กฐิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กฐิน (บาลี: กฐิน) เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้[1] โดยคำว่าการทอดกฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด1 ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท[2]

การได้มาของผ้าไตรจีวรอันจะนำมากรานกฐินตามพระวินัยบัญญัติของเถรวาทนี้ พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามการรับผ้าจากผู้ศรัทธาเพื่อนำมากรานกฐิน[1] ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เกิดทานพิธีการถวายผ้ากฐิน หรือการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนขึ้น และด้วยการที่การถวายผ้ากฐินนั้น จัดเป็นสังฆทาน คือถวายแก่คณะสงฆ์โดยไม่เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เพื่อให้คณะสงฆ์นำผ้าไปอปโลกน์ ยกให้ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามที่คณะสงฆ์ลงมติ (ญัตติทุติยกรรมวาจา) และกาลทาน ที่มีกำหนดเขตเวลาถวายแน่นอน คณะสงฆ์วัดหนึ่ง ๆ สามารถรับได้ครั้งเดียวในรอบปี จึงทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นบุญประเพณีนิยมที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย

ประเพณีการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนไทยมีมาช้านาน โดยมีทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ โดยการถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญประจำปี ในปัจจุบันถวายผ้ากฐินในแง่การสนับสนุนผ้าไตรจีวรเพื่อใช้ในสังฆกรรมสำคัญของคณะสงฆ์ได้ถูกลดความสำคัญลงไป แต่กลับให้ความสำคัญกับบริวารของกฐินทานแทน เช่น เงิน หรือวัตถุสิ่งของ เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาถาวรวัตถุและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน

กฐินมีกำหนดระยะเวลาถวาย จะถวายตลอดไปเหมือนผ้าชนิดอื่นมิได้ ระยะเวลานั้นมีเพียง 1 เดือน คือตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (วันเพ็ญเดือน 12) ระยะเวลานี้เรียกว่า กฐินกาล คือระยะเวลา ทอดกฐิน หรือ เทศกาลทอดกฐิน

ความหมายและความสำคัญของการถวายกฐิน[แก้]

ความหมายของกฐิน[แก้]

กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่าไม้สะดึง คือ "กรอบไม้" หรือ "ไม้แบบ" สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐินหรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ)

กฐิน อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้

  1. กฐิน เป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
  2. กฐิน เป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
  3. กฐิน เป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน
  4. กฐิน เป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์[3]

ความสำคัญพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น[แก้]

การถวายกฐินนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งทำให้การถวายกฐินมีความความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่นดังนี้ มีไกว

  1. จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
  2. จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป[1]
  3. จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน[1]
  4. จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้[1]
  5. จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษาตั้งแต่1รูปขึ้นไป และจะใช้5รูปขึ้นไปในการกรานกฐินในโบสถ์เท่านั้น
  6. จำกัดคราว คือ วัด ๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
  7. เป็นพระบรมพุทธานุญาต ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตผ้าอาบน้ำฝน แต่ผ้ากฐินนี้พระองค์ทรงอนุญาตเอง[1] นับเป็นพระประสงค์โดยตรง

ความเป็นมาของกฐิน[แก้]

ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ 30 รูป ได้เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี แต่ยังไม่ทันถึงเมืองสาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน พระสงฆ์ทั้ง 30 รูป จึงต้องจำพรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทาง พอออกพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ออกเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความยากลำบากเพราะฝนยังตกชุกอยู่ เมื่อเดินทางถึงวัดพระเชตวัน พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทาง เมื่อทราบความลำบากนั้นจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสสามารถรับผ้ากฐินได้ และภิกษุผู้ได้กรานกฐินได้อานิสงส์ 5 ประการ ภายในเวลาอานิสงส์กฐิน (นับจากวันที่รับกฐินจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4) คือ

  1. ไปไหนไม่ต้องบอกลา
  2. ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับสามผืน2
  3. ฉันคณโภชนะได้ (รับนิมนต์ที่เขานิมนต์โดยออกชื่อโภชนะฉันได้) 3
  4. เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้โดยที่ยังมิได้วิกัปป์ และอธิษฐาน โดยไม่ต้องอาบัติ
  5. จีวรลาภอันเกิดขึ้น จักได้แก่ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว

การถือปฏิบัติประเพณีการบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลกฐินในประเทศไทย[แก้]

การถือปฏิบัติประเพณีการบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลกฐินในประเทศไทย สันนิษฐานว่าเริ่มมีมาแต่แรกที่รับพระพุทธศาสนาเถรวาทเข้ามาในดินแดนประเทศไทย ซึ่งอาจมีปฏิบัติประเพณีนี้มาตั้งแต่สมัยทวาราวดี แต่มาปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าชาวไทยได้ถือปฏิบัติในการบำเพ็ญกุศลในเทศกาลกฐินในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังปรากฏความในศิลาจารึกหลักที่ 1 (ด้านที่ 2) ดังนี้

... คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มันโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทังชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทังหลายทังผู้ชายผู้ญีง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อโอกพรรษากรานกฐินเดือนณื่งจี่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกฐิน โอยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัตกฐินเถิงอไรญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียง เรียงกันแต่อไรญิกพู้นเท้าหัวลาน ดมบังคมกลองด้วยเสียงพาทย์เสียงพีณ เสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากปตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก ...

