เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง ณ อุบล)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก พระปทุมวรราชสุริยวงศ์)
พระประทุมวรราชสุริยวงศ์
พระประเทศราช
ครองราชย์พ.ศ. 2335
รัชสมัย3 ปี
รัชกาลก่อนหน้าไม่ปรากฏ
รัชกาลถัดไปพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวทิดพรหม)
ประสูติพ.ศ. ไม่ระบุ
พิราลัยพ.ศ. 2338
พระมเหสีเจ้านางตุ่ย
หม่อม
  • เจ้านางสีดา
พระประทุมวรราชสุริยวงษ์
พระบุตร10 องค์
ราชวงศ์แสนทิพย์นาบัว
พระบิดาพระวรราชปิตา
พระมารดาพระนางบุศดี

พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) หรือ พระปทุมวรราชสุริยวงษ ในจารึกพระเจ้าอินแปงออกนามว่า พระปทุม ชาวเมืองอุบลราชธานีในสมัยโบราณนิยมออกนามว่า อาชญาหลวงเฒ่า ดำรงตำแหน่งพระประเทศราชครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราชคนแรก (ปัจจุบันคือจังหวัดอุบลราชธานีในภาคอีสานของประเทศไทย) นามเดิมว่า ท้าวคำผง เป็นโอรสในเจ้าพระตา (พระวรราชปิตา) ผู้ครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภู) กับพระนางบุศดี สมภพ ณ นครเวียงจันทน์ สืบเชื้อสายมาจากพระอัยกา (ปู่) คือ เจ้าอุปราชนอง ซึ่งสืบเชื้อสายสามัญชนทางไทพวนแต่ต้นวงศ์ โดยสืบมาจากแสนทิพย์นาบัวผู้เป็นบิดา เจ้านองคือผู้สร้างนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) อีกทั้งท้าวคำผงยังมีศักดิ์เป็นพระปนัดดาในสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 หรือ พระเจ้าไชยองค์เว้ พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ เนื่องจากเจ้าอุปราชนองทรงเป็นพระอนุชาต่างบิดาเเต่ร่วมมารดาของพระเจ้าไชยองค์เว้

อนึ่ง พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) เป็นต้นสกุลพระราชทาน ณ อุบล แห่งจังหวัดอุบลราชธานี ในภาคอีสานของประเทศไทย

ประวัติ[แก้]

