จังหวัดอำนาจเจริญ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จังหวัดอำนาจเจริญ
การถอดเสียงอักษรโรมัน
 • อักษรโรมันChangwat Amnat Charoen
จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง:
คำขวัญ: 
พระมงคลมิ่งเมือง แหล่งรุ่งเรืองเจ็ดลุ่มน้ำ
งามล้ำถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เทพนิมิตพระเหลา
เกาะแก่งเขาแสนสวย เลอค่าด้วยผ้าไหม
ราษฎร์เลื่อมใสใฝ่ธรรม
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดอำนาจเจริญเน้นสีแดงประเทศมาเลเซียประเทศพม่าประเทศลาวประเทศเวียดนามประเทศกัมพูชาจังหวัดนราธิวาสจังหวัดยะลาจังหวัดปัตตานีจังหวัดสงขลาจังหวัดสตูลจังหวัดตรังจังหวัดพัทลุงจังหวัดกระบี่จังหวัดภูเก็ตจังหวัดพังงาจังหวัดนครศรีธรรมราชจังหวัดสุราษฎร์ธานีจังหวัดระนองจังหวัดชุมพรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จังหวัดเพชรบุรีจังหวัดราชบุรีจังหวัดสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสาครกรุงเทพมหานครจังหวัดสมุทรปราการจังหวัดฉะเชิงเทราจังหวัดชลบุรีจังหวัดระยองจังหวัดจันทบุรีจังหวัดตราดจังหวัดสระแก้วจังหวัดปราจีนบุรีจังหวัดนครนายกจังหวัดปทุมธานีจังหวัดนนทบุรีจังหวัดนครปฐมจังหวัดกาญจนบุรีจังหวัดสุพรรณบุรีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจังหวัดอ่างทองจังหวัดสิงห์บุรีจังหวัดสระบุรีจังหวัดลพบุรีจังหวัดนครราชสีมาจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดสุรินทร์จังหวัดศรีสะเกษจังหวัดอุบลราชธานีจังหวัดอุทัยธานีจังหวัดชัยนาทจังหวัดอำนาจเจริญจังหวัดยโสธรจังหวัดร้อยเอ็ดจังหวัดมหาสารคามจังหวัดขอนแก่นจังหวัดชัยภูมิจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดนครสวรรค์จังหวัดพิจิตรจังหวัดกำแพงเพชรจังหวัดตากจังหวัดมุกดาหารจังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดเลยจังหวัดหนองบัวลำภูจังหวัดหนองคายจังหวัดอุดรธานีจังหวัดบึงกาฬจังหวัดสกลนครจังหวัดนครพนมจังหวัดพิษณุโลกจังหวัดอุตรดิตถ์จังหวัดสุโขทัยจังหวัดน่านจังหวัดพะเยาจังหวัดแพร่จังหวัดเชียงรายจังหวัดลำปางจังหวัดลำพูนจังหวัดเชียงใหม่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดอำนาจเจริญเน้นสีแดง
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดอำนาจเจริญเน้นสีแดง
ประเทศ ไทย
การปกครอง
 • ผู้ว่าราชการ ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ[1]
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2566)
พื้นที่[2]
 • ทั้งหมด3,161.248 ตร.กม. (1,220.565 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่อันดับที่ 60
ประชากร
 (พ.ศ. 2564)[3]
 • ทั้งหมด376,350 คน
 • อันดับอันดับที่ 65
 • ความหนาแน่น119.05 คน/ตร.กม. (308.3 คน/ตร.ไมล์)
 • อันดับความหนาแน่นอันดับที่ 42
รหัส ISO 3166TH-37
ชื่อไทยอื่น ๆอำนาจ
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
 • ต้นไม้ตะเคียนหิน
 • ดอกไม้ทองกวาวเหลือง
 • สัตว์น้ำปลาสร้อยขาว
ศาลากลางจังหวัด
 • ที่ตั้งภายในศูนย์ราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ถนนชยางกูร ตำบลโนนหนามแท่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ 37000
 • โทรศัพท์0 4551 1443
เว็บไซต์www.amnatcharoen.go.th
สารานุกรมประเทศไทย ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

อำนาจเจริญ เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานจากการค้นพบแหล่งชุมชนโบราณ โบราณสถาน และโบราณวัตถุตามที่กรมศิลปากรค้นพบและสันนิษฐานไว้ตามหลักฐานทางโบราณคดี (ใบเสมาอายุราว 1,000 ปี) และได้ตั้งเป็นเมืองมานานหลายร้อยปี ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 พร้อมกับจังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดสระแก้ว เดิมเป็นอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี ประกอบด้วยอำเภออำนาจเจริญ (ปัจจุบันคืออำเภอเมืองอำนาจเจริญ) อำเภอชานุมาน อำเภอปทุมราชวงศา อำเภอพนา อำเภอหัวตะพาน อำเภอเสนางคนิคม และกิ่งอำเภอลืออำนาจ (ปัจจุบันคืออำเภอลืออำนาจ) คำว่าอำนาจเจริญเป็นคำยืมจากภาษาเขมร มีความหมายตามตัว คือ อำนาจเจริญ เมืองที่มีสมญานามว่า เมืองข้าวหอมโอชา ถิ่นเสมาพันปี

อาณาเขต[แก้]

ประวัติศาสตร์[แก้]

เมื่อปี พ.ศ. 2357 เจ้าพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนที่ 2 (ต้นสายสกุล "พรหมวงศานนท์" ) ได้มีใบบอกลงไปกราบทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขอพระราชทานตั้งบ้านโคกก่งดงพะเนียง เป็นเมืองเขมราษฎร์ธานี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านโคกก่งดงพะเนียงขึ้นเป็นเมือง ตามที่พระพรหมวรราชสุริยวงศากราบทูล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปราช (ก่ำ) พระโอรสพระวอ เป็นที่พระเทพวงศา (ก่ำ) (2357-2369)

ต่อมาในปี พ.ศ. 2369 เกิดศึกระหว่างกรุงเทพมหานครกับกองทัพเจ้าอนุวงศ์ เจ้านครจำปาศักดิ์ได้ยกทัพมายึดเมืองเขมราษฎร์ธานี ขอให้พระเทพวงศา (ก่ำ) เข้าเป็นพวกด้วย แต่พระเทพวงศาไม่ยอมจึงถูกประหารชีวิต พระเทพวงศา (ก่ำ) มีบุตร 4 คน บุตรชายคนหนึ่งคือพระเทพวงศา (บุญจันทร์) มีบุตรชาย 2 คน คือ ท้าวบุญสิงห์และท้าวบุญชัย ต่อมาท้าวบุญสิงห์ได้เป็นเจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี มียศเป็นพระเทพวงศา (บุญสิงห์) มีบุตรชาย 2 คน คือ ท้าวเสือและท้าวพ่วย ต่อมาท้าวพ่วยได้รับการแต่งตั้งเป็นท้าวขัตติยะ และเป็นเจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานีลำดับที่ 5 ตำแหน่งพระเทพวงศา (พ่วย) ส่วนท้าวเสือได้รับยศเป็นท้าวจันทบุฮมหรือจันทบรม

ต่อมาในปี พ.ศ. 2401 ท้าวจันทบรม (เสือ) ได้มีใบกราบบังคมทูลทรงกรุณาทราบ ขอยกฐานะบ้านค้อใหญ่ (ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอลืออำนาจ) ขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านค้อใหญ่ขึ้นเป็นเมือง พระราชทานนามว่า เมืองอำนาจเจริญ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท้าวจันทบรม (เสือ) บุตรพระเทพวงศา บุญสิงห์) พระประเทศราชผู้ครองเมืองเขมราษฎร์ธานี องค์ที่ 4 มีศักดิ์เป็นเหลนพระวรราชภักดี ผู้ครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน พระองค์ที่ 3 อันสืบมาจากราชวงศ์แสนทิพย์นาบัว โดยมีเจ้าอุปราชนองเป็นปฐมวงศ์ เป็นที่พระอมรอำนาจ (เสือ) ต้นสายสกุลอมรสิน และอมรสิงห์ ดังปรากฏตราสารตั้งเจ้าเมืองอำนาจเจริญ เมืองอำนาจเจริญจึงได้รับการสถาปนาเป็นเมืองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยขึ้นการบังคับบัญชาของเจ้าเมืองเขมราษฎร์ธานี

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิรูปการปกครองให้เข้าสู่ระบบการบริหารราชการแผ่นดินแบบยุโรปตามแบบสากล เป็นเทศาภิบาล เมื่อ พ.ศ. 2429-2454 โดยยกเลิกการปกครองแบบเดิมที่ให้มีเจ้าเมือง อุปราช ราชวงศ์ และราชบุตร ที่เรียกว่า อาญาสี่

นับแต่ พ.ศ. 2429-2454 ได้ยกเลิกการปกครองแบบเก่า คือ ยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่สืบสกุลในการเป็นเจ้าเมืองนั้นเสีย จัดให้ข้าราชการจากราชสำนักในกรุงเทพมหานครมาปกครอง เปลี่ยนชื่อตำแหน่งผู้ปกครองจากเจ้าเมืองมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองแทน และปรับปรุงการปกครองหัวเมืองมณฑลอีสาน จึงยุบเมืองเล็กเมืองน้อยรวมเป็นเมืองใหญ่ ยุบเมืองเป็นอำเภอ เช่น เมืองเขมราษฎร์ธานี เมืองยศสุนทร (ยโสธร) เมืองฟ้าหยาด (มหาชนะชัย) เมืองลุมพุก (คำเขื่อนแก้ว) เมืองขุหลุ (ตระการพืชผล) เมืองอำนาจเจริญ ไปขึ้นการปกครองกับเมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อำเภออำนาจเจริญ จึงได้แต่งตั้งนายอำเภอปกครอง