— คำอ่านศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ ๒[4][5]

ในศิลาจารึกดังกล่าว ปรากฏทั้งคำว่า กรานกฐิน, บริวารกฐิน (บริพานกฐิน), สวดญัตติกฐิน (สูดญัตกฐิน) ซึ่งคำดังกล่าวก็ยังคงใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า เทศกาลทอดกฐินมีคู่กับสังคมไทยทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชนมาช้านาน ดังปรากฏว่าชาวพุทธในประเทศไทยให้ความสำคัญกับงานทอดกฐินที่จัดในวัดต่าง ๆ มาก โดยถือว่าเป็นงานบุญสำคัญที่สุดงานหนึ่งในรอบปี บางวัดที่มีผู้ศรัทธามาก อาจมีผู้จองเป็นเจ้าภาพทอดกฐินล่วงหน้ายาวเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของชาวพุทธในประเทศไทยที่ได้ร่วมใจกันสืบทอดประเพณีนี้มาจนปัจจุบัน

ชนิดของกฐินในประเทศไทย[แก้]

ตามพระวินัยแล้ว ไม่ได้จำแนกการทอดกฐิน (การถวายผ้ากฐินแก่พระสงฆ์) ออกเป็นชนิด ๆ ไว้แต่อย่างใด คงกล่าวแต่เพียงในส่วนการทำหรือรับผ้ามากรานกฐินของพระสงฆ์เท่านั้น แต่หากพิจารณาจากประเพณีที่นิยมปฏิบัติในปัจจุบัน คงพอจำแนกชนิดของการทอดกฐินได้เป็นสองคือ

จุลกฐิน[แก้]

จุลกฐิน คือ คำเรียกการทอดกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบด่วน โดยต้องอาศัยความสามัคคีของผู้ศรัทธาจำนวนมาก เพื่อผลิตผ้าไตรจีวรให้สำเร็จด้วยมือภายในวันเดียว กล่าวคือ ต้องเริ่มตั้งแต่เก็บฝ้าย ตัดเย็บ ย้อม และถวายให้พระสงฆ์กรานกฐินให้เสร็จภายในเวลาเช้าวันหนึ่งจนถึงย่ำรุ่งของอีกวันหนึ่ง ดังนั้นโบราณจึงนับถือกันว่าการทำจุลกฐินมีอานิสงส์มาก เพราะต้องใช้ความอุตสาหะพยายามมากกว่ากฐินแบบธรรมดา (มหากฐิน) ภายในระยะเวลาอันจำกัด โดยจุลกฐินนี้ปัจจุบันมักจัดเป็นงานใหญ่ มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ประเพณีการทอดจุลกฐินนี้เป็นประเพณีที่พบเฉพาะในประเทศไทยและลาว ไม่ปรากฏประเพณีการทอดกฐินชนิดนี้ในประเทศพุทธเถรวาทประเทศอื่น สำหรับประเทศไทย มีหลักฐานว่ามีการทอดจุลกฐินมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า หน้า 268 ว่า "ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) โปรดให้ทำจุลกฐิน" ปัจจุบันประเพณีการทำจุลกฐินนิยมทำกันเฉพาะชุมชนทางภาคเหนือและอีสานเท่านั้น โดยอีสานจะเรียกกฐินชนิดนี้ว่า "กฐินแล่น" (จุลกฐินไม่ใช่ศัพท์ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก)

กฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้บุคคลและหน่วยงานรับพระราชทานไปถวายยังพระอารามต่าง ๆ

เค้ามูลของการทำจีวรให้เสร็จในวันเดียว ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งในคณะสงฆ์ในวัดพระเชตวันร่วมมือกันทำผ้าไตรจีวรเพื่อถวายแก่พระอนุรุทธะผู้มีจีวรเก่าใช้การเกือบไม่ได้แล้ว โดยในครั้งนั้นเป็นงานใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงช่วยการทำไตรจีวรด้วย โดยทรงรับหน้าที่สนเข็มในการทำจีวรครั้งนี้ด้วย[6]

