ชีวิตอารามวาสี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก คณะนักบวชอารามิก)
อารามเซนต์แคเธอริน เขาไซนายในอียิปต์ ก่อตั้งราวระหว่าง ค.ศ. 527 ถึง ค.ศ. 565

ชีวิตอารามวาสี[1][2] (อังกฤษ: monasticism) [3] มาจากภาษากรีก “μοναχός” - “monachos” ที่มีรากมาจากคำว่า “monos” ที่แปลว่า “สันโดษ” หรือ “ผู้เดียว” หมายถึงวิถีชีวิตทางศาสนาที่นักบวชเน้นสละชีวิตทางโลกเพื่ออุทิศตนอย่างเต็มตัวในทางธรรม คำนี้ที่มาจากภาษากรีกโบราณและอาจเกี่ยวกับภิกษุซึ่งเป็นนักพรตในพุทธศาสนา

ในคริสต์ศาสนา บุรุษที่ใช้ชีวิตอารามวาสีเรียกว่านักพรต ถ้าเป็นหญิงก็เรียกว่านักพรตหญิง นักพรตทั้งชายและหญิงจะเรียกโดยรวมว่าอารามิกชน (monastics)

ศาสนาอื่นต่างก็มีชีวิตอารามวาสีเป็นของตนเองโดยเฉพาะในศาสนาพุทธ และรวมทั้งลัทธิเต๋า ศาสนาฮินดู และศาสนาเชน แต่รายละเอียดของแต่ละระบบของแต่ละศาสนาหรือแต่ละนิกายก็แตกต่างจากกันมาก

ชีวิตอารามวาสีแบบพุทธศาสนา[แก้]

คณะสงฆ์คือคณะนักพรตที่เป็นพระภิกษุและภิกษุณีที่พระพุทธเจ้าทรงก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว แนววิถีแบบอรัญวาสีนี้ได้พัฒนามากจากลัทธิของดาบสที่แพร่หลายอยู่ก่อนซึ่งพระพุทธเจ้าได้เคยศึกษามาตั้งแต่ก่อนบำเพ็ญทุกรกิริยา (คือเมื่อศึกษาในสำนักอาฬารดาบสและอุทกดาบส) ในช่วงแรกพระสงฆ์มักใช้ชีวิตอย่างฤๅษีหรืออาศัยอยู่โดดเดี่ยวเป็นปกติ ถือครองทรัพย์สินน้อยที่สุดคือเพียงเครื่องอัฐบริขารและยังชีพด้วยปัจจัยที่ชาวบ้านถวายให้[4] ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสก็ต้องจัดหาภัตตาหารในแต่ละวันและกุฏิง่าย ๆ ให้ท่านเมื่อท่านต้องการ[4]

ภิกษุในธิเบต

ภายหลังการเสด็จดับขันธปรินิพพาน คณะสงฆ์เริ่มพัฒนามาเป็นคณะนักพรตแบบอยู่รวมกลุ่ม (cenobite) โดยสันนิษฐานว่ามีต้นเค้ามาตั้งแต่สมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาในอารามตลอดหน้าฝน จนค่อย ๆ พัฒนามาเป็นการอยู่ประจำรวมกลุ่มกันเป็นชุมชนนักปฏิบัติ พระวินัยที่ภิกษุและภิกษุณีรักษากันซึ่งเรียกว่า "ปาฏิโมกข์" ก็แสดงถึงระเบียบในการดำรงชีวิตร่วมกันเป็นชุมชนในอาราม จำนวนสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีก็แตกต่างกัน ในนิกายเถรวาทภิกษุต้องรักษาสิกขาบท 227 ข้อ ส่วนภิกษุณีต้องรักษามากกว่าเป็น 311 ข้อ[5]

ชีวิตอารามวาสีแบบพุทธศาสนาได้แพร่หลายจากอินเดียไปยังตะวันออกกลางและโลกตะวันตกด้วย ปรากฏว่าวิถีชีวิตแบบนี้ได้มีส่วนส่งเสริมให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้ แม้แต่ชีวิตอารามวาสีแบบศาสนาคริสต์เมื่อได้แพร่มาถึงดินแดนที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเคยส่งสมณทูตมาก็ยังเจริญรอยตามแนวทางนี้