นายอำเภอคนแรก คือ รองอำมาตย์โทหลวงเอนกอำนาจ (เป้ย สุวรรณกูฏ) พ.ศ. 2454-2459 ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2459 ย้ายตัวอำเภอจากที่เดิม (บ้านค้อ บ้านอำนาจ อำเภอลืออำนาจในปัจจุบัน) มาตั้ง ณ ตำบลบุ่งซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองในปัจจุบัน ตามคำแนะนำของพระยาสุนทรพิพิธ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขามณฑลอีสาน ได้เดินทางมาตรวจราชการโดยใช้เกวียนเป็นพาหนะ มีความเห็นว่าหากย้ายอำเภอมาตั้งใหม่ที่บ้านบุ่งซึ่งเป็นชุมชนและชุมทางสี่แยกระหว่างเมืองอุบลราชธานีกับมุกดาหาร และเมืองเขมราฐกับเมืองยศ (ยโสธร) โดยคาดว่าจะมีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปในอนาคต โดยใช้ชื่อว่า อำเภอบุ่ง [เสนอแนะย้ายพร้อมกับอำเภอเดชอุดม ย้ายจากเมืองขุขันธ์ (ในเขตจังหวัดศรีสะเกษปัจจุบัน) มาขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี] และยุบเมืองอำนาจเจริญเดิมเป็นตำบลชื่อว่าตำบลอำนาจ ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกว่า "เมืองอำนาจน้อย" อยู่ในเขตท้องที่อำเภอลืออำนาจในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 จึงเปลี่ยนชื่อจากอำเภอบุ่งเป็น "อำเภออำนาจเจริญ" ขึ้นการปกครองกับจังหวัดอุบลราชธานี

ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดอำนาจเจริญ พุทธศักราช 2536 ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ตรงกับวันพุธ แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา ให้แยกอำเภออำนาจเจริญ อำเภอชานุมาน อำเภอปทุมราชวงศา อำเภอพนา อำเภอหัวตะพาน อำเภอเสนางคนิคม และกิ่งอำเภอลืออำนาจ (ปัจจุบันอำเภอลืออำนาจ) รวม 6 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ออกจากการปกครองจังหวัดอุบลราชธานีรวมกันขึ้นเป็นจังหวัดใหม่ชื่อว่า จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นจังหวัดลำดับที่ 76 ของประเทศไทยและยกฐานะอำเภออำนาจเจริญเป็น อำเภอเมืองอำนาจเจริญ (ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า 4-5-6 เล่ม 110 ตอนที่ 125 ลงวันที่ 2 กันยายน 2536)

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์[แก้]

จังหวัดอำนาจเจริญ มีหลักฐานหลายอย่างที่แสดงว่า เคยมีมนุษย์มาตั้งถิ่นฐานอยู่ตามยุคสมัยต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์มาถึงยุคปัจจุบัน ผ่านฐานะการเป็นบ้านเมืองมาหลายระดับ จากชุมชนโบราณมา เป็นบ้านเมือง พื้นที่ของจังหวัดอยู่ในเขตแอ่งโคราช อาณาเขตด้านตะวันออกติดกับแม่น้ำโขง ทางด้านทิศใต้คลุมลำเซบก อยู่ใกล้กับลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน ทางทิศตะวันตกติดกับลำเซบาย อยู่ใกล้กับลุ่มแม่น้ำชี ลำน้ำทั้งหลายดังกล่าวเป็นเส้นทางสำคัญของการแพร่กระจายอารยธรรม จากรัฐอื่น ๆ มาสู่แอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร และสืบเนื่องมาถึงบริเวณที่เป็นพื้นที่ของจังหวัดในปัจจุบัน

การตั้งถิ่นฐาน[แก้]

ยุคก่อนประวัติศาสตร์[แก้]

จากการสำรวจแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง ที่มีอยู่ในเขตจังหวัด เช่น แหล่งโบราณคดีบ้านโพนเมือง ตำบลไม้กลอน อำเภอพนา แหล่งโบราณคดีโนนเมือง บ้านกุดซวย ตำบลคำพระ อำเภอหัวตะพาน แหล่งโบราณคดีโนนยาง บ้านดอนเมย ตำบลดอนเมย อำเภอเมือง ฯ และแหล่งโบราณคดีโนนงิ้ว บ่านชาด ตำบลเค็งใหญ่ อำเภอหัวตะพาน เป็นต้น ได้พบขวานสำริด เครื่องประดับที่ทำด้วยสำริด ปรากฏว่ามีลักษณะคล้ายกับโบราณวัตถุที่พบในวัฒนธรรมบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และพื้นที่ที่เป็นบริเวณแหล่งโบราณคดี มีลักษณะเป็นเนินดินรูปร่างกลมบ้าง รีบ้าง พร้อมทั้งมีคันดินล้อมรอบเนินดิน ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะของชุมชนโบราณ

เมื่อพิจารณาพื้นที่ที่เป็นแหล่งโบราณคดี และโบราณวัตถุ ที่ขุดพบในเขตจังหวัด แสดงว่าเคยมีมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งถิ่นฐานอยู่เมื่อ 3,000 - 10,000 ปี มาแล้ว โดยมีหลักฐานภาพเขียนสีบนหน้าผา เป็นข้อสันนิษฐาน กล่าวคือ ภาพเขียนสีบนหน้าผาของภูผาแต้ม ในอุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งอยู่ติดชายเขตจังหวัดอำนาจเจริญ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีลักษณะร่วมสมัยกับภาพเขียนสีที่ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบล ฯ มีตำนานพื้นบ้านบางเรื่อง เช่น ผาแดงนางไอ่ และตำนานอุรังคธาตุ ได้กล่าวถึงชุมชนนาคว่า เคยมีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานของไทย

ยุคประวัติศาสตร์[แก้]

มีบางท่านกล่าวว่าเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 ชาวอินเดียได้เดินทางด้วยเรือเพื่อมาค้าขายในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านทะเลมาทางเกาะชวา เข้าสู่ประเทศไทยสองสายคือ ทางหนึ่งเข้ามาตามลำน้ำเจ้าพระยา ผ่านเข้าเขตเมืองนครสวรรค์ ผ่านอาณาจักรศรีจนาศะ สู่ภาคอีสานด้านที่ราบสูงโคราช แล้วกระจายสู่ลุ่มน้ำมูล - ชี อีกสายหนึ่งเข้ามาทางจังหวัดปราจีนบุรี ผ่านอำเภอกบินทรบุรี ข้ามช่องเขาเข้าสู่ภาคอีสาน ทางอำเภอปักธงชัย สู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง การเข้ามาของชาวอินเดีย ในครั้งนั้นได้นำเอาวัฒนธรรมแบบทวารวดี ที่สัมพันธ์กับพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และวัฒนธรรมเจนละ หรือขอม ก่อนเมืองพระนคร ที่สัมพันธ์กับคติความเชื่อแบบฮินดู และพราหมณ์เข้ามาเผยแพร่ในลุ่มน้ำมูล น้ำชี และน้ำโขง ต่อมาวัฒนธรรมดังกล่าวได้แพร่เข้าสู่เขตจังหวัดอำนาจเจริญทางแม่น้ำโขง แม่น้ำมูลตอนล่าง และแม่น้ำชีตอนล่าง แล้วกระจายไปตามลำเซบก และลำเซบาย ดังนั้นคนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อนได้แก่ พวกข่า กวย และส่วย จึงเป็นกลุ่มชนแรก ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ ที่รับเอาวัฒนธรรมแบบทวารวดี และเจนละไว้ จากการสำรวจแหล่งโบราณคดีในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ แสดงให้เห็นว่ากลุ่มชนในสมัยทวารวดี ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 – 15 ได้แก่ พระพุทธรูปปางประทานอภัย สมัยทวาวรดี พบที่แหล่งโบราณคดีบ้านโพนเมือง ตำบลไม้กลอน อำเภอพนา ใบเสมาหินทรายสลักรูปหม้อน้ำ และธรรมจักร สมัยทวารวดี พบที่แหล่งโบราณคดีดงเฒ่าเก่า บ้านนาหมอม้า อำเภอเมือง ฯ อิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดี มีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา โบราณวัตถุที่พบในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ เช่น พระพุทธรูป และใบเสมาหินทราย สมัยทวารวดี ล้วนสร้างขึ้นมาตามคติทางพระพุทธศาสนา นอกจากกลุ่มชนในสมัยทวารวดี จะเคยตั้งถิ่นฐานในเขตจังหวัดอำนาจเจริญแล้ว กลุ่มชนในสมัยวัฒนธรรมเจนละ หรือขอม ก่อนเมืองพระนคร ก็เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 – 15

สมัยวัฒนธรรมไทย - ลาว ถึงปัจจุบัน[แก้]

อิทธิพลของวัฒนธรรมทวารวดี และเจนละสิ้นสุดลงเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 จนถึง พ.ศ. 2254 - 2263 จึงปรากฏหลักฐานกลุ่มชนไทย - ลาว อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งมีอยู่สามกลุ่มด้วยกันคือ

กลุ่มแรก มาจากกรุงศรีสัตนาคนหุตเวียงจันทน์ พร้อมกับพระครูโพนเสม็ด เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2233 ลงมาตามลำแม่น้ำโขงจนถึงเมืองนครจัมปาศักดิ์ มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านทรายมูล และบ้านดอนหนองเมือง ต่อมากลายเป็นบ้านพระเหลา และเมืองพนานิคม หรืออำเภอพนา ในปัจจุบัน

กลุ่มที่สอง กลุ่มนี้อพยพหนีภัยสงครามของกลุ่มพระวอ บุตรเจ้าอุปราชนอง (พ.ศ. 2313 - 2319) จากเมืองหนองบัวลำภู ผ่านมาทางบ้านสิงห์ท่า หรือเมืองยโสธร สู่นครจำปาศักดิ์ แล้วกลับมาบ้านดอนมดแดง ซึ่งปัจจุบันคือ จังหวัดอุบลราชธานี

กลุ่มที่สาม อพยพเข้ามาเนื่องจากกบฏเจ้าอนุวงศ์ และการเกลี้ยกล่อมตามนโยบายให้คนพื้นเมืองปกครอง คนพื้นเมือง ตามแนวความคิดของ พระสุนทรราชวงศา (บุต) เจ้าเมืองยโสธร กลุ่มดังกล่าวได้แก่ ชาวลาว ชาวไทโย่ย ชาวไทแสก ชาวไทญอ และชาวผู้ไท ซึ่งอยู่ติดกับแดนญวน ซึ่งเรียกว่า หัวเมืองพวน ได้อพยพจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เข้ามาตั้งบ้านเรือนทั่วภาคอีสานของไทย

การตั้งเมืองอำนาจเจริญ[แก้]

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกฐานะบ้านค้อใหญ่ ขึ้นเป็นเมืองอำนาจเจริญ เมื่อปี พ.ศ. 2401 ให้ท้าวจันทบุรบ (เสือ) เป็น พระอมรอำนาจ เจ้าเมือง ขึ้นกับเมืองเขมราฐธานี ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เมื่อบ้านค้อใหญ่ได้รับการยกฐานะเป็นเมืองอำนาจเจริญ มีเหตุการณ์ทางด้านการเมือง การปกครอง เกี่ยวข้องดังนี้ พ.ศ. 2410 เมืองอำนาจเจริญขอขึ้นกับเมืองอุบล ฯ พระอมรอำนาจมีใบบอกมายังกรุงเทพฯ ขอให้เมืองอำนาจเจริญขึ้นกับเมืองอุบล ฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ตามที่ขอ