สาเหตุประการหนึ่งที่มีการทำจุลกฐิน เนื่องมาจากกำหนดการกรานกฐินนั้นมีระยะเวลาจำกัด และพระสงฆ์ไม่สามารถขวนขวายดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้ากฐินเองได้ (เพราะจะทำให้กฐินเดาะ (สังฆกรรมเสีย) จึงอาจมีบางวัดที่ใกล้กำหนดหมดฤดูกฐินแต่ยังไม่มีผู้นำผ้ากฐินมาถวาย) ทำให้ในสมัยก่อนเมื่อใกล้เดือน ๑๒ (หมดฤดูกฐิน) มักจะมีผู้ศรัทธาตระเวนไปตามวัดต่าง ๆ เมื่อเจอวัดที่ยังไม่ได้รับถวายผ้ากฐิน จึงต้องเร่งรีบขวนขวายจัดการทำผ้ากฐินให้เสร็จทันฤดูกฐินหมด ซึ่งบางครั้งอาจเหลือเวลาแค่วันเดียว จึงต้องอาศัยความร่วมมือของคนทั้งชุมชน ในการร่วมกันจัดทำผ้าไตรจีวรให้สำเร็จก่อนหมดฤดูกฐิน (เพราะสมัยก่อนไม่มีผ้าไตรจีวรสำเร็จรูปสำหรับขาย) การร่วมมือกันจัดทำจุลกฐินดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสร้างความสามัคคีของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี

มหากฐิน[แก้]

มหากฐิน เป็นศัพท์ที่เรียกเพื่อหมายความถึงการทอดกฐินที่มีบริวารกฐินมาก ไม่ต้องทำโดยเร่งรีบเหมือนจุลกฐิน มหากฐินคือกฐินที่ทอดถวายตามวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยในปัจจุบัน ที่จะมีการรวบรวมจตุปัจจัยไทยธรรมและสิ่งของต่าง ๆ เพื่อนำไปเป็นเครื่องประกอบในงานกฐินถวายแก่พระสงฆ์ เพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป (มหากฐินไม่ใช่ศัพท์ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก) โดยมหากฐินนั้นอาจเป็นกฐินที่มีเจ้าภาพเพียงคนเดียวหรือกฐินสามัคคีก็ได้

การทอดกฐินในประเทศไทย[แก้]

กฐินหลวง[แก้]

กฐินหลวง เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือโปรดเกล้าให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จไปพระราชทานแทน กฐินหลวงนี้จัดเครื่องพระราชทานด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และบางครั้งมีการจัดพิธีแห่เครื่องกฐินพระราชทานอย่างใหญ่ โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค หรือกระบวนพยุหยาตราสถลมารถ แล้วแต่พระราชประสงค์ (ในปัจจุบันคงการเสด็จพระราชดำเนินทรงถวายผ้าพระกฐินอย่างพิธีใหญ่นั้น คงเหลือเพียงโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคเท่านั้น) [7]

กฐินหลวงในปัจจุบันมีเพียง 18 วัดเท่านั้น ได้แก่ ในกรุงเทพมหานคร

ต่างจังหวัด

กฐินต้น[แก้]

กฐินต้น เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานยังวัดราษฎร์เป็นการส่วนพระองค์

กฐินพระราชทาน[แก้]

กฐินพระราชทาน เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน และเครื่องกฐินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หน่วยงาน สมาคม หรือเอกชน ให้ไปทอดยังพระอารามหลวงต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร (ในปัจจุบันกรมการศาสนารับผิดชอบจัดผ้าพระกฐินและเครื่องกฐินถวาย)

"กฐินพระราชทานกองทัพเรือ" กองทัพเรือถือเป็นนโยบายที่จะขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวาย ณ พระอารามหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กองทัพเรือทุกปี และได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ เป็นต้นมา

กฐินราษฎร์[แก้]

ในปัจจุบัน การถวายผ้ากฐินโดยทั่วไปในประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับ "บริวารกฐิน" มากกว่าผ้ากฐินซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการกรานกฐิน

กฐินราษฎร์ คือกฐินที่ราษฏรหรือประชาชนทั่วไปที่มีจิตศรัทธาจัดถวายผ้ากฐิน และเครื่องกฐินไปถวายยังวัดราษฎร์ต่าง ๆ โดยอาจแบ่งออกเป็นจุลกฐิน และมหากฐิน (กฐินสามัคคี) ในปัจจุบันกฐินราษฎร์ จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ มีเจ้าภาพแค่คนเดียว และมีเจ้าภาพร่วมกันหลายคนหรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "กฐินสามัคคี" ผู้เป็นประธานหรือเจ้าภาพในการทอดกฐินจะให้ความสำคัญกับการรวบรวม (เรี่ยไร) เงินและสิ่งของเพื่อเข้าประกอบเป็นบริวารกฐินมากกว่า เพราะวัดสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้ และเนื่องจากการถวายผ้ากฐินเป็นกาลทาน จึงทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นงานสำคัญประจำปีของวัดต่าง ๆ โดยทั่วไปในประเทศไทย