คณะสงฆ์ประกอบด้วยภิกษุบริษัทและภิกษุณีบริษัท โดยในระยะแรกยังมีเฉพาะภิกษุเท่านั้น ภิกษุณีเกิดภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าประทานพระอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมีและเจ้าหญิงศากยะอื่นรับอุปสมบทได้

ทั้งภิกษุและภิกษุณีต้องรับบทบาทหลายอย่าง ประการแรกและสำคัญที่สุดคือการรักษาพระธรรมวินัย (ปัจจุบันเรียกว่าพระพุทธศาสนา) ต้องเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตให้แก่ฆราวาส และเป็น "นาบุญ" เพื่อให้เหล่าอุบาสกและอุบาสิกาในศาสนาได้มีโอกาสทำบุญ ในทางกลับกันเพื่อประโยชน์ของฆราวาส พระสงฆ์ต้องถือวัตรเคร่งครัดในการศึกษาพระธรรม เจริญสมาธิ และรักษาสุจริตธรรม[4]

ก่อนบวชเป็นภิกษุ (ภาษาบาลีเรียกว่าภิกขุ) กุลบุตรต้องได้บวชเป็นสามเณรมาก่อน ซึ่งส่วนมากสามเณรจะบรรพชากันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ตามปกติก็จะไม่น้อยกว่าอายุ 8 ปี สามเณรต้องรักษาศีล 10 ข้อ ส่วนการอุปสมบทซึ่งใช้เรียกการบวชเป็นภิกษุจะทำได้เมื่ออายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป กรณีภิกษุณีก็มีขั้นตอนอย่างเดียวกันแต่จะต้องใช้เวลาเป็นสามเณรีนานถึง 5 ปี

สิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีจะเน้นให้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สละทางโลกหรือเป็นพรตนิยม โดยเฉพาะการเว้นจากเพศสัมพันธ์ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของพระวินัย

ชีวิตอารามวาสีแบบคริสต์ศาสนา[แก้]

ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนามาจากคำว่า “นักพรต” และ “อาราม” ที่มีระบบแตกต่างจากกันเป็นหลายแบบ ชีวิตอารามวาสีก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากการเริ่มต้นของคริสต์ศาสนาตามตัวอย่างและปรัชญาที่กล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่แต่ยังมิได้ระบุแยกเป็นสถาบันต่างหากในพระคัมภีร์ ต่อมาชีวิตอารามวาสีจึงได้มีการก่อตั้งบทบัญญัติเป็นวินัยนักบวช (religious rules) ในหมู่ผู้ติดตามเช่นวินัยของนักบุญบาซิล (Rule of St Basil) หรือวินัยของนักบุญเบเนดิกต์ ในสมัยปัจจุบันกฎหมายศาสนจักรของบางนิกายอาจจะระบุรูปแบบการใช้ชีวิตนักพรต

อารามในคริสต์ศาสนาเป็นวิถีชีวิตที่อุทิศให้แก่พระเจ้าเพื่อการบรรลุชีวิตนิรันดร์ (eternal life) ระหว่างการเทศนาบนภูเขาในหัวข้อพระพรมหัศจรรย์ (Beatitudes) หรือการดำเนินชีวิตตามกฎของพระเจ้า พระเยซูทรงเทศนาต่อกลุ่มชนที่มาฟังให้ “เป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดา...ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (แม็ทธิว 5:48[6]) และทรงกล่าวเชิญชวนอัครทูตของพระองค์ให้ปฏิญาณความเป็นโสดโดยตรัสว่า “ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด” (แม็ทธิว 19:12[7]) และเมื่อทรงถูกถามว่าจะต้องทำอย่างใดนอกจากปฏิบัติตามพระบัญญัติที่จะทำให้ “บรรลุชีวิตนิรันดร์” พระองค์ก็ทรงแนะว่าให้สละทรัพย์สมบัติและใช้ชีวิตอย่างสมถะ (แม็ทธิว 19:16-22[8], มาร์ค 10:17-22[9] และ ลูค 18:18-23[10])