ในปี พ.ศ. 2311 พระตากับพระวอ เกิดผิดใจกันกับสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๓ หรือสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารแห่งนครเวียงจันทน์ จึงอพยพไพร่พลมาตั้งแข็งข้ออยู่เมืองหนองบัวลุ่มภูซึ่งพระบิดาของตนเคยปกครองมาก่อน อันมีสาเหตุมาจากความหวาดระแวงของเจ้าสิริบุญสาร เนื่องด้วยเมืองหนองบัวลุ่มภูเป็นเมืองใหญ่ มีไพร่พลมาก อีกทั้งในช่วงนั้น ล้านช้างหลวงพระบางและล้านช้างเวียงจันทน์ก็เป็นอริต่อกัน พระวอพระตาจึงเปรียบเสมือนพันธมิตรของอาณาจักร์ล้านช้างหลวงพระบาง แม้ว่าพระตาพระวอจะได้เคยช่วยเหลือเจ้าสิริบุญสารด้วยการให้หลบราชภัยที่เมืองหนองบัวลุ่มภูนานนับสิบปี ช่วงที่เกิดการแย่งชิงราชบัลลังก์ในล้านช้างเวียงจันทน์ และได้นำทัพช่วยออกรบเพื่อชิงบัลลังก์ให้เจ้าสิริบุญสารจนได้นั่งเมืองมาแล้วก็ตาม ดังนั้นเมื่อเสร็จศึก เจ้าสิริบุญสารจึงยังไม่ให้ทัพเจ้าพระตาเจ้าพระวอกลับเมืองหนองบัวลุ่มภู แต่ได้ขอให้ไปช่วยรักษาการที่ด่านหินโงมแทน ต่อมาทางเจ้าสิริบุญสารไม่ไว้ใจพระวอพระตาและเกรงจะมีการพยายามจะยึดอำนาจโดยกลุ่มพระวอพระตา อีกทั้งพระตายังขอพระราชทานตำแหน่งที่สูงเกินไป เจ้าสิริบุญสารไม่ยอมแต่งตั้งให้ พระวอพระตาไม่พอใจจึงยกไพร่พลมาสร้างค่ายคูประตูหอรบที่เมืองหนองบัวลุ่มภูแล้วยกขึ้นเป็นเมืองเอกราชนามว่า นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน สถาปนาพระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครอิสระไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการถวายกรุงเวียงจันทน์อีกต่อไป พร้อมทั้งส่งเจ้านายกรมการเมืองจำนวนมากออกไปตั้งเมืองใหม่ อาทิ เมืองผ้าขาว เมืองพันนา เมืองภูเขียว เมืองภูเวียง เป็นต้น ฝ่ายนครเวียงจันทน์ได้ยกทัพมาตีเมืองหนองบัวลุ่มภูซึ่งแต่เดิมเป็นเมืองขอบด่านขึ้นแก่นครเวียงจันทน์มาแต่โบราณ การต่อสู้นั้นใช้ระยะเวลายาวนานอยู่ถึง 3 ปี ฝ่ายเมืองหนองบัวลุ่มภูเห็นว่านานไปจะสู้ฝ่ายนครเวียงจันทน์ไม่ได้ จึงส่งทูตไปขอกองทัพจากพม่าที่นครเชียงใหม่มาช่วยรบ แต่กองทัพพม่าได้ยกมาสมทบกับกองทัพนครเวียงจันทน์ตีเมืองหนองบัวลุ่มภูแตก เป็นเหตุให้พระตาสิ้นพระชนม์ในสนามรบ ฝ่ายพระวอกับท้าวคำผงและพวกจึงต้องทิ้งเมืองหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนได้ไปพึ่งพระราชบารมีในสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หลวงไชยกุมารแห่งนครจำปาศักดิ์ โดยตั้งค่ายอยู่บ้านดู่บ้านแก ขึ้นกับแขวงเมืองจำปาศักดิ์ ฝ่ายสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หลวงไชยกุมารทรงแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยทรงเห็นว่าอาจเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนครเวียงจันทน์กับนครจำปาศักดิ์ร้าวฉานได้

ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าสิริบุญสารทรงทราบว่า พระวอกับพวกมาตั้งอยู่ที่ค่ายบ้านดู่บ้านแกแขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ และพระวอมีกำลังพลน้อยตั้งขัดแข็งอยู่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุโพยกทัพมาตีค่ายบ้านดู่บ้านแกแตก โดยตั้งใจว่าจะให้นำตัวพระวอมาเข้าเฝ้าและยอมอ่อนน้อมต่อเวียงจันทน์ แต่สงครามกลับเป็นเหตุให้พระวอสิ้นพระชนม์ในสนามรบ ฝ่ายพระปทุมสุรราช (ท้าวคำผง) เห็นว่าจะสู้กองทัพนครเวียงจันทน์ไม่ได้ จึงให้ท้าวก่ำพระอนุชา (ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองเขมราฐธานีในฐานะพระประเทศราช) แอบนำพระราชสาส์นไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองธนบุรี (สิน) เจ้าเมืองธนบุรี (สิน) จีงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพมาช่วย เมื่อทราบสาเหตุจากพระปทุมสุรราช (ท้าวคำผง) แล้ว สยามจึงยกทัพตามตีทัพพระยาสุโพไปจนถึงนครเวียงจันทน์ ได้รบกันอยู่นาน 4 เดือน นครเวียงจันทน์จึงแตกเมื่อ พ.ศ. 2322 ส่งผลให้หัวเมืองลาวและหัวเมืองของชาติพันธุ์ต่างๆ ในแถบสองฝั่งแม่น้ำโขงทั้งฝั่งอีสานและฝั่งลาวถูกเผาจนย่อยยับ สงครามครั้งนี้ส่งผลให้อาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 แห่ง ตลอดจนราชธานีใหญ่ ๆ ในลาวและอีสานตกเป็นประเทศราชของสยามสืบมา จนกระทั่งสยามเสียดินแดนเหล่านี้ให้แก่ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนบุตรของพระตาได้แก่ท้าวคำผงและท้าวฝ่ายหน้าที่ได้ติดตามพระวอไปอยู่ที่จำปาศักดิ์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเมืองจำปาศักดิ์ ท้าวคำผงและท้าวฝ่ายหน้าได้เข้าร่วมรบช่วยฝ่ายจำปาศักดิ์สู้กับสยาม ภายหลัง เจ้าองค์หลวงฯ ทรงพระเมตตาขอเอาเจ้านางตุ่ย พระธิดาในเจ้ามหาอุปฮาชธรรมเทโว อุปราชนครจำปาศักดิ์ ให้เป็นพระชายาของท้าวคำผง และทรงแต่งตั้งให้ท้าวคำผงเป็นที่ พระปทุมสุรราช นายกองคุมเลกเมืองจำปาศักดิ์ ผู้ช่วยพระวอ นายกองนอก ภายจึงหลังย้ายถิ่นฐานไปที่ดอนมดเเดง

