ปาโบล เอสโกบาร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปาโบล เอสโกบาร์
ภาพถ่ายหน้าตรงของปาโบล เอสโกบาร์ ค.ศ. 1976
เกิดปาโบล เอมิลิโอ เอสโกบาร์ กาบิเรีย
(Pablo Emilio Escobar Gaviria)

01 ธันวาคม ค.ศ. 1949(1949-12-01)
ริโอเนโกร จังหวัดอันติโอเกีย ประเทศโคลอมเบีย
เสียชีวิต2 ธันวาคม ค.ศ. 1993(1993-12-02) (44 ปี)
เมเดยิน จังหวัดอันติโอเกีย ประเทศโคลอมเบีย
สาเหตุเสียชีวิตบาดแผลกระสุนปืนที่ศีรษะ
ชื่ออื่น
  • Don Pablo (Sir Pablo)
  • El Padrino (The Godfather)
  • El Patrón (The Boss)
  • Matar Pablo (Killing Pablo)
  • The King of Cocaine
  • The King of Crack
  • Paisa Robin Hood
พรรคการเมืองเสรีนิยมโคลอมเบีย
คู่สมรสมาเรีย บิกโตเรีย เอนาโอ (สมรส 1976)
บุตรเซบัสติอัน มาร์โรกิน และ มานูเอลา เอสโกบาร์
พิพากษาลงโทษฐาน
  • การลักลอบค้ายาเสพติด
  • คดีลอบฆ่า
  • การทิ้งระเบิด
  • ติดสินบน
  • ฉ้อโกง
  • ฆาตกรรม
บทลงโทษจำคุก 5 ปี
ลายมือชื่อ
เอสโกบาร์เสียชีวิตขณะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจโคลอมเบีย

ปาโบล เอมิลิโอ เอสโกบาร์ กาบิเรีย (สเปน: Pablo Emilio Escobar Gaviria; /ˈɛskəbɑːr/; ภาษาสเปน: [ˈpaβlo es.koˈβ̞aɾ]; 1 ธันวาคม ค.ศ. 1949 – 2 ธันวาคม ค.ศ. 1993) เป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดชาวโคลอมเบียและผู้ก่อการร้ายด้วยยาเสพติด (Narcoterrorism) ที่เป็นผู้ก่อตั้งและผู้นำแต่เพียงผู้เดียวของแก๊งเมเดยิน ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "ราชาแห่งโคเคน" เอสโกบาร์เป็นอาชญากรที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าสิทธิประมาณ 30 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยช่วงเวลาที่เขาเสียชีวิต - ซึ่งเทียบเท่ากับ 59 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2019 - ในขณะที่แก๊งค้ายาของเขาได้ผูกขาดการค้าโคเคนในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปี ค.ศ. 1980 และต้นปี ค.ศ. 1990[1][2]

เขาเกิดในริโอเนโกรและเติบโตในเมืองเมเดยิน เอสโกบาร์ได้เข้าเรียนในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ Universidad Autónoma Latinoamericana ของเมเดยิน แต่ก็ได้ออกมาโดยไม่จบการศึกษา เขาได้ริเริ่มมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางอาญาแทน เช่น ขายบุหรี่ที่ผิดกฎหมายและใบล็อตเตอรี่ปลอม รวมทั้งมีส่วนร่วมในการโจรกรรมรถยนต์ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1970 เขาได้เริ่มทำงานให้กับผู้ลักลอบขนยาเสพติดหลายราย โดยมักจะลักพาตัวและจับคนมาเรียกค่าไถ่

ในปี ค.ศ. 1976 เอสโกบาร์ได้ก่อตั้งแก๊งเมเดยิน ซึ่งได้จำหน่ายผงโคเคน และสร้างเส้นทางการลักลอบขนของผิดกฎหมายเข้าสู่สหรัฐเป็นครั้งแรก การแทรกซึมในสหรัฐอเมริกาของเอสโกบาร์ทำให้เกิดความต้องการโคเคนจำนวนมากมายเท่าทวีคูณ และในปี ค.ศ. 1980 ได้คาดการณ์ว่า เอสโกบาร์ได้นำโคเคนจำนวน 70 ถึง 80 ตัน เข้าสู่ประเทศจากโคลอมเบียเป็นรายเดือน ส่งผลทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่างรวดเร็ว[3][4] แต่ก็ได้ต่อสู้กับแก๊งค้ายาอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การสังหารหมู่และการฆาตกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้พิพากษา ชาวบ้าน และนักการเมืองที่มีชื่อเสียง[5] ทำให้โคลอมเบียกลายเป็นเมืองหลวงแห่งฆาตกรรมของโลก