ในพันธสัญญาใหม่ก็เริ่มมีหลักฐานที่กล่าวถึงการใช้ชีวิตนักพรต โดยการตระเวนช่วยเหลือแม่หม้ายและสตรี ในซีเรียและต่อมาในอียิปต์ผู้นับถือคริสต์ศาสนาบางคนก็มีความรู้สึกว่าได้รับพระกระแสเรียกให้ใช้ชีวิตอย่างสันโดษเพื่อเพิ่มความศรัทธาและเข้าถึงพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้นโดยการออกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษกลางทะเลทราย นักบุญอะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรียกล่าวถึงนักบุญแอนโทนีอธิการว่าเป็นนักพรตองค์แรก ๆ ที่ออกไปใช้ชีวิตอย่าง “นักพรตฤๅษี” (Hermit monk) และทำให้ชีวิตอารามวาสีเป็นที่แพร่หลายในอียิปต์ ชีวิตอารามวาสีแพร่หลายทั่วไปในตะวันออกกลางมาจนกระทั่งเมื่อความนิยมในการนับถือคริสต์ศาสนาในซีเรียมาลดถอยลงในยุคกลาง

เมื่อผู้ประสงค์จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันมากขึ้น ความจำเป็นในการที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในชุมนุมนักบวชก็เพิ่มมากขึ้น ราวปี ค.ศ. 318 นักบุญปาโคมิอุส (Pachomius) ก็เริ่มจัดกลุ่มผู้ติดตามที่กลายมาเป็นอารามแบบหมู่คณะต่อมา ซึ่งเรียกว่าคณะนักบวชอารามิก (monastic order) ไม่นานนักก็มีการก่อตั้งสถาบันอื่นๆ ในลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วไปในทะเลทรายในอียิปต์และทางตะวันออกของจักรวรรดิโรมัน ชีวิตอารามวาสีในตะวันออกกลางที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่:

ทางตะวันตกการวิวัฒนาการของชีวิตอารามวาสีที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวินัยของชุมชนอารามได้รับการบันทึกเป็นตัวอักษร วินัยที่เชื่อกันว่าเป็นกฎแรกที่มีการบันทึกคือวินัยของนักบุญเบซิลแต่เวลาที่เขียนไม่เป็นที่ทราบแน่นอน เชื่อกันว่าวินัยของนักบุญเบซิลเป็นวินัยที่เป็นพื้นฐานของวินัยของนักบุญเบเนดิกต์ที่เขียนโดยนักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซียเพื่อใช้ในอารามที่มอนเตคัสซิโนในอิตาลีราวปี ค.ศ. 529 และใช้ในคณะเบเนดิกตินซึ่งเป็นคณะนักบวชอารามิกที่ท่านตั้งขึ้น วินัยฉบับนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายที่สุดในยุคกลางของยุโรป ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันก็มีวินัยของนักบุญออกัสตินโดยนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ก็มีคณะนักบวชคาทอลิกใหม่ ๆ ก่อตั้งขึ้นอีกหลายคณะ เช่น คณะฟรันซิสกัน คณะคาร์เมไลท์ และคณะดอมินิกัน แต่คณะเหล่านี้เลือกที่จะตั้งอารามในเมืองแทนที่จะไปตั้งห่างไกลจากชุมชน

ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนาก็ยังวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้แม้แต่ในโปรเตสแตนต์ในสหรัฐอเมริกา

อ้างอิง[แก้]

  1. สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน, นครปฐม: ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม, 2551, หน้า 27
  2. บัญญัติศัพท์, สำนักมิสซังกรุงเทพ, หน้า 21
  3. CATHOLIC ENCYCLOPEDIA: Monasticism [1]
  4. 4.0 4.1 4.2 What is a bhikkhu?
  5. The Bhikkhuni question
  6. "Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 5". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-25. สืบค้นเมื่อ 2009-06-08.
  7. "Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 19". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-25. สืบค้นเมื่อ 2009-06-08.
  8. "Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 19". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-25. สืบค้นเมื่อ 2009-06-08.
  9. "Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมาระโก 10". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-25. สืบค้นเมื่อ 2009-06-08.
  10. "Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญลูกา 18". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-25. สืบค้นเมื่อ 2009-06-08.

ดูเพิ่ม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]