ในปี พ.ศ. 2319 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ดอนมดแดง พระประทุมสุรราช (ท้าวคำผง) จึงพาไพร่พลอพยพหนีน้ำมาอยู่ที่ดอนริมห้วยแจระแม (อยู่เหนือตัวเมืองอุบลราชธานีปัจจุบันประมาณ 8 ก.ม.) เมื่อน้ำลดลงจึงย้ายไปอยู่ที่ดงอู่ผึ้งริมฝั่งแม่น้ำมูลเพื่อสร้างเป็นถิ่นฐานใหม่ เเต่ก็ยังขึ้นตรงต่อนครจำปาศักดิ์

ต่อมาเมื่อพระประทุมสุรราช (ท้าวคำผง) ร่วมมือกับท้าวฝ่ายหน้าผู้อนุชา ซึ่งไปตั้งกองนอกเก็บส่วยอยู่ที่บ้านสิงห์โคกสิงห์ท่า (เมืองยโสธรหรือเมืองยศสุนทรในเวลาต่อมา) และถูกบังคับให้ช่วยเหลือกองทัพเมืองนครราชสีปราบปรามกบฏอ้ายเชียงแก้วได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระประทุมสุรราช เป็นที่ พระปทุมวรราชสุริยวงษ ทรงเเยกหมู่บ้านห้วยเเจระเเม ออกจากนครจำปาศักดิ์ เเล้วจึงยกฐานะหมู่บ้านห้วยเเจระเเม ขึ้นเป็นเมือง ทรงให้นามว่า อุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช ยกฐานะเมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองประเทศราช (ลาวเรียกว่า เมืองลาดหรือเมืองสุทุดสะราช) ให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่ำ เดือน 8 จุลศักราช 1154 (พ.ศ. 2335) ส่วนท้าวฝ่ายหน้า (ท้าวหน้า) พระอนุชาก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ มีพระอิสริยยศเป็นที่ พระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช พระประเทศราชของอาณาจักร์กรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อเป็นการแก้แค้นที่เจ้านครจำปาศักดิ์องค์เดิมไม่ยอมให้ความช่วยเหลือฝ่ายของตน เมื่อครั้งทัพนครเวียงจันทน์ยกมาตี ทั้งที่พระวอขอไปขึ้นตรงกับนครจำปาสักเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่ยอมมาช่วยผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เหตุการณ์นี้ยังนำมาซึ่งความไม่พอพระทัยของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายจำปาศักดิ์สายเดิมซึ่งจะมีสิทธิ์ในการขึ้นเสวยราชย์นครจำปาศักดิ์ในลำดับถัดไปด้วย

ประวัติจากพงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณเอกสารฝ่ายสยาม[แก้]

ในเอกสาร "พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ" ซึ่งเรียบเรียงโดย หม่อมอมรวงษ์วิจิตร (หม่อมราชวงศ์ปฐม คเนจร) ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาค 4 เมื่อปีเถาะสัปตศก พ.ศ. 2458 ได้กล่าวถึงประวัติของพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ไว้โดยละเอียด ดังต่อไปนี้

จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุญนพศก พระเจ้าองค์หล่อผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตถึงแก่พิราไลย หามีโอรสที่จะสืบตระกูลไม่ แสนท้าวพระยาแลนายวอ นายตา(ถูกกดไว้มิให้เป็นเจ้าและอยู่ในฐานะองค์ประกัน) จึ่งได้พร้อมกันเชิญกุมารสองคน (มิได้ปรากฏนาม) ซึ่งเปนเชื้อวงษ์พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตคนเก่า (ไม่ปรากฏว่าคนไหน) อันได้หนีไปอยู่กับนายวอ นายตา เมื่อพระเจ้าองค์หล่อยกกำลังมาจับพระยาเมืองแสนฆ่านั้น ขึ้นครองกรุงศรีสัตนาคนหุต แล้วนายวอ นายตา จะขอเปนที่มหาอุปราชฝ่ายน่า ราชกุมารทั้งสองเห็นว่า นายวอ นายตา มิได้เปนเชื้อเจ้า จึ่งตั้งให้นายวอ นายตา เปนแต่ตำแหน่งพระเสนาบดีณกรุงศรีสัตนาคนหุต แล้วราชกุมารผู้เชษฐาจึ่งตั้งราชกุมารผู้เปนอนุชาให้เปนมหาอุปราชขึ้น ฝ่ายพระวอ พระตาก็มีความโทมนัศ ด้วยมิได้เปนที่มหาอุปราชดังความประสงค์ จึ่งได้อพยพครอบครัวพากันมาตั้งสร้างเวียงขึ้นบ้านหนองบัวลำภู แขวงเวียงจันท์เสร็จแล้วยกขึ้นเปนเมือง ให้ชื่อว่าเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ฝ่ายพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทราบเหตุดังนั้น จึ่งให้แสนท้าวพระยาไปห้ามปรามมิให้ พระวอ พระตา ตั้งเปนเมือง พระวอ พระตา ก็หาฟังไม่ พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตจึ่งได้ยกกองทัพมาตีพระวอพระตา สู้รบกันอยู่ได้ประมาณสามปี พระวอ พระตา เห็นจะต้านทานมิได้ จึ่งได้แต่งคนไปอ่อนน้อมต่อพม่า ขอกำลังมาช่วย ฝ่ายผู้เปนใหญ่ในพม่าจึ่งได้แต่งให้มองละแงะเปนแม่ทัพคุมกำลังจะมาช่วยพระวอ พระตา ฝ่ายพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทราบดังนั้น จึ่งแต่งเครื่องบรรณาการ ให้แสนท้าวพระยาคุมลงมาดักกองทัพพม่าอยู่กลางทาง แล้วพูดเกลี้ยกล่อมชักชวนเอาพวกพม่าเข้าเปนพวกเดียวกันได้แล้ว พากันยกทัพมาตีพระวอ พระตาก็แตก พระตาตายในที่รบ ยังอยู่แต่พระวอกับท้าวฝ่ายน่า ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม ผู้เปนบุตรพระตา แลท้าวทิดก่ำ ผู้บุตรพระวอ แล้วจึ่งพาครอบครัวแตกหนีอพยพลงไปขอพึ่งอยู่กับพระเจ้าองค์หลวงเจ้าไชยกุมาร เมืองจำปาศักดิ ตั้งอยู่ที่ตำบลเวียงดอนกอง คือ ที่เรียกว่าบ้านดู่ บ้านแกแขวงเมืองจำปาศักดิณบัดนี้.........

ครั้นลุจุลศักราช ๑๑๓๘ ปีวอกอัฐศก ฝ่ายพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต รู้ข่าวว่าพระวอมีความอริวิวาทกันกับพระเจ้านครจำปาศักดิ ยกครอบครัวมาตั้งอยู่ณดอนมดแดง จึ่งแต่งให้พระยาสุโพคุมกองทัพมาตีพระวอๆ เห็นจะสู้มิได้ จึ่งพาครอบครัวอพยพหนีขึ้นมาตั้งอยู่ตำบลเวียงดอนกองตามเดิม แล้วแต่งคนให้ไปขอกำลังพระเจ้านครจำปาศักดิมาช่วย พระเจ้าจำปาศักดิก็หาช่วยไม่ กองทัพพระยาสุโพก็ยกตามขึ้นมาล้อมเวียงไว้ จับพระวอได้แล้วก็ให้ฆ่าเสียที่ตำบลเวียงดอนกอง (ที่ซึ่งพระวอตายนี้ ภายหลังท้าวฝ่ายน่าบุตรพระตาได้เปนที่เจ้าจำปาศักดิได้สร้างเจดีย์สวมไว้ คำในพื้นเมืองเรียกว่าธาตุพระวอ อยู่ณวัดบ้านศักดิ แขวงเมืองจำปาศักดิตราบเท่าบัดนี้) ฝ่ายท้าวก่ำบุตรพระวอ กับท้าวฝ่ายน่า ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม บุตรพระตาหนีออกจากที่ล้อมได้จึ่งมีบอกแต่งให้คนถือมายังเมืองนครราชสิมา ให้นำกราบบังคมทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีขอกำลังกองทัพมาช่วย.........

ลุจุลศักราช ๑๑๔๐ ปีจอสัมฤทธิศก.........ในปีนี้เจ้าสุริโย, ราชวงษ์เมืองจำปาศักดิถึงแก่กรรม มีบุตรชื่อเจ้าหมาน้อย ๑ แลท้าวคำผงบุตรพระตาไปได้นางตุ่ยบุตรเจ้าอุปราชธรรมเทโวเปนภรรยา เจ้าปาศักดิไชยกุมารเห็นว่า ท้าวคำผงมาเกี่ยวเปนเขยแลเปนผู้มีครอบครัวบ่าวไพร่มาก จึ่งตั้งให้ท้าวคำผงเปนพระประทุมสุรราช เปนนายกองใหญ่ควบคุมครอบครัวตัวเลขเปนกองขึ้น เมืองจำปาศักดิ ตั้งอยู่ณบ้านเวียงดอนกอง (คือที่เรียกว่าบ้านดู บ้านแก บัดนี้) ภายหลังเมื่อจุลศักราช ๑๑๔๘ ปีมเมีย พระประทุมจึ่งได้ย้ายมาตั้งอยู่ณตำบลห้วยแจะละแม๊ะ คือตำบลซึ่งตั้งอยู่ทิศเหนือเมืองอุบลบัดนี้ คำที่เรียกว่าห้วยแจะละแม๊ะนั้นมีตำนานมาว่า เดิมมีคนไปตั้งต้มเกลืออยู่ที่ห้วยนั้น คนเดินทางผ่านห้วยนั้นไปมาก็มักจะแวะเข้าไปขอเกลือต่อผู้ต้มเกลือว่าขอแจะละแม๊ะ คือแตะกินสักหน่อยเถิด จึ่งได้มีนาม ปรากฏว่าห้วยแจะละแม๊ะมาแต่เหตุนั้น แต่บัดนี้ฟังสำเนียงที่เรียกกันเลือนๆ เปนแจละแมฤๅจาละแมไป พระประทุมสุรราชมีบุตรชื่อท้าวโท ๑ ท้าวทะ ๑ ท้าวกุทอง๑ นางพิม๑ นางคำ ๑ นางคำสิง ๑ นางจำปา ๑

