คะระ โนะ เคียวไก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก คาระ โนะ เคียวไค)
คะระ โนะ เคียวไก
空の境界
แนวโรมานซ์, เหนือธรรมชาติ, ทริลเลอร์
มังงะ
เขียนโดยนะสุ คิโนะโกะ
วาดภาพโดยทาเคอุจิ ทะคะชิ
สำนักพิมพ์ญี่ปุ่น ไทป์-มูน (ต้นฉบับ)
ญี่ปุ่น โคดันฉะ (ตีพิมพ์วางจำหน่าย)
วางจำหน่ายตั้งแต่ตุลาคม 1998 – สิงหาคม 1999
2004 (ตีพิมพ์ครั้งที่ 1)
2007 (ตีพิมพ์ครั้งที่ 2)
– ปัจจุบัน
จำนวนเล่ม3
อนิเมะ
ทิวทัศน์ที่ถูกมองข้าม
กำกับโดยอะโอะคิ เอะอิ
สตูดิโอufotable
ฉาย1 ธันวาคม 2007 (ในโรงภาพยนตร์)
5 พฤษภาคม 2008 (DVD) [1]
อนิเมะ
ตามหาฆาตกร (ช่วงที่ 1)
กำกับโดยโนะนะกะ ทะคุยะ
สตูดิโอufotable
ฉาย29 ธันวาคม 2007 (ในโรงภาพยนตร์)
25 มิถุนายน 2008 (DVD) [2]
อนิเมะ
ความเจ็บปวดที่ไม่จางหาย
กำกับโดยโอบุนะอิ มิสึรุ
สตูดิโอufotable
ฉาย26 มกราคม 2008 (ในโรงภาพยนตร์)
23 กรกฎาคม 2008 (DVD) [3]
อนิเมะ
อารามที่ว่างเปล่า
กำกับโดยชินอิจิ ทะคิกุจิ
สตูดิโอufotable
ฉาย24 พฤษภาคม 2008 (ในโรงภาพยนตร์)
17 ธันวาคม 2008 (DVD) [4]
อนิเมะ
เกลียวที่ขัดกัน
กำกับโดยฮิระโอะ ทะคะยุคิ
สตูดิโอufotable
ฉาย16 สิงหาคม 2008 (ในโรงภาพยนตร์)
28 มกราคม 2009 (DVD) [5]
อนิเมะ
บันทึกความทรงจำที่เลือนลาง
กำกับโดยมิอุระ ทะคะฮิโระ
สตูดิโอufotable
ฉาย20 ธันวาคม 2008 (ในโรงภาพยนตร์)
อนิเมะ
ตามหาฆาตกร (ช่วงที่ 2)
สตูดิโอufotable
ฉาย2009

คะระ โนะ เคียวไก (ญี่ปุ่น: 空の境界โรมาจิkara no kyōkaiทับศัพท์: คำแปล: เขตแดนแห่งความว่างเปล่า) เป็นนิยายชุด จากประเทศญี่ปุ่น ประพันธ์โดย นะสุ คิโนะโกะ ภาพประกอบโดย ทาเคอุจิ ทะคะชิ หรือเป็นที่รู้จักในชื่อเล่นว่า รัคเคียว (ญี่ปุ่น: らっきょโรมาจิRakkyo) และในอีกชื่อว่า "The Garden of Sinners"

ประวัติ[แก้]

ในเดือนตุลาคม 1998 นิยายชุดนี้ได้ถูกเริ่มตีพิมพ์ลงบนเว็บไซต์ ทะเคะโบวคิ (ญี่ปุ่น: 竹箒โรมาจิTakebōki) ซึ่งเป็นเว็บไซต์โดจิน ของนะสุ และ ทะเคะอุจิ โดยตีพิมพ์ลงได้เพียง 5 ตอน ส่วน 2 ตอนสุดท้ายนั้นได้ถูกตีพิมพ์และวางจำหน่ายในงาน คอมิเก็ต 56 ในเดือนสิงหาคม 1999 ก่อนที่พวกเขาจะก่อตั้งกลุ่ม ไทป์-มูน ขึ้น ในปี 2001 ได้มีการจำหน่ายตัวอย่างของ ซึกิฮิเมะ พลัส-ดิสก์ ซึ่งเป็นแฟนดิกส์ของ ซึกิฮิเมะ ทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้มีการทำเป็น โดจินชิ ขึ้นในงานคอมิเก็ต 61 ในวันที่ 30 ธันวาคม 2001

ในเดือนพฤศจิกายน 2002 ได้มีการวางจำหน่าย ดราม่า ซีดี ประกอบนิยายขึ้น และในวันที่ 6 สิงหาคม 2004 สำนักพิมพ์ โคดันฉะ ได้รับสิทธิ์ตีพิมพ์และวางจำหน่ายนิยาย คะระ โนะ เคียวไก ในรูปแบบจำนวนจำกัด 5000 ชุด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนจำหน่ายได้หมดตั้งแต่เริ่มวางจำหน่าย ซึ่งนิยาย คะระ โนะ เคียวไก ทั้งสองรูปแบบนั้นได้ถูกตีพิมพ์และจำหน่ายไปมากกว่า 500,000 ก๊อปปี้ [6] ในปี 2009 Del Rey Manga ได้ประกาศว่าจะมีการตีพิมพ์นิยาย คะระ โนะ เคียวไก ลงในนิตยสาร Faust ฉบับแรก [7] ซึ่งเนื้อหาภายในเรื่องจะเป็นเหตุการณ์คู่ขนานและเกี่ยวข้องกับ ซึกิฮิเมะ ซึ่งเป็นอีกผลงานหนึ่งของ ไทป์-มูน โดยมีตัวเอกของเรื่องคือ เรียวกิ ชิกิ ผู้มีความสามารถเช่นเดียวกันกับ โทโนะ ชิกิ ซึ่งเป็นตัวเอกใน ซึกิฮิเมะ นอกจากนั้นยังมีตัวละคร อาโอซากิ โทโกะ ซึ่งเป็นพี่สาวของ อาโอซากิ อาโอโกะ (ที่มีบทบาทใน ซึกิฮิเมะ) อีกด้วย

นอกจากนั้น คะระ โนะ เคียวไก ยังได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น จำนวน 7 ตอนอีกด้วย ซึ่งเป็นผลงานของสตูดิโอ ufotable [8] โดยตอนแรกมีชื่อว่า ทิวทัศน์ที่ถูกมองข้าม (ญี่ปุ่น: 俯瞰風景โรมาจิFukan Fūkei) ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2007 ตามมาด้วยตอนที่ 2 - 6 โดยทั้งหมดมีชื่อตอนเรียงตามลำดับว่า ตามหาฆาตกร (ช่วงที่ 1) (ญี่ปุ่น: 殺人考察 (前)โรมาจิSatsujin Kōsatsu (Zen)) , ความเจ็บปวดที่ไม่จางหาย (ญี่ปุ่น: 痛覚残留โรมาจิTsūkaku Zanryū) , อารามที่ว่างเปล่า (ญี่ปุ่น: 伽藍の洞โรมาจิGaran no Dō) , เกลียวที่ขัดกัน (ญี่ปุ่น: 矛盾螺旋โรมาจิ Mujun Rasen) , บันทึกความทรงจำที่เลือนลาง (ญี่ปุ่น: 忘却録音โรมาจิBōkyaku Rokuon) โดยแต่ละตอนได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่เรียงตามลำดับตอน ตอนที่ 2 เข้าฉายวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ตามมาด้วย 26 มกราคม 2008, 24 พฤษภาคม 2008, 16 สิงหาคม 2008 และ 20 สิงหาคม 2008 ตามลำดับ สำหรับตอนที่ 7 ตามหาฆาตกร (ช่วงที่ 2) (ญี่ปุ่น: 殺人考察 (後)โรมาจิSatsujin Kōsatsu (Go)) ได้มีการออกฉายในปี 2009 และเนื่องจากได้มีการฉายภาพยนตร์ นิยาย คะระ โนะ เคียวไก จึงได้มีการพิมพ์ใหม่ขึ้น เป็นสามเล่ม พร้อมภาพประกอบในรูปแบบใหม่ [9]

เนื้อเรื่อง[แก้]

ตอนที่ 1: ทิวทัศน์ที่ถูกมองข้าม[แก้]

ลำดับเหตุการณ์: กันยายน 1998

โคคุโตะ มิกิยะ เข้ามาเยี่ยมชิกิที่ห้องพักพร้อมกับไอศกรีม แต่ชิกิได้แสดงท่าทีไม่พอใจที่เขามาเยี่ยม และยังปฏิเสธที่จะทานไอศกรีมเหล่านั้น จากนั้น ชิกิได้ปรึกษากับโทวโกะเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆ่าตัวตายต่อเนื่องของกลุ่มนักเรียนหญิงโรงเรียนมัธยม ด้วยการกระโดดลงมาจากตึกฟุโจว โดยไร้ร่องรอยของสาเหตุแห่งการฆ่าตัวตาย โทวโกะได้บอกกับชิกิว่าเด็กผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจที่ฆ่าตัวตาย แต่ถูกบังคับให้มากระโดดลงไปจากตึกแห่งนี้ ตกดึก ชิกิได้เดินผ่านตึกฟุโจว ที่ปัจจุบันกลายเป็นซากถูกทิ้งร้างเอาไว้ ระหว่างทางเธอได้พบกับศพของหญิงสาวคนหนึ่งที่กระโดดลงมาตายอยู่ตรงหน้าเธอ และยังได้พบกับกลุ่มวิญญานลอยอยู่บนดาดฟ้าของตึกฟุโจวอีกด้วย