พ.ศ. 2422 ตั้งเมืองชานุมานมณฑล และเมืองพนานิคม

พ.ศ. 2430 - 2431 เมืองอำนาจเจริญต้องส่งส่วย 2 ปี เป็นเงิน 23 ชั่ง 14 ตำลึง และ 27 ชั่ง 15 ตำลึง ตามลำดับ

พ.ศ. 2433 เมืองอำนาจเจริญขึ้นกับหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ

พ.ศ. 2434 เมืองอำนาจเจริญขึ้นกับหัวเมืองลาวกาว เนื่องจากช่วงเวลานั้นฝรั่งเศสได้ญวน และเขมรไว้ในครอบครอง อังกฤษได้พม่าไว้ในครอบครอง และได้จัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสม ทำให้ราษฎรไทยที่อยู่ตามชายแดนที่ติดกับญวน เขมร และพม่า เกิดความสับสนเพราะระเบียบการปกครองไม่เหมือนกัน ทางกรุงเทพฯ จึงได้จัดระเบียบการบริหารหัวเมืองให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยรวมหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก และฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือเข้าด้วยกันเรียกว่า หัวเมืองลาวกาว โดยรวมหัวเมืองเอก เมืองจำปาศักดิ์ และหัวเมืองเอกเมืองอุบลราชธานี เข้าด้วยกัน

พ.ศ. 2437 ปฏิรูปการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล ได้ตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ รศ.116 ขึ้นโดยให้รวมกลุ่มจังหวัดชั้นนอกเข้าเป็นมณฑล แบ่งบริเวณมณฑลออกเป็นห้าส่วนคือ มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน

พ.ศ. 2443 เปลี่ยนฐานะเมืองอำนาจเจริญเป็นอำเภออำนาจเจริญ นายอำเภอคนแรกคือหลวงธรรมโลภาศพัฒนเดช (ทอง)

พ.ศ. 2452 อำเภออำนาจเจริญย้ายไปขึ้นกับเมืองยโสธร

พ.ศ. 2453 เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ทางราชการมีนโยบายไม่ให้จำหน่ายข้าวออกจากพื้นที่

พ.ศ. 2454 ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะเก็บเงินค่าราชการ ร.ศ.120 ให้เก็บคนละ 3.50 บาท

พ.ศ. 2455 ย้ายอำเภออำนาจเจริญไปขึ้นกับจังหวัดอุบลฯ

พ.ศ. 2458 ย้ายอำเภออำนาจเจริญจากบ้านค้อใหญ่ไปตั้งที่บ้านบุ่ง ติดกับลำห้วยปลาแดก

พ.ศ. 2459 เปลี่ยนชื่อเมืองที่เป็นศูนย์กลางที่มีอำเภอมารวมขึ้นด้วยว่าจังหวัด

พ.ศ. 2460 เปลี่ยนชื่ออำเภออำนาจเจริญเป็นอำเภอบุ่ง

พ.ศ. 2464 ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาครั้งที่ 1 ในเขตตำบลบุ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งอำเภอบุ่ง

พ.ศ. 2482 เปลี่ยนชื่ออำเภอบุ่งเป็นอำเภออำนาจเจริญ และย้ายตัวอำเภอมาตั้งอยู่บริเวณสระหนองเม็ก

พ.ศ. 2510 แยกตำบลออกเป็นสี่ตำบลคือ ตำบลหัวตะพาน ตำบลคำพระ ตำบลเค็งใหญ่ และตำบลหนองแก้ว เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอหัวตะพาน และยกฐานะเป็นอำเภอหัวตะพาน เมื่อ พ.ศ. 2526

พ.ศ. 2518 แยกตำบลออกเป็นห้าตำบลคือตำบลเสนางคนิคม ตำบลไร่สีสุก ตำบลนาเวียง ตำบลโพนทอง และตำบลหนองไฮ เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอเสนางคนิคม และยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อ พ.ศ. 2526

พ.ศ. 2519 เสนอพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดอำนาจเจริญครั้งที่หนึ่ง แต่ตกไปเพราะมีการปฏิรูปการปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2519

พ.ศ. 2522 เสนอพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดอำนาจเจริญครั้งที่สอง สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการแล้วให้ตั้งศาลจังหวัดอำนาจเจริญก่อน

พ.ศ. 2523 ตั้งศาลจังหวัดอำนาจเจริญ กระทรวงยุติธรรมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดอำนาจเจริญ

พ.ศ. 2525 รัฐสภาออกพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลจังหวัดอำนาจเจริญ พ.ศ. 2525 และได้เปิดทำการ เมื่อ พ.ศ. 2527

พ.ศ. 2534 แยกตำบลออกหกตำบลคือตำบลอำนาจ ตำบลเปือย ตำบลดงมะยาง ตำบลดงบัง ตำบลแบด และตำบลไร่ขี เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอบันลืออำนาจ และยกฐานะเป็นอำเภอลืออำนาจ เมื่อปี พ.ศ. 2539

พ.ศ. 2536 แยกตำบลที่เป็นรอยต่อสามอำเภอออกเป็นหกตำบล เพื่อตั้งเป็นอำเภอปทุมราชวงศา ตามนามเจ้าเมืองอุบลฯ คนแรก

27 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ตั้งจังหวัดอำนาจเจริญ

อำนาจเจริญในปัจจุบัน[แก้]

อำนาจเจริญปัจจุบัน
ย่านธุรกิจเมืองอำนาจเจริญ

จังหวัดอำนาจเจริญเป็นจังหวัดลำดับที่ 75 มีอำเภอขึ้นสังกัด เจ็ด อำเภอคืออำเภอเมือง ฯ อำเภอชานุมาน อำเภอเสนางคนิคม อำเภอปทุมราชวงศา อำเภอพนา อำเภอหัวตะพาน และอำเภอลืออำนาจ

เหตุการณ์สำคัญของจังหวัด[แก้]

เมื่อประมาณพ.ศ. 2508 - 2521 ในพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอเสนางคนิคม อำเภอชานุมาน อำเภอเขมราฐ อำเภอดอนตาล และอำเภอเลิงนกทา ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเป็นพื้นที่สีชมพู ศูนย์กลางขบวนการอยู่ภายในเขตภูสระดอกบัว มีการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ เพื่อต่อสู้กับทางราชการ หมู่บ้านที่มีการจัดตั้งกองกำลังมากที่สุดคือ บ้านโพนทอง บ้านโป่งหิน บ้านหนองโน บ้านสามโคก บ้านน้อยดอกหญ้า บ้านนาไร่ใหญ่ และบ้านนาสะอาด ทั้งหมดอยู่ในเขตอำเภอเสนางคนิคม กองกำลังติดอาวุธอาศัยอยู่ในป่าภูโพนทอง ภูสระดอกบัว ภารกิจหลักของกองกำลังติดอาวุธคือ การหามวลชนเพิ่ม การยึดพื้นที่เพื่อแสดงอำนาจ และขยายอาณาเขตการทำงาน โดยจัดกำลังเข้าปะทะกับกองกำลังของทางราชการด้วยอาวุธสงคราม

การจัดงานบุญงานประเพณีต่าง ๆ ในเวลานั้นไม่สามารถจัดในเวลากลางคืนได้ จะทำได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น การพัฒนาต่าง ๆ หยุดชะงักลง

ความขัดแย้งและการต่อสู้ค่อย ๆ ลดลง และยุติการต่อสู้ เมื่อปี พ.ศ. 2522 เหตุผลที่ยุติคือ ทางราชการได้กระจายความเจริญเข้าสู่พื้นที่ ทราบความต้องการและเข้าใจปัญหาของประชาชน ให้ความช่วยเหลือกลุ่มที่เคยต่อสู้กับทางราชการ โดยการจัดหาที่ทำกินให้ และลดเงื่อนไขแห่งความขัดแย้งต่าง ๆ ลง นอกจากนั้นสัญญาที่พรรคคอมมิวนิสต์เคยให้ไว้ แก่ประชาชนที่เข้าร่วมขบวนการว่า พรรคจะให้เงิน รถไถนา และรถแทรกเตอร์ ตลอดทั้งยศ ตำแหน่งต่าง ๆ เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้กลุ่มผู้หลงผิดไม่เชื่อถือ และกลับใจให้ความร่วมมือกับทางราชการ ตั้งแต่นั้นมา

เหตุการณ์กบฏผีบุญที่อำเภอเสนางคนิคม[แก้]

ในปี พ.ศ. 2443 เกิดขึ้นที่บ้านหนองทับม้า ก่อนนั้นได้มีข่าวลือไปทั่วแดนอีสานว่า หินกรวด ที่อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จะกลับมากลายเป็นเงินเป็นทอง ทำให้มีคนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลไปที่อำเภอเสลภูมิ ชาวบ้านหนองทับม้า ก็เดินทางไปด้วย และในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ได้มีข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่า ฟักทองน้ำเต้า จะกลับกลายเป็นช้าง เป็นม้า ควายเผือก ควายทุยจะกลับมาเกิดเป็นยักษ์กินคน ท้าวธรรมิกราชจะมาเกิดเป็นเจ้าโลก ผู้หญิงที่เป็นโสดให้รีบมีสามี มิฉะนั้นจะถูกยักษ์จับไปกิน บ้านเมืองจะเกิดเภทภัยใหญ่หลวง ข่าวลือนี้ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวแตกตื่นไปทั่ว

ขณะนั้น ได้มีผู้อ้างตัวเป็นผู้วิเศษ เดินทางมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ชื่อ องค์มั่น และองค์เขียว แต่งตัวนุ่งขาวห่มขาวด้วยผ้าจีบต่าง ๆ กัน มีปลอกใบลานเป็นคาถาสวมศีรษะ ปรากฏตัวที่บ้านสะพือ อำเภอตระการพืชผล ให้ชาวบ้านมารดน้ำมนต์ และให้ผู้วิเศษเสกคาถาอาคมให้ นอกจากนั้นยังมีข่าวอีกกระแสหนึ่งบอกว่า ผู้วิเศษเหล่านั้นได้เตรียมการ จะยกทหารจากเวียงจันทน์เข้ามาตีเมืองอุบลราชธานี

เมื่อข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ทราบข่าวจึงได้ขอกำลังจากหัวเมืองต่าง ๆ มาช่วยจนปราบได้ราบคาบ และจับผู้นำคนสำคัญคือ องค์มั่น กับองค์เขียว มาผูกมัดไว้บริเวณทุ่งศรีเมือง ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน คณะตุลาการจึงได้ตัดสินประหารชีวิต โดยตัดหัวเสียบประจานไว้ที่กลางทุ่งศรีเมือง