ในกรณีที่เป็นกฐินสามัคคี เนื่องจากกฐินสามัคคีเป็นกฐินที่มีเจ้าภาพร่วมกันหลายคน หลายวัดจึงใช้วิธีผาติกรรมผ้าไตรของวัดผืนหนึ่ง โดยจะตกลงกำหนดให้ผ้าผืนนี้เท่านั้นเป็นผ้าที่ใช้ทอดกฐิน โดยบริวารกฐินทั้งหมด จะเป็นราคาของผ้าผืนนี้ ให้ผู้ทำบุญทุกคนเป็นเจ้าของผ้าผืนนี้ร่วมกัน บริวารกฐินทั้งหมดก็จะนำเข้าเป็นของวัดต่อไป โดยหลายวัดมักจะแจ้งล่วงหน้าว่าบริวารกฐินที่ได้มาทางวัดจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร โดยปกติจะนำไป สร้าง ซ่อมแซม ต่อเติม เสนาสนะสิ่งก่อสร้างภายในวัด เพื่อให้เป็นวิหารทานซึ่งเป็นสังฆทาน เป็นการสร้างกุศลให้แก่ผู้ทำบุญในเทศกาลกฐินเพิ่มขึ้นอีกต่อหนึ่ง นอกจากถวายผ้ากฐิน

ส่วนในกรณีที่มีเจ้าภาพคนเดียว ไม่ใช่กฐินสามัคคี นิยมให้เเจ้งวัตถุประสงค์ว่าบริวารกฐินจะถวายเข้าวัดเท่าใด ถวายพระเท่าใด ถวายสามเณรเท่าใด เนื่องจากถ้าเจ้าภาพไม่แจ้งอย่างชัดเจน จะถือว่าบริวารกฐินจะตกแก่สงฆ์และสงฆ์จะแบ่งบริวารกฐินเท่าๆกันตามจำนวนพระภิกษุที่อยู่จำพรรษาในวัดนั้นนั่นเอง ซึ่งพระภิกษุที่ได้รับแต่ล่ะรูปจะเก็บบริวารกฐินไว้เอง หรือตกลงมอบให้แก่วัดก็ได้ ตามความสมัครใจ หรือตามมติที่ได้ตกลงกันไว้ในที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งกฐินพระราชทาน มักจะใช้ธรรมเนียมนี้เช่นกัน คือจะแจ้งอย่างชัดเจน ก่อนการทอดผ้า

คำถวายผ้ากฐิน[แก้]

คำถวายผ้ากฐินภาษาบาลี แบบเก่า[แก้]

บทปุพพภาคนมการ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” (๓ จบ)
กล่าวคำถวายผ้ากฐิน
อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม
ทุติยมฺปิ อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม
ตติยมฺปิ อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม
สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ กฐินทุสฺสํ ปฏิคฺคณฺหาตุ อมฺหากํ หิตาย สุขาย
กล่าวคำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์ แม้ในวาระที่สอง
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์ แม้ในวาระที่สาม
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงรับ ซึ่งผ้ากฐิน กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญฯ[8]

คำถวายผ้ากฐินภาษาบาลี แบบใหม่[แก้]

บทปุพพภาคนมการ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” (๓ จบ)
กล่าวคำถวายผ้ากฐิน
อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม,
สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ, อิมํ สปริวารํ กฐินทุสฺสํ, ปฏิคฺคณฺหาตุ,
ปฏิคฺคเหตฺวา จ, อิมินา ทุสฺเสน กฐินํ อตฺถรตุ, อมฺหากํ
ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย
กล่าวคำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินกับทั้งผ้าบริวารนี้ แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐิน กับทั้งบริวารนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้นรับแล้ว จงกรานกฐิน ด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.[8]

เกร็ดในงานถวายผ้ากฐินในประเทศไทย[แก้]

ธงจระเข้-นางมัจฉา[แก้]

(ซ้าย) ธงมัจฉาที่นิยมประดับในงานกฐินในประเทศไทย (ขวา) ธงจระเข้ที่นิยมประดับในงานกฐินในประเทศไทย