วันถัดมา ชิกิได้ปรึกษาเรื่องอาคารฟุโจวกับโทวโกะอีกครั้ง เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอได้พบเจอและความรู้สึกแปลกๆ ที่สัมผัสได้จากเหตุการณ์นี้ โทวโกะได้สันนิษฐานว่าวิญญานเหล่านั้นคือวิญญานที่ไม่สามารถไปสู่สุคติได้ของเหล่าหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์นี้ ในช่วงบ่าย ชิกิได้เข้าไปสำรวจรอบๆ ตึกฟุโจวอีกครั้ง คราวนี้เธอได้พบกับเด็กสาวกระโดดลงมาตายอยู่ต่อหน้าเธอ เธอจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจภายในตัวอาคารฟุโจว ระหว่างทางเธอได้ถูกวิญญานหญิงสาวดวงหนึ่งโจมตี ด้วยการบังคับแขนซ้ายของเธอเอาไว้ และพยายามใช้มันในการฆ่าตัวของชิกิเอง แต่ด้วยดวงตามรณะของชิกิ เธอได้ทำลายแขนของเธอเอง ซึ่งปรากฏให้เห็นว่าแขนของเธอนั้นเป็นแขนเทียมที่โทวโกะสร้างไว้ให้ และเอาตัวรอดกลับมาหาโทวโกะได้อีกครั้ง ในระหว่างที่โทวโกะซ่อมแขนซ้ายที่เสียหายไปของเธอให้นั้น เธอได้กลับไปยังห้องพัก และทานไอศกรีมที่โคคุโตะซื้อเอาไว้ให้ด้วยแขนข้างเดียวที่เหลือของเธอ วันถัดมา ชิกิได้ไปรับแขนของเธอซึ่งโทวโกะได้ซ่อมแซมและปรับปรุงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตกดึกเธอได้กลับไปยังตึกฟุโจวอีกครั้ง เพื่อสะสางบัญชีที่วิญญานเหล่านั้นได้ทำกับเธอเอาไว้ในวันก่อน โดยเธอได้สังหารวิญญานหญิงสาวเหล่านั้นทั้งหมดลงด้วยดวงตามรณะ และแขนเทียมที่โทวโกะได้ปรับปรุงใหม่ให้เธอ

อีกฟากหนึ่ง ที่โรงพยาบาล ฟุโจว คิริเอะ ได้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่ดวงจิตของเธอได้ถูกชิกิสังหารไปเมื่อครู่ โทวโกะได้เข้ามาหาเธอและถามเกี่ยวกับสาเหตุในสิ่งที่เธอได้ทำลงไป ฟุโจวตอบว่าเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะให้พวกเขาตกจากตึกลงมาตาย เพียงแต่เธอต้องการเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น เธอจึงได้เรียกเด็กสาวเหล่านั้นเข้ามาหาดวงจิตของเธอแทน ในขณะที่ตัวเธอกำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลกับโรคที่รักษาไม่หาย ที่เธอเป็นมาตั้งแต่เธอจำความได้ หลังจากที่โทวโกะแยกตัวออกไป ฟุโจวได้รู้สึกตัวว่าเธอรู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่เธอถูกชิกิฆ่าดวงจิตของเธอ และเธอต้องการที่จะรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง เธอจึงได้พาตัวเองทั้งรถเข็นไปยังที่ดาดฟ้าตึกฟุโจว และทิ้งตัวเองลงมาจากยอดตึกนั้น โคคุโตะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกราวกับตัวเองหลับไปอย่างยาวนาน และชิกิยังยอมให้เขาไปที่บ้านของเธอ เพื่อจัดการกับไอศกรีมที่เขาได้ซื้อเอาไว้อีกด้วย ในช่วงท้าย โทวโกะได้เดินผ่านตึกฟุโจว พร้อมกับ โคคุโตะ อาซากะ ในที่ๆ พบศพของฟุโจว และโทวโกะได้พูดออกมาว่า ที่ฟุโจวตายนั้นไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่เป็นเพราะแค่ในวันนั้น เธอบินไม่ได้เท่านั้น

ตอนที่ 2: ตามหาฆาตกร (ช่วงที่ 1)[แก้]

ลำดับเหตุการณ์: มีนาคม 1995 - กุมภาพันธ์ 1996

มิกิยะได้พบกับชิกิในชุดกิโมโนสีขาวในคืนหิมะตกเป็นครั้งแรก จากนั้น ในพิธีปฐมนิเทศของโรงเรียนมัธยมปลาย เขาได้พบกับชิกิท่ามกลางฝูงชน เขาวิ่งตามเธอไปและได้แนะนำตัวกับเธอ ตกดึก ชิกิได้พบกับศพของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์จมกองเลือดอยู่ที่ข้างถนน เธอก้มลงใช้ปลายนิ้วแตะเอาเลือดเหล่านั้นมาทาปากแทนลิปสติก และยิ้มอย่างน่าประหลาด ที่โรงเรียนในวันถัดมา มิกิยะได้พูดถึงเรื่องชุดกิโมโนที่เธอใส่อยู่ตลอดเวลา และเตือนให้ระวังอากาศเย็น เธอตอบไปว่าเธอจะหาอะไรมาสวมทับเองเมื่ออากาศเย็นลง มิกิยะจึงได้แนะนำเสื้อแจ็กเกตไป เธอจึงได้ไปหาซื้อเสื้อแจ็กเกตตามที่เขาบอก และได้เสื้อแจ็กเกตสีแดงมา ตกดึก มีชายผู้หนึ่งกำลังวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวเพื่อให้พ้นจากสิ่งที่ตามเขามาหมายจะปลิดชีวิตของเขา แต่แล้วเขาก็ถูกฆ่าตายอย่างสยดสยองด้วยมีดเพียงเล่มเดียว วันถัดมา มิกิยะได้บอกกับชิกิเรื่องเหตุการณ์ฆาตกรรมในคืนวันก่อน

หลังจากที่ตำรวจพบศพผู้เคราะห์ร้ายเป็นรายที่ 4 โรงเรียนจึงมีคำสั่งให้งดกิจกรรมช่วงเย็นทั้งหมด ชิกิก็เป็นหนึ่งในคนที่จะกลับบ้านในเวลานี้เช่นกัน แต่เธอได้พบกับชายแปลกหน้าเข้าคนหนึ่ง เขากล่าวหากับเธอว่าเธอฆ่าคนไป 4 คนแล้ว แต่เธอก็ได้เลี่ยงที่จะตอบเขาและเดินจากไป ในขณะนั้นฝนตกพอดี เธอจึงยืนรออยู่ที่ทางเข้าโรงเรียน มิกิยะตามมาทันและให้ร่มเธอยืม เธออึ้งอยู่ซักพัก และตอบปฏิเสธพร้อมบอกว่าอีกไม่นานจะมีคนมารับเธอ บริเวณรอบตัวทั้งคู่ไม่มีใครอยู่ ชิกิทนกับความเงียบไม่ไหวจึงถามมิกิยะออกไปถึงเหตุผลที่ออกมาสาย เขาจึงตอบว่าเป็นเพราะเขาต้องไปประชุมเรื่องกิจกรรมอำลารุ่นพี่ ลิโอ ชิราซุมิ ที่จะลาออกกลางคันเพราะพบสิ่งที่ตนเองต้องการจะทำ มิกิยะถามชิกิกลับว่าทั้งที่เขาชวนเธอให้ไปเข้าประชุมด้วยกันแล้ว แต่ชิกิกลับคิดว่าเขาจริงจังเรื่องนี้ด้วย ตกดึก ชิกิได้พบกับศพของผู้เคราะห์ร้ายรายที่ 5 และพูดออกมาว่า "รายที่ 5" อย่างไร้อารมณ์

รุ่งเช้า ชิกิประลองดาบกับพ่อของเธอด้วยดาบจริง ผลคือเธอแพ้ เมื่อออกจากห้องประลอง เธอได้พบกับ อาคิทากะ คนรับใช้ของตระกูล เขาได้บอกกับเธอว่าเธอเป็นผู้สืบทอดตระกูลที่แท้จริง แทนที่พี่ชายของเธอ ซึ่งผิดปกติจากธรรมเนียมทายาทของตระกูลญี่ปุ่นที่ผู้ชายจะได้เป็นผู้นำตระกูล เป็นเพราะมีเพียงชิกิเท่านั้นที่ได้รับสืบทอดบุคลิกของตระกูลเรียวกิมา ซึ่งเป็นบุคลิกของผู้ชาย เธอจึงได้พันผ้ารัดหน้าอกของเธอไว้เพื่อปกปิดความเป็นหญิงของเธอ ระหว่างพักกลางวัน กาคุโตะ สมาชิกชมรมยูโด เพื่อนของมิกิยะ ถามกับมิกิยะเกี่ยวกับชิกิ เรื่องข่าวลือที่ว่าเขาคบกับเธอ มิกิยะตอบว่าเขาชอบเธอ แต่ก็เป็นแค่เพื่อนกัน หลังเลิกเรียน มิกิยะพบกับจดหมายอยู่ใต้โต๊ะ มีชื่อของชิกิอยู่บนซอง โดยจดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายที่ชิกิส่งมาเพื่อชวนเขาไปเดท พอถึงเวลานัด ชิกิก็มาถึงในบุคลิกของผู้ชาย ทำให้เขามึนไปกับเธออยู่พอสมควร ในช่วงทานอาหารกลางวัน ชิคิ ได้บอกกับมิกิยะเกี่ยวกับความแตกต่างในการเขียนชื่อของพวกเขาว่า ชิกิ (式) คือบุคลิกผู้หญิง และ ชิคิ (織) คือบุคลิกของผู้ชาย และอธิบายในสิ่งที่เขาเป็น และสิ่งที่ชิกิเป็น ว่าเป็นทางกลับด้านกัน