ส่วนทางเมืองเสนางคนิคมนั้น ก็ได้มีเหตุการณ์คล้าย ๆ กันคือ ได้มีพ่อใหญ่พิมสาร เดินทางมาจากบ้านด่านหนองสิบ อำเภอเลิงนกทา อ้างว่าเป็นผู้วิเศษ หลอกลวงให้ชาวบ้านโกนหัว ถ้าใครไม่ทำตามยักษ์จะจับเอาไปกิน และหากครัวเรือนใดมีควายเผือก ควายทุยให้เอาไปฆ่าทิ้งเสีย เมื่อทางราชการเมืองอุบลฯ ทราบข่าวจึงให้ทหารและเจ้าหน้าที่ ออกไปสืบข่าวได้ความว่า ผู้ที่หลอกลวงชาวบ้านให้โกนหัวคือ เฒ่าพิมสาร และพ่อใหญ่ทิม จึงจับตัวไปมัดไว้ที่นาหนองกลาง อีกสามวันต่อมาก็ถูกประหาร และนำหัวไปเสียบประจานไว้ ทางด้านตะวันออกของวัดโพธาราม

ประวัติการตั้งอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัด[แก้]

อำเภอบางอำเภอของจังหวัดอำนาจเจริญ เช่น อำเภอชานุมาน อำเภอเสนางคนิคม และอำเภอพนา มีประวัติความเป็นมาร่วมสมัยกับประวัติของจังหวัดอำนาจเจริญ

อำเภอชานุมาน เดิมมีฐานะเป็นเมืองขึ้นกับจังหวัดอุบลฯ ตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2422 อำเภอชานุมานขึ้นตรงต่อเมืองอุบลฯ ตลอดมาจนถึงการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ เมืองชานุมานมณฑลถูกลดฐานะลงเป็น อำเภอชานุมานมณฑล ขึ้นกับเมืองอุบลฯ

ต่อมาใน พ.ศ. 2455 อำเภอชานุมานได้ถูกลดฐานะลงเป็นกิ่งอำเภอชานุมานมณฑล ขึ้นต่ออำเภอเขมราฐ จนถึง พ.ศ. 2501 ทางราชการจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภออีกครั้ง และใน พ.ศ. 2536 ได้มาขึ้นกับจังหวัดอำนาจเจริญ

อำเภอพนา เดิมมีฐานะเป็นเมือง ชื่อเมืองพนานิคม ตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้โปรดเกล้าฯ ให้ ตั้งบ้านเผลา (พระเหลา) เป็นเมืองพนานิคม และโปรดเกล้าฯ ให้เพียเมืองจันทน์ เป็นพระจันทวงษา เจ้าเมือง ขึ้นตรงต่อเมืองอุบล ฯ

ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ เมืองพนานิคมถูกลดฐานะเป็นอำเภอ ขึ้นกับจังหวัดอุบล ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2443 ต่อมาในปี พ.ศ. 2452 ได้ยุบอำเภอตระการพืชผล รวมกับอำเภอพนานิคม

ในปี พ.ศ. 2457 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอพนานิคมมาตั้งที่บ้านขุหลุ แต่ยังคงเรียกชื่อเดิม ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอขุหลุ เพื่อให้สัมพันธ์กับพื้นที่เมื่อ พ.ศ. 2460

ในปี พ.ศ. 2480 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเมืองพนานิคมอีกครั้ง จนถึงปี พ.ศ. 2494 ทางราชการจึงแยกท้องที่ห้าตำบล ที่เคยอยู่ในอำเภอพนานิคม มาตั้งเป็นกิ่งอำเภอพนา ส่วนอำเภอพนานิคม ที่บ้านขุหลุ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอตระการพืชผล

กิ่งอำเภอพนา ได้รับการยกฐานะให้เป็นอำเภอ เมื่อ พ.ศ. 2501 และได้มาขึ้นกับจังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อ พ.ศ. 2536

อำเภอเสนางคนิคม เดิมมีฐานะเป็นเมือง ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2388 เนื่องด้วยพระพรหมราชวงศา (ท้าวทิดพรหม) เจ้าเมืองอุบลฯ คนที่ 2 ได้นำพระศรีสุราช เมืองตะโปน ท้าวอุปฮาด เมืองชุมพร ท้าวฝ่ายเมืองผาบัว และท้าวมหาวงศ์ เมืองกาว ได้พาครอบครัวไพร่พลรวม 1,847 คน เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้มาตั้งอยู่ที่บ้านช่องนาง แขวงเมืองอุบล ฯ และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเป็นเมืองเสนางคนิคม ให้พระศรีสุราช เป็นที่ พระศรีสินธุสงคราม เจ้าเมือง แต่เจ้าเมืองกลับพาผู้คนไปตั้งเมืองอยู่ที่บ้านห้วยปลาแดก

พ.ศ. 2443 เมืองเสนางคนิคม ถูกลดฐานะเป็นอำเภอ ขึ้นกับจังหวัดอุบล ฯ

พ.ศ. 2455 อำเภอเสนางคนิคม ถูกลดฐานะเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นกับอำเภออำนาจเจริญ

พ.ศ. 2460 กิ่งอำเภอเสนางคนิคม เปลี่ยนชื่อเป็นกิ่งอำเภอหนองทับม้า ให้เหมาะสมกับที่ตั้ง

หลังปี พ.ศ. 2475 กิ่งอำเภอหนองทับม้าถูกยุบไป

พ.ศ. 2518 กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศตั้งกิ่งอำเภอเสนางคนิคมขึ้นอีกครั้ง และได้ยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อ พ.ศ. 2526 และขึ้นกับจังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อ พ.ศ. 2536

ทำเนียบนามเจ้าเมืองอำนาจเจริญและผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ[แก้]

นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองโดยนำระบบเทศาภิบาลมาใช้ในประเทศไทย เมืองอำนาจเจริญยังคงมีสภาพเป็นเมืองตามรูปการปกครองแบบเดิมก่อนการปฏิรูป ปรากฏพระนามและรายนามผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญดังนี้

ชื่อ ช่วงเวลาดำรงตำแหน่ง
1. พระอมรอำนาจ (สายสกุลอมรสิน) พ.ศ. 2401
2. รองอำมาตย์โท หลวงเอนกอำนาจ (เป้ย สุวรรณกูฏ) พ.ศ. 2454-2459
3. นายชาติสง่า โมฬีชาติ พ.ศ. 2536-2538
4. นายดุสิต จันทรบุตร พ.ศ. 2538-2541
5. นายสันติ เกรียงไกรสุข พ.ศ. 2541-2541
6. นายสว่าง ศรีศกุน พ.ศ. 2541-2542
7. นายสมศักดิ์ แก้วสุทธิ พ.ศ. 2542-2544
8. นายจิรศักดิ์ เกษณียบุตร พ.ศ. 2544-2546
9. นายวีระ เสรีรัตน์ พ.ศ. 2546-2547
10. นายสมพงษ์ อนุยุทธพงศ์ พ.ศ. 2547-2548
11. นายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล พ.ศ. 2548-2549
12. นายกิติภูมิ สุวรรณ พ.ศ. 2549-2550
13. นายปริญญา ปานทอง พ.ศ. 2550-2551
14. นายวิเชียร ชวลิต พ.ศ. 2551-2552
15. นายบุญสนอง บุญมี พ.ศ. 2552-2553
16. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี พ.ศ. 2553-2554
17. นายกำธร ถาวรสถิตย์ พ.ศ. 2554-2555
18. นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน พ.ศ. 2555-2557
19. นายสุทธินันท์ บุญมี พ.ศ. 2557-2558
20. นายยิ่งยศ ธนะจันทร์ พ.ศ. 2558-2559
21. นายสิริรัฐ ชุมอุปการ พ.ศ. 2559-2561
22. นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ พ.ศ. 2561-2562
23. นายสุธี ทองแย้ม พ.ศ. 2562-2563
24. นายทวีป บุตรโพธิ์ พ.ศ. 2563-2565
25. นายชนาส ชัชวาลวงศ์ พ.ศ. 2565-2566
26. ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ พ.ศ. 2566-ปัจจุบัน

ลักษณะอากาศและอุตุนิยมวิทยา[แก้]

จังหวัดอำนาจเจริญ อยู่ในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของจังหวัดอื่น ๆ ฤดูฝน จะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนเรื่อยไปจนถึงปลายเดือนตุลาคม และมักปรากฏเสมอว่าฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม แต่ระยะเวลาการทิ้งช่วงมักจะไม่เหมือนกันในแต่ละปี และในช่วงปลายฤดูฝน มักจะมีพายุดีเปรสชั่นฝนตกชุกบางปีอาจมีภาวะ น้ำท่วมแต่ภาวการณ์ไม่รุนแรงนัก ฤดูหนาว เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของประเทศ ทำให้ได้รับอิทธิพลลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือก่อนภูมิภาคอื่น อุณหภูมิจะเริ่มลดต่ำลงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนและจะสิ้นสุดปลายเดือนกุมภาพันธ์ ฤดูร้อน ถึงแม้ว่าเคยปรากฏบ่อยครั้งว่าอากาศยังคงหนาวเย็นยืดเยื้อมาจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยส่วนใหญ่แล้วอากาศจะ เริ่มอบอ้าว ในเดือนมีนาคมไปจนถึงประมาณต้นเดือนพฤษภาคมซึ่งอาจจะมีฝน เริ่มตกอยู่บ้างในปลายเดือนเมษายน แต่ปริมาณน้ำฝนมักจะไม่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก นอกจากนั้นลักษณะภูมิอากาศทั่วไปคล้ายคลึงกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ จะมีอากาศร้อน ในฤดูหนาวค่อนข้างหนาว ส่วนในฤดูฝนจะมีฝนตกชุก ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2541 มีฝนตกประมาณ 106 วัน ปริมาณน้ำฝนวัดได้ 1,297.3 มิลลิเมตร

ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดเป็นที่ลุ่ม มีเนินเขาเตี้ย ๆ ทอดยาวไปจรดกับจังหวัดอุบล ฯ ในเขตอำเภอชานุมาน พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ประมาณ 68 เมตร ลักษณะของดิน เป็นดินร่วนปนทราย มีดินลูกรังอยู่บางส่วน สามารถแบ่งลักษณะภูมิประะเทศออกได้เป็นสองบริเวณคือ บริเวณที่ราบสูง ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบสูง บางส่วนเป็นลูกคลื่น ลอนตื้น หรือเนินเขาเตี้ย ๆ อยู่ในเขตอำเภอชานุมาน และอำเภอเสนางคนิคม บริเวณที่ราบ ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบถึงลูกคลื่นลอนตื้น เป็นแนวยาวตามทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกอยู่ในเขตอำเภอเมืองฯ อำเภอพนา อำเภอปทุมราชวงศา อำเภอหัวตะพาน และอำเภอลืออำนาจ เทือกเขา ได้แก่ เทือกเขาภูพาน เป็นเทือกเขาที่ทอดผ่านหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในส่วนที่อยู่ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ จะอยู่ในเขตอำเภอเสนางคนิคม มีลักษณะเป็นเทือกเขาที่สูงไม่มากนัก เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ ลักษณะภูมิสัณฐาน แบ่งออกได้เป็นสี่บริเวณด้วยกันคือ บริเวณที่เป็นสันดินริมแม่น้ำ เกิดจากตะกอนลำน้ำที่พัดมาทับถม สภาพพื้นที่เป็นเนินสันดิน พบบริเวณสันดินริมฝั่งแม่น้ำโขงในเขตอำเภอชานุมาน และบริเวณสันดินริมฝั่งลำน้ำเซบาย ในเขตอำเภอหัวตะพาน บริเวณที่เป็นแอ่ง หรือที่ราบหลังแม่น้ำ เกิดจากการกระทำของขบวนการน้ำ พบบางแห่งเป็นบริเวณลำเซบายของอำเภอหัวตะพาน จะมีน้ำแช่ขังนานในฤดูฝน บริเวณที่เป็นแบบลานตะพักน้ำ เกิดจากการกระทำของขบวนการน้ำมานานแล้ว ประกอบด้วยบริเวณที่เป็นลานตะพักลำน้ำระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ลักษณะพื้นที่มีทั้งเป็นแบบที่ราบแบบลูกคลื่นลอนลาด จนถึงลูกคลื่นลอนชัน จะอยู่ถัดจากบริเวณที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงขึ้นมา พบได้ในพื้นที่ทั่วไปของจังหวัด บางแห่งใช้สำหรับทำนา บางแห่งใช้สำหรับปลูกพืชไร่ ทรัพยากรน้ำ

สัญลักษณ์ประจำจังหวัด[แก้]

ต้นตะเคียนหิน
ดอกจานเหลืองดอกไม้ประจำจังหวัดอำนาจเจริญ
ปลาสร้อยขาว สัตว์น้ำประจำจังหวัดอำนาจเจริญ
ตราประจำจังหวัด

พระมงคลมิ่งเมืองเป็นพระประธานของภาพ แสงฉัพพรรณรังสี เปล่งรัศมีโดยรอบพระเศรียรซ้ายขวามีต้นไม้อยู่สองข้าง ถัดไปเป็นกลุ่มเมฆ ด้านล่างเป็นแถบป้ายชื่อจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ ใช้อักษรย่อว่า อจ.

คำขวัญประจำจังหวัด

พระมงคลมิ่งเมือง แหล่งรุ่งเรืองเจ็ดลุ่มน้ำ งามล้ำถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เทพนิมิตพระเหลา เกาะแก่งเขาแสนสวย เลอค่าด้วยผ้าไหม ราษฎร์เลื่อมใสใฝ่ธรรม

— คำขวัญประจำจังหวัดอำนาจเจริญ
วิสัยทัศน์

ประชาสังคมเข้มแข็ง แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดี มีโอกาสทางการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิต

— วิสัยทัศน์จังหวัดอำนาจเจริญ
ดอกไม้ประจำจังหวัด ดอกจานเหลือง (Butea monosperma)
ต้นไม้ประจำจังหวัด ตะเคียนหิน (Hopea ferrea)
สัตว์น้ำประจำจังหวัด ปลาสร้อยขาว (Henicorhynchus siamensis )

ประชากร[แก้]

ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นคนท้องถิ่นเชื้อสายไทย - ลาว และมีคนกลุ่มอื่นที่มีหลายเชื้อสาย และภาษาพูดต่างออกไปได้แก่ ชาวภูไท พบในเขตอำเภอชานุมาน และอำเภอเสนางคนิคม ส่วยและข่า พบในอำเภอชานุมาน ในชุมชนที่มีการค้าขายหรือในเขตเมือง จะมีคนไทยเชื้อสายจีนและญวนปะปนอยู่ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดนับถือพระพุทธศาสนา ร้อยละ 97.50 มีวัดในพระพุทธศาสนาอยู่ 266 แห่ง นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 2.30 และนับถือศาสนาอิสลามน้อยมาก

ภาษาชาวอำนาจเจริญส่วนใหญ่ใช้ภาษาอีสาน เช่นเดียวกับชาวอีสานในจังหวัดอื่น ภาษาอีสานจัดเป็นประเภทภาษาถิ่นของภาษาไทย ส่วนภาษาเขียนใช้ภาษาไทย และอักษรไทย ถ้าเป็นเอกสารโบราณ เช่น หนังสือออก หนังสือก้อน บทสวด และตำนาน นิยมบันทึกด้วยตัวอักษรธรรม เป็นภาษาอีสาน ภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาขอม และภาษาไทย ภาษาอีสานถิ่นอำนาจเจริญ มีอยู่สามสำเนียง ได้แก่ สำเนียงอุบล ฯ สำเนียงบ้านน้ำปลีก และสำเนียงชายแดน สำเนียงอุบล ฯ มีลักษณะห้วน น้ำเสียงแข็ง และหนักแน่น สำเนียงบ้านน้ำปลีก มีลักษณะช้า และยืดเสียงท้ายคำให้ยาวออกไป มากกว่าสำเนียงอุบล ฯ ทำให้รู้สึกนุ่มนวลกว่า สำเนียงชายแดน เป็นสำเนียงผสมระหว่างสำเนียงอุบล ฯ และสำเนียงลาว ประชาชนที่อยู่ใกล้ชายแดนแถบอำเภอชานุมาน จะมีสำเนียงลาวผสมอยู่บ้าง ชาวอำนาจเจริญ ส่วนใหญ่พูดสำเนียงอุบล ฯ ภาษาผู้ไท ชาวผู้ไท มีภาษาใช้เฉพาะเผ่าคือ ภาษาผู้ไท เป็นภาษาพูด ไม่ปรากฏว่ามีภาษาเขียน ชาวผู้ไทส่วนใหญ่จะพูดได้ทั้งภาษาอีสาน และภาษาผู้ไท มีหลายหมู่บ้านที่ใช้ภาษาผู้ไทในการสื่อสารประจำวันคือ อำเภอเสนางคนิคม ที่บ้านนาสะอาด ตำบลเสนางคนิคม อำเภอชานุมาน ในตำบลคำเขื่อนแก้ว มีบ้านคำเดือย บ้านเหล่าแก้วแมง และบ้านสงยาง ในตำบลชานุมาน มีบ้านโนนกุง และบ้านหินสิ่ว ในตำบลโคกก่ง มีบ้านหินกอง บ้านบุ่งเขียว บ้านนางาม และบ้านพุทธรักษา ภาษาข่าพวกข่าเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิม ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามสองฝั่งแม่น้ำโขง มีวัฒนธรรมกลมกลืนกับชาวพื้นเมืองในท้องถิ่น เช่น พวกส่วย และลาว ชาวบ้านที่ใช้ภาษาข่าคือ ชาวบ้านดงแสนแก้ว และบ้านดงสำราญ ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอชานุมาน

สภาพเศรษฐกิจ[แก้]

โครงสร้างทางเศรษฐกิจขึ้นกับการเกษตรกรรม มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตร รวมทั้งสิ้น 1,021,798 ไร่ หรือประมาณร้อยละ 51.72 ของเนื้อที่ทั้งหมด

การทำนา พื้นที่นาถือครองมีสัดส่วน 869,574 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 85.10 ของพื้นที่ถือครองทำการเกษตร เป็นพื้นที่เก็บเกี่ยว 558,530 ไร่ ผลผลิตรวมประมาณ 83,821 ตัน

การปลูกพืชไร่ มีการปลูกพืชไร่รวมพื้นที่ประมาณ 7,825 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 7.65 ของพื้นที่ถือครองทำการเกษตร

พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง ปอแก้ว ถั่วลิสง การอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นโรงสีข้าว และอุตสาหกรรมในครัวเรือน

เอกลักษณ์ประจำจังหวัด[แก้]

พระเหลาเทพนิมิตพระพุทธชินราชแห่งอีสาน

พระมงคลมิ่งเมือง

  • เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีสรรพอาถรรพ์ เป็นมิ่งมงคลควรแก่การเคารพบูชาแก่ปวงชนทั่วไป เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำนาจเจริญโดยแท้ ประดิษฐานอยู่ที่เขาดานพระบาทซึ่งเป็นที่ตั้งพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์มาแต่ดึกดำบรรพ์ อยู่ติดถนนสายชยางกูรเส้นทางอำนาจเจริญ-มุกดาหาร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณโดยรอบตกแต่งเป็นพุทธมณฑลสำหรับเป็นที่บำเพ็ญและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

แหล่งรุ่งเรืองเจ็ดลุ่มน้ำ

  • การก่อตั้งจังหวัดอำนาจเจริญได้มาจากการรวมอำเภอด้านเหนือของจังหวัดอุบลราชานี ที่มาจากชาวลุ่มน้ำต่างๆ 7 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ชาวลุ่มน้ำโขง -อำเภอชานุมาน ชาวลุ่มน้ำละโอง-อำเภอเสนางคนิคม ชาวลุ่มน้ำพระเหลา-อำเภอพนาชาว ลุ่มน้ำห้วยยาง-อำเภอปทุมราชวงศา ชาวลุ่มน้ำเซบก-อำเภอลืออำนาจ ชาวลุ่มน้ำเซบาย-อำเภอหัวตะพาน ชาวลุ่มน้ำห้วยปลาแดกและเซบาย-อำเภอเมืองอำนาจเจริญ ทั้ง 7 อำเภอล้วนมีประเพณี วัฒนธรรม มีแหล่งโบราณคดีด้านศาสนาและศิลปกรรมมาแต่ครั้งอดีตกาล และต่อนี้ไป ประชาชนชาวเจ็ดลุ่มน้ำเหล่านี้จะผนึกกำลังกันพัฒนาจังหวัดอำนาจเจริญให้เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต

งามล้ำถ้ำศักดิ์สิทธิ์

  • อำนาจเจริญมีถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญและมีชื่อเสียงโด่งดังคือ ถ้ำแสงแก้วและถ้ำแสงเพชร ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาเดียวกัน เป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่ามีเทพศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปที่สวยงาม นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศต่างมุ่งหน้าไปขอพรและปฏิบัติธรรมมิได้ขาด

เทพนิมิตพระเหลา

  • หมายถึงพระเหลาเทพนิมิต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีลักษณะงดงามเป็นเลิศ ประดิษฐานอยู่ในวัดพระเหลาเทพนิมิตอำเภอพนาซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอำนาจเจริญ "พระเหลา"เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มาและเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่งดงามที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีสมญานามว่า พระพุทธชินราชแห่งอีสาน มีความเชื่อว่าเทพยดาเป็นผู้นิมิตขึ้นมามีตำนานสร้างมาหลายร้อยปี ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนทั่วไป

เกาะแก่งเขาแสนสวย

  • ที่สุดแดนสยามของจังหวัดอำนาจเจริญด้านอำเภอชานุมาน มีแม่น้ำโขงกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับลาว มีเกาะ แก่งที่สวยงาม มีภูเขาและป่าไม้กลายเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติ ผู้คนสามารถไปเที่ยวชมและพักผ่อนได้ทุกฤดูกาล ผู้ใดได้ไปพบเห็นความสวยงามตามธรรมชาติแห่งนี้แล้วดุจดังต้องมนต์ขลังยากที่ลืมเลือน

เลอค่าด้วยผ้าไหม

  • ชาวอำนาจเจริญทุกอำเภอล้วนมีวัฒนธรรมการทอผ้า ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้าย และผ้าลายขิดที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่มีชื่อเสียงมากได้แก่การทอผ้าไหมบ้านเปือย อำเภอลืออำนาจ ผ้าไหมบ้านสร้อย-บ้านจานลาน อำเภอพนา การทอผ้าลายขิดบ้านคำพระ อำเภอหัวตะพาน โดยเฉพาะผ้าไหมบ้านเปือย ได้รับยกย่องจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถว่าเป็นผ้าไหมที่งดงามล้ำเลอค่าและมีคุณภาพดีกว่าถิ่นใดๆ พระองค์ทรงกำหนดราคาขายไว้ให้อย่างเป็นธรรมโดยไม่ให้เอาเปรียบผู้ผลิตด้วย

ราษฏร์เลื่อมใสใฝ่ธรรม

  • ชาวจังหวัดอำนาจเจริญมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อทางพระพุทธศาสนา มีความเลื่อมใสศรัทธาในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีวัดให้ประกอบศาสนกิจทุกหมู่บ้าน ทวยราษฏร์เป็นคนดีมีคุณธรรม สังคมอำนาจเจริญอยู่กันด้วยความสุขสงบร่วมเย็น

หน่วยการปกครอง[แก้]

แผนที่การแบ่งเขตการปกครอง

การปกครองส่วนภูมิภาค[แก้]

แบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 56 ตำบล 653 หมู่บ้าน

เลข ชื่ออำเภอ จำนวนตำบล พื้นที่
(ตร.กม.)
1 อำเภอเมืองอำนาจเจริญ 19 598.744
2 อำเภอชานุมาน 5 555.84
3 อำเภอปทุมราชวงศา 7 520.834
4 อำเภอพนา 4 235
5 อำเภอเสนางคนิคม 6 526
6 อำเภอหัวตะพาน 8 537
7 อำเภอลืออำนาจ 7 191.83
รวม 56 3,161.248

การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีจำนวน 59 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด, 1 เทศบาลเมือง 23 เทศบาลตำบล และ 34 องค์การบริหารส่วนตำบล มีรายชื่อดังนี้

หน่วยงานราชการที่สำคัญ[แก้]

สถานที่ทางศาสนา[แก้]

พระอารามหลวงธรรมยุติกนิกาย[แก้]

วัดราษฏร์ในอำเภอเมืองอำนาจเจริญ[แก้]

วัดราษฏร์มหานิกาย[แก้]

วัดราษฏร์ธรรมยุติกนิกาย[แก้]

คริสต์ศาสนา[แก้]

การสาธารณสุข[แก้]

  • สาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ
  • สาธารณสุขอำเภอเมืองอำนาจเจริญ
  • สาธารณสุขอำเภอเสนางคนิคม
  • สาธารณสุขอำเภอปทุมราชวงศา
  • สาธารณสุขอำเภอพนา
  • สาธารณสุขอำเภอชานุมาน
  • สาธารณสุขอำเภอหัวตะพาน
  • สาธารณสุขอำเภอลืออำนาจ

โรงพยาบาลของรัฐ กระทรวงสาธารณสุข[แก้]

  • โรงพยาบาลอำนาจเจริญ
  • โรงพยาบาลเสนางคนิคม
  • โรงพยาบาลหัวตะพาน
  • โรงพยาบาลปทุมราชวงศา
  • โรงพยาบาลชานุมาน
  • โรงพยาบาลพนา
  • โรงพยาบาลลืออำนาจ
  • โรงพยาบาล.สต.น้ำปลีก
  • โรงพยาบาล.สต.นาแต้
  • โรงพยาบาล.สต.ฟ้าห่วนลืออำนาจ
  • โรงพยาบาล.สต.ภักดีเจริญ
  • โรงพยาบาล.สต.ห้วยไร่
  • โรงพยาบาล.สต.ไก่คำ
  • โรงพยาบาล.สต.เชือก
  • โรงพยาบาล.สต.ดอนเมย
  • โรงพยาบาล.สต.นาหมอม้า
  • โรงพยาบาล.สต.นายม
  • โรงพยาบาล.สต.น้ำปลีก
  • โรงพยาบาล.สต.ดงบังพัฒนา
  • โรงพยาบาล.สต.ปลาค้าว
  • โรงพยาบาล.สต.เหล่าพรวน
  • โรงพยาบาล.สต.สร้างนกทา
  • โรงพยาบาล.สต.หนองมะแซว
  • โรงพยาบาล.สต.คึมใหญ่
  • โรงพยาบาล.สต.นาผือ
  • โรงพยาบาล.สต.นาโพธิ์
  • โรงพยาบาล.สต.โนนโพธิ์
  • โรงพยาบาล.สต.คำน้อย
  • โรงพยาบาล.สต.ภูเขาขาม
  • โรงพยาบาล.สต.นาแต้
  • โรงพยาบาล.สต.กุดปลาดุก
  • โรงพยาบาล.สต.โนนดู่
  • โรงพยาบาล.สต.นาสีนวน

ศูนย์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข[แก้]

สถานศึกษา[แก้]

โรงเรียน[แก้]

โรงเรียนมัธยม สพม.

โรงเรียนเอกชน

โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา

ระดับอาชีวศึกษา[แก้]

  • วิทยาลัยเทคนิคอำนาจเจริญ
  • วิทยาลัยเทคนิคหัวตะพาน
  • วิทยาลัยอาชึวศึกษาโปลีเทคอำนาจเจริญ
  • วิทยาลัยเทคโนโลยีอำนาจเจริญ (เอ-เทค)
  • วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกวรรณ

ระดับอุดมศึกษา[แก้]

มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตอำนาจเจริญ
มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตอำนาจเจริญ
อาคารเรียนรวม ม.มหิดล
มหาวิทยาลัยรามคำแหงสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติอำนาจเจริญ

การสาธารณูปโภค[แก้]

ถนนที่สำคัญในอำนาจเจริญ[แก้]

สำหรับถนนในหมายเลขที่ 1-17 เป็นถนนที่สำคัญทางประวัติศาสตร์จังหวัดอำนาจเจริญได้แก่

  1. ถนนอรุณประเสริฐ
  2. ถนนชยางกูร
  3. ถนนเอนกอำนาจ
  4. ถนนวิชิตสิน
  5. ถนนร่วมมิตร
  6. ถนนสุขาภิบาล 1
  7. ถนนสุขาภิบาล 2
  8. ถนนสุขาภิบาล 3
  9. ถนนราษฎร์บูรณะ
  10. ถนนสามัคคีธรรม
  11. ถนนอำนวยราษฎร์
  12. ถนนเจริญผล
  13. ถนนผดุงมิตร
  14. ถนนอุดมฤกษ์
  15. ถนนบำรุงราษฎร์
  16. ถนนประชาราษฎร์
  17. ถนนสำราญราษฎร์
  18. ถนนอำนาจอนุสรณ์

ส่วนถนนต่อไปนี้ เป็นถนนที่ตั้งชื่อขึ้นมาใหม่

  1. ถนนข้าวหอมมะลิ
  2. ถนนเลี่ยงเมือง

การคมนาคม[แก้]

  • การคมนาคมการจราจร

ภายในเขตเมืองอำนาจเจริญ ประกอบด้วยถนน จำนวน 114 สาย รวมความยาวได้ 103 กิโลเมตร โดยแยกเป็นถนนสายหลัก สายรอง ดังนี้

  • ถนนสายหลัก 3 สาย ความยาว 9 กิโลเมตร
  • ถนนสายรอง 59 สาย ความยาว 45 กิโลเมตร
  • ซอย 52 ซอย ความยาว 49 กิโลเมตร


การประปา[แก้]

  • จำนวนครัวเรือนที่ใช้น้ำประปามีจำนวนทั้งสิ้น 8,025 ครัวเรือน
  • หน่วยงานเจ้าของกิจการประปา คือ การประปาส่วนภูมิภาค จังหวัดอำนาจเจริญ
  • ผลิตน้ำประปาได้วันละ 10,560 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ปริมาณการใช้น้ำ 400 ลิตรต่อคนต่อวัน พื้นที่บริการจ่ายน้ำ 7 ตารางกิโลเมตร

ไฟฟ้า[แก้]

  • ครัวเรือนที่มีการใช้ไฟฟ้าเกือบทุกหลังคาเรือน และมีไฟฟ้าใช้ครอบคลุม ไฟฟ้าสาธารณะตามถนน ถนนสายหลักเมืองมีเกือบครบทุกสายเว้นแต่ถนนสายรอง และตามแยก ซอย ซึ่งยังขาดแคลนอีกหลายจุด

การสื่อสาร[แก้]