สมัยโบราณนิยมแห่ผ้ากฐินไปทอดตามวัดต่าง ๆ โดยอาศัยเรือเป็นสำคัญ การเดินทางไปตามลำน้ำมักมีอันตรายจากสัตว์น้ำต่าง ๆ เนือง ๆ เช่น จระเข้ขึ้นมาหนุนเรือให้ล่ม ขบกัดผู้คนบ้าง คนแต่ก่อนหวั่นเกรงภัยเช่นนี้ จึงคิดอุบายทำธงจระเข้ปักหน้าเรือไปเป็นทำนองประกาศให้สัตว์ร้ายในน้ำ เช่น จระเข้ ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่และดุร้ายกว่าสัตว์อื่น ๆ ในน้ำ ให้รับทราบการบุญการกุศล จะได้พลอยอนุโมทนาและมีจิตใจอ่อนลง ไม่คิดที่จะทำอันตรายแก่ผู้คนในขบวนซึ่งเดินทางไปประกอบพิธีการทางศาสนา

เนื่องจากถือกันว่าดาวจระเข้เป็นดาวสำคัญ การเคลื่อนขบวนทัพในสมัยโบราณต้องคอยดูดาวจระเข้ขึ้น ซึ่งเป็นเวลาจวนสว่างแล้ว การทอดกฐินเป็นพิธีทำบุญที่มีอานิสงส์ไพศาลเพราะทำในเวลาจำกัด มีความสำคัญเท่ากับการเคลื่อนขบวนทัพในชั้นเดิมผู้จะไปทอดกฐินต้องเตรียมเครื่องบริขารและผ้าองค์กฐินไว้อย่างพร้อมเพรียง แล้วแห่ไปวัดในเวลาดาวจระเข้ขึ้น ไปแจ้งเอาที่วัด ต่อมาจึงมีผู้คิดทำธงจระเข้โดยถือว่า ดาวจระเข้เป็นดาวบอกเวลาเคลื่อนองค์กฐิน [9]

มีเรื่องเล่าว่า มีอุบาสกคนหนึ่งนำองค์กฐินแห่ไปทางเรือมีจระเข้ตัวหนึ่งอยากได้บุญในการทอดกฐิน จึงว่ายน้ำตามเรืออุบาสกนั้นไปด้วย แต่ไปได้พักหนึ่งจึงบอกแก่อุบาสกนั้นว่า ตนตามไปด้วยไม่ได้แล้วเพราะเหนื่อยอ่อนเต็มที ขอให้อุบาสกจ้างช่างเขียนภาพของตนที่ธง แล้วยกขึ้นไว้ในวัดที่ไปทอดด้วยอุบาสกรับคำจระเข้แล้วก็ทำตามที่จระเข้สั่ง ตั้งแต่นั้นมาธงรูปจระเข้จึงปรากฏตามวัดต่าง ๆ ในเวลามีการทอดกฐิน [9]

อีกตำนานหนึ่ง มีเรื่องเล่าว่ามีเศรษฐีขี้เหนียวคนหนึ่ง เมื่อมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญเลย ต่อมาตายไป ได้เกิดเป็นจระเข้ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เพราะหวงแหนทรัพย์ของตนที่แอบฝังไว้ที่ริมแม่น้ำ ต่อมาจึงไปเข้าฝันภรรยาบอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ตนแอบฝังไว้ ให้ภรรยามาขุด เพื่อให้นำไปทำบุญ เพื่อจะได้หมดกรรมไม่ต้องอยู่เฝ้าทรัพย์ต่อไป ภรรยาจึงนำทรัพย์เหล่านั้น ไปทอดกฐิน ขณะที่ขบวนทอดกฐินของภรรยาเศรษฐีไปวัดที่โดยสารไปทางเรือ ก็ปรากฏว่ามีจระเข้ของเศรษฐีขึ้นมาว่ายน้ำนำหน้าเรือของขบวนกฐิน จึงเป็นธรรมเนียมให้มีธงจระเข้นำขบวนแห่ขบวนกฐินตั้งแต่นั้นมา ซึ่งตำนานนี้ มักจะถือว่าธงนางมัจฉา เป็นธงของภรรยาเศรษฐี คู่กับธงจระเข้ ซึ่งเป็นธงของเศรษฐี นั่นเอง

อนึ่ง มีข้อความในจาตุมสูตรตอนหนึ่ง แสดงภัยที่จะเกิดกับพระโดยเฉพาะพระใหม่หรือพระหนุ่มเณรน้อยไว้ 4 อย่างด้วยกัน ซึ่งเปรียบด้วยภัยที่เกิดแก่บุคคลที่ลงในแม่น้ำหรือทะเล คือ