ในการเลือกตั้งรัฐสภาโคลอมเบีย ปี ค.ศ. 1982 เอสโกบาร์ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกผู้แทนของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการทางเลือกเสรีนิยม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเป็นผู้รับผิดชอบโครงการชุมชน เช่น การสร้างบ้าน และสนามฟุตบอล ซึ่งทำให้เขาได้รับความนิยมในหมู่คนท้องถิ่นในเมืองที่เขาแวะเวียนมา อย่างไรก็ตาม เอสโกบาร์ได้ถูกรัฐบาลโคลอมเบียและสหรัฐประณาม ที่คอยยับยั้งความทะเยอทะยานทางการเมืองของเขาเป็นประจำและผลักดันให้มีการจับกุมเขา โดยมีการเชื่อถือกันอย่างกว้างขวางว่า เอสโกบาร์จะจัดเตรียมการวางระเบิดตึกอาคารฝ่ายบริหารจังหวัดเพื่อความมั่นคง(Administrative Department of Security-DAS) และอาเบียงกา เที่ยวบินที่ 203 เพื่อเป็นการตอบโต้

ในปี ค.ศ. 1991 เอสโกบาร์ได้ยอมจำนนต่อทางการและถูกตัดสินจำคุก 5 ปี ในข้อหาหลายคดี แต่ยังไม่มีข้อตกลงในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประธานาธิบดีโคลอมเบีย เซซาร์ กาวิเรีย ด้วยศักยภาพในการถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำที่เขาสร้างขึ้นเอง ลา กาเตดรัล ในปี ค.ศ. 1992 เอสโกบาร์ได้หลบหนีออกมาและหลบซ่อนตัว เมื่อเจ้าหน้าที่ของทางการได้พยายามที่จะย้ายเขาไปยังสถานที่คุมขังที่มีมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การไล่ล่าไปทั่วประเทศ[6] เป็นผลทำให้แก๊งเมเดยินล่มสลาย และในปี ค.ศ. 1993 เอสโกบาร์ถูกสังหารในบ้านเกิดของเขาโดยตำรวจแห่งชาติโคลอมเบีย หนึ่งวันหลังจากวันเกิดปีที่ 44 ของเขา[7]

มรดกตกทอดของเอสโกบาร์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ในขณะที่หลายคนได้ประณามลักษณะที่เลวร้ายของการก่ออาชญากรรมของเขา เขาถูกมองว่าเป็น"โรบินฮู้ด" สำหรับหลาย ๆ คน ในโคลอมเบีย ในขณะที่เขาได้ให้สิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแก่คนยากจน การตายของเขาเป็นไปอย่างโศกเศร้าและมีผู้เข้าร่วมงานศพมากกว่า 25,000 คน[8] นอกจากนี้ อสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวของเขา Hacienda Nápoles ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนสนุก[9] และเขาได้ถูกยกย่องและติเตียนในการนำเข้าฮิปโปโปเตมัสมายังโคลอมเบีย[10] ชีวิตของเขายังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหรือได้ถูกนำไปแสดงละครอย่างกว้างขวางทั้งในภาพยนตร์ โทรทัศน์ และดนตรี

อ้างอิง[แก้]

  1. "10 facts reveal the absurdity of Pablo Escobar's wealth". Business Insider. สืบค้นเมื่อ 28 July 2018.
  2. "Here's How Rich Pablo Escobar Would Be If He Was Alive Today". UNILAD (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 13 September 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2018. สืบค้นเมื่อ 28 July 2018.
  3. "10 facts reveal the absurdity of Pablo Escobar's wealth". businessinsider.com. February 2016.
  4. Page 469, Pablo Escobar, My Father. Escobar, Juan Pablo. St. Martin's Press, New York. 2014.
  5. "Pablo Escobar Gaviria – English Biography – Articles and Notes". ColombiaLink.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 November 2006. สืบค้นเมื่อ 16 March 2011.
  6. "Familiares exhumaron cadáver de Pablo Escobar para verificar plenamente su identidad". El Tiempo.[ลิงก์เสีย]
  7. "Decline of the Medellín Cartel and the Rise of the Cali Mafia". U.S. Drug Enforcement Administration. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 January 2006. สืบค้นเมื่อ 13 February 2010.
  8. "Pablo Escobar: Biography". Biography.com. สืบค้นเมื่อ 17 July 2019.
  9. "Escobar's Former Mansion Will Now Be A Theme Park". Medellín Living. 13 January 2014. สืบค้นเมื่อ 17 July 2019.
  10. "How this drug lord [Escobar] created a hippo problem in Colombia". Vox. สืบค้นเมื่อ 17 July 2019.