  • จำนวนโทรศัพท์ส่วนบุคคลในพื้นที่ จำนวน 3,309 เลขหมาย
  • จำนวนโทรศัพท์สาธารณะในเขตพื้นที่ จำนวน 536 เลขหมาย
  • ชุมสายโทรศัพท์ในเขตพื้นที่ จำนวน 1 แห่ง จำนวนคู่สายทั้งหมด 4,200 คู่สาย เปิดใช้ 2,331 คู่สาย
  • ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข จำนวน 1 แห่ง คือที่ทำการไปรษณีย์อำนาจเจริญ
  • สถานีวิทยุกระจายเสียงในเขตพื้นที่ มี 1 สถานี คือ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดอำนาจเจริญ
  • ระบบเสียงวิทยุไร้สาย 1 สถานี ของสำนักงานเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ
  • หน่วยงานวิทยุสื่อสารในเขตเทศบาล ได้แก่ แม่ข่ายแสงเพชรของสำนักงานเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ แม่ข่ายมิ่งเมืองของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอำนาจเจริญ แม่ข่ายเมืองแมนของที่ทำการปกครองอำเภอเมือง แม่ข่ายเทพมงคลของที่ทำการปกครองจังหวัดอำนาจเจริญ


ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ[แก้]

  • ภูมิอากาศ
  • อุณหภูมิสูงสุด 42 องศาเซลเซียส ต่ำสุด 14 องศาเซลเซียส
  • ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,782.8 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
  • แหล่งน้ำ
  • อ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำพุทธอุทยาน และอ่างเก็บน้ำร่องน้ำซับ
  • คลอง ห้วย 5 แห่ง คือ ห้วยปลาแดก ห้วยกุดสะคุ ห้วยกอก ห้วยซัน และห้วยวังหมู
  • น้ำเสีย
  • ปริมาณน้ำเสีย ประมาณ 8,383 ลบ.ม. ต่อวัน
  • โรงงานบำบัดน้ำเสีย และกำลังค่า BOD. เฉลี่ย 18 มิลลิกรัมต่อลิตร กำลังค่า BOD. ออกจากระบบ 8.30 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • ขยะ
  • ปริมาณขยะ 25 ตันต่อวัน
  • รถยนต์ที่ใช้ในการเก็บขยะ 8 คัน
  • ขยะที่เก็บได้ประมาณ 25 ตันต่อวัน โดยกำจัดขยะด้วยวิธีฝังกล
  • สถานที่กำจัดขยะ 98 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ดงสีบู ตำบลไก่คำ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ
  • รถเข็นเพื่อเก็บขนขยะมูลฝอย 31 คัน
  • ถังรองรับขยะมูลฝอย 485 ใบ เพิ่มใหม่ปี 2551 จำนวน 260 ใบ รวม 745 ใบ
  • พนักงานเก็บ ขน และกวาดขยะมูลฝอย 60 คน

งานประจำจังหวัด[แก้]

  • ฮีตสิบสอง คือจารีตประเพณีที่ประชาชนนำมาปฏิบัติประจำเดือน ทั้ง 12 เดือนในรอบปี เป็นประเพณีการทำบุญประจำเดือนที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา

การนับเดือนเป็นแบบจันทรคติ คือ เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ เดือนห้า เดือนหก เดือนเจ็ด เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ เดือนสิบเอ็ด และเดือนสิบสอง

ตามปกติเดือนอ้ายซึ่งเป็นเดือนแรกของปีจะเริ่มประมาณปลายเดือนธันวาคม ชาวอำนาจเจริญ ถือว่าการประกอบพิธีกรรมตามฮีตสิบสองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าพิธีกรรม ดังกล่าวเกี่ยวเนื่องทั้งพุทธศาสนาและภูตผีวิญญาณ

ตั้งแต่ได้รับการยกฐานะให้เป็นจังหวัดอำนาจเจริญทางราชการและประชาชนได้พยายามส่งเสริมพิธีกรรมฮีตสิบสอง ให้เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอำนาจเจริญ โดยจัดงานฮีตสิบสองและงานกาชาด ให้เป็นงานประจำปี ซึ่งจัดงานในวันที่ 1-10 ธันวาคม ของทุกปีพิธีกรรมตามฮีตสิบสอง ที่ชาวอำนาจเจริญปฏิบัติสืบเนื่องต่อมาจนปัจจุบัน มีสาระสำคัญพอสังเขป ดังนี้

  • ฮีตที่ 1. เดือนอ้าย บุญเข้ากรรม
  • ฮีตที่ 2. เดือนยี่ บุญคูนลาน
  • ฮีตที่ 3. เดือนสาม บุญข้าวจี่
  • ฮีตที่ 4. เดือนสี่ บุญผะเหวด
  • ฮีตที่ 5. เดือนห้า บุญสงกรานต์
  • ฮีตที่ 6. เดือนหก บุญบั้งไฟ
  • ฮีตที่ 7. เดือนเจ็ด บุญซำฮะ
  • ฮีตที่ 8. เดือนแปด บุญเข้าพรรษา
  • ฮีตที่ 9. เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน
  • ฮีตที่ 10. เดือนสิบ บุญข้าวสาก
  • ฮีตที่ 11. เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา
  • ฮีตที่ 12. เดือนสิบสอง บุญกฐิน และงานลอยกระทง


งานประจำปีเมืองอำนาจเจริญ[แก้]

  • งานนมัสการพระมงคลมิ่งเมือง (พระใหญ่) (อ.เมือง)
  • งานนมัสการพระเหลาเทพนิมิต (อ.พนา)
  • งานบุญคูนลาน(งานบุญเกี่ยวกับข้าว) (อ.ลืออำนาจ)
  • งานบุญบั้งไฟ (อ.เมือง)
  • งานแข่งเรือยาวล่องน้ำโขง (อ.ชานุมาน)
  • งานครูสลามายามบ้าน(งานมหรสรรพ) (อ.สลา คุณวุฒิ) (อ.เมือง)
  • งานบุญข้าวจี่ (อ.เสนางคนิคม)

พิธีกรรมท้องถิ่นอำนาจเจริญ[แก้]

  • ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน

หนังปราโมทัยคณะน้ำปลีกบันเทิงศิลป์ บ้านดงบัง ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ

  • การละเล่นพื้นบ้าน

การเส็งกลองกิ่ง อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ

  • วิถีชีวิตชนเผ่าภูไท

บ้านคำเดือย ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอชานุมาน

  • พิธีกรรม รำผีไท้

บ้านป่าก่อ ตำบลป่าก่อ อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ

สถานที่สำคัญของจังหวัด[แก้]

สวนมิ่งเมืองและศาลหลักเมืองอำนาจเจริญ
สถูปเจดีย์วัดถ้ำแสงเพชร
จิตรกรรมวัดถ้ำแสงเพชร
หมู่บ้านหมอลำปลาค้าว
เขาคีรีวงกตภูมะโรง
น้ำตกตาดใหญ่อำนาจเจริญ
หอนาฬิกาอำนาจเจริญ
สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
สวนพุทธอุทยาน
วิหารหลวงปู่ขาว อนาลโย
แก่งหินขัน ริมโขงชานุมาน

การกีฬา[แก้]

สนามกีฬากลางจังหวัดอำนาจเจริญ
กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ

สนามกีฬา[แก้]

  • สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอำนาจเจริญ
  • สนามกีฬาเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ
  • สนามกีฬาจังหวัดอำนาจเจริญ
  • สนามกีฬาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล(อำนาจเจริญ)

สถานีตำรวจ[แก้]

จังหวัดอำนาจเจริญมีสถานีตำรวจทั้งสิ้น 11 แห่ง

ห้างสรรพสินค้า[แก้]

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ[แก้]

วัดถ้ำแสงเพชร
วนอุทยานภูสิงห์-ภุผาผึ้ง
ภูเกษตร เสนางคนิคม
ดอกไม้บนภูสิงห์-ภูผาผึ้ง
น้ำตกตาดใหญ่ชานุมาน

อำเภอเมือง[แก้]

อำเภอลืออำนาจ[แก้]

อำเภอเสนางคนิคม[แก้]

อำเภอหัวตะพาน[แก้]

หลวงพ่อนาคองค์แสน
พระพุทธสันติสุข

อำเภอชานุมาน[แก้]

อำเภอพนา[แก้]

อำเภอปทุมราชวงศา[แก้]

อุทยาน[แก้]

จังหวัดอำนาจเจริญ มีพื้นที่ป่าอยู่ประมาณ 608,000 ไร่ ประมาณร้อยละ 34 ของพื้นที่จังหวัด ไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้กระยาเลย เต็งรัง และไม้แดง มีอยู่ทั่วไป อุทยานแห่งชาติ มีอยู่แห่งเดียวคือ

อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว
  • อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว อยู่ในเขตอำเภอชานุมาน มีพื้นที่ประมาณ 42,000 ไร่ มีภูสระดอกบัว อยู่บริเวณรอยต่อกับอุทยาน ฯ ในพื้นที่บ้านคำเดือย บ้านสงยาง บ้านเหล่าแก้วแมง ตำบลคำเขื่อนแก้ว บ้านหินสิ่ว ตำบลชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นเทือกเขายาวเหยียด หนาทึบ ด้วยป่าไม้เบญจพรรณ แต่เดิมเป็นป่าที่อุดมไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ และแดดส่องไปถึงพื้นดิน มีสัตว์ป่า เช่น ช้าง เสือ หมี กวาง เลียงผา กระทิง และหมูป่า อยู่ชุกชุม ปัจจุบันป่าถูกทำลายจนเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยละ 50 และสัตว์ป่าได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
  • ป่าสงวนแห่งชาติ มีอยู่ 14 แห่ง รวมพื้นที่ประมาณ 412,000 ไร่ ดังนี้

ป่าดงหัวกองและป่าดงปอ อยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ 58,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 35,000 ไร่

ป่าดงหัวกองและป่าดงปังอี่ อยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ อำเภอเสนางคนิคม และอำเภอปทุมราชวงศา มีพื้นที่ประมาณ 195,200 ไร่ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 161,000 ไร่

ป่าดงคำเดือย แปลงที่ 1 อยู่ในเขตอำเภอปทุมวงศา มีพื้นที่ประมาณ 217,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 164,000 ไร่

ป่ารังงาม อยู่ในเขตอำเภอปทุมวงศา มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 400 ไร่

ป่าหนองหลุบและป่าดงปู่ตา อยู่ในเขตอำเภอหัวตะพาน มีพื้นที่ประมาณ 13,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 900 ไร่

ป่าดงใหญ่ อยู่ในเขตอำเภอหัวตะพาน มีพื้นที่ประมาณ 33,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 29,000 ไร่

ป่าดงหนองบัว แปลงที่ 1 อยู่ในเขตอำเภอหัวตะพาน มีพื้นที่ประมาณ 5,500 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 6,300 ไร่

ป่าฝนแสนห่า อยู่ในเขตอำเภอพนา มีพื้นที่ประมาณ 9,500 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 4,700 ไร่