ลุจุลศักราช ๑๑๕๓ ปีกุญตรีศก อ้ายเชียงแก้วซึ่งตั้งอยู่ตำบลเขาโองฝั่งโขงตวันออกแขวงเมืองโขง แสดงตนเปนผู้วิเศษ มีคนนับถือมาก อ้ายเชียงแก้วรู้ข่าวว่า เจ้าจำปาศักดิไชยกุมารป่วยหนักอยู่ เห็นเปนโอกาศอันดี จึ่งคิดการเปนขบถยกกำลังมาล้อมเมืองจำปาศักดิไว้ ขณะนั้นเจ้าจำปาศักดิไชยกุมารทราบข่าวว่า อ้ายเชียงแก้วยกมาตีเมืองจำปาศักดิก็ตกใจอาการโรคกำเริบขึ้นก็เลยถึงแก่พิราไลย อายุได้ ๘๑ ปี ครองเมืองจำปาศักดิได้ ๕๓ ปี มีบุตรชายชื่อเจ้าหน่อเมือง ๑ บุตรหญิงชื่อเจ้าป่อมหัวขวากุมารี ๑ เจ้าท่อนแก้ว ๑ ฝ่ายกองทัพอ้ายเชียงแก้วก็เข้าตีเอาเมืองจำปาศักดิได้ ความทราบถึงกรุงเทพ ฯ จึ่งโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยานครราชสิมา (ทองอิน) แต่ครั้งยังเปนพระพรหมยกรบัตร ยกกองทัพขึ้นไปกำจัดอ้ายเชียงแก้ว แต่พระพรหมไปยังมิทันถึง ฝ่ายพระประทุมสรราชบ้านห้วยแจละแมผู้พี่ กับท้าวฝ่ายน่าซึ่งไปตั้งอยู่บ้านสิงทา (คือเปนเมืองยโสธรเดี๋ยวนี้) ผู้น้อง จึ่งพากันยกกำลังไปตีอ้ายเชียงแก้วๆ ยกกองทัพออกต่อสู้ที่แก่งตนะ (อยู่ในลำน้ำมูลแขวงเมืองพิมูลบัดนี้) กองทัพอ้ายเชียงแก้วแตกหนี ท้าวฝ่ายน่าจับตัวอ้ายเชียงแก้วได้ให้ฆ่าเสียแล้ว พอกองทัพเมืองนครราชสิมายกไปถึงก็พากันไปเมืองจำปาศักดิ แลพากันยกเลยไปตีพวกข่าชาติกระเสงสวางจะรายระแดร์ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งโขงตวันออกจับได้มาเปนอันมาก จึ่งได้มีไพร่ข่าแลประเพณีตีข่ามาแต่ครั้งนั้น แล้วโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท้าวฝ่ายน่าบุตรพระตาผู้มีความชอบ เปนเจ้าพระวิไชยราชขัติยวงษาครองเมืองจำปาศักดิ โปรดให้เจ้าเชษฐ เจ้านู ขึ้นไปช่วยราชการอยู่ด้วยเจ้าพระวิไชยราช จึ่งได้ย้ายเมืองขึ้นมาตั้งอยู่ทางเหนือ คือที่เรียกว่าเมืองเก่าคันเกิงณบัดนี้ เจ้าพระวิไชยราชขัติยวงษา จึ่งตั้งท้าวสิงผู้หลานอยู่ณบ้านสิงทาเปนราชวงษ์เมืองโขง (สีทันดร) แลทูลขอตั้งให้ท้าวบุตร เปนเจ้าเมืองนครพนม (อันเปนเมืองเก่าแขวง มณฑลอุดร) แลโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระประทุมสุรราช (คำผง) เปนเจ้าเมือง ยกบ้านห้วยแจละแมขึ้นเปนเมืองอุบลราชธานี (ตามนามพระประทุม) ขึ้นกรุงเทพฯ ทำส่วยผึ้ง ๒ เลข ต่อเบี้ย น้ำรัก ๒ ขวด ต่อ เบี้ยป่าน ๒ เลขต่อขอด พระประทุมจึ่งย้ายเมืองมาตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านร้างริมลำพมูล ใต้ห้วยแจละแมประมาณทาง ๑๒๐ เส้น คือ ที่ซึ่งเปนเมืองอุบลเดี๋ยวนี้ แลได้สร้างวัดหลวงขึ้นวัดหนึ่ง เขตรแดนเมืองอุบลมีปรากฏในเวลานั้นว่า ทิศเหนือถึงน้ำยังตกลำน้ำพาชีไปยอดบังอี่ ตามลำบังอี่ไปถึงแก่งตนะไปภูจอกอ ไปช่องนาง ไปยอดห้วยอะลีอะลองตัดไปดงเปื่อยไปสระดอกเกษ ไปตามลำกะยุงตกลำน้ำมูล ปันให้เมืองสุวรรณภูมิ ฝ่ายเหนือหินสิลาเลขหนองกองแก้วตีนภูเขียว ทางใต้ ปากเสียวตกลำน้ำมูล ยอดห้วยกากวากเกี่ยวชี ปันให้เมืองขุขันธ์ แต่ปากห้วยทัพทันตกมูลถึงภูเขาวงก์

พิราลัย[แก้]

พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) ครองเมืองอุบลราชธานีมาแต่ตั้งเมืองเป็นเวลารวมได้ 3 ปี จนถึง พ.ศ. 2338 จึงถึงแก่พิราลัย สิริรวมชนมายุได้ 85 ปี มีการประกอบพระราชทานเพลิงศพด้วยเมรุนกสักกะไดลิงก์ (เมรุนกสักกะไดลิง) ณ ทุ่งศรีเมือง แล้วเก็บอัฐิธาตุบรรจุในพระธาตุเจดีย์ไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ณ บริเวณที่เป็นธนาคารออมสิน สาขาอุบลราชธานีทุกวันนี้ ต่อมาภายหลัง เมื่อมีการสร้างเรือนจำขึ้นในบริเวณดังกล่าว จึงย้ายอัฐิไปประดิษฐาน ณ วัดหลวงเมืองอุบลราชธานีจนทุกวันนี้ ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์ของพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) ประดิษฐานอยู่ที่ริมทุ่งศรีเมือง กลางเมืองอุบลราชธานี และทุกวันที่ 10-11 พฤศจิกายนของทุกปี ชาวอุบลราชธานีและหน่วยงานราชการต่างๆ จะมีการจัดงาน สดุดีวีรกรรม พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) ขึ้น ซึ่งภายในงานมีการจัดขบวนอัญเชิญเครื่องประกอบพระอิสริยยศเจ้าเมืองอุบลราชธานี พิธีการวางขันหมากเบ็งและเครื่องสักการะ นิทรรศการเล่าเรื่องเมืองอุบลราชธานี และการแสดงมหรสพต่างๆ

