พระติสสสัมพุทธเจ้า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระติสสสัมพุทธเจ้า
ข้อมูล
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา

พระติสสสัมพุทธเจ้า ปรากฏในเรื่อง อนาคตวงศ์[1] ครั้นเมื่อศาสนาของพระนรสีหสัมพุทธเจ้า เสื่อมลง แผ่นดินถูกทำลายไป และเกิดแผ่นดินใหม่ที่ไม่มีพระพุทธเจ้า บังเกิดเรียกว่า สุญญกัปป์ จนแผ่นดินนี้ถูกทำลายไป เกิดแผ่นดินใหม่ชื่อว่ามัณฑกัปป์จะมีพระพุทธเจ้า สองพระองค์เกิดขึ้นองค์หนึ่งนามว่า พระติสสสัมพุทธเจ้า โดยในสมัย พระโคตมพุทธเจ้า ท่านเสวยพระชาติเป็นช้างชื่อ นาฬาคิรีอีกองค์หนึ่งนามว่า พระสุมังคละสัมพุทธเจ้า

อดีตกาล[แก้]

โดยพระองค์ได้บำเพ็ญบารมี 30 ทัศน์มาอย่างยิ่งยวด โดยมีปรมัตถบารมีหนึ่งคือ ในสมัย พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ช้างนาฬาคิรี ได้เกิดเป็นพระราชโอรสองค์โต ชื่อว่า ธรรมเสนกุมาร ของบรมกษัตริย์พระธรรมราช ปกครองเมือง จำปานคร มีน้องอีกสี่คน ชื่อว่า ภัททกุมาร รามกุมาร ปมาทกุมาร และธัชชกุมาร ตามลำดับ พระบิดามีรับสั่งให้พระราชโอรสทั้ง 5 ไปเรียนวิชากับอาจารย์ ณ เมืองตักศิลา พระโอรสก็ได้ไปเรียนมาคนละอย่าง คือ

  1. ธรรมเสนกุมาร เรียนวิชาการให้ทานและศีล
  2. ภัททกุมาร เรียนวิชาธนูพิษ
  3. รามกุมาร เรียนวิชาดอกไม้ไฟ
  4. ปมาทกุมาร เรียนวิชาช่างทอง
  5. ธัชชกุมารเรียนวิชาแปลงกายเป็นอสรพิษ