  1. ภัยเกิดแต่ความอดทนต่อโอวาทคำสอนมิได้ ท่านเปรียบเสมือนคลื่น เรียกว่า อุมฺมิภยํ (ใช้ตะขาบที่สื่อถึงความขี้โกรธจนไม่สามารถอดทนต่อคำสั่งสอนได้)
  2. ภัยเกิดแต่การเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากมิได้ท่านเปรียบเสมือนจระเข้ เรียกว่า กุมฺภีลภยํ
  3. ภัยเกิดแต่ความยินดีในกามคุณ 5 ท่านเปรียบเสมือนวังน้ำวน เรียกว่า อาวฏฺฏภยํ(ใช้เต่าที่สื่อถึงการที่ต้องรู้จักระวังในการรักษาอายตนะทั้ง6ให้ดี ไม่ให้กามคุณทั้ง5ครอบงำได้)
  4. ภัยเกิดแต่การรักผู้หญิง ท่านเปรียบเสมือนปลาร้ายเรียกว่า สุสุกาภยํ (ใช้นางมัจฉาที่สื่อถึงความงามของสตรี)

พิจารณารูปธงที่ช่างประดิษฐ์ขึ้น จะเห็นว่ามีภัย 4 อย่างอยู่ครบ ต่างแต่ว่าเด่นมาก เด่นน้อย หรือเป็นเพียงแทรกอยู่ในความหมายที่เด่นมาก คือ รูปจระเข้ รองลงไปคือ รูปคลื่น ส่วนอีก 2 อย่างคือ รูปวังน้ำวนและปลาร้าย ปรากฏด้วยรูปน้ำเป็นสำคัญ บางรายเขาเพิ่มธงปลาร้ายขึ้นอีกธงหนึ่ง เรียกว่า “ธงมัจฉา”

ธงกฐินนั้นจะมีอยู่ 4 อย่างคือ 1. รูปจระเข้ 2. รูปนางมัจฉา 3. รูปตะขาบ 4. รูปเต่า ซึ่งเป็นปริศนาธรรม มีความหมายว่า 1. จระเข้หมายถึงความโลภ สื่อที่ปากจระเข้มีขนาดใหญ่ 2. ตะขาบ หมายถึงความโกรธ สื่อถึงพิษของตะขาบ 3. นางมัจฉา หมายถึงความหลง ใช้รูปนางเงือกที่เป็นหญิงสาวรักสวยรักงาม อีกอย่างหนึ่ง นางเงือกมีลักษณะจะเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นปลาก็ไม่เชิงเป็นลักษณะของความไม่รู้หรืออวิชชา ซึ่งเป็นอีกความหมายหนึ่งของความหลง 4. เต่า หมายถึงสติ การระวังป้องอายตนะทั้ง6 เหมือนเต่าที่หด หัว ขา หาง ป้องกันอันตราย เพื่อสอนว่า ความโลภ โกรธ หลง ต้องรู้จักควบคุมจิตใจด้วยการมีสติ นั่นเอง[9]

ซึ่งธงกฐินทั้ง 4 โบราณใช้ประกอบในงานกฐินเพื่อสื่อแตกต่างกันไป

1.ธงจระเข้ ใช้ในการแห่ขบวนกฐิน (ตามตำนานที่ว่าจระเข้ว่ายน้ำตามขบวนกฐิน)

2.ธงนางมัจฉา ใช้ประดับงานกฐินที่วัด (เพื่อแสดงถึงอานิสงส์การถวายผ้ากฐินว่าจะทำให้ผู้ถวายเกิดมาจะมีรูปงาม)

3.ธงตะขาบ ติดที่หน้าวัดเพื่อแจ้งเตือนว่าวัดนี้มีผู้จองกฐินแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแวะถาม

4.ธงเต่า ติดไปที่หน้าวัดเพื่อแจ้งว่าวัดนี้ทอดกฐินเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะปลดลงหลังสิ้นเทศกาลทอดกฐินแล้ว

ดังนั้น ธงจระเข้กับธงนางมัจฉาจะอยู่คู่กันใช้ประดับประดางาน และธงตะขาบกับเต่าจะอยู่คู่กันประดับประดาที่หน้าวัด

ปัจจุบัน มักจะเหลือเพียงธงจระเข้กับธงนางมัจฉา ส่วนธงตะขาบกับธงเต่าจะมีเพียงวัดที่รักษาธรรมเนียมโบราณไว้เท่านั้นที่ยังใช้อยู่ ปัจจุบันธงทั้ง 4 มักไม่ได้ทำหน้าที่สื่อความหมายต่าง ๆ ดังในอดีต แต่จะทำหน้าที่ประดับงานทอดกฐิน และทำหน้าที่ร่วมงานแห่องค์กฐินเท่านั้น

โดยธงกฐินนั้น ทางวัดมักมอบให้แก่ญาติโยมที่มาทอดกฐิน โดยเชื่อว่า 1.ธงจระเข้ จะทำให้ค้าขายดี มีโชคลาภ 2.ธงนางมัจฉา จะทำให้มีเมตตามหานิยมแก่ผู้พบเห็น 3.ธงตะขาบ จะทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย ขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงที่จะเข้ามา ทำให้ศัตรูยำเกรง ปกป้องให้พ้นภัยจากภยันตรายทั้งปวง 4.ธงเต่า จะทำให้สุขภาพแข็งแรง