ที่บ้าน มิกิยะทานข้าวเย็นโดยมี ไดสุเกะ พี่ชายของเขาซึ่งเป็นนักสืบเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งพี่ของเขาทำคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆาตกรรมในระยะนี้ เขาได้บอกกับมิกิยะว่าเบาะแสล่าสุดที่พบคือตราโรงเรียนที่มิกิยะเรียนอยู่ ในบริเวณที่เกิดเหตุ หลังเลิกเรียน ชิคิได้เข้ามาพูดคุยกับมิกิยะ พร้อมทั้งเตือนเรื่องที่ชิกิจะพยายามฆ่าทุกคนที่พยายามพาเธอออกสู่โลกภายนอก วันถัดมา มิกิยะก็ยังชวนชิกิขึ้นไปทานอาหารกลางวันที่บนดาดฟ้า ทำเอาชิกิแปลกใจอยู่พอสมควร ในช่วงที่ขึ้นไปด้วยกัน มิกิยะสังเกตเห็นผ้าพันแผลที่แขนซ้ายของชิกิ จึงได้ถามถึงที่มา และได้คำตอบมาว่าได้แผลมาตอนที่ไปฆ่าคนล่าสุด แต่มิกิยะไม่เชื่อตามที่เธอพูด และคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ชิกิก็ได้เตือนเขาว่าหากยังไม่ยอมถอยห่างออกไปอีก เธอจะฆ่าเขาทิ้ง ตกเย็น ไดสุเกะก็มาทานข้าวที่บ้านมิกิยะอีกครั้ง คราวนี้เขามาพร้อมกับข้อมูลว่าที่ปลายเล็บของศพผู้เคราะห์ร้ายมีหนังของฆาตกรอยู่ และข้อสันนิษฐานที่ว่าในขณะนี้ฆาตกรจะต้องบาดเจ็บที่ข้อศอกข้างซ้ายแน่นอน ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่ชิกิพันผ้าพันแผลเอาไว้อยู่ มิกิยะเห็นถึงกับช็อค เขาจึงรีบวิ่งไปที่คฤหาสน์ของชิกิ ที่อยู่กลางดงต้นไผ่ เมื่อไปถึงพบว่าชิกิไม่อยู่ เขาจึงขอตัวกลับ ระหว่างทางเขาได้พบกับชิกิ ในชุดกิโมโนของเธอที่ย้อมจนเป็นสีแดง ด้วยเลือดของศพไร้หัวที่อยู่ตรงหน้าเธอ ชิกิเห็นจึงเดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร เธอยิ้มให้กับเขา แล้วบอกว่า "ระวังตัวหน่อยสิ โคคุโตะคุง ลางสังหรณ์ที่แย่ มักจะทำให้เจอแต่เรื่องแย่ๆ นะ"

หลังจากที่ตำรวจได้พบที่เกิดเหตุ มิกิยะได้ทำเป็นว่าไม่เห็นใครเลย แต่ก็ยังแอบไปเฝ้าดูชิกิอยู่ในดงไผ่ใกล้บ้านของเธออยู่ทุกคืน แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของ อาคิทากะ ไปได้ แต่ชิกิก็บอกว่าให้ปล่อยเขาไป หลายคืนเข้า ชิกิเริ่มหมดความอดทน จึงเดินลงมาหามิกิยะ ผู้ที่ยังเชื่อว่าเธอไม่ใช่ฆาตกรไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในคืนนั้น มิกิยะก็ยังคงเฝ้ามองอยู่ท่ามกลางฝน ชิกิได้เดินลงมาหาเขา ในชุดกิโมโนสีแดง และเอามีดไล่ฟันเขา มิกิยะตกใจจึงวิ่งหนีออกมาบนถนนนอกดงไผ่ และวิ่งหนีสุดกำลัง แต่แล้วก็สะดุดล้ม เมื่อชิกิตามมาถึง เธอได้นั่งคร่อมตัวเขาและใช้มีดจ่อที่คอหอยของเขาเอาไว้ ในตอนนั้นเอง เธอได้บอกโคคุโตะทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอว่าให้พูดอะไรสักอย่าง มิกิยะจึงตอบไปว่า "ฉันยังไม่อยากตาย" ชิกิยิ้ม และตอบกลับไปว่า "แต่ฉันอยากฆ่านาย" ภาพมืดลงไปกับเสียงล้อรถที่วิ่งผ่านไป ตัดฉากมาในเดือนมิถุนายน 1998 ปีที่มิกิยะได้ทำงานให้กับโทวโกะแล้ว และยังไปเยี่ยมชิกิที่เป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่โรงพยาบาลพร้อมดอกไม้อยู่ตลอด ด้วยเพราะเขาเชื่อใจเธออยู่ตลอดมานั่นเอง

ตอนที่ 3: ความเจ็บปวดที่ไม่จางหาย[แก้]

ลำดับเหตุการณ์: กรกฎาคม 1998

อาซางามิ ฟูจิโนะ ถูกกลุ่มวัยรุ่นชายรุมข่มขืนและทิ้งเธอเอาไว้ในบาร์ร้าง ในคืนนั้น มิกิยะได้พบกับเธอ ที่นั่งขดตัวอยู่ข้างถนน และสังเกตเห็นว่าเธอรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าท้องของเธอ เขาจึงพาเธอมาพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ของเขาในคืนนั้น เช้าวันถัดมา เขาพบว่าเธอไม่อยู่แล้ว และในเวลาเดียวกันได้มีข่าวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมในบริเวณบาร์ร้างใต้ดิน โดยที่ศพผู้เคราะห์ร้ายมีสภาพที่แขนและขาถูกฉีกออกจากกันไม่เหลือชิ้นดี

ต่อมา ที่ออฟฟิศของโทวโกะ มิกิยะได้ถามถึงเงินเดือนของเขากับโทวโกะ ที่ไม่สามารถจ่ายให้ได้เพราะเธอใช้หมดไปกับแผ่นอักขระยุคพระนางวิคตอเรีย มิกิยะจึงออกไปหาเงินจากที่อื่นด้วยตัวเอง จากนั้น โทวโกะได้คุยกับชิกิถึงเรื่องคดีฆาตกรรมในบาร์ร้างที่มีผู้ว่าจ้างมาให้ชิกิช่วยจับตาดูฆาตกรเอาไว้ โดยที่โทวโกะยื่นเอกสารข้อมูลฆาตกร ที่สามารถระบุตัวได้แล้วให้เธอ แต่เธอกลับไม่รับ โดยบอกว่าไม่จำเป็น เพราะฆาตกรคนนั้นเป็นคนประเภทเดียวกับเธอ หากได้เจอกันเมื่อไร ก็คงจะเข้ามาฆ่ากันเองโดยไม่ต้องไถ่ถามข้อมูล

มิกิยะได้ไปขอยืมเงินจาก กาคุโตะ เพื่อนของเขา โดยที่เพื่อนของเขาตกลง แต่ก็ได้วานมิกิยะให้ช่วยตามหา มินาโตะ เคย์ตะ รุ่นน้องของเขา ผู้ที่เคยรู้จักกับมิกิยะมาก่อนในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลาย ที่หายตัวไปจากบ้านเมื่อคืนวันก่อน ตัดมาที่มุมมืดแห่งหนึง ฟุจิโนะได้โทรเข้าโทรศัพท์มือถือของเคย์ตะ แต่เคย์ตะได้ปฏิเสธที่จะรับสาย ด้วยความกลัวเขาจึงได้หนีออกจากบ้านไปซ่อนตัวอยู่ที่อื่น จากนั้น ฟุจิโนะได้ออกทำร้ายคนที่รู้จักเคย์ตะ ด้วยการฉีกร่างกายออกเป็นส่วนๆโดยที่ไม่ต้องแตะตัว เพื่อหาที่อยู่ของเคย์ตะ ถัดมา ในร้านกาแฟ โคคุโตะ อาซากะ น้องสาวของมิกิยะกำลังพูดคุยอยู่กับฟูจิโนะในระหว่างที่กำลังรอมิกิยะมาพบ แต่แล้วชิกิก็ได้เข้ามาแทน และบอกว่ามิกิยะไม่สามารถมาพบได้ ในระหว่างที่พูดคุยอยู่นั่น ชิกิได้จ้องมองฟูจิโนะและส่งจิตสังหารไปถึงเธอ แต่เธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ชิกิจึงได้ตัดสินว่าเธอไม่ใช่ฆาตกร ...ในเวลานั้น

ต่อมาในคืนหนึ่ง ฟูจิโนะได้ออกฆ่าคนที่เกี่ยวข้องกับเคย์ตะอีกครั้ง (ในฉบับนิยาย คนๆ นี้เป็นเพื่อนของเคย์ตะที่หลอกฟูจิโนะว่าจะพาเธอไปหาเคย์ตะ แต่เอาเข้าจริงกลับพาเธอไปเพื่อจะข่มขืนเธออีกครั้ง) หลังจากที่เธอได้ฆ่าเขาตายแล้ว ชิกิได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอที่เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน เธอและชิกิจ้องตากันเป็นสัญญานว่าพร้อมจะฆ่ากันได้ทุกเมื่อ แต่ชิกิก็ได้ยอมรามือไปก่อนจะได้สู้ พร้อมบอกกับฟูจิโนะว่าเพราะท่าทีของเธอที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ทำให้ตัวเธอไม่อยากสู้ด้วย และยอมรามือออกไปก่อน ย้อนไปยังสมัยที่ฟูจิโนะยังเป็นเด็ก เธอเคยเล่นชุดของเล่นทำครัวของเธอโดยที่ไม่รู้ว่าในนั้นมีมีดจริงปนอยู่ด้วย ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บจากมีดเล่มนั้น แต่เธอกลับเล่นต่อไปโดยไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวด กลับมาที่ปัจจุบัน ฟูจิโนะได้โทรหาเคย์ตะ และบอกว่าการมีชีวิตอยู่ ทำให้เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ที่เธอต้องฆ่าเขา ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในบาร์ร้างครั้งนั้น ก็เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นฆาตกร

