จักรพรรดินีเซี่ยวเหอรุ่ย พระพันปีหลวง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จักรพรรดินีเสี้ยวเหอรุ่ย
พระพันปีหลวง
จักรพรรดินีเเห่งราชวงศ์ชิง
ดำรงพระยศ27 พฤษภาคม 1801 – 2 กันยายน 1820
รัชกาลก่อนหน้าสมเด็จพระจักรพรรดินีเซี่ยวซูรุ่ย
รัชกาลถัดไปจักรพรรดินีเซี่ยวเซิ่นเฉิง
พระพันปีหลวง
ดำรงพระยศ2 กันยายน 1820 – 23 มกราคม 1850
พระราชสมภพค.ศ. 1776
สวรรคตค.ศ. 1850
พระราชวังต้องห้าม ปักกิ่ง
พระราชสวามีสมเด็จพระจักรพรรดิเจียชิ่ง
พระราชบุตรองค์ชายหมินกี (惇恪亲王绵恺; 1795-1838)
องค์ชายหมินเสียน (瑞怀亲王绵忻; 1805-1828)
พระราชธิดาไม่ทราบพระนาม (1793-1795)
ราชวงศ์ชิง
พระราชบิดาหนิวฮุ่ลู่ กงหวัน (鈕祜祿恭阿拉)
พระสาทิสลักษณ์พระอัครมเหสีหนิวฮูหลู่ขณะทรงพระยศเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีในจักรพรรดิเจียชิ่ง
พระสาทิสลักษณ์พระพันปีหลวงกงฉือ พระพันปีหลวง ใน จักรพรรดิเต้ากวงในฉลองพระองค์ช่วงพระราชพิธีช่วงเช้า

จักรพรรดินีเซี่ยวเหอรุ่ย พระพันปีหลวง (จีน: 孝和睿皇后; อังกฤษ: Empress Xiaoherui) เป็นพระจักรพรรดินีพระองค์ที่สองในจักรพรรดิเจียชิ่งและสมเด็จพระพันปีหลวงในจักรพรรดิเต้ากวง

พระราชประวัติ[แก้]

จักรพรรดินีเซี่ยวเหอรุ่ย ประสูติในราชสกุลแมนจู สกุล หนิวฮูลู่ พระบิดาของพระนางทรงดำรงพระยศเป็น กงหวัน (恭阿拉) ซึ่งทำหน้าที่อยู่หมวดกพระราชพิธีในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลง

พระนางหนิวฮูลู่ เข้าถวายตัวเป็นราชบริจาริกาและได้รับการสถาปนาเป็นพระวรชายาองค์ที่สองของมกุฎราชกุมารหย่งเยี๋ยน (顒琰) พระโอรสองค์ที่สิบห้าของจักรพรรดิเฉียนหลง ในปี ค.ศ.1793 พระนางมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่เจ็ดขององค์ชายหย่งเยี๋ยน และพระโอรสสองพระองค์ คือองค์ชายหมินกีและหมินเสียน ในปี ค.ศ. 1796 จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงสละราชสมบัติและโดยทรงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น พระบิดาหลวง หรือ จักพรรดิสูงสุด (จีน: 太上皇帝-ไท่ซั่งหวง) อย่างไรก็ตามแม้จะสละราชบัลลังค์แล้วแต่อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่กับพระองค์ มกุฎราชกุมารหย่งเยี๋ยน ได้รับการเสวยราชย์สมบัติต่อมาเป็น สมเด็จพระจักรพรรดิเจียชิ่ง พระนางหนิวหนิวฮูลู่ในฐานะพระวรชายาองค์ที่สองของ มงกุฏราชกุมารได้รับการสถาปนาเป็น พระมเหสี (จีน: 贵妃-กุ้ยเฟย) ต่อมาเมื่อสมเด็จพระจักรพรรดินีเซี่ยวซูรุ่ยทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์หลังจากที่ทรงพระยศสมเด็จพระจักรพรรดินีได้เพียงหนึ่งปี พระนางหนิวฮูลู ในฐานะที่มีพระยศอาวุโสสูงสุดในบรรดาพระมเหสี ได้รับการเลื่อนยศของ พระอัครมเหสี (จีน: 皇贵妃-หวงกุ้ยเฟย) จักรพรรดิเจียชิ่งทรงอยากจะสถาปนาพระนางขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีองค์ต่อมา แต่ในขณะนั้นจะต้องรอจนกว่าระยะเวลาการไว้ทุกข์สำหรับสมเด็จพระจักรพรรดินีเซี่ยวซูรุ่ย สิ้นสุดลงก่อน จนในปี ค.ศ. 1799 จักรพรรดิเฉียนหลง เสด็จสวรรคตอีก ดังนั้นการสถาปนาพระยศของพระนางจึงถูกเลื่อนออกไปจน ค.ศ. 1801