อื่น ๆ[แก้]

องค์กฐิน[แก้]

องค์กฐิน เป็นคำเรียกองค์ประกอบของใช้ของพระภิกษุที่ใช้ร่วมถวายกับไตรจีวรแก่พระภิกษุผู้ครองผ้ากฐินในปีนั้นๆ ได้แก่

1.ผ้าไตรจีวร 2.บาตร 3.ตาลปัตร 4.ย่าม 5.รองเท้า

หรืออาจจะมีมากกว่านี้ก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจของแต่ล่ะที่

ซึ่งเป็นธรรมเนียมเป็นที่รู้กันว่าองค์กฐินจะต้องถวายกับพระภิกษุผู้ครองผ้ากฐินในปีนั้น ซึ่งแตกต่างจากบริวารกฐินที่จะตกเป็นของสงฆ์หรือของวัด ซึ่งองค์กฐินนั้น จะเป็นเครื่องประกอบเสริมไตรจีวรที่เป็นเครื่องนุ่งห่ม โดยทั้งบาตร ตาลปัตร ย่าม รองเท้า ต่างก็เป็นสิ่งที่ประดับประดาการตกแต่งร่างกาย เหมือนเครื่องนุ่งห่มทางอ้อม จึงมีอานิสงส์เช่นเดียวกับจีวรไปด้วย คือทำให้มีรูปงาม และองค์กฐินต้องเป็นของใหม่ทุกปี โดยมีคติเช่นเดียวกับไตรจีวร ที่ถ้าใครมีจีวรเก่า ก็จะได้มีของจีวรใหม่เปลี่ยนบ้าง บาตร ตาลปัตร ย่าม รองเท้า ก็เช่นกัน จะได้มีของใหม่มาทดแทนของเก่าบ้าง ทำให้วัดมีของใหม่เวียนเข้ามาแทนที่ของเก่าที่นับวันอาจผุพังไปจนหมด เพื่อให้เป็นประเพณี เพื่อให้พระภิกษุเบาใจ ไม่อยู่อย่างลำบากเกินไปนัก อันอาจเกิดจากการไม่มีบริขารเพียงพอ

ส่วนเครื่องกฐินหมายถึงสิ่งที่จะใช้ในงานทอดกฐินทั้งหมด คือ องค์กฐิน บริวารกฐิน ธงกฐิน ฉัตรเงินฉัตรทอง ธงราว กระดาษเจ็ดสี วัตถุมงคลสำหรับแจกผู้มาร่วมงานและอื่นๆ ฯลฯ มักใช้ในตอนซื้อของเพื่อเตรียมงานกฐินว่าขาดเหลืออะไรบ้าง

กฐินเดาะ[แก้]

คำว่าเดาะในภาษาไทยแปลว่าร้าวจนหัก แต่ในความหมายของพระวินัยคือพระสงฆ์ที่ได้รับกฐินแล้วได้สิทธิ์ในการขยายเวลาในการทำจีวรออกไปได้อีก 4 เดือน แต่ในระหว่างนั้นภิกษุออกจากวัดโดยที่ไม่คิดกลับมา และหมดความกังวลจีวรคือทำจีวรเสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จ แต่เกิดเสียหายหรือสูญหายไปจึงหมดหวังที่จะได้ผ้ามาทำจีวรอีก[10]

กฐินตกค้าง กฐินตก กฐินจร หรือกฐินโจร[แก้]

กฐินตกค้าง กฐินตก กฐินจร หรือกฐินโจร เป็นการทอดกฐินแก่วัดตกค้างที่ไม่มีใครจองกฐิน ในวันใกล้ ๆ ที่จะหมดเขตกำหนดทอดกฐิน ถือกันว่าได้บุญได้อานิสงส์แรงกว่าการทอดกฐินธรรมดา และที่เรียกว่ากฐินจรหรือกฐินโจรนั้น เพราะกิริยาอาการที่ไปทอดนั้นเป็นการไปอย่างไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว จู่ ๆ ก็ไปทอดไม่บอกให้วัดรู้ล่วงหน้า [9]

อานิสงส์ของการทอดกฐิน[แก้]

1. เป็นการสงเคราะห์พระภิกษุที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพุทธบัญญัติ

2.เป็นการเทิดทูนพระพุทธบัญญัติเรื่องกฐินให้คงอยู่สืบไป นับได้ว่าบูชาพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติบูชาส่วนหนึ่ง