ในขณะนั้นเอง มิกิยะซึ่งอยู่กับเคย์ตะได้ฟังเสียงฟูจิโนะผ่านทางโทรศัพท์ เคย์ตะกลัวจนเผยออกมาว่าเขาและเพื่อนร่วมกันข่มขืนฟูจิโนะ แต่เธอไม่มีปฏิกิริยาแสดงอาการเจ็บปวดใดๆ แม้แต่น้อย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอแสดงความรู้สึกออกมาเมื่อเธอถูกเพื่อนของเขาฟาดลงที่หลัง มิกิยะได้ฟังจนจบ ถึงแม้ว่าเขารู้สึกไม่อยากช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ยอมพาเคย์ตะมาซ่อนตัวอยู่ที่ออฟฟิศของโทวโกะในที่สุด

มิกิยะได้ลองเสนอกับโทวโกะถึงเรื่องที่จะพยายามกล่อมฟูจิโนะให้เลิกตามล้างแค้น โทวโกะจึงได้เล่าให้เขาฟังว่าเคย์ตะได้สารภาพว่าที่เพื่อนของเขาเอามีดแทงที่ท้องของฟูจิโนะในคืนเกิดเหตุนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอออกตามล้างแค้น อย่างไรก็ตาม ชิกิได้บอกว่าตอนที่พบกับเธอครั้งแรกนั้นเธอไม่ได้มีบาดแผลใดๆ อยู่เลย จึงได้สันนิษฐานว่าความเจ็บปวดนั้นน่าจะมาจากภายในร่างกายของฟูจิโนะเอง เธอจึงต้องออกฆ่าคนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดนั้น มิกิยะรู้ดังนั้นจึงขอตัวออกไปสืบประวัติของฟูจิโนะด้วยตัวของเขาเอง

ในคืนนั้น ฟูจิโนะเกือบประสบอุบัติเหตุถูกรถชน เธอปลอดภัย แต่คนขับรถและตัวรถถูกทำลายก่อนที่จะมาถึงตัวเธอ ซึ่งเป็นฝีมือของเธอเอง ชิกิจึงได้ตัดสินใจว่าเธอจำเป็นต้องหยุดฟูจิโนะให้ได้ และออกไปจากออฟฟิศของโทวโกะเพื่อไปจัดการกับเธอ ภาพเหตุการณ์ย้อนไปในวันกีฬาสีครั้งก่อน ที่เธอได้พบกับมิกิยะเป็นครั้งแรก ฟูจิโนะได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเธอ แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บ มิกิยะเห็นเข้าจึงได้ช่วยปฐมพยาบาลเธอ และบอกกับเธอว่าหากรู้สึกเจ็บปวด อย่าเก็บเอาไว้กับตัวเอง ให้บอกออกมากับคนอื่นบ้าง

มิกิยะได้ค้นพบว่าแต่เดิมแล้วเธอมีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนคนทั่วไป แต่พ่อของเธอ (ในนิยายได้เผยไว้ว่าเป็นพ่อบุญธรรมของเธอ) ได้ผนึกความรู้สึกเจ็บปวดของเธอเอาไว้เพื่อที่จะผนึกพลังพิเศษของเธอไปด้วย โทวโกะได้ลงความเห็นว่าฟูจิโนะไม่ได้ถูกแทงมาแต่แรกอยู่แล้ว แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นเกิดขึ้นในขณะที่เธอเกือบจะถูกแทง เธอจึงเข้าใจผิดว่าความเจ็บปวดนั้นมาจากการถูกแทง โดยแท้จริงแล้วความเจ็บปวดของเธอนั้นมาจากไส้ติ่งของเธอที่อักเสบเรื้อรัง หากปล่อยไว้ต่อไปอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของเธอได้

ชิกิที่ออกมาพบกับฟูจิโนะได้เผชิญหน้ากันบนสะพานสร้างใหม่ที่ยังไม่เปิดทำการ และได้ต่อสู้กันโดยชิกิต้องจัดการกับเธอเพราะการที่เธอฆ่าคนนั้นเป็นเพียงความสนุกสนานของเธอไปเสียแล้ว ในระหว่างการต่อสู้ แขนซ้ายของชิกิได้ถูกบิดจนผิดรูปด้วยพลังของฟูจิโนะ หลังจากที่การต่อสู้ดำเนินไปได้สักพัก ชิกิได้จับจุดสำคัญของพลังที่ฟูจิโนะใช้กับเธอได้ และใช้ความสามารถจาก 'ดวงตามรณะ' ของเธอมองเส้นตายบนพลังนั้น และ 'ตัด' มันออกอย่างง่ายดาย จนเธอสามารถเข้าประชิดตัวฟูจิโนะได้ และกำลังจะสังหารเธอ ในเฮือกสุดท้าย ฟูจิโนะได้ใช้พลัง 'ตาทิพย์' ของเธอพร้อมกับความสามารถในการ 'บิดงอ' ขอบเธอทำลายทั้งสะพานลงโดยที่ไม่ต้องมองเห็น จึงทำให้ชิกิคลาดจากตัวเธอไป หลังจากที่เหตุการณ์สงบลง เธอพยายามที่จะหนีออกไปจากซากสะพานที่พังลงมา แต่ก็ล้มลงเพราะไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้ไหว เธอจึงรำพันกับตัวเองว่าเธออยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อรักมิกิยะ (หรือในนิยาย เป็นแม่ของเธอ) ชิกิได้มาพบเธอเข้า และได้แทงเธอลงในที่สุด

มิกิยะกับโทวโกะมาถึงจุดเกิดเหตุ พบชิกิเดินออกมาเพียงคนเดียว เธอได้เล่าให้พวกมิกิยังฟังว่าในท้ายสุดฟูจิโนะได้กลับมาเป็นเหมือนคนปกติ มีความเจ็บปวดเหมือนคนทั่วไป จึงไม่จำเป็นต้องฆ่าเธอ ชิกิจึงได้ช่วยตัดไส้ติ่งของเธอออกแทน โทวโกะได้บอกกับชิกิว่าในคราวหน้าเธอจะสร้างแขนซ้ายเทียมที่สามารถจับต้องวิญญานได้ให้ ส่วนมิกิยะได้โทรเรียกรถพยาบาลเพื่อมารับตัวฟูจิโนะไปรักษา

ในท้ายสุด มิกิยะได้สารภาพกับชิกิว่าเขากังวลว่าสิ่งที่เธอได้ทำลงไปในครั้งนี้จะกลายเป็นสิ่งที่คอยตามหลอกหลอนเธออยู่ตลอดไป ถึงแม้ว่าสิ่งเลวร้ายที่เธอได้ทำจะยังดีกว่าสิ่งที่กลุ่มวัยรุ่นพวกนั้นทำกับเธอก็ตาม เขายังได้บอกเกี่ยวกับตัวชิกิอีกว่าไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร เขาก็จะอยู่ข้างเธอเสมอ ซึ่งชิกิก็ยังบอกว่าเมื่อเห็นมิกิยะเป็นแบบนี้แล้ว เธอยิ่งมีความรู้สึกอยากที่จะฆ่าเขาเป็นพิเศษขึ้นมาอีกนิดหน่อยด้วย

ตอนที่ 4: อารามที่ว่างเปล่า[แก้]

ลำดับเหตุการณ์: มีนาคม 1996 - 1998

จากอุบัติเหตุที่ชิกิได้ประสบในช่วงท้ายของตอนที่สอง (ตามหาฆาตกร (ช่วงที่ 1)) เธอได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลในอาการโคม่า มิกิยะได้แวะเวียนไปเยี่ยมเธอพร้อมกับช่อกุหลาบอยู่เป็นประจำ เวลาล่วงผ่านไป มิกิยะได้จบชั้นมัธยมปลาย และได้พบกับ อาโอซากิ โทวโกะ นายจ้างของเขา

ชิกิ ในขณะที่เธอได้สัมผัสประสบการณ์เฉียดตายอยู่ภายใต้ความว่างเปล่านั้น เธอได้พบกับ ชิคิ อีกบุคลิกที่เป็นชายของเธอ ผู้ที่ยอมเสียสละการคงอยู่เพื่อตัวเธอไป ผ่านไปสองปี ชิกิได้ตื่นขึ้นมาพบกับโน้ตของมิกิยะ เขียนไว้ว่าให้เธอหายเร็วๆ วางอยู่กับช่อดอกกุหลาบ แต่ในขณะนั้น เธอจำชื่อเขาไม่ได้เสียแล้ว เธอมองไปที่ช่อดอกไม้ สังเกตเห็นรอยขีดที่ผิดปกติอยู่บนช่อดอกไม้ เธอจึงลองสัมผัสรอยขีดนั้นดู ทันทีที่เธอสัมผัสนั้น ช่อกุหลาบได้แยกออกเป็นชิ้นๆ ในทันที ในระหว่างที่ได้รักษาตัวนั้นเอง เธอก็ได้ความสามารถใหม่มา คือการมองเห็นรอยแตก หรือเส้นบนทั้งตัวเธอ และทุกสิ่งที่เธอมองเห็น ซึ่งถ้าเธอสัมผัสเส้นเหล่านั้น สิ่งที่มีเส้นเหล่านั้นอยู่จะแตกสลายในทันที ด้วยความหวาดกลัว เธอจึงได้พยายามที่จะทำลายดวงตาสองข้างของเธอลง