พระนางหนิวฮูลู ทรงถวายการอภิบาลดูแลรักษา องค์ชายหมินเหนียงพระโอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระจักรพรรดินีเซี่ยวซูรุ่ย พระนางทรงถวายการอภิบาลดูแลรักษา องค์ชายหมินเหนียงเป็นอย่างดียิ่ง และทรงในรับความเคารพนับถือ จาก องค์ชายหมินเหนียงเป็นอย่างดี ในฐานะพระราชมารดาเลี้ยงต่อมาเมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิเจียชิ่งสวรรคตในปี ค.ศ. 1820 ก่อนที่สิ้นพระชนม์ทรงทำพระราชพินัยกรรมการแต่งตั้งมกุฎราชกุมาร และได้เก็บไว้กับพระนางหนิวฮูลู่ ซึ่งขณะนั้นทรงพระยศเป็น หวงไท่เฟย แล้ว และพระนางหนิวฮุลู่ทรง มีพระราชเสาวนีย์ว่าองค์ชายหมินเหนียง จะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อมา ก่อนที่จะประกาศอย่างเป็นทางการของราชสำนักออก พระนางมีพระราชเสาวนีย์ให้นางพระกำนัลคนสนิทของพระนางนำพระบรมราชโองการไปให้ องค์ชายหมินเหนียงซึ่งขณะนั้นทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังพักร้อน เมืองเฉิงเต๋อในเวลานั้น องค์ชายหมินเหนียง รีบกลับไปยังเมืองหลวงปักกิ่งและเสวยราชย์ราชสมบัติเป็นจักรพรรดิเต้ากวง และ จักรพรรดิเต้ากวงทรงสถาปนา พระนางหนิวฮูลู่หวงไท่เฟย เป็น สมเด็จพระพันปีหลวงกงฉือ (恭慈皇太后)

ในปี ค.ศ.1836 สมเด็จพระพันปีหลวงกงฉือทรงจัดฉลองวันคล้านวันประสูติครบรอบ 60 ปีของพระนาง จักรพรรดิเต้ากวง ทรงสร้างเครื่องทรงราชกกุธภัณฑ์มมากมายมหาศาลถวายแด่พระนางเป็นอย่างดี และเมื่อ 10 เมษายน ค.ศ.1838 สมเด็จพระพันปีหลวงกงฉือและจักรพรรดิเต้ากวง เสด็จไปคำนับบรรพกษัตริย์ที่สุสานราชวงศ์ชิงฝ่ายตะวันออกเป็น 13 วัน สมเด็จพระพันปีหลวงกงฉือทรงทิวงคต ในปี 29 ของจักรพรรดิเต้ากวง ซึ่งเทียบได้กับประมาณ เดือนมกราคม 1850 ในปฏิทินคริตศักราช ทรงได้รับการเฉลิมพระนามหลังเสด็จสวรรคตแล้วว่า สมเด็จพระจักรพรรดินีเซี่ยวเหอรุ่ย พระพันปีหลวง และพระศพถูกฝังที่แยกต่างหากอยู่ใกล้กับสุสานชางหลิง ในสุสานราชวงศ์ชิงฝ่ายตะวันตก

พระนามที่ได้รับการสถาปนาหลังเสด็จสิ้นพระชนม์[แก้]

พระอิริยายศหลังสิ้นพระชนม์เต็มคือ:

Empress Xiaohegongcikangyu'anchengqinshunrenzhengyingtianxishengrui (孝和恭慈康豫安成钦顺仁正应天熙圣睿皇后)

พระโอรส-ธิดาที่ประสูติแด่พระนาง[แก้]

อ้างอิง[แก้]

ดูเพิ่ม[แก้]