3.สืบต่อประเพณีกฐินทาน มิให้เสื่อมสลายไปจากวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ซึ่งบรรพบุรุษนำสืบต่อกันมามิขาดสาย

4.การทอดกฐินเป็นการถวายทานโดยมิเจาะจงบุคคลโดยเฉพาะ แต่ถวายแก่หมู่สงฆ์เป็นส่วนรวมจึงเข้าลักษณะเป็นสังฆทาน ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ว่ามีผลานิสงส์มาก

5.การร่วมบำเพ็ญกฐินทาน เป็น "กาลทาน" คือเป็นทานที่ถวายได้ภายในเวลาที่มีพระพุทธานุญาตกำหนด จึงมีอานิสงส์เป็นพิเศษ

6.ในการทอดกฐิน ส่วนใหญ่เป็นการร่วมมือร่วมใจกันของคนจำนวนมากเพื่อสร้างความดีงาม จึงเป็นการเสริมสร้างพลังสามัคคีขึ้นในสังคมอีกทางหนึ่งด้วย

เชิงอรรถ[แก้]

หมายเหตุ 1: การทำผ้าจีวรในสมัยโบราณต้องใช้เวลาและความร่วมมือในการทำมาก การที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตกฐินเพื่อให้คณะสงฆ์ทั้งหมดที่จำพรรษามาด้วยกันในอาวาสเดียวกันมาร่วมทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ (องค์ (วัตถุ) กฐินตามพระวินัยนั้นมีผ้าในไตรจีวรเพียงผืนเดียว เช่น มีจีวรเพียงผืนเดียว หรือมีสบงเพียงผืนเดียว ก็สามารถประกอบสังฆกรรมนี้ได้)

หมายเหตุ 2: โดยพระวินัยนั้นพระภิกษุมีหน้าที่ต้องรักษาผ้าครองไตรจีวรของตน หากไม่สามารถรักษาไว้ได้ตลอดคืนหนึ่งย่อมต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์[11] ดังนั้นการที่พระพุทธองค์ทรงผ่อนปรนพระวินัยให้ภิกษุผู้กรานกฐิน ไม่จำต้องรักษาไตรจีวรของตนครบสำรับดังกล่าว จึงเป็นการผ่อนปรนเพื่อเป็นอานิสงส์ให้พระสงฆ์ผู้กรานกฐิน

หมายเหตุ 3: คำว่า คณโภชน์ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าหมายถึง ล้อมวงฉัน แต่ความจริงคณโภชน์ในคณโภชนสิกขาบท หมายถึงภิกษุ ๔ รูปขึ้นไป รับนิมนต์ฉันที่เขานิมนต์โดยออกชื่อโภชนะ ๕ คือ ข้าว ปลา เนื้อ ขนมสด ขนมแห้ง ถ้าหากได้อานิสงส์กฐินแล้ว พระภิกษุสามารถรับนิมนต์ที่เขานิมนต์ฉันโดยออกชื่อโภชนะ ๕ ได้ ตลอดระยะเวลาอานิสงส์กฐิน

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 วิ.ม.๕/๙๗/๑๐๙. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ กฐินขันธกะ.
  2. องสุตบทบวร ปลัดซ้าย (อดุลย์ อนันตริยกุล). ศาสนพิธีแบบมหายาน อนัมนิกาย. [ออนไลน์]. เก็บถาวร 2012-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เข้าถึงเมื่อ 12 กันยายน 2552.
  3. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. กฐินและแนวทางปฏิบัติ. โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. ๒๕๓๖
  4. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช. จัดทำเนื่องในโอกาส ๗๐๐ ปี ลายสือไทย กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๒๗.
  5. "จารึกพ่อขุนรามคำแหง ด้านที่ 2". จารึกในประเทศไทย. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). 17 กุมภาพันธ์ 2012.
  6. เรื่องพระอนุรุทธเถระ. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อรหันตวรรคที่ ๗.
  7. "กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคในงานพระราชพิธี". ขุมทรัพย์ของแผ่นดิน. สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน). 2012. p. 7. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-09-17. สืบค้นเมื่อ 2021-09-17.
  8. 8.0 8.1 พิสิฐ เจริญสุข (2008). ความรู้เรื่อง “กฐิน”. พระอารามหลวง เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. p. 428. ISBN 9789749536506.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 เพิ่มศักดิ์ วรรลยางกูล. "ประเพณีทอดกฐิน". เมืองไทยในอดีต. พระนคร : วัฒนาพานิช, 2503. หน้า 40–42.
  10. พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเดโช) (19 เมษายน 2005). "เดาะกฐิน กฐินเดาะ". บทความคำวัด. กัลยาณมิตร.
  11. สิกขาบทที่ ๒ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ จีวรวรรค.

หนังสืออ่านเพิ่มเติม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]