มิกิยะที่มาเยี่ยมเธอเป็นประจำ ได้ถูกทางโรงพยาบาลห้ามไม่ให้เข้าเยี่ยมชิกิ เพราะเธอยังมีอาการสับสนอยู่ จึงให้ได้แต่ครอบครัวเข้าเยี่ยมเท่านั้น โทวโกะ ในฐานะนักบำบัด ได้เข้าไปเยี่ยมชิกิในห้องพัก ที่ตอนนี้เธอถูกปิดตาทั้งสองข้างเพื่อป้องกันไม่ให้เธอทำเหมือนเดิมอีกครั้ง โทวโกะได้แนะนำตัวกับชิกิว่าเธอคือจอมเวทย์ และได้บอกเธอว่าความโดดเดี่ยวและหัวใจที่ว่างเปล่าของเธอนั้น จอมเวทย์รักษาให้ไม่ได้ แต่สามารถรักษาให้หายได้โดยคนธรรมดา จากนั้นโทวโกะได้บอกกับมิกิยะว่าชิกิยังปกติดี อีกทั้งยังบอกอีกด้วยว่ายังไม่ควรไปเยี่ยมเธอในตอนนี้

ในโรงพยาบาล ชิกิได้ถูกเหล่าวิญญานรุมทำร้าย และพยายามจะสิงสู่เธอเพื่อเข้ามาแทนที่ของชิคิที่หายไป โทวโกะซึ่งเข้ามาเยี่ยมเธออยู่เป็นประจำได้วินิจฉัยถึงอาการสองบุคลิกของชิกิ โทวโกะสันนิษฐานว่ากรณีของชิกินั้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะทั้งสองบุคลิก ทั้งชิกิ และ ชิคิ ได้รวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว และตอนที่ชิคิได้จากไป ความทรงจำในส่วนของเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนก็ได้หายไปด้วย ซึ่งการที่ชิคิหายไปนั้นทำเพื่อให้ชิกิได้รอดชีวิตมา แต่ก็ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับมิกิยะนั่นหายไปบางส่วน ทำให้เธอลืมชื่อของเขาไปด้วย

วันหนึ่ง หมอได้บอกกับญาติของชิกิว่าตอนนี้เธอรักษาหายแล้ว และสามารถกลับบ้านได้ แต่เธอยังคงถูกปิดตาอยู่ เป็นเพราะเธอยังคงกลัวที่จะออกไปใช้ชีวิตในโลกที่เธอมองเห็นแต่เส้นเหล่านั้นที่เธอไม่ต้องการ ในคืนนั้นเองเธอได้พยายามที่จะทำลายดวงตาของเธอทั้งสองข้าง แต่โทวโกะก็ได้เข้ามาห้ามเธอไว้ และได้บอกกับชิกิว่าเธอนั้นมี 'ดวงตามรณะ' ที่สามารถมองเห็น 'เส้น' ซึ่งเป็นจุดดับสูญของทุกสรรพสิ่ง นอกจากนั้นยังพยายามยั่วชิกิให้โกรธด้วยการพูดประชดประชันเรื่องที่ชิกิไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ แต่กลับกลัวที่จะตาย ชิกิโกรธมาก โทวโกะจึงได้ชี้ให้ชิกิเห็นว่าตัวเธอเองยังอ่อนแอ และง่ายต่อการเข้าสิงสู่ของวิญญานภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ชิกิได้บอกกลับไปว่าเธอไม่สนใจว่าจะเป็นอย่างไร โทวโกะจึงบอกกับเธอว่าเขตป้องกันวิญญานที่เธอทำไว้ให้นั้นคงไร้ประโยชน์ หากตัวชิกิเองเป็นเสียแบบนี้ โทวโกะจึงได้เดินจากไป แต่ก็ได้ทิ้งคำถามไว้กับชิกิว่า การที่ชิคิได้เสียสละไปเพื่อตัวของชิกินั้น มันสูญเปล่างั้นหรือ?

เวลาต่อมาในคืนเดียวกัน เขตป้องกันของโทวโกะได้พังทลายลงด้วยฝีมือของศพที่ถูกสิงโดยวิญญาน ที่มุ่งตรงเข้ามาทำร้ายชิกิ ตัดมาที่มิกิยะ โทวโกะได้เล่าให้เขาฟังว่าในหัวใจของชิกินั้นว่างเปล่า จึงจำเป็นที่จะต้องถมมันให้เต็ม ไม่ใช่ด้วยการให้ฟื้นความทรงจำ แต่เป็นการสร้างความทรงจำให้เธอใหม่นับจากปัจจุบันนี้ไป เพื่อให้เธอสร้างบุคลิกใหม่ และ 'อาราม' ขึ้นมาไว้ในหัวใจ มิกิยะได้เริ่มฮัมเพลง 'Singing in the Rain' ผ่านทางตุ๊กตาที่โทวโกะสร้างขึ้น เพื่อเชื่อมต่อไปยังหัวใจของชิกิ เธอได้ยินเสียงเพลงนั้น และได้รับรู้ว่าความตายนั้นแสนโดดเดียวและน่ากลัว ทำให้เธอหันกลับมาสู้กับศพที่พยายามจะฆ่าเธอ เธอได้ต่อสู้กับศพและกระโดดออกมาจากห้อง มายังนอกโรงพยาบาลผ่านทางหน้าต่าง แต่ศพที่ถูกสิงก็ยังไม่ยอมรามือ พยายามจะเข้ามาฆ่าชิกิ โทวโกะได้มาช่วยชิกิเอาไว้ด้วยเวทมนตร์ของเธอ ด้วยการเผาศพนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล เป็นเพราะไฟที่ใช้นั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำลายวิญญานเหล่านั้นได้เพราะได้สิงอยู่กับศพ ชิกิจึงได้ถอดผ้าที่ปิดตาเธออยู่ออก และใช้ดวงตาของเธอเข้าสู้กับศพนั้น โทวโกะได้โยนมีดให้เธอใช้ต่อสู้ ชิกิจึงได้ใช้มีดนั้นตัดผมของเธอให้สั้นลงเพื่อความคล่องแคล่ว และใช้มีดเล่มนั้นกับดวงตาของเธอในการหั่นศพที่ถูกวิญญานสิงอยู่นั้นออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นเธอได้ทำลายวิญญานที่สิงอยู่ในตัวของเธอเองด้วยการแทงเข้าที่ตัวเธอเอง แต่สิ่งที่เธอแทงไม่ใช่ตัวเธอ แต่หากเป็นวิญญานที่สิงอยู่ในตัวเธอ ถือว่าเธอได้ทำลายวิญญานที่เข้ามาสิงสู่เธอออยู่ออกหมดเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นโทวโกะได้เข้ามาสอนเธอถึงวิธีการใช้ดวงตาสองข้างนั้น และยังรับเธอเข้าทำงานอีกด้วย

ในช่วงที่อยู่ในโรงพยาบาล มิกิยะซึ่งมาเยี่ยมชิกิอยู่เป็นประจำได้ถามเธอว่าเธอยังจำเขาได้หรือเปล่า เธอตอบชื่อของเขา และพูดเหน็บแนมด้วยที่ว่าชื่อคล้ายกับนักกวีชาวฝรั่งเศส

ในช่วงท้ายหลังจบเครดิต ตัวละครทั้งสามที่เคยปรากฏในบทก่อนหน้านี้ได้ปรากฏมาอีกครั้ง ในช่วงที่พวกเขาได้พบกับชายปริศนาในชุดคลุมยาวสีดำ เขาปรากฏตัวต่อหน้า ฟุโจว คิริเอะ เพื่อมอบร่างกายที่ทำให้เธอเคลื่อนไหวได้ เขาปรากฏตัวต่อหน้า อาซางามิ ฟุจิโนะ โดยเสนอตัวที่จะรักษาบาดแผลที่กลางหลังให้ เขาปรากฏตัวต่อหน้า ชิราซุมิ ลิโอ เช่นกัน เมื่อทั้งสามคนถามถึงตัวตนของเขา เขาตอบว่า "อารายะ โซเร็น เป็นจอมเวทย์"

ตอนที่ 5: เกลียวที่ขัดกัน[แก้]

ลำดับเหตุการณ์: พฤศจิกายน 1998

ในช่วงกลางดึกของคืนหนึ่ง เอนโจ โทโมเอะ ได้แทงพ่อแม่ของเขาจนเสียชีวิตด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่จะหนีออกจากแมนชั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่นานคนจรจัดก็พบศพของพวกเขาแต่เมื่อคนจรจัดเหล่านั้นกลับมาพร้อมกับตำรวจก็พบว่าพวกเขายังไม่ตายและออกมาต้อนรับได้ตามปกติต่อมาชิกิได้ไปช่วยโทโมเอะจากการถูกรังแกโดนเด็กเกเรที่โรงเรียน และโทโมเอะได้ขอให้ชิกิช่วยหาที่ซ่อนให้เขาโดยอ้างว่าตัวเขานั้นเป็นฆาตกร ชิกิตอบตกลงและบอกว่าตัวเธอเองก็เหมือนกัน เอนโจสงสัยเล็กน้อยที่ชิกิยอมรับตัวเขาโดยที่ไม่มีอะไรติดขัด