ป่าหนองลุมพุก อยู่ในเขตอำเภอพนา มีพื้นที่ประมาณ 5,500 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 100 ไร่

ป่าโคกโสกใหญ่ อยู่ในเขตอำเภอพนา มีพื้นที่ประมาณ 9,000 ไร่

ป่าดงนางชีและป่าขี้แลน อยู่ในเขตอำเภอพนา มีพื้นที่ประมาณ 2,200 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 300 ไร่

ป่าโคกสองสลึง อยู่ในเขตอำเภอพนา และอำเภอปทุมราชวงศา มีพื้นที่ประมาณ 23,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 9,600 ไร่

ป่าดงป่ายาง และป่าดงปู่ตา อยู่ในเขตอำเภอลืออำนาจ มีพื้นที่ประมาณ 3,400 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 150 ไร่

ป่าดงปังอี่ อยู่ในเขตอำเภอเสนางคนิคม มีพื้นที่ประมาณ 2,200 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 2,200 ไร่

ป่าถาวรตามมติรัฐมนตรี มีอยู่ 5 แห่ง มีพื้นที่ประมาณ 245,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 154,000 ไร่ ดังนี้

ป่าดงหัวกอง แปลงที่ 1 อยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ 37,500 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 12,000 ไร่

ป่าดงสิบ อยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ 4,800 ไร่ ปัจจุบันหมดสภาพ

ป่าดงหัวกอง หมายเลข 47 อยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ มีพื้นที่ประมาณ 22,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 9,600 ไร่

ป่าดงปังอี่ฝั่งซ้ายห้วยทบ อยู่ในเขตอำเภอปทุมราชวงศา และอำเภอชานุมาน มีพื้นที่ประมาณ 156,000 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 131,000 ไร่

ป่าดงขวาง อยู่ในเขตอำเภอปทุมวงศามีพื้นที่อยู่ประมาณ 1,800 ไร่ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 700 ไร่

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ[แก้]

วิหารพระเจ้าใหญ่ลือชัย
พระสังกัจจายน์(วัดสำราญนิเวศ)
พระใหญ่บ้านนาคูป่าดงใหญ่ อำนาจเจริญ
พระนอนวัดถ้ำแสงเพชร
พระธาตุปทุมราชวงศา
อุทยานดงลิงดอนเจ้าปู่ พนา
  • อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว
  • วนอุทยานภูสิงห์-ภูผาผึ้ง
  • วนอุทยานดอนเจ้าปู่

สถานที่ท่องเที่ยวทางศิลปะและวัฒนธรรม[แก้]

  • แหล่งโบราณคดีบ้านเปือยหัวดง
  • กลุ่มใบเสมาในเขตวัดโพธิศิลา
  • กลุ่มใบเสมาบริเวณวัดป่าเรไร
  • กลุ่มใบเสมาหลังโรงเรียนชุมชนเปือยหัวดง
  • แหล่งโบราณคดีบ้านโพนเมือง
  • แหล่งโบราณคดีวัดดงเฒ่าเก่า
  • แหล่งโบราณคดีดอนยาง
  • แหล่งโบราณคดีโนนเมือง
  • แหล่งโบราณคดีบ้านหนองแสง
  • แหล่งประวัติศาสตร์ มี
  • แหล่งประวัติศาสตร์บ้านชาด
  • แหล่งประวัติศาสตร์ภูสระดอกบัว

สถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาและความเชื่อ[แก้]

  • พระนอนวัดถ้ำแสงเพชร
  • พระศรีโพธฺ์ชัย
  • พระธาตุปทุมราชวงศา
  • วิหารหลวงปู่ขาว อนาลโย
  • พระมงคลมิ่งเมือง
  • พระเหลาเทพนิมิต
  • พระเจ้าใหญ่ศรีเจริญ
  • พระสังกัจจายน์(วัดสำราญนิเวศ)

ชาวจังหวัดอำนาจเจริญที่มีชื่อเสียง[แก้]

เต้ย พงศกร


พระสงฆ์[แก้]

ศิลปิน[แก้]

นักกีฬา[แก้]

นักการเมือง[แก้]

ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น[แก้]

อำเภอลืออำนาจ[แก้]

  • ผ้าไหม ผ้ามัดหมี่
  • ผ้าขิด
  • ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเสื่อกก
  • น้ำพริกปลาร้า
  • พฤกษาศิลป์(เยาวชนอำนาจ)

อำเภอเมือง[แก้]

  • เนื้อแห้งรสเด็ด
  • แหนมใบมะยม(ร้านสมพร)
  • แจ่วบองสมุนไพร
  • ข้าวกล้องงอกหอมมะลิ
  • ข้าวหอมมะลิอินทรีย์
  • ข้าวสารหอมมะลิ 3K
  • ชาใบหม่อน
  • ไม้แกะสลัก
  • เสื่อกก(ลายขิต)
  • เสื่อกกลายมัดหมี่
  • กล้วยห่อสะบัดงา
  • ผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ
  • ผ้าพื้นเรียบ
  • ผ้าสไบขิต
  • ผ้าลายเกล็ดเต่า
  • ลูกแก้วผ้ามัดหมี่
  • มวยนึ่งข้าวเหนียวของชาวตำบลนาจิก

อำเภอพนา[แก้]

  • ผ้าสายฝน, ผ้ามัดหมี่, ผ้าลายขิด, ผ้าขาวม้า
  • ผ้าทอมัดหมี่ ,แปรรูปผ้าไหม

อำเภอชานุมาน[แก้]

  • กลัวยตากบ้านหินขัน
  • ผ้าขาวม้าเชิงขิด ผ้าขิด
  • ครีมล้างหน้ามะขาม

อำเภอปทุมราชวงศา[แก้]

  • ข้าวหอมมะลิ
  • ผ้าขิดมัดหมี่
  • กลุ่มแปรรูปสมุนไพรบ้านหินเกิ้ง (สุรากลั่นกระชายดำ)

อำเภอเสนางคนิคม[แก้]

  • ยาหม่องน้ำมันงา

อำเภอหัวตะพาน[แก้]

  • งานฝีมือผ้าทอบ้านคำพระ

การเดินทาง[แก้]

สถานีขนส่งผู้โดยสารเมืองอำนาจเจริญ

โดยทางรถยนต์[แก้]

  • อำนาจเจริญอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 585 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดอำนาจเจริญได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัวและรถประจำทาง

โดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ ไปอำนาจเจริญได้ 2 เส้นทาง คือ

  • ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ถึงนครราชสีมา จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 226 นครราชสีมา-สุรินทร์

และใช้ทางหลวงหมายเลข 214 (สุรินทร์-สุวรรณภูมิ) แล้วแยกขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 202 ผ่านจังหวัดยโสธร และอำเภอป่าติ้ว ถึงจังหวัดอำนาจเจริญ รวมระยะทางประมาณ 585 กิโลเมตร

  • ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 และหมายเลข 2 จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 226 (นครราชสีมา-อุบลราชธานี) ถึงจังหวัดอุบลราชธานี แล้วใช้ทางหลวง

หมายเลข 212 (อุบลราชธานี-อำนาจเจริญ)รวมเป็นระยะทางประมาณ 704 กิโลเมตร

โดยรถประจำทาง[แก้]

รถตู้ระหว่างเมืองอุบลราชธานี-อำนาจเจริญ

โดยรถประจำทางมีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน ออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือถนนกำแพงเพชร 2ไปอำนาจเจริญ ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง

รถโดยสารปรับอากาศและรถตู้ปรับอากาศที่วิ่งระหว่างเมือง[แก้]

  • รถโดยสารปรับอากาศ สายขอนแก่น -อำนาจเจริญ
  • รถโดยสารปรับอากาศ สายมุกดาหาร-พัทยา
  • รถโดยสารปรับอากาศ สายสกลนคร-อุบลราชธานี
  • รถตู้ปรับอากาศที่วิ่งระหว่างเมืองอำนาจเจริญ -อุบลราชธานี ประมาณ 50 คัน
  • รถตู้ปรับอากาศที่วิ่งระหว่างเมืองอำนาจเจริญ -เขมราฐ-อุบลราชธานี ประมาณ 40 คัน
  • รถตู้ปรับอากาศที่วิ่งระหว่างเมืองอำนาจเจริญ -เลิกนกทา-อุบลราชธานี ประมาณ 40 คัน
  • รถตู้ปรับอากาศที่วิ่งระหว่างเมืองอำนาจเจริญ -สกลนคร-อุบลราชธานี

การเดินทางภายในอำนาจเจริญ[แก้]

ในตัวเมืองอำนาจเจริญมีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่างๆ ได้อย่างสะดวก นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการยานพาหนะได้หลายรูปแบบตามอัธยาศัย สอบถามรายละเอียดได้ที่สถานีขนส่งอำนาจเจริญ

นอกจากนี้ยังมีรถสองแถวไปยังอำเภอ เช่น อำเภอลืออำนาจ อำเภอพนา ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคิวรถจะอยู่ในสถานีขนส่งระยะทางจากอำเภอเมืองอำนาจเจริญไปยังอำเภอต่าง ๆ คือ

อำเภอลืออำนาจ 22 กิโลเมตร

อำเภอปทุมราชวงศา 32 กิโลเมตร

อำเภอหัวตะพาน 35 กิโลเมตร

อำเภอพนา 47 กิโลเมตร

อำเภอชานุมาน 78 กิโลเมตร

อำเภอเสนางคนิคม 21 กิโลเมตร

โดยทางเครื่องบิน[แก้]

  • สายการบินระหว่างดอนเมือง-อุบลราชธานี
  • ลงเครื่องที่ สนามบินนานาชาติอุบลราชธานีแล้วต่อรถโดยสารปรับอากาศหรือรถตู้ปรับอากาศที่วิ่งระหว่างเมืองมายังอำนาจเจริญ

อ้างอิง[แก้]

  1. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 140 ตอน 318 ง หน้า 15 วันที่ 19 ธันวาคม 2566
  2. ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารและงานปกครอง. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ข้อมูลการปกครอง." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dopa.go.th/padmic/jungwad76/jungwad76.htm เก็บถาวร 2016-03-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน [ม.ป.ป.]. สืบค้น 18 เมษายน 2553.
  3. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statyear/#/TableTemplate3/Area/statpop?yymm=64&ccDesc=จังหวัดอำนาจเจริญ&topic=statpop&ccNo=37 2564. สืบค้น 2 กุมภาพันธ์ 2565.

ดูเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

พิกัดภูมิศาสตร์: 15°52′N 104°38′E / 15.86°N 104.63°E / 15.86; 104.63