เมื่อสำเร็จการศึกษาทั้ง 5 ก็เดินทางกลับเมืองจำปานคร เมื่อกลับไปถึงก็แสดงวิชาที่ตนเองได้ร่ำเรียนมาให้พระบิดาจนพอพระทัยอย่างมากครั้นเมื่อพระราชโอรสทั้ง 5 เจริญวัยขึ้นก็อยากยกราชสมบัติให้แต่ก็กลัวว่าลูกคนที่ไม่ได้จะเกิดรบราฆ่าฟัน จึงให้ราชโอรสทั้งหมดออกไปยังเมืองอื่นและใช้วิชาที่ตนเรียนมาให้ชาวเมืองทั้งหลายชื่นชม ผู้ใดทำได้จะยกราชบัลลังก์ให้ผู้นั้น พร้อมทั้งจัดเรือขนสำภาระให้แก่ราชโอรสทั้งหมดเมื่อเรือแล่นไปกลางมหาสมุทร ภัททกุมาร เข้าใจว่าลูกศรพิษคงอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรนี้ ถ้านำขึ้นมาได้ราชบิดาคงยกสมบัติให้ คิดดังนี้จึงกระโจนลงน้ำ กลายเป็นอาหารให้กับปลาใหญ่ไปเมื่อเรือแล่นต่อไป จนถึงเวลาเที่ยงคืน น้ำในมหาสมุทรเป็นสีเลื่อมพรายมองดูเหมือนดอกไม้ไฟ รามกุมาร เห็นว่าเพลิงดอกไม้ไฟนี้อยู่ในท้องมหาสมุทร ถ้านำขึ้นมาได้ราชบิดาคงยกสมบัติให้ คิดดังนี้จึงกระโจนลงน้ำ กลายเป็นอาหารให้กับปลาไปเมื่อเรือแล่นต่อไป จนเช้า ถึงเที่ยง ปมาทกุมาร เห็นเงาของดวงอาทิตย์ในน้ำ คิดว่าทองคำเนื้อบริสุทธิ์ คงอยู่ใต้ทะเลเป็นแน่ ถ้านำขึ้นมาได้ราชบิดาคงยกสมบัติให้ คิดดังนี้จึงกระโจนลงน้ำ กลายเป็นอาหารให้กับปลาใหญ่ไปครั้นเรือแล่นไปจนถึงเมืองหนึ่ง ธัชชกุมารที่เรียนวิชาแปลงกายเป็นอสรพิษ คิดสำแดงวิชาจึงแปลงกายเป็นอสรพิษ ชาวเมืองเห็นจึงรุมตีด้วยไม้และก้อนหิน จนตายเหลือแต่ ธรรมเสนกุมาร ผู้เดียวอาศัยในเมืองนั้น วันหนึ่งมีฤๅษี 8 หมื่นตน เหาะมาจากป่าหิมพานต์เพื่อมาบิณฑบาตร ธรรมเสนกุมาร เห็นว่าเราร่ำเรียนมาก็มาก ยังเหาะไม่ได้เลย แต่ดาบสเหล่านี้เหาะได้ทุกคน ด้วยความสงสัยจึงเข้าไปสอบถาม ถึงเหตุ และขอให้ดาบสสอนวิชานี้ให้กับตน ดาบสจึงพา ธรรมเสนกุมาร ไปยังป่าหิมพานต์ และสอนการเจริญภาวนา จนกุมารได้อภิญญา ได้แก่ ตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติ รู้วาระจิต ทรงอิทธิฤทธิ์เมื่อสำเร็จดังนี้ ธรรมเสนกุมาร จึงลาอาจารย์ดาบส กลับไปยังเมืองจำปานครของตน โดยเหาะไปเมื่อชาวเมืองเห็น พระองค์เหาะมาจึงชื่นชมเป็นอันมาก เมื่อไปถึงวัง พระบิดาเห็น ธรรมเสนกุมาร ใส่ชุดดาบส ก็เกิดความเลื่อมใสเป็นอันมาก ให้ดาบสนั่งบนตัก สอบถามถึงเรื่องของบุตรคนอื่นๆ และเรื่องราวต่างๆ จนเข้าใจแล้ว ก็ยกราชสมบัติให้กับ ธรรมเสนกุมารเมื่อ ธรรมเสนกุมาร ได้เปลื้องเครื่องบริขารออก เป็นคฤหัสแล้ว ก็อธิษฐานให้เครื่องบริขารทั้ง 8 กลับไปยังสำนักดาบส ฝ่ายพระบิดาก็จัดงานอภิเษก พระโอรสกับ นางลัมภุสสราชเทวี มีพระราชโอรส และพระราชธิดา สืบมา