ในเดือนถัดมาเอนโจที่กำลังรอการรายงานข่าวการฆาตกรรมพ่อแม่เขา เอนโจได้สักเกตเห็นชายแปลกหน้าใส่หมวกและเสื้อโค้ตสีแดงที่กำลังตามชิกิอยู่ เอนโจเตือนชิกิเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งเธอได้ปฏิเสธอย่างเฉยเมย เมื่อทั้งสองเริ่มถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้เอนโจก็ได้ยอมรับว่าตัวเขารักชิกิ ชิกิได้ถามว่าตัวเขาสามารถตายเพื่อชิกิได้หรือไม่เอนโจที่คิดว่าตนนั้นไม่มีค่าจึงตอบตกลงที่จะตายเพื่อชิกิเพราะว่าตัวเขานั้นได้ฆ่าพ่อกับแม่และฝันแบบนั้นวนไปซ้ำๆทุกคืน แต่ชิกิได้ปฏิเสธสิ่งที่เอนโจได้พูดไปและถามไปว่าเขารู้สึกอย่างไรกับบ้านที่แท้จริงของเขา เอนโจตระหนักได้ว่าตัวเขาไม่สามารถหลบอยู่ที่นี่ได้ต่อไปเขาจึงเลือกที่จะออกไปจากห้องพักของชิกิ

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์เอนโจได้พบกับแม่ของเขาและก็ตกใจที่เขาพบว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ด้วยความสับสนเอนโจจึงกลับไปหาชิกิอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าตัวเขานั้นได้ลงมือฆาตกรรมไปแล้วจริงๆ ชิกิได้พาเอนโจกลับไปที่แมนชั่นโอกาวะและทั้งสองก็ได้ขึ้นไปที่ห้องของเอนโจแต่ระหว่างนั้นชิกิได้รู้สึกถึงความผิดปกติของที่นี่ ทั้งสองเดินไปที่หน้าห้องของเอนโจในระหว่างที่เอนโจกำลังจะกดกริ่งเพื่อเรียกแม่ของตนชิกิก็ได้ห้ามเอาไว้และบอกให้เขาไปทั้งอย่างนี้ทั้งสองได้พบพ่อและแม่ของเอนโจที่ยังไม่ตายทั้งสองมีปากเสียกันก่อนที่แม่ของเอนโจจะฆ่าพ่อของเอนโจ แม่ของเอนโจหลังจากที่ฆ่าพ่อก็เดินไปที่ห้องของเอนโจและเอามีดแทงเอนโจจากนั้นแม่ของเอนโจก็ฆ่าตัวตายตาม

จากนั้นทั้งสองก็ได้เดินออกชิกิได้บอกให้ไปต่อโดยบอกว่าจะไปบ้านที่แท้จริงของเอนโจและเริ่มอธิบายว่าห้องของเอนโจอยู่ห้อง 405 แต่มิกิยะกลับพูดชื่อของเอนโจเป็นคนสุดท้ายมิกิยะเป็นคนเจ้าระเบียบดังนั้นจึงไม่น่าจะเปลี่ยนลำดับชื่อโดยไม่มีเหตุผลซึ่งหมายความว่า ครอบครัวของเอนโจควรจะอยู่ในห้องสุดท้ายของชั้น 4 หรือก็คือห้อง 410 เอนโจปฏิเสธแต่ชิกิก็ได้บอกต่อว่าด้วยความเคยชินทำให้เวลาลงลิฟท์แล้วเดินไปสุดทางจะทำให้เจอห้องของตนเอง แต่แท้จริงแล้วป้ายถูกเปลี่ยนแล้วทางออกก็ถูกสลับกัน ทุกอย่างนั้นเริ่มจากการที่ลิฟท์นั่นเริ่มขยับซึ่งเป็นกลไกลทำให้ทุกอย่างกลับด้านเสียงดังในลิฟท์ทำให้คนข้างในไม่รู้สึกตัวว่าลิฟท์หมุนกลับด้านและบันไดเองก็เช่นกัน และเมื่อทั้งสองเดินมาถึงห้อง 410 ทั้งสองได้เดินเข้าไปในห้องและพบกันศพของพ่อแม่เอนโจที่เน่าอยู่ในห้องเป็นเวลานาน เอนโจตกใจและช็อคกับสิ่งที่เห็นมากแต่ชิกิก็พยายามเรียกให้เอนโจหันมายอมรับความจริง ในระหว่างนั้นเองชิกิได้บอกให้เอนโจหลบและชิกิก็ได้พุ่งโจมตีเงาที่อยู่ข้างๆเอนโจ ชิกิได้บอกว่านี่ไม่ใช่มนุษย์เป็นแค่ตุ๊กตาที่รนหาที่ตายเท่านั้น เมื่อทั้งสองออกมาเอนโจและชิกิก็ได้พบกับฝูงซากศพของคนที่อาศัยอยู่ในนี้ชิกิบอกให้เอนโจอยู่นิ่งๆและวิ่งออกไปโจมตีซากศพเหล่านั้น

หลังจากที่ชิกิจัดการกับเหล่าซากศพเสร็จแล้วทั้งสองก็ได้พบกัน อารายะ โชเร็น เมื่อชิกิใช้ดวงตามรณะมองไปที่อาระยะพบว่าไม่มีเส้นขีดและจุดบนร่างกายของอาระยะ แต่เมื่อมองลึกเข้าไปอีกพบว่าชิกินั้นนึกออกว่าเคยเจอกับอาระยะเมื่อก่อนในตอนที่ก่อนจะถูกรถชนจนเป็นเจ้าหญิงนิทรา ชิกิได้บอกกับเอนโจว่าแมนชั่นนี้จะเล่นวันสุดท้ายของผู้อยู่อาศัยหรือก็คือวันสุดท้ายก่อนที่จะตาย โดยฝั่งที่ชิกิกับเอนโจอยู่เป็นฝั่งที่เก็บศพและอีกฝั่งจะแสดงวันสุดท้ายของชีวิต(ฝั่งที่ชิกิกับเอนโจเข้าไปตอนแรกที่มาที่นี่) อาระยะได้กล่าวว่าตนนั้นได้สร้างโลกที่เกิดและดับลงภายในหนึ่งวันขึ้นเพื่อทดสอบว่ามนุษย์สามารถเลือกทางตายที่แตกต่างจากกันได้หรือไม่ และเชื่อว่าหากซ้ำความตายเดิมนับพันนับหมื่นอาจจะทำให้เกิดผลลัพท์ที่ต่างออกไปได้ อาระยะกล่าวต่อว่าเดิมที่ก็มีแต่พวกที่ก้าวเท้าสู่ความล่มสลายอยู่แล้ว เพียงเดือนเดียวก็ฆ่าฟันกันและตายหมดสิ้น ชิกิสวนว่าเป็นเพราะแมนชั่นของอาระยะเป็นตัวกระตุ้นให้คนที่อาศัยฆ่ากันเอง ก่อนที่จะย้ายจิตไปอยู่ในตุ๊กตา ในขณะนั้นเอนโจได้ตระหนักว่าตนนั้นตายและร่างที่อยู่นี้ก็เป็นตุ๊กตาไปแล้ว ก่อนที่ชิกิจะถามว่าทำไมต้องการที่จะฆ่าตน อาระยะกล่าวต่อว่า"ทั้งตัวของ ฟุโจว คิริเอะ(ทิวทัศน์ที่ถูกมองข้าม) และ อาซางามิ ฟูจิโนะ(ความเจ็บปวดที่ไม่จางหาย) ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพที่เพียงพอ ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดความตายถึงกระนั้นก็ยังที่จะเลือกความตายในขณะที่เลือกที่จะมีชีวิต ทั้งที่อยากที่จะช่วงชิงถึงกระนั้นก็ยังเลือกที่จะสนุกกับการฆ่า ในขณะที่เคารพในการฆ๋า" และกล่าวต่อว่าทั้งสองนั้นก็เป็นแค่เครื่องสังเวยที่เตรียมไว้เพื่อเธอเพียงเท่านั้น แต่ว่าเรื่องของเอนโจ โทโมเอะนั้นโชคดียิ่งนักที่ทำให้ตัวเขานั้นสะดวกขึ้นมาก และกล่าวต่อว่าความว่างเปล่านั้นเป็นสัญชาตญาณ และต้นกำเนิดของชิกิ

หลังจากพูดจบชิกิก็ได้พุ่งเข้าโจมตีอาระยะ ทันทีแค่ชิกิพลาดท่าถูกเวทมนตร์ของอาระยะจับตัวไว้ ในขณะที่อาระยะกำลังยื่นมือเข้ามาหาชิกิ ชิกิก็ได้ตัดแขนของอาระยะก่อนที่อาระยะจะใช้เวทมนตร์ต่อแขนกลับเข้าที่เดิมและกล่าวต่อว่าแขนซ้ายของตนนั้นได้ฝังอัฐถิของพระพุทธเจ้าอยู่ ต่อให้จะเป็นเนตรมรณะก็ไม่อาจเห็นเส้นแห่งความตายได้ เมื่อกล่าวเสร็จชิกิก็ตัดแขนอีกข้างของอาระยะก่อนที่จะถอยออกมา ชิกิถอยกลับมาและตัดเขตแดนที่เป็นเวทที่ใช้โจมตีชิกิเมื่อกี้ ก่อนที่อาระยะจะเดินเข้ามาพร้อมกันเขตแดนอีกสองชั้นทันใดนั้นชิกิก็ปามีดออกไปตัดเขตแดนที่เหลือและพุ่งเข้าโจมต่ออีกครั้งก่อนที่จะลงมือแทงอาระยะหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผลอาระยะเตะหน้าท้องของชิกิก่อนจะดึงร่างของชิกิเข้าไปในกำแพงของแมนชั่น เอนโจที่ไม่กำลังตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงนั้นก็พยายามคลานไปเก็บมีดของชิกิที่ตกอยู่กลับพื้นก่อนจะร้องตระโกนออกมา

มุมมองของมิกิยะ[แก้]

