟอร์นิเจอร์เดิมก็ถูกขายทอดไป ในช่วงเดียวกับที่เฟอร์นิเจอร์ของพระราชวังหลวงของฝรั่งเศสทั้งหลายถูกทำลายและขายไปจากทุกพระราชวังเพื่อหาทุนในการต่อต้านไม่ให้ราชวงศ์บูร์บองเข้ามาใช้ได้อีก แต่จะอย่างไรก็ตามภายในสิบปีหลังจากนั้นจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ก็ทรงเปลี่ยนโฉมของฟงแตนโบลให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมียิ่งใหญ่และความรุ่งเรืองของฝรั่งเศสแทนที่พระราชวังแวร์ซายส์ที่ถูกทิ้งว่างไว้ ในปี ค.ศ. 1804 จักรพรรดินโปเลียนก็ทรงเจ้าภาพต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 ที่ฟงแตนโบลเมื่อเสด็จมาทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และอีกครั้งระหว่างปี ค.ศ. 1812 ถึงปี ค.ศ. 1814 เมื่อพระสันตะปาปาทรงถูกนำตัวมาเป็นนักโทษของนโปเลียน

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1807 มานูเอล โกดอยมนตรีในพระเจ้าคาร์ลที่ 4 แห่งสเปน และ จักรพรรดินโปเลียนก็ลงนามในสนธิสัญญาฟงแตนโบลที่สเปนอนุญาตให้ฝรั่งเศสเดินทัพผ่านสเปนเพื่อไปรุกรานโปรตุเกส

เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1814 ไม่นานก่อนที่จักรพรรดินโปเลียนจะทรงสละราชสมบัติ พระองค์ก็ทรงล่ำลากองทหารรักษาพระองค์เดิมที่รับราชการกับพระองค์มาตั้งแต่การรณรงค์ทางทหารครั้งแรกที่ “ลานม้าขาว” (la cour du Cheval Blanc) ที่หน้าวังฟงแตนโบล ซึ่งตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับการเรียกว่า “ลานแห่งการอำลา” สนธิสัญญาฟงแตนโบล แห่ง ค.ศ. 1814 ปลดจักรพรรดินโปเลียนจากอำนาจ (แต่มิได้ถอดพระองค์ออกจากการเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส) และเนรเทศพระองค์ไปยังเกาะเอลบา

ในเดือนกรกฎาคม และ สิงหาคม ค.ศ. 1946 เมืองฟงแตนโบลก็เป็นเจ้าภาพการประชุมฝรั่งเศส-เวียดนามที่มีวัตถุประสงค์ในการหาวิธีแก้ปัญหาการแสวงหาอิสรภาพของเวียดนามจากฝรั่งเศส แต่เป็นการประชุมที่ประสบความล้มเหลว

ลักษณะสถาปัตยกรรม[แก้]

ฟงแตนโบลมองจากทะเลสาบ
หอสมุดของฟงแตนโบล

ฟงแตนโบลเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นแรกที่นำฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคแมนเนอริสม์ในด้านการตกแต่งภายใน และทางด้านการออกแบบตกแต่งสวน การตกแต่งภายในแบบแมนเนอริสม์ของฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เรียกกันว่าการตกแต่ง "แบบฟงแตนโบล" ที่เป็นการตกแต่งที่รวมทั้งงานประติมากรรม, งานโลหะ, จิตรกรรม, งานปูนปั้น และงานไม้ ส่วนภายนอกสิ่งก่อสร้างก็เริ่มมีการสวนแบบสวนลวดลาย (parterre) ฟงแตนโบลรวมจิตรกรรมที่เป็นอุปมานิทัศน์เข้ากับงานปูนปั้นที่เป็นกรอบรอบที่ตกแต่งคล้ายม้วนที่รวมลายอะราเบสก์ และลายวิลักษณ์ ความสวยของสตรีในอุดมคติของจิตรกรรมแบบฟงแตนโบลจะเป็นความสวยแบบแมนเนอริสม์: หัวเล็กบนคอยาว, เรือนร่างและแขนขาจะยาวกว่าปกติ หน้าอกเล็กและสูง—ที่เหมือนจะกลับไปมีลักษณะของปลายกอธิค งานศิลปะที่สร้างที่ฟงแตนโบลได้รับการบันทึกอย่างละเอียดเป็นงานพิมพ์ที่เป็นที่แพร่หลายกันในบรรดานักนิยมศิลปะ และ ศิลปินเอง งานที่สร้างเป็นงานพิมพ์จาก "ตระกูลการเขียนแบบฟงแตนโบล" ที่เป็นลักษณะของการงานศิลปะแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เผยแพร่ไปยังบริเวณทางตอนเหนือของยุโรป โดยเฉพาะที่อันท์เวิร์พ และเยอรมนี และในที่สุดก็ไปถึงอังกฤษ

ปัจจุบัน[แก้]

ในปัจจุบันฟงแตนโบลเป็นที่ตั้งของสถาบันศิลปะอเมริกันฟงแตนโบล (Écoles d'Art Américaines) ซึ่งเป็นสถาบันสำหรับนักศึกษาศิลปะ, สถาปัตยกรรม และ ดนตรีจากสหรัฐอเมริกา สถาบันก่อตั้งขึ้นโดยนายพลจอห์น เจ. เพอร์ชิง (John J. Pershing) เมื่อมาตั้งกองบัญชาการอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ระเบียงภาพ[แก้]

ลานเกียรติยศหน้าพระราชวัง
Cour d'Honneur of the palace

อ้างอิง[แก้]

  1. UNESCO: Palace of Fontainebleau[1]
  2. "Histoire de la salle de jeu de paume de Fontainebleau". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-25. สืบค้นเมื่อ March 19. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |accessyear= ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=) (help)

ดูเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ พระราชวังฟงแตนโบล