วันหนึ่ง กษัตริย์ธรรมเสน พร้อมดัวย มเหสี และพระราชโอรส พระราชธิดา เสด็จไปสรงน้ำนอกเมือง มียักษ์ ตนหนึ่งเห็นพระราชกุมารทั้งสอง ก็อยากกินไม่อาจจะอดกลั้นได้ จึงปรากฏกายต่อหน้า และร้องขอพระกุมารทั้งสองเพื่อกินเป็นภักษาหาร ต่อหน้า กษัตริย์ธรรมเสน ด้วยความเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งมีน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ และปรารถนาเพื่อจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเกิดกรุณาจิต ยกราชกุมารทั้งสองให้กับยักษ์ พร้อมทั้งหลั่งน้ำลงกับมือยักษ์นั้น อธิษฐานว่า มิใช่ตนไม่รักบุตรทั้งสองแต่รักในพระสัพพัญญูมากกว่า ขอมหาทานนี้เป็นปัจจัยให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตเทอญ ครั้นแล้วเกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหวทั่วโลกธาตุ ด้วยมหาทานนี้ ฝ่ายยักษ์เมื่อรับพระกุมารทั้งสองไปก็กินเป็นอาหารและกลับเข้าป่าไป ฝ่าย กษัตริย์ธรรมเสนก็เสด็จกลับเมืองระหว่างทางกลับนี้เอง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนแก่คนหนึ่งนั่งอมทุกข์ จึงเข้าไปไตรถาม ฝ่ายบุรุษนั้นตอบว่าตนอยู่มาจนป่านนี้แล้ว บุตร ภรรยาไม่มี จึงมานั่งโศกเศร้าที่นี่ เมื่อพระองค์ได้ฟังดังนั้น จึงยกพระราชมเหสีของตนให้กับบุรุษนี้ พร้อมหลั่งน้ำ อธิษฐานขอมหาทานที่ได้ยกมเหสีที่รักนี้เป็นปัจจัยให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตเทอญ ครั้นแล้วก็เกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหวทั่วโลกธาตุ ด้วยมหาทานนี้ เมื่อบุรุษรับพระมเหสีมาแล้วก็พูดกับนางลัมภุสส ว่า อันตัวเองแก่แล้ว ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี เจ้าจะอยู่ด้วยได้หรือเปล่าพระธรรมเสน ได้ยินดังนั้น จึงยกราชสมบัติของตนให้กับบุรุษนั้นและออกบวชเป็นดาบส และอธิษฐานขอมหาทานที่ได้ยกราชสมบัตินี้เป็นปัจจัยให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตเทอญ ครั้นแล้วก็เกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหวทั่วโลกธาตุ ด้วยมหาทานนี้ อีกครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์เมื่อได้บรรพชาเป็นดาบสแล้วก็เจริญภาวนา จนได้อภิญญา 5 สมาบัติ 8 เกิดขึ้นเหมือนครั้งก่อน แล้วก็เหาะไปยังป่าหิมพานต์เข้าสู่สำนักดาบสในครั้งนั้น มีพระสาวกองค์หนึ่งของ พระโกนาคมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ได้เข้าไปยังป่าหิมพานต์ ฤๅษีทั้งหลายเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใส นิมนต์ให้ค้างอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้า พระธรรมเสน ก็เหาะเข้าไปยังสำนักของพระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นลักษณะมหาบุรุษ เกิดความเลื่อมใส จึงขอให้พระองค์แสดงธรรมเทศนาเมื่อฟังพระธรรมเทศนาแล้ว พระโพธิสัตว์ เกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมากจึงได้ตัดศีรษะของตน ด้วยเล็บที่คมเหมือนดาบ วางบนมือของตน ชูขึ้นเป็นเครื่องบูชาธรรม ต่อหน้าพระโกนาคม และอธิษฐาน ด้วยปรมัตถทานที่ได้ถวายศีรษะนี้เป็นปัจจัยให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตเทอญ ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์ก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

พระลักษณะ[แก้]

พระติสสสัมพุทธเจ้า พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๐ ศอก มีพระชนมายุยืนได้ ๘ หมื่นปี มีไม้ไทรเป็นศรีมหาโพธิ มีพระพุทธรัศมีสว่างเสมอดังเปลวเพลิง อันสุกรุ่งเรืองยังโลกธาตุทั้งปวงให้สว่างไปสิ้นทั้งกลางวันกลางคืน พระพุทธรัศมีที่พุ่งผุดออกจากพระสรีรกายมีหลายรูปแบบ เป็นเกลียวอันเดียวกัน แล้วก็แตกออกไปเป็นสีต่างๆ ก็มี เวียนเป็นทักขิณาวัฏ เวียนขวาขาวดุจสีสังข์ ก็มี ปรากฏเป็นพุ่มกลุ่มออกไป เปรียบประดุจเศวตฉัตรก็มี พุ่งพวยเรียวรีดเร็วออกไปก็มี เปรียบเหมือนชายธงก็มี ห้อยย้อยแพรวพราวเป็นสายงามประดุจดังว่าระบายสายเศวตฉัตร ก็มี พระพุทธรัศมีทั้งหลาย ที่ออกจากพระสรีรกายนั้น ดูเป็นช่อพัวพันพระองค์อยู่โดยรอบคอบ ควรจะเกิดมหัศจรรย์ยิ่งนัก และมีต้นกัลปพฤกษ์ เกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายมิได้ขัดสนในการเลี้ยงชีวิตเลย

อ้างอิง[แก้]

พระติสสสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ เก็บถาวร 2015-02-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน พระติสสสัมพุทธเจ้า

  1. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-13. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05.