มิกิยะไปหาชิกิที่ห้องและพบว่าห้องนั้นล็อกกุญแจอยู่ ก่อนที่จะตัดไปเย็นวันหนึ่งที่สำนักงานของโทวโกะ มิกิยะที่กำลังมองใบขับขี่ที่เพิ่งได้มาและพูดกับตัวเองว่า "ใบขับขี่นี่มันบ่งบอกความสามารถอะไรในตัวผมกันแน่นะ" หลักฐานที่แสดงความสามารถพรรค์นั้นก็ไม่ต่างกับหนังสือสัญญาหรอกโทวโกะกล่าว ก่อนที่จะไปเห็นรูปของโทวโกะที่ในรูปมีอาระยะอยู่ด้วย โทวโกะเตือนมิกิยะว่าอย่าเข้าใกล้ชายคนนั้นเด็ดขาด

ก่อนจะตัดกลับมาที่มิกิยะที่กำลังจ้องไปทางโทวโกะที่มองหน้าชายใส่เสื้อโค้ตและหมวกสีแดง ชายที่ใส่หมวกสีแดงทักทายโทวโกะก่อนที่โทวโกะจะบอกว่าเขาคนนี้คือ คอร์เนเลียส อัลบา ว่าที่ผู้นำสถาบันสปอนไฮม์ก่อนจะถามว่ามาทำอะไรแถวนี้ถ้ามาคุยเล่นขอให้กลับไปด้วย อัลบาได้กล่าวต่อว่าโทวโกะเองก็เข้ามาในโลกของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน ก่อนจะบอกว่าการเก็บสมองไว้แล้วย้ายจิตไปใส่ในร่างตุ๊กตานั่นเป็นฝีมือของตน

เหตุการณ์ตัดกลับมาที่สำนักงานของโทวโกะ มิกิยะและอาซากะที่อยู่ในสำนักงานนั้นพอดีได้ถามว่าไปไหนมาหรือ โทวโกะได้ถามกลับว่าทำรายชื่อผู้เข้าชมเสร็จหรือยัง มิกิยะตอบเสร็จแล้วครับ โทวโกะได้หันกลับไปหาอาซากะก่อนที่จะต่อว่าเธอโดยบอกว่าอย่าใช้เวทต่อหน้าคนอื่น มิกิยะถามกลับว่าถ้าคนเห็นแล้วมันไม่ดีเหรอครับ โทวโกะกล่าวตอบว่าถ้าคนอื่นเห็นจะทำให้อำนาจเสื่อมถอยได้ด้วยเหตุนี้ทำให้จอมเวทไม่เปิดเผยงานวิจัยให้คนอื่นรู้และอธิบายต่อว่าเป้าหมายสุดท้ายของจอมเวทการเข้าถึงต้นกำเนิดของสรรพสิ่งเพื่อที่จะไปให้ถึงหลักเหตุผลและแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง หรือก็คือจุดเริ่มต้นที่เรียกว่า"บันทึกอาคาชา"โดยมีทฤษฏีที่ว่าที่นั่นมีทุกสิ่งบันทึกอยู่ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โทวโกะได้ถามว่ามิกิยะรู้จักแมนชั่นโอกาวะหรือปล่าว โทวโกะกล่าวต่อว่าตนนั้นเคยมีส่วนร่วมในการก่อสร้างที่นั่นด้วย แล้วก็ชวนให้มิกิยะไปแมนชั่นโอกาวะด้วยกันแต่ก่อนหน้านั้นโทวโกะให้มิกิยะหารายชื่อคนที่อาศัยอยู่ในนั้นกับที่อยู่ก่อนหน้านี่มาเท่าที่ทำได้ และกล่าวย้ำว่างานนี้ไม่ได้เงินดังนั้นไม่ต้องรีบก็ได้

เหตุการณ์ตัดไปที่โทวโกะกับมิกิยะที่ขับรถมาอยู่หน้าแมนชั่นโอกาวะ

ตัดไปที่ตอนเช้าวันหนึ่งมิกิยะทักทายชิกิและเอาของมาให้ชิกิที่สำนักงาน

ตัดไปที่ตอนกลางคืนมิกิยะได้พบกับอาคิทากะ(ตามหาฆาตกร (ช่วงที่ 1))ก่อนที่จะฝากของให้กับมิกิยะ

ตัดไปที่เช้าวันที่มิกิยะเอาของมาให้ชิกิ มิกิยะได้เล่าว่าของชิ้นนั้นชื่อคาเนะซาดะ ชิกิพูดต่อว่าคาเนะซาดะเนี่ยที่ลงอักขระ 9 อักษรนั่นน่ะเหรอ ก่อนที่จะชวนมิกิยะให้ลองมาดูดาบนี่พร้อมกับพูดต่อว่าเป็นของหายาก ทันใดนั้นโทวโกะก็ห้ามไว้เพราะเป็นดาบโบราณเดี๋ยวเขตแดนจะสลาย มิกิยะได้อธิบายเรื่องของแมนชั่นโอกาวะซึ่งเป็นแมนชั่นที่สูงสิบชั้น มีรูปพระจันทร์ครึ่งดวงหันเข้าหากัน เริ่มแรกจะสร้างเป็นหอพักพนักงาน ชั้น 1 และ 2 เลยเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมแต่ปัจจุบันก็ยังไม่เปิดใช้งาน ชั้น 1 รวมฝั่งตะวันออกมีทั้งหมด 10 ห้อง มีที่จอดรถใต้ดินแต่เปลี่ยนเจ้าของระหว่างก่อสร้าง จึงเปลี่ยนให้คนทั่วไปอาศัยได้และเริ่มมีคนเข้ามาพักในปีนี้ แต่ลิฟท์ยังใช้ไม่ได้จนถึงเดือนพฤษภาคม

ตัวละคร[แก้]

ตัวละครหลัก[แก้]

เรียวกิ ชิกิ (ญี่ปุ่น
両儀式โรมาจิRyōgi Shiki)
ให้เสียงโดย: คะวะคะมิ โทโมโกะ (ดราม่า ซีดี) , ซาคาโมโต้ มายะ (ฉบับภาพยนตร์)
หญิงสาวผู้ครอบครอง "ดวงตามรณะ" ที่สามารถมองเห็นจุดดับสูญของทุกสรรพสิ่ง (ทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต) ในรูปแบบของเส้นขีด และจุด (ซึ่งถือเป็น "จุดกำเนิด") บนร่างกาย หรือวัตถุนั้นๆ โดยดวงตาคู่นั้น เมื่อเธอใช้ความสามารถ จะกลายเป็นดวงตาสีรุ้ง ทำให้มองเห็นเส้น เมื่อลากผ่านเส้น หรือแทงเข้าที่จุดที่มองเห็นไม่ว่าจะด้วยวัตถุใดก็ตาม สิ่งนั้นจะถึงแก่การดับสูญในทันที เธอได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาสองปี หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น เธอเคยมีสองบุคลิก หนึ่งเป็นบุคลิกของชาย ชื่อ ชิคิ (ญี่ปุ่น: โรมาจิShiki) และบุคลิกของหญิง ชื่อ ชิกิ (ญี่ปุ่น: โรมาจิShiki) โดยที่เด็กที่เกิดในตระกูลเรียวกิทุกคนจะถูกดูแลให้มีสองบุคลิก โดยเปรียบบุคลิกชายให้เป็น "หยาง" และบุคลิกหญิงเป็น "หยิน" ดังนั้นจึงง่ายต่อการแยกแยะว่าในขณะนั้นชิกิอยู่ในบุคลิกชาย หรือ หญิง โดยสังเกตจากท่าทางการพูดคุย ปรกติแล้ว ชิกิ ซึ่งเป็นบุคลิกเพศหญิงจะเรียกแทนตัวเองว่า ฉัน (ญี่ปุ่น: โรมาจิwatashi) ในขณะเดียวกัน ชิคิ ซึ่งเป็นบุคลิกของเพศชายจะเรียกแทนตัวเองว่า ข้า (ญี่ปุ่น: オレโรมาจิore) หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา ชิกิรู้สึกได้ว่าชิคิไม่อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเขาได้เสียชีวิตไปในขณะเกิดอุบัติเหตุ เพื่อให้ชิกิได้รอดชีวิตมา โทวโกะ ซึ่งเข้าใจในตัวชิกิดี จึงรับเธอเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ การัน โนะ โดว ของเธอเพื่อให้ชิกิได้สร้างบุคลิกที่สามขึ้นมาใหม่ เพื่อแทนที่ชิคิที่เสียไป และใช้ทักษะในการต่อสู้ของชิกิให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจของเธอ
โคกุโตะ มิกิยะ (ญี่ปุ่น
黒桐幹也โรมาจิKokutō Mikiya)
ให้เสียงโดย: อิโต้ เคนทาโร่ (ดราม่า ซีดี) , ซุสุมิระ เคนอิจิ (ฉบับภาพยนตร์)
เพื่อนของชิกิ ผู้ที่เคยให้คำสัญญากับชิกิว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกันเมื่อสองปีก่อน เขาได้พบกับตุ๊กตาของโทวโกะในงานนิทรรศการ และตกหลุมรักในความสมบูรณ์แบบของชิ้นงาน เขาจึงได้ตามหาผู้ที่สร้างตุ๊กตาตัวนั้น และได้พบกับโทวโกะในเวลาต่อมา แต่แล้วความฝันที่จะเข้ามหาวิทยาลัยร่วมกับชิกิก็ได้หยุดลงกลางคันเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอ เขาได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยและมาทำงานกับโทวโกะ ในตำแหน่งผู้ช่วยสืบสวน โทวโกะเห็นถึงความสามารถในการสืบค้นของเขา และตระหนักว่าอยู่ในขั้นที่สูงจนอันตราย เพราะเขาสามารถค้นหาที่ออฟฟิศของเธอได้ ซึ่งออฟฟิศของเธอซ่อนอยู่ภายในอาคารร้าง ซึ่งคนที่ไม่ต้องการจะเจอ ก็จะไม่สามารถเจอได้ และบุคลิกของเขายังถูกใช้เป็นพื้นฐานให้กับ โทโนะ ชิกิ ตัวละครเอกใน ซึกิฮิเมะ อีกด้วย
โคกุโตะ อาซากะ (ญี่ปุ่น
黒桐鮮花โรมาจิKokutō Azaka)
ให้เสียงโดย: ทามูระ ยูคาริ (ดราม่า ซีดี) , ฟุจิมุระ อายูมิ (ฉบับภาพยนตร์)
น้องสาวของมิกิยะ เธอขอให้โทวโกะรับเธอเป็นลูกศิษย์เพราะเธอต้องการจะเอาชนะชิกิ ความสามารถของเธอคือการใช้เวทย์เผาไหม้ ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับความสามารถของ โทโนะ อากิฮะ (อากิฮะสามารถควบคุมความร้อนในบริเวณที่เธอต้องการได้ แต่ของเธอจะเป็นการเผาไหม้) ในบทสัมภาษณ์ นะสุได้กล่าวไว้ว่า ถึงเธอจะมองชิกิเป็นคู่แข่ง แต่แท้จริงแล้วเธอก็ไม่ได้เกลียดชิกิไปเสียทีเดียว แต่ที่ต้องกลายมาเป็นคู่แข่งนั้นเพราะเธอไม่ต้องการให้ชิกิเข้ามายุ่งกับมิกิยะ พี่ชายของเธอ เพราะความรู้สึกที่เห็นเขาเป็นมากกว่าพี่ชายของเธอนั่นเอง
อาโอซากิ โทวโกะ (ญี่ปุ่น
蒼崎橙子โรมาจิAozaki Tōko)
ให้เสียงโดย: อิโนะอุเอะ คิคุโกะ (ดราม่า ซีดี) , ฮอนดะ ทะคะโกะ (ฉบับภาพยนตร์)
จอมเวทย์สาวผู้แข็งแกร่งผู้มีงานอดิเรกเป็นการทำตุ๊กตา เธอเปิดออฟฟิศอยู่ภายในอาคารร้างชื่อ การัน โนะ โดว (ญี่ปุ่น: 伽藍の洞โรมาจิGaran no Dō) โดยธุรกิจของเธอคืองานรับออกแบบ (ตั้งแต่สิ่งก่อสร้าง ไปจนถึงงานฝีมือ) ให้กับคนที่สนใจ แต่ความจริงแล้วเหมือนเธอจะยัดเยียดให้กับคนอื่นตามที่เธอต้องการเสียมากกว่า เธอทำธุรกิจนี้โดยมีมิกิยะเป็นลูกจ้าง เธอทำหน้าที่ออกแบบ ส่วนมิกิยะทำหน้าที่เป็นเลขานุการ แต่ด้วยสายสัมพันธ์ที่เธอมีต่อสมาคมจอมเวทย์ ทำให้เธอต้องหันมารับงานสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าเธอจะปลีกตัวออกมาจากสมาคมแล้วก็ตาม เธอมีน้องสาวชื่อ อาโอซากิ อาโอโกะ แต่เธอก็ไม่ได้ถูกกับน้องสาวของเธอเท่าไรนัก ในฉบับนิยายเวอร์ชันแรก เธอมีผมสั้นสีฟ้า แต่ในฉบับนิยายทำใหม่และในฉบับภาพยนตร์ เธอถูกเปลี่ยนให้มีผมยาวสีแดงแทน เพราะผู้แต่งทั้งสองไม่พอใจกับรูปลักษณ์เก่าของเธอ จึงได้เปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องในส่วนของความสัมพันธ์ของเธอกับอาโอโกะ ผู้มีผมยาวสีแดงเช่นกัน

