ดุสิตธานี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เมืองดุสิตธานี

ดุสิตธานี เป็นเมืองจำลองรูปแบบระบอบประชาธิปไตย ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 บริเวณพระราชวังพญาไท ดุสิตธานีเป็นเมืองเล็ก ๆ มีเนื้อที่ 3 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณรอบพระที่นั่งอุดร ในพระราชวังดุสิต มีลักษณะเป็นเมืองเล็ก ๆ คล้ายเมืองตุ๊กตา มีขนาดพื้นที่ 1 ใน 20 เท่าของเมืองจริง ประกอบด้วย พระราชวัง ศาลารัฐบาล วัดวาอาราม สถานที่ราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาดร้านค้า ธนาคาร โรงละคร ประมาณเกือบสองร้อยหลัง เพื่อเป็นแบบทดลองของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยโปรดให้มีพระธรรมนูญการปกครองลักษณะนคราภิบาล ซึ่งเปรียบลักษณะ ของเมือง มีพรรคการเมือง 2 พรรค การเลืองตั้งนัคราภิบาล หรือนายกเทศมนตรี (ตำแหน่งนี้ปัจจุบันเปรียบได้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน) และมีสภาการเมือง (หรือรัฐสภาในปัจจุบัน) แบบระบอบประชาธิปไตย

ต่อมาดุสิตธานีได้โตขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีที่จะสร้างบ้านเรือน พอดีกับเวลาที่จะสร้างพระราชฐานใหม่ที่พระราชวังพญาไทจึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองทั้งเมืองไปตั้งที่บริเวณพระราชวังพญาไท เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2462 ในจำนวนบ้านเล็ก ๆ นั้น มีศาลาว่าการมณฑลดุสิตธานี (ปัจจุบันเทียบเท่ากับศาลากลางจังหวัด) และมีนาคาศาลา (เทียบได้กับศาลากลางบ้านหรือศาลากลางชุมชน) ซึ่งมีความหมายว่า ศาลาของประชาชน เท่ากับว่าเป็นที่ตั้งสภาจังหวัด รัชกาลที่ 6 ทรงเป็นนาคาแห่งดุสิตธานีผู้หนึ่ง ทรงใช้พระนามแฝงว่า นายราม ณ กรุงเทพ ทรงเป็นทนายและทรงเป็นมรรคนายกวัดพระบรมธาตุ ทรงเป็นพระราชมุนี เจ้าอาวาสวัดธรรมธิปไตย และทรงแสดงพระธรรมเทศนาจริง ๆ ด้วย นอกจากนี้ทรงให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องที่ดิน

ที่มาและประวัติ[แก้]

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มโครงการเมืองทดลอง หรือ เมืองตุ๊กตานี้ ตั้งแต่สมัยที่ดำรงตำแหน่งองค์มกุฎราชกุมาร ประมาณกลางปี พ.ศ. 2446 [1] ได้สร้างเมืองมัง นับได้ว่าเป็นเมืองดุสิตธานี สมัยที่หนึ่ง ณ พระตำหนักอัมพวา โดยทำเป็นเมืองขนาดเล็กเรียกว่า เมืองตุ๊กตา และเมืองมัง ก็ยุติลง เมื่อพระองค์ทรงผนวช เมื่อปี พ.ศ. 2448

ต่อมาเมื่อพระองค์ได้เป็นผู้สำเร็จราชการในปี พ.ศ. 2450 จึงได้ทรงทดลองวิธีการปกครองบ้านเมืองแบบเมืองมังอีกครั้งหนึ่ง โดยทรงสร้างเป็นเรือนแถวขึ้นตลอดแนวกำแพงที่กั้นพระตำหนักจิตรลดารโหฐานกับวังปารุสกวันเก่า โดยทรงสมมุติว่าเป็นหมู่บ้านและสมมุติให้มหาดเล็กเป็นเจ้าของบ้าน มีลักษณะการบริหารแบบนี้ว่า นคราภิบาล (ตำแหน่งนี้ปัจจุบันเปรียบได้กับตำแหน่งนายกเทศมนตรีในปัจจุบัน) นับได้ว่าเป็นดุสิติธานีสมัยที่ 2 ของสยามประเทศ

ภายหลังการเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ. 2453 ก็ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย จึงทำให้โครงการเมืองทดลองชะงักไปชั่วคราว จนในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 ก็ได้ทรงสร้างเมืองดุสิตธานีขึ้นต่ออีก [1]

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2461 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทวยนาครดุสิตธานีมาประชุม เพื่อการเลือกตั้งให้ถูกต้องตามพระธรรมนูญในคราวนี้ พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) ได้รับเลือกเป็นนคราภิบาลอย่างถูกต้องเป็นคนแรก และเป็นการเลือกตั้งครั้งที่สอง

ข้อวิพากษ์วิจารณ์[แก้]

นอกจากนี้ในเมืองดุสิตธานีมีการออกหนังสือพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์ และเสนอข่าวในเมืองจำลอง เพื่อเพียรพยายามปลูกฝังหัดการปกครองระบอบรัฐสภา กระนั้นก็ตามมีผู้วิจารณ์ว่า การสร้างเมืองจำลองดุสิตธานี เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เหมือนกับทรงเล่นละครเรื่องอื่น พระองค์ทรงหาได้ตั้งใจที่จะก่อตั้งรูปการปกครองแบบประชาธิปไตยที่จะก่อตั้งรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยอย่างจริงจังไม่ สถานการณ์ช่วงนั้น นับวันผู้ที่มีความรู้เพิ่มมากขึ้นอยู่ตลอดเวลาหลายคนมีความเห็นและให้ทัศนะไปในทางเดียวกันว่า การปกครองระบอบราชาธิปไตย ที่องค์พระมหากษัตริย์ใช้ในทางนิติบัญญัติ ใช้ในทางบัญญัติ ใช้ในทางบริหารและใช้ในทางตุลาการแต่พระองค์เองนั้น เป็นการพ้นสมัยเสียแล้ว ไม่อาจพารัฐก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็นไป โดยกลุ่มคนยุคใหม่ (ในสมัยนั้น) ได้ยกตัวอย่างเช่น อังกฤษ ในสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 2 หรือเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศสซึ่งท้ายสุดแล้วจบลงด้วยการ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นต้น แม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในเอเชียด้วยกันก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 สรปุจากคณะกรรมการสัมมนาเรื่องดุสิตธานี, ดุสิตธานีเมืองประชาธิปไตย (พระนคร: หอสมุดแห่งชาติ, 2513), หน้า 22-46.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]