พระนามในจารึกท้องถิ่นและเอกสารประวัติศาสตร์[แก้]

ในจารึกพระเจ้าอินแปง[แก้]

ในจารึกศิลาพระเจ้าอินแปง รูปทรงใบเสมา ด้านที่ 1 อักษรธรรมลาวหรืออักษรธัมม์อีสาน พุทธศักราช 2350 ภาษาลาว มี 24 บรรทัด ขนาดจารึกกว้าง 60 เซนติเมตร สูง 59 เซนติเมตร หนา 19 เซนติเมตร ได้ปรากฏพระนามของพระองค์ว่า

"...ฯะ จุลศักราชได้ ๑๔๙ ตัว ปีเมิงมด พระปทุมได้มาตั้งเมิงอุบลได้ ๒๓ ปี ฯะ สังกราษได้ ๑๔๒ ตัว ปีกดสง้า จึงเถิงอนิจกรรม ล่วงไปด้วยลำดับปีเดินหั้นแล ฯะ สังกราษได้ ๑๕๔ ตัว ปีเต่าสัน พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ ได้ขึน้ เสวียเมิงอุบล ได้ ๑๕ ปี สังกราษ (ได้) ๑๖๗ ตัว ปีรวงเล้า จึงมาได้สร้างวิหารอารามในวัดป่าหลวงมณีโช (ติ) ศรีสวัสสัสดีเพื่อให้เป็นที่สำราญแก่ (พระ) พุทธรูปเจ้า สังกราษได้ร้อย ๖๙ ตัว ปีเมิงเม้า มหาราชครูศรีสัทธรรมวงศา พาลูกศิษย์สร้าง (พระ) พุทธรูปดิน (แ) ลอิฐ ชทาย ใส่วัด ล่วงเดิน ๕ เพ็ง วัน ๑ มื้อ รวงไก๊ ฤกษ์ ๑๔ ลูกชื่อว่า จิตตะ อยู่ในรษีกันย์ เบิกแล้ว ยามแถใกล้ค่ำ จึงได้ชื่อว่า พระเจ้าอินแปง..."

ในจดหมายเหตุ ร.๑[แก้]

ในจดหมายเหตุ ร.1 จ.ศ. 1154 เลขที่ 2 สมุดไทยดำ เรื่องตั้งให้พระประทุม เป็นพระประทุมวรราชสุริยวงษ เมืองอุบลราชธานี ได้ปรากฏพระนามของพระองค์ ดังนี้

"...ด้วย พระบาทสมเดจ์พระพุทธิเจ้าอยหัวผู้พานพิภพกรุงเทพพระมหาณครศรีอยุทธยา มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ตั้งให้พระประทุม เปนพระประทุมววราชสุริยวงษ ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลประเทษราช เศกให้ ณ วัน ๑๑ ฯ  ค่ำ จุลศักราช ๑๑๕๔ ปีชวด จัตวาศก..."

พระนามในวรรณกรรมประวัติศาสตร์[แก้]

ในพื้นเมืองอุบน[แก้]

ในพื้นพะวอพะตา[แก้]

พระอนุชาและพระขนิษฐา[แก้]

พระตา (พระวรราชปิตา) พระโอรสในเจ้าอุปราชนองแห่งนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลุ่มภู) ทรงมีโอรสธิดาทั้งหมด 9 องค์ ดังนี้

  • พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) ผู้ครองเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ ๑
  • พระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (ท้าวฝ่ายหน้า) พระประเทศราช ผู้ครองนครกาลจำบากนัคบุรีศรีจำปาศักดิ์ องค์ที่ ๓
  • พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวทิดพรหม) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ ๒
  • อัญญาท้าวโคต (ท้าวโคตร) พระบิดาของท้าวสีหาราช (พลสุข บุตโรบล) ปู่ของราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) ทวดของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) ผู้เป็นบิดาของอัญญานางเจียงคำ บุตโรบล (หม่อมเจียงจำชุมพล ณ อยุธยา) ในกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
  • อัญญานางมิ่ง
  • อัญญาท้าวซุย อยู่บ้านเขื่องใน
  • พระศรีบริบาล
  • อัญญานางเหมือนตา อยู่บ้านสะพือตระการ
  • อัญญาท้าวสุ่ย บิดาของอัญญาท้าวสิงห์ ต้นตระกูลสิงหัษฐิต ท้าวสิงห์มีบุตรธิดาคือ อัญญานางทอง ๑ อัญญาท้าวสีหาราช (หมั้น) ๑ อัญญานางบัว ๑ อัญญานางจันที ๑ อัญญานางวันดี ๑ อัญญาท้าวมา ๑ อัญญานางสีทา (ไม่มีบุตรธิดา) ๑ อัญญานางแพงแสน ๑ ฝ่ายอัญญาท้าวสีหาราช (หมั้น) นั้น สมรสกับอัญญานางสุนี ธิดาราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) มีบุตรธิดาคือ พระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) ๑ อัญญาท้าวสี ๑ อัญญาครูจำปาแดง ๑ อัญญานางบุญกว้าง ๑

สกุลที่สืบเชื้อสาย[แก้]

พระประทุมวรราชสุริยวงศ์เป็นต้นกำเนิดของสายสกุลต่างๆ ในเมืองอุบลราชธานีหลายสกุล เช่น

  • ณ อุบล สกุลนี้สืบเชื้อสายพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีลำดับที่ 1 ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุลสายนี้คือ พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองพิเศษเมืองอุบลราชธานีในสมัยรัชกาลที่ 5
  • สุวรรณกูฏ สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีลำดับที่ 3 บุตรในพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุลคือ รองอำมาตย์เอก พระบริคุฏคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ)
  • สิงหัษฐิต สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทาง ท้าวสิงผู้เป็นบุตรของเจ้าพระตา ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล คือ อำมาตย์ตรี พระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) บิดาของนายเติม วิภาคย์พจนกิจ ผู้เขียนหนังสือ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง และ ประวัติศาสตร์อีสาน
  • บุตโรบล สายนี้สืบมาจากท้าวโคตซึ่งเป็นบุตรในพระตา และเป็นอนุชาในพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) ผู้รับพระราชทานสกุลคือ ร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง บุตโรบล) สายสกุลนี้เป็นสายสกุลของอัญญานางเจียงคำ บุตโรบล (หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา) ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
  • พรหมวงศานนท์ สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางท้าวพรหมวงษา ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุลคือ รองอำมาตย์โท พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) อดีตข้าหลวงบริเวณอุบลราชธานี (2450)
  • ทองพิทักษ์ สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางอุปฮาด (สุดตา) เชษฐาของพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) พระโอรสในพระประทุมวรราชสุริยวงศ์
  • อมรดลใจ สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระอมรดลใจ (อ้ม สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองตระการพืชผลองค์แรก ท่านเป็นบุตรในพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีลำดับที่ 3 และเป็นเขยในเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์
  • โทนุบล สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางเจ้าเมืองมหาชนะชัย หรือท้าวคำพูน สุวรรณกูฏ ผู้เป็นบุตรในพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีลำดับที่ 3 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามท้าวคำพูนว่า พระเรืองชัยชนะ เจ้าเมืองมหาชนะชัย ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ต่อมาภายหลังเมืองมหาชนะชัยได้ถูกลดฐานะเป็นอำเภอภายใต้การปกครองของเมืองอุบลราชธานี โดยมีหลวงวัฒนวงศ์ โทนุบล (โทน สุวรรณกูฏ) ผู้เป็นนัดดาในพระเรืองชัยชนะ เป็นนายอำเภอคนแรก


อนึ่ง ทายาทบุตรหลานสายใดก็ดีหรือสกุลใดก็ดี ที่ถือกำเนิดจากเชื้อสายของพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) และเจ้านายตุ่ยพระมเหสี นั้นนับว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์นับได้ถึง 2 ราชวงศ์ อันได้แก่ ราชวงศ์เเสนทิพย์นาบัว และราชวงศ์ล้านช้างจำปาศักดิ์

พงศาวลี[แก้]

อ้างอิง[แก้]

ก่อนหน้า เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง ณ อุบล) ถัดไป
เริ่มตั้งเมืองอุบลราชธานี
เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช
(พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2338)
พระพรหมวรราชสุริยวงศ์