ตัวละครรอง[แก้]

ตอนที่ 1[แก้]

ฟุโจว คิริเอะ (ญี่ปุ่น
巫条霧絵โรมาจิFujō Kirie)
ให้เสียงโดย: ทานากะ ริเอะ (ฉบับภาพยนตร์)
หญิงสาวผู้ใช้ชีวิตอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เธอคือผู้ที่ควบคุมร่างจิตของเธอให้ไปปรากฏอยู่เหนือตึกฟุโจว (ญี่ปุ่น: 巫条ビルโรมาจิfujō biru) และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ฆ่าตัวตายต่อเนื่องที่ตึกเดียวกัน

ตอนที่ 2[แก้]

อาคิมิ ไดสุเกะ (ญี่ปุ่น
秋巳大輔โรมาจิAkimi Daisuke)
ให้เสียงโดย: อุเอดะ ยูจิ (ฉบับภาพยนตร์)
นักสืบผู้ทำงานร่วมกับสำนักงานกฎหมาย เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของมิกิยะ ที่มิกิยะนับถือเขาเป็นพี่ ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อเนื่อง เขาได้เข้ามาสืบสวนคดีนี้ และได้สืบสาวไปจนได้ความว่าผู้ต้องสงสัยคือใครบางคนที่อยู่โรงเรียนเดียวกันกับมิกิยะ เขามักจะร่วมมือกับมิกิยะอยู่เสมอ โดยพึ่งความสามารถในการสืบค้นข้อมูลของเขา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในการสืบคดี
ชิราสุมิ ลิโอ (ญี่ปุ่น
白純里緒โรมาจิShirazumi Rio)
รุ่นพี่ของมิกิยะ ผู้ที่ลาออกจากโรงเรียนกลางคัน เพราะต้องการไปตามหาความฝันของตนเอง ซึ่งเขาได้กลายเป็นตัวละครสำคัญไปในนิยายเล่มที่เจ็ด

ตอนที่ 3[แก้]

อาซางามิ ฟูจิโนะ (ญี่ปุ่น
浅上藤乃โรมาจิAsagami Fujino)
ให้เสียงโดย: โนะโตะ มามิโกะ (ฉบับภาพยนตร์)
เพื่อนร่วมชั้นของอาซากะ ที่โรงเรียนสตรีเรย์เอ็น (ญี่ปุ่น: 礼園女学院โรมาจิreien jogakuin) ดูภายนอกเธอดูเหมือนคนปกติ แต่แท้จริงแล้วเธอมีความสามารถในการบิดงอสิ่งต่างๆ ด้วย พลังจิต ของเธอ แต่ความสามารถนี้ก็ได้ถูกปิดผนึกเอาไว้ ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อเธอสามารถใช้พลังได้แล้ว เธอได้ใช้มันออกตามฆ่าคนที่ทำร้ายเธอ ด้วยการบิดร่างกายให้ผิดรูป และฉีกขาดออกจากกัน ภายหลังเธอได้รับความสามารถตาทิพย์เข้ามาประกอบด้วย ทำให้เธอสามารถใช้พลังของเธอได้กับทุกสิ่ง ซึ่งรวมไปถึงสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตการมองเห็นของเธอด้วย

ตอนที่ 5[แก้]

เอนโจ โทโมเอะ (ญี่ปุ่น: 臙条巴 โรมาจิ: Enjō Tomoe)

ให้เสียงโดย: คากิฮาระ เท็ตซึระ (ฉบับภาพยนตร์)
เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในแมนชั่นโอกาวะ ที่ถูกออกแบบโดยอารายะ โชเร็น

รูปแบบอื่นๆ[แก้]

นิยาย[แก้]

รายชื่อตอน[แก้]

ภาพยนตร์แอนิเมชั่น[แก้]

เพลงประกอบ[แก้]

เพลงประกอบทุกเพลงนั้นร้องโดย Kalafina ซึ่งเป็นกลุ่มนักร้องโดย ยูกิ คะจิอุระ

ลำดับเหตุการณ์[แก้]

1995
มีนาคม
  • มิกิยะ พบกับชิกิครั้งแรก ในคืนหิมะตก
เมษายน
  • ชิกิเข้าเรียนโรงเรียนมัธยม และได้รู้จักกับมิกิยะ
กันยายน
1996
กุมภาพันธ์
  • ชิกิประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เข้ารักษาอาการโคม่าในโรงพยาบาลอยู่เป็นเวลา 2 ปี
1998
มีนาคม
  • มิกิยะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม
พฤษภาคม
  • มิกิยะพบกับตุ๊กตาของโทโกะในงานนิทรรศการ
  • มิกิยะได้พบกับโทโกะ
  • มิกิยะลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน
มิถุนายน
กรกฎาคม
สิงหาคม
กันยายน
พฤศจิกายน
1999
มกราคม
กุมภาพันธ์
2008
  • recalled out summer – บัญชาพระเจ้าในอนาคต - จุดเริ่มต้น (ญี่ปุ่น: 未来福音・序โรมาจิMirai Fukuin Jo) Möbius link

อ้างอิง[แก้]

  1. http://www.karanokyoukai.com/dvdz/dv01.html
  2. http://www.karanokyoukai.com/dvdz/dv02.html
  3. http://www.karanokyoukai.com/dvdz/dv03.html
  4. http://www.karanokyoukai.com/dvdz/dv04.html
  5. http://www.karanokyoukai.com/dvdz/dv05.html
  6. Watanabe, Kei (November 30, 2007). "Kara no Kyōkai: The Anime Movie Versions of the Popular Dōjin Novel, Presenting to the Public from the First of the Month" (ภาษาญี่ปุ่น). Mainichi Shimbun. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-05. สืบค้นเมื่อ 2008-01-26.
  7. "Faust 1 by Faust Editors". Del Rey Manga. สืบค้นเมื่อ 2008-09-25.
  8. "Kara no Kyokai Film in the Works". Anime News Network. 2007-01-08. สืบค้นเมื่อ 2008-08-05.
  9. "Akibaos article on the new novels" (ภาษาญี่ปุ่น). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-19. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]