การแห่ถอนเงิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประชาชนแห่ถอนเงินจากธนาคารในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 1931

การแห่ถอนเงิน เป็นเหตุการณ์ในระบบธนาคารเก็บเงินสดสำรองบางส่วน (fractional reserve banking) เกิดขึ้นเมื่อลูกค้าจำนวนมากพากันถอนเงินฝากจากสถาบันการเงินในเวลาเดียวกัน และเรียกให้คืนเงินฝากนั้นเป็นเงินสดหรือรูปแบบอื่น เช่น พันธบัตรรัฐบาล โลหะมีค่า หรือเพชรนิลจินดา เพราะเชื่อว่า สถาบันการเงินดังกล่าวมีหรืออาจมีหนี้สินล้นพ้นตัว เหตุการณ์เช่นนี้อาจส่งผลให้สถาบันการเงินไม่มีเงินสดอีกต่อไปและล้มละลายเฉียบพลัน[1]

ถ้าแห่ถอนเงินจากสถาบันการเงินเพียงแห่งเดียว ภาษาอังกฤษเรียก "bank run" ถ้าหลายแห่ง เรียก "bank panic" และถ้าทุกแห่งหรือเกือบทุกแห่งในประเทศ เรียก "systemic banking crisis" (วิกฤติการณ์ธนาคารทั่วไป)[2]

เมื่อสถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลายสืบเนื่องกันไป เศรษฐกิจจะถดถอยระยะยาว เพราะเมื่อธนาคารในประเทศพากันปิดตัวลง บริษัทห้างร้านและผู้บริโภคภายในประเทศจะขาดเงินทุน[3] ตัวอย่าง คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งเบน เบอร์นันเก (Ben Bernanke) ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ว่า เกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจส่วนใหญ่เสียหายโดยตรงจากการแห่ถอนเงิน[4]

การกู้วิกฤติการณ์ธนาคารทั่วไปอาจใช้เงินมหาศาล เช่น ในวิกฤติการณ์ครั้งสำคัญตั้งแต่ปี 1970 ถึงปี 2007 ค่าใช้จ่ายเป็นเงินนั้นเฉลี่ยได้ร้อยละสิบสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product) ส่วนยอดความสูญเสียของเศรษฐกิจนั้นเฉลี่ยได้ร้อยละยี่สิบของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ[2]

มีการใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อป้องกันหรือบรรเทาผลร้ายของการแห่ถอนเงิน เช่น รัฐบาลอุดหนุนธนาคาร ควบคุมธนาคารพาณิชย์ จัดตั้งธนาคารกลางเพื่อให้กู้เงินในยามยาก และคุ้มครองการประกันเงินฝากดังที่สหรัฐอเมริกาตั้งบรรษัทประกันเงินฝากกลาง (Federal Deposit Insurance Corporation) ขึ้นเพื่อการนี้[1] ครั้นผู้คนแห่ถอนเงินกันแล้ว อาจใช้มาตรการเป็นต้นว่า ระงับการถอนเงินชั่วคราว[5] แต่มาตรการเหล่านี้ใช่ว่าเป็นผลเสมอไป แม้มีการประกันเงินฝากแล้วก็ตาม เนื่องจากผู้ฝากเงินมักอกสั่นขวัญแขวนอยู่ เพราะเชื่อว่า จะไม่สามารถเข้าถึงเงินฝากได้ในระหว่างจัดระเบียบธนาคารใหม่[6]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 Diamond DW (2007). "Banks and liquidity creation: a simple exposition of the Diamond-Dybvig model" (PDF). Fed Res Bank Richmond Econ Q. 93 (2): 189–200. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-05-13. สืบค้นเมื่อ 2014-02-18.
  2. 2.0 2.1 Laeven L, Valencia F (2008). "Systemic banking crises: a new database" (PDF). IMF WP/08/224. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 2008-09-29. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  3. Wicker E (1996). The Banking Panics of the Great Depression. Cambridge University Press. ISBN 0-521-66346-6.
  4. Bernanke BS (1983). "Nonmonetary effects of the financial crisis in the propagation of the Great Depression". Am Econ Rev. 73 (3): 257–76.
  5. Heffernan S (2003). "The causes of bank failures". ใน Mullineux AW, Murinde V (บ.ก.). Handbook of international banking. Edward Elgar. pp. 366–402. ISBN 1-84064-093-6.
  6. Reckard ES, Hsu T (2008-09-26). "U.S. engineers sale of WaMu to JPMorgan". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 2008-09-26.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]